คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : บทที่ 11 รักแรกยิ่งกว่าผีทัก [2]
ฟ้ายังไม่สว่างดีนักเพราะมีหมอกปกคลุมหนาก็มีเสียงดังลอดออกมาทางหน้าต่าง ทำให้ฉันต้องเอียงคอเงี่ยหูฟังขณะที่ตัวยังคงซุกอยู่ในอ้อมกอดของคุณภาค
เอาอีกแล้ว ฉันกลิ้งมาซบอกคุณภาคอีกแล้วเหรอเนี่ย! อีตาคุณภาคก็กลายร่างเป็นเทพบุตรโอบกอดฉันในอ้อมกอดซะด้วย ท่าทางเมื่อคืนอากาศจะหนาวจริง ๆ นั่นล่ะ
“สู่ขวัญเลย”
“เดี๋ยวเตรียมของให้”
“ว่าแล้วเชียว เด็กย้ายมาอยู่ใหม่ ๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ ไปข้างหลังหมู่บ้านผ่านสวน ผ่านนา ศาลเจ้าแม่ย่าคาก็โดนทักหมด”
“พราวน่ะสิ มันซนเหมือนตอนเด็กเลย พาลูกไปเล่นน้ำกลางนานู้น”
พอได้ยินชื่อตัวเอง ฉันก็ตาสว่างทันตา รีบผลักกล้ามแขนของคุณภาคออกจากตัวก่อนจะลุกออกจากเตียงเดินไปเปิดหน้าต่างชะโงกหน้าไปดูเหตุการณ์ตามต้นทางเสียง เมื่อแคะขี้ตาออกจากเบ้าสายตาก็โฟกัสชัดขึ้น พบว่าแม่ฉันอุ้มพะแพง ส่วนพ่อฉันอุ้มพลับพลึงยืนคุยกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน
จากการแอบฟังการสนทนาที่เสียงดังมาจากทางหน้าบ้านอยู่พักใหญ่เหมือนทุกคนจะมุ่งเป้าไปที่เรื่องสู่ขวัญ เหตุเกิดจากฉันพาพะแพงกับพลับพลึงไปปั่นจักรยานหลังหมู่บ้าน เมื่อเห็นท่าว่าการพูดคุยนั้นเริ่มเลอะเทอะและฉันก็เริ่มเดือดดาลจึงตัดสินใจจะออกไปคุยกับพ่อแม่ให้รู้เรื่อง แต่ไม่ทันได้ออกจากห้องนอนฉันก็จามและไอไม่หยุด ก่อนจะได้สติเหลือบมองไปทางคุณภาคที่นั่งบนเตียง
“บอกแล้วว่าผีทักแน่ ๆ เมื่อคืนคุณตัวร้อนแล้วก็ไอทั้งคืนเลย”
มันจะเป็นไปได้ยังไง เรื่องไร้สาระพวกนี้คุณภาคก็เชื่อไปกับเขาด้วยเหรอ ไม่สิ! คุณภาคเขากล่อมโสตประสาทฉันตั้งแต่หัวค่ำของเมื่อวานแล้ว
ใจกำลังนึกบ่นคุณภาคแต่สายตากลับจ้องมองไปที่ระหว่างขาของเขาซะงั้น นี่คุณกำนันปีศาจมีอารมณ์ทางเพศตั้งแต่เช้าเลยเหรอ มองดูนาฬิกาข้อมือตอนนี้ก็เพิ่งจะเจ็ดโมงครึ่งเอง อะไรมันจะฟิตปึ๋งปั๋งขนาดนั้น หรือว่าฉันดูเป็นนางแมวยั่วสวาทกันนะ
ฉันรีบสะบัดหัวไล่ความคิดอกุศลออกจากกบาลก่อนจะเอ่ยปากต่อล้อต่อเถียงคุณภาคทั้งที่ตัวเองก็เสียงแหบแห้งเหมือนเป็ดร้องผิดกับเสียงเมื่อคืนวานที่เสียงสูงแหลมปี๊ดไปอย่างสิ้นเชิง
“บ้า! พราวไม่ได้ไอสักหน่อย ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“จะรู้เรื่องอะไร ละเมอเพ้อบ่นอะไรพึมพำคนเดียวอย่างกับคนวิกลจริต”
“ใส่ร้ายเก่ง” ฉันก้มลงมองเป้าของคุณภาคโดยไม่ปิดบังสายตาจนเขาก้มหน้ามองตาม “ถ้าพราววิกลจริต คุณภาคก็คงหื่นกามตอนเช้าทุกวันสินะ เมื่อวานตอนเช้าก็แข็งชนหน้าขาพราว” ฉันตบขาตัวเองเพื่อแสดงอารมณ์ให้สมบทบาท “เช้านี้ก็ยังใช้เจ้านั่นชี้หน้าพราวอีก เมื่อคืนไม่แน่ว่าคุณภาคอาจเกิดอารมณ์ก็เลยลากพราวให้ไปนอนใกล้ชิดติดตัว กอดพราวซะแน่นจนพราวดิ้นไปไหนไม่ได้ หรือว่า...คุณภาคคิดอะไรกับพราวกันแน่”
“ถ้าคิดแล้วคุณจะทำไง”
“ทำไง? หมายความว่าไง คุณภาคอยากมีอะไรกับพราวเหรอ”
โต ๆ กันแล้วไม่ต้องอ้อมค้อม พูดตรงชัดเจนไม่ต้องตีหน้าซื่อทำตัวใสนักหรอกเพราะไม่มีภาพดีงามเหมือนวัยรุ่นหนุ่มสาวเรียนจบใหม่แล้วล่ะ ชีวิตเดินผ่านอะไรมามากมายก่ายกองถ้าจะสนองทางเพศหรือเล้าโลมก็ขอพูดตรงไม่มีอ้อม อาจดูแรงแต่จริงใจนะ!
มโนอะไรก่อน สติค่ะอีแม่พราว!
“หึ!” คุณภาคหัวเราะในลำคอ เขาคว่ำปากลงแต่แฝงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เชิงขำขัน ยิ้มแบบนี้กำลังดูถูกความคิดฉันหรือเปล่านะ “สมองคิดแต่เรื่องแบบนี้สินะ หรือว่า...ความจริงแล้วคุณจินตนาการว่าตัวเองมีอะไรกับผมบ่อย ๆ พอผมเข้าใกล้นิดเข้าใกล้หน่อยก็เริ่มอ่อนไหวอยากให้ผมสนองตัณหา”
“แอวะ! หลงตัวเอง ผิวคล้ำดำเสีย หน้าตาหล่อสู้กงยูกับหลี่เซียนก็ได้ไม่ หุ่นก็ไม่ดี เอาไม่ลงหรอก” ฉันส่ายหน้าเบ้ปากแสดงออกถึงความรังเกียจเดียดฉันท์แต่ในใจนึกอยากเป็นนังแมวป่ากระโดดปล้ำคุณภาคให้จมลงเตียง
ที่พูดไปก่อนหน้านั้นตรงข้ามทุกอย่าง แม้คุณภาคจะผิวเข้ม แต่หน้าตาเขาตี๋คมผสมไทยโบราณ ตาสองชั้นแต่หลบซ่อนในคล้ายเป็นคนตาชั้นเดียว ดวงตากลมโตสุกใส คิ้วหนาเข้มลับกับใบหน้ารูปไข่ รูปร่างดี กล้ามแน่น เห็นแล้วเร้าใจคล้ายมีกลิ่นฟีโรโมนลอยคละฟุ้งดึงดูดสัตว์เพศเมียให้พุ่งชนสัตว์เพศผู้ แม้เกรดวิชาชีวะฉันจะน้อยแต่เรื่องอะไรแบบนี้ฉันล่ะหัวไวนัก
“เมื่อวานใครกันที่มากอดจูบผมตอนเช้า”
แน่ะ! พูดแล้วก็ยกยิ้มส่งสายตาเยาะเย้ยคล้ายกับเป็นผู้ชนะ ร่างปีศาจสูงใหญ่ลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงมาหาฉันเชื่องช้าแต่รู้สึกได้ถึงความไม่น่าไว้ใจ
“อย่าเข้ามานะ เดี๋ยวพราวบีบไข่แตกคามือแล้วอย่ามาร้อง เมื่อวานแค่ขู่เท่านั้น วันนี้จะเอาจริง ๆ แล้ว”
คุณภาคส่ายหัวคล้ายไม่สนใจคำขู่จากฉัน เขาคว้ามือฉันที่กางออกห้านิ้วเพื่อห้ามปรามปีศาจเข้าใกล้ ก่อนมือสากอุ่น ๆ จะทาบทับที่หน้าผากของฉัน “ตัวยังอุ่น ๆ อยู่เลย เสียงแหบแห้งขนาดนี้ก็ยังจะพูดมาก เหม็นขี้ปากฟันก็ไม่แปรง”
ฉันรีบเม้มปากตัวเองลงทันทีทันใด รีบหลุบตาลงเพื่อหลบตาคุณภาคที่จ้องมองมา เหม็นขนาดนั้นเชียว “ถ้าเหม็นก็อย่ามาใกล้สิคะ”
ทีแบบนี้ล่ะพูดน้ำเสียงอ้อมแอ้มเชียวนะยัยพราว ก็ฉันกลัวว่าลมที่ออกจากปากจะโชยกลิ่นน้ำลายบูดเน่าให้คุณภาคบ่นอีกน่ะสิ
“ผมนอนดมทั้งคืน ชินแล้ว”
โอ๊ย! จุกอก
“แรง!” ฉันเบ้ปากชายตามองค้อนคุณภาคอย่างหมั่นไส้ “ถ้าเหม็นจนชินก็อย่าบ่น แล้วถ้าเหม็นจนทนไม่ได้ทำไมไม่ไปนอนไกล ๆ ล่ะ”
คะเคอะต่อท้ายประโยคเวลาคุยกับคุณภาคคืออะไร ไม่ต้องมีแล้ว! มีเรื่องให้ปวดตับปวดไตให้ต่อล้อต่อเถียงกับคุณภาคตั้งแต่เข้านอนยันตื่นนอนเลยเหรอเนี่ย
“กอดผมแน่นซะขนาดนั้น ผมจะดิ้นไปไหนได้”
“นี่คุณแอบจับหน้าอกพราวหรือเปล่าเนี่ย” ฉันเอียงคอให้ตาเฉเอียงมองคุณภาคอย่างหวาดระแวง ตัวใกล้ชิดติดกันซะขนาดนั้นมีเหรอที่คนอย่างคุณภาคจะไม่ฉวยโอกาสน่ะ
“มีอกให้จับกับเขาด้วยเหรอ มีแต่คนแถวนี้ที่ละเมอล้วงลึกล้วงจริง ล้วงไปถึง...” คุณภาคไม่พูดแต่สายตาของเขากลับก้มต่ำมองไปยังเป้ากลางกายของตัวเอง ฉันมองตามสายตาของคุณภาคที่ชักนำ พอได้สติก็สะดุ้งคิ้วกระตุกจนหน้าตึงอ้าปากค้างอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“โกหก! พราวไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย”
ไม่มีความทรงจำนี้ในหัวเลย ปกติฉันไม่ใช่คนนอนลึก เพราะนอนกับพะแพงจึงต้องตื่นกลางดึกเพื่อทำงานนิยาย บางทีก็สะดุ้งตามเสียงร้องไห้ของพะแพงจึงทำให้ฉันติดนิสัยนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ แม้จะนอนหลับแต่ฉันก็น่าจะจำอะไรได้บ้างสิ
“คนแบบนั้นนั่นล่ะ” รอยยิ้มร้ายกาจยกขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูวันนี้คุณภาคปีศาจเขาจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษแฮะ “ถ้าคุณไม่ล้วงทำอนาจารผมทั้งคืน เช้านี้มันจะแข็งชี้หน้าคุณได้ไง”
“โอ๊ย! นึกว่าพราวไม่รู้เหรอ ผู้ชายน่ะตื่นเช้ามาก็แข็งตัวกันทั้งนั้น มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์”
“พูดขนาดนี้! งั้นเรา...” มืออุ่นของคุณภาคย้ายมาจับคางฉันให้เชยขึ้น ดูเป็นพระเอกอ้อล้อนางเอกสักหน่อย แต่สถานการณ์จริงมันไม่เป็นแบบนั้นน่ะสิ ใจฉันเต้นโครมครามตัวสั่นเป็นหนูโดนแมวขู่เชียวล่ะ ไม่รู้ตัวสั่นเพราะอากาศหนาวหรือสั่นเป็นแรด ยอมพลีกายสู้ปีศาจบนเตียงกันแน่
ไม่ทันได้ฟังคุณปีศาจเค้าเอ่ยปากว่าความ เสียงแม่ก็ดังมาแต่ไกล ผสมกับเสียงของพ่อเรียกชื่อฉันให้ตื่นนอนลั่นบ้าน
โอ๊ย! หัวจะปวด ปวดกบาลยิ่งนักเจ้าค่ะ ตื่นนอนยังไม่ถึงสิบนาทีสามีก็กวนประสาท พ่อแม่ก็ป่วนทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่แต่เช้า
“พราวตื่นนอนได้แล้ว เดี๋ยวเขาจะสู่ขวัญพะแพงกับพลับพลึงกัน ชาวบ้านเขาว่าผีทักเด็ก ๆ ป่วยทั้งคืนเลย เมื่อคืนมีคนได้ยินเสียงนกแสกมาร้องแถวบ้านเรา” พ่อพูดจบแม่ก็พูดเสริม
"เอาดินพวกนี้ไปทิ้งเลยนะ! พะแพงกับพลับพลึงป่วยก็เพราะว่าผีทัก เอาดินจากนามานั่นล่ะ"
หลังจากเปิดประตูออกมาจากห้องนอนฉันไม่ทันได้ปริปากถามว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมคนที่หน้าบ้านถึงเสียงดัง และพ่อแม่โวยวายปลุกฉันตั้งแต่เช้าทำไม พ่อแม่ก็แย่งบทกันพูดจนแทบไม่มีช่วงเวลาให้ฉันได้เอ่ยปากถาม
"ความเชื่อโบราณเกินไปแล้ว" ฉันตอบด้วยเสียงแหบแห้ง
“จ๊ะ! แม่คนหัวสมัยใหม่ เมื่อคืนเราไม่ใช่เหรอที่เป็นไข้ตัวร้อนจี๋ละเมอทั้งคืน กำนันภาคเค้าต้องเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้น่ะ พะแพงกับพลับพลึงก็เป็นไข้ร้องไห้งอแงจนพ่อกับแม่ไม่ได้หลับได้นอน ตื่นเช้ามาพ่อเลยขี่รถไปหาตาสี เขาก็ทักตั้งแต่ไม่ทันลงรถว่าผีหลังหมู่บ้านทักลูกหลาน พ่อนี่ขนลุกขนพอง ยังไม่ทันเล่าเรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นแกก็รู้แล้ว แกบอกว่าให้เอาไก่ต้มกับเหล้าไปไหว้ แล้วก็สู่ขวัญ”
“เมื่อคืนพราวป่วยเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ ไม่เชื่อถามกำนันภาคดู” แม่ฉันย้ำ พอได้ยินดังนั้นฉันก็หันไปมองคุณภาค ก่อนหน้านี้เขาพูดว่าฉันตัวร้อนนอนละเมอ แต่ฉันคิดว่าเขาแกล้งจึงต่อปากต่อคำอยู่นาน สุดท้ายเป็นเรื่องจริงหรอกเหรอ
“ไข้นิดหน่อย น่าจะนั่งเล่นน้ำนานมั้งครับ”
“กำนันอย่าไปตามใจพราวมากนัก เมื่อคืนก็นั่งเผาดินให้ ตกดึกก็ไม่ได้หลับได้นอนเฝ้าไข้เด็ก เฝ้าไข้ผู้ใหญ่อีก ตามใจมากจะเสียคน ไม่ยอมโตสักที”
ฉันถอนหายใจเบื่อพ่อแม่เข้าข้างลูกเขยกว่าลูกสาวในไส้จึงเอื้อมมือหวังจะอุ้มพะแพง แต่ก็โดนพ่อกับแม่ถอยห่าง ทั้งสองคนอ้างว่าฉันไม่สบาย เดี๋ยวจะเอาไข้ผู้ใหญ่มาติดเด็ก พะแพงกับพลับพลึงจึงอยู่ในความดูแลของพ่อแม่ ส่วนฉันก็ดูแลตัวเองไปตามระเบียบ
วันนี้ที่บ้านวุ่นวายเป็นพิเศษเนื่องจากว่าคนในหมู่บ้านและญาติมาช่วยกันเตรียมพานสู่ขวัญ และเตรียมอาหารสำหรับเลี้ยงแขกในหมู่บ้านที่มาช่วยงาน คุณภาครอลูกน้องจากเชียงรายนำไก่มาถึงจังหวัดน่านจากนั้นเขากับพ่อจะเข้าสวนนำไก่ไข่ไปเลี้ยงไว้ในเล้าที่ร่วมกันสร้าง
คุณภาคให้ฉันกินยาและนอนพักที่ห้อง ฉันฝืนตัวเองพยายามจะพิมพ์นิยายในช่วงเวลาที่ป่วยแต่ก็พิมพ์ได้ไม่กี่ประโยคก็ต้องปิดคอมพิวเตอร์เนื่องจากว่าปวดหัว จึงต้องวางมือลงแล้วนอนพักตามคำปีศาจบอก ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไร ตื่นมาอีกครั้งไข้ก็ลดลงแล้ว
หลังจากไข้ลดลงฉันก็อาบน้ำแต่งตัวออกไปนั่งเก้าอี้ไม้สักนอกบ้านตรงทางระเบียงกว้างที่มีบันไดเก้าขั้นเพื่อนั่งมองดูคนบ้านใกล้เรือนเคียงและญาติมิตรตั้งแต่รุ่นตายายทำพานสู่ขวัญและคุยกันเสียงดังราวกับทะเลาะกัน ฉันตื่นนอนมาก็ไม่รู้ว่าคุณภาคไปไหน ก่อนหน้านี้ก็นั่งเฝ้าฉันอยู่ในห้องนอน ตอนนี้น่าจะไปสวนกับพ่อเพื่อเอาไก่ไปเลี้ยงในเล้าที่เพิ่งสร้างเสร็จ ด้านพะแพงกับพลับพลึงนอนหลับในมุ้งครอบขนาดใหญ่สีฟ้าตรงโถงหน้าทีวีโดยไม่มีผู้ใหญ่เฝ้า เห็นแล้วก็ทำให้นึกถึงบรรยากาศตอนเด็กเสียจริง ฉันนั่งเก้าอี้หน้าบ้านสามารถมองเห็นฝาแฝดทั้งสองคน หากมีเด็กคนไหนตื่นจะได้เดินไปหาได้สะดวก
“นั่งซึมอะไรคนเดียว” เสียงทุ้มนุ่มหูทักทายฉันก่อนเดินขึ้นบันไดมานั่งเก้าอี้ข้าง ๆ
“พี่ปั้นก็มากับเขาด้วยเหรอคะเนี่ย”
“ใช่! ยายพี่อยากมาน่ะ พี่ก็เลยมาส่ง” ฉันผงกหัวรับ “ได้ข่าวว่าผีทักเหรอ พ่อแม่ก็เลยสู่ขวัญให้น่ะ”
“ใช่ค่ะ เอาจริงพราวไม่เชื่อหรอก แต่พ่อแม่เค้าเชื่อ พราวก็ขี้เกียจจะเถียง เดี๋ยวก็ทะเลาะกันไปเปล่า ๆ เอาที่เขาสบายใจเถอะ”
“อืม...พี่เข้าใจ ความเชื่อก็แบบนี้ จะไม่ว่ากล่าวหากันก็ไม่ได้ บางเรื่องทำแล้วสบายใจก็ทำไปเถอะ ว่าแต่ไม่สบายจริงเหรอ เมื่อวานก็ยังเห็นปกติดีนี่ วันนี้ก็ด้วย แต่เหมือนเสียงจะแหบลงนิดหน่อย”
“ใช่ค่ะ เป็นไข้ นอนละเมอตอนกลางคืน นี่พราวก็กินยาไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วก็กินซ้ำตอนเช้าแล้วค่ะ พอนอนพักอาการก็เลยดีขึ้น แต่พราวคิดว่าเพราะพราวเล่นน้ำในนาตอนช่วงเย็นที่อากาศเริ่มเย็นลง น้ำในนาก็ค่อนข้างเย็นด้วยแหละ ไม่น่าจะเกี่ยวว่าผีทักอะไรหรอก”
“เล่นน้ำในนาเลยเหรอ” พี่ปั้นหัวเราะ
“ใช่ค่ะ พราวจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เหมือนพราวจะปั่นจักรยานให้ยัยปลายซ้อน จากนั้นก็ปั่นตกนาจนเจ้าของนามาด่า เพราะว่านากำลังเขียว รวงข้าวกำลังออกช่อ พวกเรารีบปีนขึ้นถนนแล้วปั่นจักรยานกลับบ้าน ตอนนั้นพราวกลัวยายด่าแทบแย่แน่ะ”
“แล้วก็ไม่มาเล่นกับยัยปลายฟ้าพักใหญ่ด้วย”
“จำได้ด้วยเหรอคะ” ฉันหัวเราะจนตาหยีเมื่อพูดถึงเรื่องในวัยเด็กกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ แม้วันนี้พี่ปั้นจะมีเค้าโครงความหล่อเหมือนวัยเด็ก แต่ก็ไม่ใช่รูปแบบความหล่อที่ฉันชื่นชอบในปัจจุบัน “ตอนนั้นพราวกลัวยายพี่ปั้นจะด่าพราวน่ะสิ พราวก็เลยไม่กล้าไป แม่บ้านของพี่ปั้นมาส่งถังแก๊สให้บ้านพราว เขาบอกยายของพราวว่าพราวปั่นจักรยานตกนา ทำยัยปลายคางแตก ช้ำเป็นสีม่วง ยายจันทร์ก็เลยไม่พอใจให้มาบอกว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งไปเล่นด้วยกัน รอยัยปลายหายดีค่อยมาเล่นด้วยกันใหม่”
บ้านพี่ปั้นเป็นร้านขายของชำในหมู่บ้าน จึงมีคนงานขนส่งน้ำดื่ม ถังแก๊ส และมีบริการเติมน้ำมันแบบหมุนมือที่หน้าบ้านด้วย
“จริงเหรอ?” พี่ปั้นทำหน้าตาตกใจคล้ายไม่อยากเชื่อ “ยายพี่ไม่เบาเลยจริง ๆ”
จากนั้นฉันกับพี่ปั้นก็พูดคุยกันเพื่อถามสารทุกข์สุขดิบ คล้ายอัปเดตชีวิตที่ผ่านมาให้กันและกันฟัง พี่ปั้นเปิดบริษัทออกแบบบ้านและภายใน เขาร่วมหุ้นงานออกแบบร่วมกับเพื่อนที่จบวิศวะแต่ผันตัวมารับเหมาก่อสร้าง ปัจจุบันพี่ปั้นยังโสดและไม่สนใจเรื่องความรัก เขามุ่งมั่นตั้งใจทำบริษัทและงานออกแบบจึงไม่มีเวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องรักสักเท่าไร
พูดมาถึงตรงนี้ฉันก็ผงกหัวรับฟังอย่างเข้าใจ ช่วงชีวิตของคนเราก็เป็นแบบนี้ วัยเด็กมุ่งเล่นมุ่งเรียน วัยรุ่นมุ่งรักมุ่งอนาคต พออายุเข้าเลขสองก้าวเป็นผู้ใหญ่แม้ใจจะยังรักแต่จะเริ่มออกห่างจากความรักทีละนิด ความสนใจส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่เรื่องเงินและหน้าที่การงาน ระหว่างทางการใช้ชีวิตก็จะมีเรื่องราวเข้ามาให้พบพานแก้ปัญหา และเริ่มปลงกับชีวิตทุกวี่วัน จนกระทั่งแก่ตัวลงเข้าวัยชราที่ชีวิตผ่านเรื่องราวนับร้อยพันหมื่นแสน ใคร ๆ ก็บอกว่าชีวิตคือการปล่อยวาง วางเรื่องทุกข์ลงแล้วใช้ชีวิตให้มีความสุขบนพื้นฐานที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
ฉันเองก็เป็นเช่นนั้น หลังโดนเวฟหักอกเรื่องรักก็เบาตัวลง ไม่ค่อยเข้าถึงและไม่ไว้ใจคำว่ารักจากปากของใครสักเท่าไรนัก ฉันมุ่งความสนใจไปที่เรื่องงาน ตั้งใจว่าจะทำงานเก็บเงินเพื่อชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หากวันข้างหน้าคุณภาคขอหย่าแล้วฉันกลายเป็นแม่หม้ายฉันก็ควรมีเงินเก็บก้อนโตไว้สำหรับกินเที่ยวเล่นบ้าง
พูดคุยกับพี่ปั้นสักพักเสียงพะแพงก็ร้องไห้งอแงเมื่อตื่นมาไม่พบเจอคน ส่วนพลับพลึงตื่นแล้วก็นั่งเงียบมองดูพะแพงด้วยหน้าตามึนงง เมื่อฉันได้ยินเสียงลูกร้องไห้ก็อดใจไม่ได้ที่จะทิ้งการสนทนากับพี่ปั้นลุกเดินไปหาพะแพงกับพลับพลึง พับมุ้งเก็บแล้วอุ้มเด็กทั้งสองคนขึ้นพร้อมกัน
ฉันนี่ก็แกร่ง แข็งแรงใช่เล่น
พี่ปั้นเห็นฉันอุ้มเด็กอ้วนผอมจอมซนพร้อมกันก็เข้ามาช่วยอุ้ม โดยคนที่เอื้อมมือให้พี่ปั้นอุ้มคือพะแพงไม่ใช่พลับพลึง
เด็กคนนี้นี่! เห็นผู้ชายหล่อไม่ได้เลย โผให้พี่ปั้นอุ้มเพียงแค่เขาทำมือขออุ้มเท่านั้น ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนแต่กลับไว้ใจให้อุ้มแล้วเหรอ สงสัยหัวกระไดบ้านจะไม่แห้งเสียแล้ว พลับพลึงเอนคอเอียงซบบ่าฉันมือเล็กกอดคอฉันอย่างหลวม ๆ คล้ายคนไม่มีแรงแต่ก็อยากกอดให้สบายใจ
ฉันกับพี่ปั้นพาพะแพงกับพลับพลึงไปล้างหน้า ก่อนพาเด็ก ๆ ดื่มน้ำเพื่อให้สดชื่นหลังตื่นนอน อาการป่วยของพะแพงกับพลับพลึงดีขึ้น ตัวไม่ร้อนจี๋เหมือนตอนเช้า มีเพียงไอและน้ำมูกเล็กน้อยเท่านั้น พวกเราพากันไปนั่งที่แคร่ใต้ต้นลิ้นจี่ ญาติที่รู้จักกันนำตะกร้าส้มมาวางให้ พะแพงเห็นส้มของโปรดก็รีบเอื้อมมือหนาป้อมไปคว้าผลส้มมากอดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนจะยื่นให้ฉัน
“แมะจ๋า แกะ แกะ”
“จะกินส้มเหรอคะ”
เมื่อลูกสาวขอมีหรือแม่เลี้ยงจำเป็นอย่างฉันจะไม่ทำตาม รับผลส้มออกจากมือเด็กสาวตัวอวบมาแกะเปลือกและป้อนพะแพงอย่างคล่องมือ ป้อนพะแพงเสร็จก็ป้อนส้มให้พลับพลึงด้วย แม้พลับพลึงจะไม่ร้องขอแต่ส่งสายตามองจนเอียงคอหมุนตามไม้ตามมือ เห็นแล้วก็น่าเอ็นดูจนต้องหยิกแก้มหยอกล้อเบา ๆ บนแคร่ยังมีขนมจากกล่องปิ๊บผสมกันในจานกระเบื้อง
“พราวโชคดีจัง ได้ลูกสาวฝาแฝด คลอดทีสองคนเลย ปิดอู่เลยหรือเปล่า”
พอพี่ปั้นทักแบบนี้ฉันก็ไม่รู้จะพูดหรือแก้ตัวอย่างไร ทำได้เพียงแต่บอกว่า “พราวไม่ได้คลอดเองค่ะ พราวเลี้ยงดูหลานของสามีเหมือนลูกตัวเองมากกว่า พอดีว่าพ่อแม่เค้าไม่สะดวก”
“อ่าวเหรอ พี่ก็เข้าใจว่าเด็ก ๆ เป็นลูกพราวซะอีก” ได้ยินดังนั้นก็ทำได้เพียงแต่หัวเราะแห้ง ๆ โอบกอดพะแพงกับพลับพลึงไว้ข้างตัว
“แต่พราวก็รักเด็ก ๆ นะคะ ไม่ได้รังเกียจ พะแพงกับพลับพลึงน่ารักซะขนาดนี้เกลียดและตีไม่ลง” พะแพงหยิบส้มที่ฉันวางบนจานยื่นให้ฉันทาน เห็นแล้วก็ต้องอ้าปากกว้างรับน้ำใจจากลูกสาว
“พี่จำได้ ตอนเด็ก ๆ พราวก็มาเลี้ยงหลานที่บ้านพี่ แล้วพวกเราก็ชอบเล่นพ่อแม่ลูกด้วย ยัยปลายฟ้าขอเป็นลูกทุกที พอไม่ให้ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ”
“ใช่ค่ะ จริงด้วย พูดถึงยัยปลายก็คิดถึงมันเหมือนกันนะ ไม่เจอปลายเกือบห้าปีแน่ะ เจอครั้งล่าสุดเหมือนจะตอนงานผ้าป่าที่วัด พาหนุ่มปักษ์ใต้มาเที่ยวเมืองเหนือ”
“พราวไม่ได้ติดต่อปลายเลยเหรอ”
“ไม่ได้ติดต่อเลยค่ะ พราวไม่ค่อยได้ติดต่อใครเท่าไร วัน ๆ ก็อยู่แต่กับตัวเอง”
“งั้นพี่ขอ line Facebook พราวหน่อยสิ ถ้ายัยปลายฟ้ากลับบ้าน ว่าง ๆ นัดกินข้าวด้วยกัน คุยกับพราวแล้วสนุกดี”
“ได้สิคะ” ฉันรับโทรศัพท์มือถือจากพี่ปั้นมาแจกเฟซบุ๊กแลกไลน์ แอบรักพี่ปั้นมาตั้งแต่วัยอนุบาลจนโตขึ้นก็เริ่มแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเอง ประถมเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่พอช่วงมัธยมก็สอบเข้าคนละโรงเรียน วันเวลาแยกความสัมพันธ์ แม้แต่ยัยปลายที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันก็แทบไม่เจอหน้า นับประสาอะไรกับพี่ปั้นที่เป็นพี่ชายของปลาย ฉันแทบจะไม่ค่อยพบเจอ จำได้เพียงว่าเคยแอบรักแอบชอบ คิดถึงเรื่องราวในวัยเด็กก็ยังคงทุ้มอยู่ในใจไม่สามารถกลับไปพัฒนาความสัมพันธ์ได้ แต่ก็ยังคงมิตรภาพที่ดีต่อกันเสมอ
“ว่าแต่...เห็นบอกว่าไม่สบาย ตอนนี้หายดีแล้วหรือยัง ไข้ยังขึ้นอยู่ไหม”
“น่าจะดีขึ้นแล้วนะ” ฉันย้ายมือตัวเองขึ้นมาสัมผัสหน้าผากตัวเอง พลับพลึงเห็นก็มองตามมือ มือเล็กข้างหนึ่งถือส้มเข้าปาก ส่วนอีกข้างถูแขนฉันคล้ายว่าอยากปลอบใจ อืม...มโนเองแหละ ด้านพะแพงนั่งตักพี่ปั้นด้วยท่าทางสบายเหมือนรู้จักกันมานาน มือจับส้มเต็มสองมือจนน้ำส้มเลอะเสื้อผ้า
“โทษนะ ขอจับหน่อย” ยังไม่ทันได้ตั้งตัวพี่ปั้นก็ย้ายมือมาจับหน้าผากฉัน แม้จะตกใจนิดหน่อยแต่ก็ยอมให้พี่ปั้นจับหน้าผากสายตามองพี่ปั้นอย่างรอคำตอบ
“ก็ไม่ได้ร้อนมาก ตัวอุ่น ๆ ทั่วไป”
“มือพี่ปั้นโคตรนุ่ม” ฉันไม่ได้แค่พูดแต่มือไวจับมือพี่ปั้นเล่น “นุ่มกว่ามือพราวอีก พี่ปั้นเป็น...”
กำลังส่งสายตาหวานเยิ้มแซวพี่ปั้นว่าเป็นชายรักชายตามที่ข่าวลือสมัยมัธยมหรือเปล่า จำได้ว่าเพื่อนสนิทของพี่ปั้นเป็นกระเทย จนแม่พี่ปั้นเครียดโทรมาปรึกษาแม่ฉัน ซึ่งแม่ฉันก็ไม่ทราบจึงมาถามฉันต่อ ฉันที่ไม่ได้ติดต่อพี่ปั้นมานานก็ได้แต่รับฟังและสืบเรื่องราวมาจากเพื่อนที่เรียนโรงเรียนเดียวกับพี่ปั้น เรื่องเลยยาวยืดสืบต่อกันเป็นทอด ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งพี่ปั้นมาจีบเพื่อนในกลุ่มของฉันที่ไปเข้าค่ายเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างโณงเรียน วันนั้นฉันจึงเริ่มเข้าใจความรักมากขึ้นว่า ‘หากเขาจะรักอยู่เฉย ๆ เขาก็รัก ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กหรอก และต่อให้พี่ปั้นจะเป็นชายรักหญิงหรือชายรักชาย นั่นก็เรียกว่าความรักเช่นกัน’
“ทะลึ่งละเรา” พี่ปั้นผลักหัวฉันเหมือนตอนเด็ก ๆ
“ภรรยาผม ผมดูแลได้ ไม่ต้องยืมมือใครมาแตะหัวหรอก”
คุณภาคกำนันปีศาจเดินมาตอนไหนไม่มีใครทราบ แต่มาถึงก็มีไออสูรลอยคละฟุ้งจนฉันกับพี่ปั้นหุบยิ้มแทบไม่ทัน บรรยากาศกำลังดีก็มาทำลายซะงั้น คุณภาคนั่งขั้นกลางระหว่างฉันกับพี่ปั้นโดยอุ้มพะแพงจากตักพี่ปั้นมานั่งที่ตักของตัวเอง จากนั้นก็ทำหน้าทะเล้นกอดรัดฟัดเหวี่ยงพะแพงจนยัยเด็กตัวอวบอ้วนหัวเราะเสียงดังคิกคัก
“ไม่เห็นดูแลเลย หายหน้าหายตาไปทั้งวัน สนใจแต่เล้าไก่ คนที่บ้านจะป่วยแขกจะมาเต็มบ้านก็ไม่สนใจหรอก”
คุณภาคหันหน้ามามองฉันด้วยสายตาดุ ฉันพูดผิดเหรอ แค่นี้ก็ไม่พอใจ
“คนเขาทำงาน ใครจะว่างมานั่งเล่นคุยเล่นกินขนมเหมือนใครบางคนล่ะ”
“ว่าให้พะแพงกับพลับพลึงเหรอคะ วัน ๆ เอาแต่นอนกับกิน ไม่ช่วยงานผู้ใหญ่เลย”
“คนเราก็แบบนี้แหละเนอะ โทษได้แม้กระทั่งเด็ก”
“ก็เหมือนใครบางคนแถวนี้นั่นแหละค่ะ ที่อายุเยอะกว่าคนอื่น ๆ แต่ก็แขวะคนอื่นที่อายุน้อยกว่าเก่งมาก”
“ใจเย็น ๆ นะทั้งสองคน อย่าเพิ่งทะเลาะกัน” พี่ปั้นพูดแทรก คงเห็นเราสองคนเป็นไม้เบื่อไม้เมาเถียงกันไม่หยุดปาก “ผมชื่อปั้นเป็นพี่ชายของเพื่อนพราวครับ”
“ไม่ต้องแนะนำตัวหรอกค่ะพี่ปั้น พราวแนะนำพี่ปั้นให้ลุงแกรู้จักแล้ว” ฉันยิ้มเยาะ
“แล้วปีก่อนใครมาแต่งงานกับลุงกันนะ”
“แล้วใครมาขอแต่งงานกันล่ะ”
“ปะ ปะ ป่า” พะแพงบิดตัวอ้วนปีนป่ายคุณภาค แก้มอวบอ้วนห้อยย้อยขยับเมื่อพูดคำว่าปะป๊า ก่อนที่คุณภาคจะเถียงฉันกลับก็โดนสาวน้อยใช้มือตีแก้มเสียงดัง แปะ ๆ
“พะแพงยังบอกห้ามเถียงเลย เก่งมากจ้าลูกรัก” ฉันใช้นิ้วชี้แตะแก้มพะแพงเบา ๆ
“แล้วเจอกันได้ยังไงครับ” พี่ปั้นถาม
“จับฉลากได้แถวงานวัดค่ะพี่ปั้น”
“เงียบเลย” คุณภาคใช้มือล็อกคอฉัน โอ๊ยย! เจ็บนะ มีกลิ่นเต่าหรือเปล่าเนี่ย ทำไมชอบโหดร้ายทารุณฉันแบบนี้ “ชอบตั้งแต่แรกเจอเลยครับ พราวปากเสียแบบนี้ตั้งแต่แรกเจอจนปัจจุบันก็ยังไม่หายสักที คุณปั้นพอจะรู้จักรักแรกของพราวไหมครับ พราวเค้าบอกว่า”
ชอบตั้งแต่แรกเจอบ้าอะไร แรกเจอของคุณภาคคือตอนไหน ตอนที่เจอฉันตบตีเพื่อนเขาหรือตอนฉันไปเที่ยวเชียงราย แต่ในใจฉันตัดเรื่องที่เจอกันในร้านอาหารไปก่อน ดูท่าทางคุณภาคจะจำฉันไม่ได้ด้วยซ้ำถึงกล้าแต่งงานกับฉันน่ะ
“อ๊าย!!! ไม่ใช่ ไม่มี”
คุณภาคยังคงล็อกคอฉันในขณะที่พะแพงกับพลับพลึงเริ่มลุกลามใช้มือดึงผมและตีคุณภาคหวังช่วยฉัน ต่อหน้าแขกเยอะแยะมากมายอีตาปีศาจก็เล่นเป็นเด็กไม่เข้าเรื่อง
“อ๋อ พอรู้บ้างครับ” พี่ปั้นยิ้มตอบกลับทำเอาฉันตกใจหน้าเสีย หรือว่าที่ผ่านมาพี่ปั้นรู้ว่าฉันเคยแอบชอบเขา อีตาคุณภาคนี่น่าโมโหนะ อุตส่าห์ให้ดูไดอารีดันเอาเรื่องของฉันมาประจานซะได้ “ชอบพระเอก F4 บอกว่าใครหล่อไม่เท่าเต้าหมิงซื่อจะไม่ยอมแต่งงานด้วย”
“งั้นแสดงว่าผมน่าจะหล่อเหมือนพระเอก F4 พราวถึงยอมแต่งงานด้วย”
คุณภาคหลงตัวเองเป็นบ้า หน้าตาดีตายแหละ
“คุณภาคก็หน้าตาหล่อคมเข้มจริงๆ นะครับ”
ตายแล้วพี่ปั้น อย่าบอกนะว่าจะมากินสามีพราวน่ะ พราวยังไม่ได้กินเลย พี่ปั้นจะมากินก่อนพราวไม่ได้นะ
“คนนี้ของพราวค่ะ พี่ปั้นไม่ต้องมองด้วยสายตาแบบนั้นเลยนะ”
คุณภาคเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าพี่ปั้นคล้ายชื่นชอบตัวเอง เขาจึงก้มหน้ามองฉันที่หัวติดอยู่ใต้วงรักแร้ของเขา ฉันยิ้มหวานจนตาหยีเป็นคำตอบ พี่ปั้นไม่ได้พูดว่าตัวเองมีรสนิยมทางเพศแบบไหน แต่ฉันผู้มองคนอย่างแตกฉานก็สังเกตลักษณะท่าทางของพี่ปั้นออก เล่นกล้ามจนโต นั่งหนีบขาขนาดนี้ คงไม่ต้องพูดเยอะว่าชอบผู้หญิงร่างบางอกเล็กแบบฉันหรือชอบดิบเถื่อนแบบคุณภาคกันแน่
“กินยาหรือยัง กินซ้ำอีกเม็ดสิ เดี๋ยวไม่หายป่วยนะ”
เปลี่ยนเรื่องไวเชียวนะคุณปีศาจ ขณะที่คุณภาคกำลังหาน้ำและยื่นยามาให้ฉันดื่ม พี่ปั้นที่นั่งเล่นกับเด็ก ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า
“แต่รักแรกของผมคือพราวนะครับ ส่วนรักสุดท้ายยังหาไม่เจอ”
ฟังพี่ปั้นพูดแล้วก็ขนลุกขนพอง ฉันคือรักแรกของเค้าจริงเหรอ ได้ยินแบบนั้นก็อยากจะกรี๊ดให้ดังดัง แม้ตอนนี้จะไม่ได้ชอบแต่ก็เหมือนเป็นผู้ชนะสิบทิศอย่างไรอย่างนั้น รักแรกของเราคือกันและกันเหรอเนี่ย
“ก็ดีครับ ขอให้หาเจอ รักแรกของคุณอยู่กับผม ผมก็จะดูแลให้ดี”
“ไม่เห็นดีเลย บ่นพราวทุกวัน”
“ไม่รักไม่บ่นหรอก” คุณภาคกระซิบข้างหู อยากให้ยินกันสองคน แต่ดูเหมือนพี่ปั้นจะกระแอมไอหนักจนถึงขั้นอุ้มพะแพงไปหยิบแก้วน้ำพลาสติกจากถังส้มมาดื่มดับกระหาย
---------
พบคนหวงจึงทำตัวเป็นก้างหนึ่งอัตรา
ความคิดเห็น