คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : บทที่ 11 รักแรกยิ่งกว่าผีทัก [1]
“ชิ่ว!”
“เช้ย!”
ช่วงเวลาค่ำหลังจากที่ฉันและครอบครัวอาบน้ำกินข้าวเสร็จ พะแพงกับพลับพลึงนั่งเล่นของเล่นด้วยกันบนเบาะหน้าทีวีโดยมีพ่อแม่ฉันหยอกล้อเล่นด้วยไม่ห่าง เด็กน้อยฝาแฝดมีอาการจามต่อเนื่อง ฉันนั่งพิมพ์นิยายบนโต๊ะพับญี่ปุ่นเมื่อได้ยินเสียงเด็ก ๆ จามติดต่อกันหลายครั้งก็รู้สึกแปลกใจจึงลุกจากพื้นไม้สักเย็นยะเยือกเดินไปหาฝาแฝดตัวน้อย ก้มตัวโน้มลงใช้มือกุมหน้าผากและจับเนื้อตัวของฝาแฝดหน้าเหมือนด้วยความรู้สึกพะวง
หรือจะเล่นน้ำจนไม่สบาย?
“ตัวรุม ๆ เหมือนไม่สบาย” ฉันบ่นพึมพำหันไปมองหน้าแม่เพื่อขอความเห็น
“จะไม่ให้ตัวรุมได้ไง แช่น้ำโคลนนาเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้าซะขนาดนั้น”
“เล่นแป๊บเดียวเอง ไม่ได้เล่นนานสักหน่อย”
“เด็กกับผู้ใหญ่ร่างกายไม่เหมือนกัน จะเทียบกันได้ยังไง” แม่ใช้หมอนตีที่แขนฉัน “โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงละ ไปนั่งเล่นน้ำเล่นดิน แล้วดูสิ! ไปใช้กำนันภาคเขาเผาดินเหนียวให้อีก”
ฉันมองไปทางหน้าต่างบ้านก็พบเห็นคุณภาคกำลังนั่งมองกองไฟ ในมือถือกิ่งไม้ขนาดยาวเกือบสองฟุตเขี่ยดินและขี้เถ้า
ก่อนหน้านี้เขาให้ฉันพาเด็ก ๆ ไปอาบน้ำกินข้าว แต่พออาบน้ำเสร็จฉันก็ทิ้งพะแพงกับพลับพลึงให้แม่ป้อนข้าวต่อ ส่วนฉันก็นำดินที่ปั้นได้จากนามาเผาไฟให้แข็ง พรุ่งนี้จะได้นำไปทาสีวางตกแต่งในบ้าน แต่พอพะแพงไม่เห็นว่าฉันป้อนข้าวให้จึงโวยวายจะตามมาดูฉันเผาดินเหนียวที่กองไฟด้วย ด้านพลับพลึงแม้ไม่งอแงร้องไห้แต่เมื่อเห็นพะแพงอยากมาดูฉันก็ทำท่าจะเดินและคลานตาม เสียงดังของเด็ก ๆ เจี๊ยวจ๊าวรอบบ้าน คุณภาคจึงอาสาผาดินเหนียวให้ฉันแทน
“ไปกินข้าวป้อนข้าวให้เด็ก ๆ เถอะ”
“แต่ว่าพราวอยากเผาดินเหนียวด้วยตัวเองนี่นา” ฉันหันหน้าไปเอียงคอมองคุณภาคอย่างงอแงเหมือนเด็กเอาแต่ใจ
“เพิ่งอาบน้ำเสร็จจะมานั่งรมควันทำไม”
สายตาดุจ้องมองฉันคล้ายตำหนิในหน้าที่
สายตาแบบนี้กำลังจะบอกว่าว่าฉันดื้อ เพิ่งอาบน้ำกลิ่นตัวหอมแต่จะผิงไฟรมควันให้กลิ่นตัวเหม็นแล้วตอนกลางคืนจะอ้างว่าหนาวไม่ยอมอาบน้ำใช่ไหม คุณภาคกลัวนอนกับคนตัวเหม็นแบบฉันเลยพูดดักคอสินะ
“ไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวผมเผาให้เอง”
ผิดคาดมาก? ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะอาสาเผาดินให้ นึกว่าจะบ่นฉันเสียแล้ว
“คุณภาคเผาดินเหนียวเป็นด้วยเหรอ”
“เรื่องง่าย ๆ ผมเคยเรียน” เป็นคนมีการศึกษานี่เอง “ไม่ได้ไร้การศึกษา”
ประโยคหลังทำเอาฉันคิ้วกระตุก “พูดแบบนี้หมายความว่าไง”
“ผมฉลาดพอที่จะทำเป็นไง แค่นี้ก็ต้องแปลเหรอ หรือว่า...”
“ไม่ได้โง่นะ! พราวไม่ได้โง่สักหน่อย” ฉันพูดย้ำหนึ่งแล้วก็ย้ำสองอีกครั้งเพื่อให้คุณภาคเข้าใจว่า ‘ฉันไม่โง่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันฉลาด’
“ร้อนตัวเก่ง!” คุณภาคหัวเราะในลำคอแล้วยกมือสากหนาขึ้นมาจับไหล่ให้ตัวฉันหมุนตัวหันหน้าเข้าบ้าน “กลับเข้าไปกินข้าวได้แล้ว”
“แล้วคุณภาคล่ะ ยังไม่ได้อาบน้ำกินข้าวเลยนี่ ตัวก็ยังเปื้อนโคลนอยู่เลย” ฉันสะบัดตัวออกจากมือแกร่งของคุณภาคแล้วหันหน้าไปมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เดี๋ยวค่อยอาบค่อยกินก็ได้”
ช่างเป็นปะป๊าที่น่ารักให้ลูกสาวฝาแฝดเสียจริง แอบโรแมนติกและรักลูกสาวเหมือนกันนะเนี่ย จะว่าไปคุณภาคก็เหมือน ‘คุณปราบ’ พระเอกในนิยายที่ฉันแต่งเลยนะ เหมือนไม่ใส่ใจแต่ใส่ใจนะจ๊ะ
หลังจากจับตัวพะแพงกับพลับพลึงแล้วฉันก็เดินไปหยิบยาในตู้เย็นที่ได้รับจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเพื่อป้อนพะแพงกับพลับพลึง ก่อนจะชงนมอุ่นให้เด็ก ๆ ดื่มแล้วยกหน้าที่ดูแลพะแพงกับพลับพลึงให้พ่อแม่ฉันดูแลต่อ โชคดีที่พ่อแม่ฉันแม้จะขี้บ่นไปสักหน่อยแต่ก็เป็นคนที่รักเด็กมาก ถึงแม้พะแพงกับพลับพลึงจะไม่ใช่ลูกหลานของตัวเองที่แท้จริงแต่ก็เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี
พอเสร็จภารกิจการดูแลพะแพงกับพลับพลึงแล้ว ฉันก็เดินไปหน้าบ้านเพื่อดูคุณภาคที่กำลังดับไฟด้วยถุงกระสอบจากนั้นเขาก็หาแผ่นไม้มาวางบังปิดลมให้ดินรูปสัตว์ที่เพิ่งเผา
“เสร็จแล้วเหรอคะ” ฉันใส่ร้องเท้าเดินตรงไปหาคุณภาค เขาไม่ตอบเพียงแค่หันมามองแล้วก้มหน้าก้มตาจัดวางแผ่นไม้ให้เป็นระเบียบต่อ
ทำเป็นหยิ่ง!
“ทำอะไรคะ เอาไม้มาบังทำไม”
“บังลม วางทิ้งไว้แบบนี้แหละ เดี๋ยวไฟมอดลมหนาวก็มาแทนที่ ดินจะได้เย็นลงช้า ๆ”
“รอบคอบ เก่งมาก!” ฉันย่อตัวลงนั่งข้างคุณภาค แม้ตอนนี้ไฟจะดับลงแล้ว แต่กลิ่นควันยังคละฟุ้ง
ตอนนี้ตัวคุณภาคมีกลิ่นสาปเหม็นดิบเถื่อน ทั้งกลิ่นเหงื่อกลิ่นควันผสมปนกันจนฉันนั่งข้าง ๆ แทบอยากยกมือขึ้นมาปิดจมูกกลั้นหายใจ แต่ฉันคงทำแบบนั้นไม่ได้เพราะจะเป็นการทำร้ายน้ำใจคุณภาคเกินไป อีกอย่างเขาอุตส่าห์เสียสละเวลามานั่งก่อไฟเผาดินเหนียวให้ฉัน พูดจาไม่ดีแบบนั้นตอบกลับน่าจะเสียน้ำใจแย่ ก่อนหน้านี้ใครเรียกให้ไปกินข้าวก็ไม่ยอมไปกิน เห็นแล้วก็รู้สึกประทับใจ แม้ตอนเย็นจะโดนคุณภาคฟาดด้วยก้านมะยมไปสามสี่ครั้งก็เถอะ
“เราจะทิ้งไว้แบบนี้แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยมาดูใช่ไหมคะ”
“ใช่”
“งั้นคุณภาคเข้าไป...”
ฉันกำลังจะชวนคุณภาคเข้าบ้านไปอาบน้ำกินข้าว เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นทักทายมาจากประตูรั้วบ้าน
“นั่นพราวเหรอ” ฉันหันไปมองตามเสียงก่อนทิ้งความสนใจจากคุณภาคไปยังผู้ทักทายที่นั่งคร่อมจักรยาน เขาสวมชุดออกกำลังกายสำหรับนักปั่น แม้กระทั่งหมวกทรงแหลมที่ยื่นไปข้างหน้านั่นก็ด้วย ดูจากรูปร่างที่ผ่านแสงไฟกระทบจนขึ้นเงาทำให้รู้ว่าคนพูดเป็นผู้ชายหุ่นดีมากขนาดไหน
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ผู้ชายคนนั้นทักทายฉันอีกครั้ง เขาคงเห็นว่าฉันไม่ตอบจึงสร้างบทสนทนาเพิ่มเติม
“อ่าว! พี่ปั้นเหรอ” ฉันเปิดประตูรั้วเดินออกไปคุยเมื่อพบว่าเป็นพี่ปั้น พี่ชายของยัยปายเพื่อนสนิทของฉันในหมู่บ้าน “พราวกลับบ้านได้สองสามวันแล้ว ว่าแต่...พี่ปั้นล่ะ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“พี่ลาออกจากงานที่กรุงเทพฯ กลับมาอยู่บ้านได้ปีกว่าแล้วล่ะ”
“ดีจังเลยค่ะ” แสดงว่าพี่ปั้นลาออกจากงานกลับมาอยู่บ้านช่วงเวลาเดียวกับฉันเลยสินะ แต่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เจอและไม่ได้ยินข่าวว่าพี่ปั้นกลับมาอยู่บ้านเลย หรือว่าฉันมัวแต่สนใจเรื่องของตัวเองอยู่เลยไม่มีเวลาว่างยุ่งเรื่องคนอื่น “นี่พี่ปั้นปั่นจักยานออกกำลังกายตอนสองทุ่มเหรอคะ ขยันจัง”
“ปั่นตั้งแต่เย็นแล้วล่ะ นี่พี่กำลังจะปั่นกลับบ้าน ปกติปั่นจักรยานผ่านบ้านพราวอยู่แล้ว พอเห็นเหมือนพราวยืนหน้าบ้านก็เลยลองทักดู”
“อ๋อแบบนี้นี่เอง ขยันขันแข็งออกกำลังกายนานมาก พราวไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลย เดี๋ยวว่าง ๆ ต้องหาเวลาออกกำลังบ้างแล้ว”
ฉันหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เจอรักแรกสมัยเด็กอนุบาลก็รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย
“พราวเผาดินเหนียวน่ะค่ะ กำลังจะขึ้นบ้านพอดี”
“เผาดินเหนียว? เผาทำไม”
ไม่ทันจะได้ตอบพี่ปั้น ก็มีเสียงปีศาจลอยตามหลังมาติด ๆ “ดึกแล้ว ขึ้นบ้านได้ละ”
เมื่อได้ยินเสียงขัดดังมาจากข้างหลังฉันกับพี่ปั้นก็หันไปมอง คุณภาคปีศาจยืนเอียงคอกอดอกมองฉันกับพี่ปั้นคุยกันนอกรั้ว แม้ไม่เห็นสายตาว่าดุร้ายขนาดไหนแต่ก็มีรังสีอำมหิตแผ่ซ่านออกมาให้รับรู้
“รู้แล้วค่ะ ขึ้นบ้านไปก่อนสิ”
“จะรอ”
ดื้อยิ่งกว่าเด็กก็คุณภาคนี่ล่ะ
“พราวเข้าบ้านไปเถอะ หน้าหนาวอากาศเย็นเดี๋ยวไม่สบาย ไว้พรุ่งนี้พี่ว่าง ๆ จะมาหา”
“ยินดีค่ะ มาได้ทุกเมื่อเลย พราวอยู่อีกหลายวัน”
ฉันโบกมือให้พี่ปั้นที่ปั่นจักรยานมุ่งหน้ากลับไปทางบ้านของเขา ส่วนฉันก็ปิดประตูรั้วบ้านให้สนิทติดกันแต่ไม่ได้ลงกลอน
บ้านต่างจังหวัดก็แบบนี้ หากคนยังอยู่ในบ้าน รั้วบ้านก็ไม่ค่อยลงกลอนกันสักเท่าไรนัก ขโมยหรือโจรก็ไม่ต้องกลัวเพราะคนในพื้นที่ไว้ใจได้ และชุมชนของฉันก็ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวคนไม่พลุกพล่าน ดังนั้นจึงค่อนข้างมีความปลอดภัยสูง ไม่มีเรื่องลักทรัพย์เกิดขึ้น
“ใครบอกว่าอยู่หลายวัน ให้อยู่อีกแค่สองวันเท่านั้น” คุณภาคเดินมาประชิดใกล้ตัวฉัน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “พรุ่งนี้ไก่จากเชียงรายก็มาลงเล้าไก่ให้พ่อแล้ว ส่วนผมก็ต้องกลับไปทำงานต่อ ฝากงานไว้กับผู้ใหญ่บ้านหลายเรื่องเกรงใจเขาน่ะ”
“เป็นกำนันนี่งานชุกอย่างกับเป็นผู้ว่าจังหวัดหรือนายกรัฐมนตรีดูแลประเทศ งานบ้านใต้บ้านเหนือก็รับจัดสรรดูแลทุกเรื่องเลยเหรอคะ”
คุณภาคยักไหล่ขึ้นขณะที่ฉันเดินนำหน้าจะขึ้นบันได “ผมทำตามหน้าที่ วาระและความสามารถ”
“ดีจริง ๆ ถ้างานเยอะขนาดนั้นก็กลับไปก่อน พราว พะแพงกับพลับพลึงจะตามกลับไปทีหลัง”
“ไม่ได้!! มาพร้อมกันก็ต้องกลับพร้อมกัน”
“ว่าแต่...เรื่องของพลับพลึงจะเอายังไง จะให้พราวดูแลเด็กสองคนพร้อมกันเลยเหรอ แล้วคุณส้มล่ะ คุณภาคจะ...” ฉันหยุดชะงักเมื่อเพิ่งมีสติว่าตัวเองพูดเรื่องเก่าวนมาพูดใหม่อีกหน
ก่อนหน้านี้คุณภาคบอกว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก จากนั้นเขาก็ไม่ปริปากพูดกับฉันเกี่ยวกับเรื่องเด็ก ๆ และคุณส้มอีกเลย ฉันยังรู้สึกคาใจ อยากรู้เรื่องราวมากกว่านี้แต่กลับไม่ได้รับคำอธิบายเพิ่มเติม เมื่อต่อมผลิตความเสือกมันทำงานแต่ไม่ได้รับคำตอบบอกเลยว่า‘วัยรุ่นเซ็ง’
“ไว้กินข้าวอาบน้ำเสร็จเดี๋ยวคุยเรื่องนี้กัน”
“คุยเรื่องนี้เหรอคะ?”
เมื่อได้ยินว่าคุณภาคจะคุยเรื่องคุณส้มและเด็ก ๆ อย่างเปิดใจก็รู้สึกตื่นเต้น ฉันรีบหันหลังไปหาคุณภาค ใบหน้าฉันที่ก่อนหน้าห่อเหี่ยวเป็นดอกไม้แล้งน้ำตอนนี้กลายเป็นดอกไม้บานกลางทุ่งดอกทานตะวันยามกลางวันแล้ว
คุณภาคเอื้อมมือมาจับเอวฉัน เมื่อฉันทำท่าทางคล้ายจะตกลงไปทับตัวเขา “หรือจะคุยเรื่องที่คุณพาลูกไปเล่นน้ำจนไม่สบายดีล่ะ”
“รู้ได้ไงว่าเด็ก ๆ ไม่สบาย” ฉันแย้งและใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งบีบคางคุณภาคเป็นการเย้าแหย่
“ได้ยินเสียงไอจามสลับกัน แล้วก็ได้ยินแม่คุณบ่น”
“แม่นะแม่! พูดเสียงดังอีกแล้ว” ฉันปล่อยมือจากคางคุณภาคมาวางไว้ที่เอวแต่ก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อมือของฉันวางทับซ้อนมือคุณภาค
นี่คุณภาคยังไม่ปล่อยมืออกจากเอวฉันอีกเหรอ ฉวยโอกาสตอนฉันยืนบ่นสินะ แม้จะรู้ว่าคุณภาคจับเอวแต่ก็ไม่ได้ผลักมือเขาออก ยังคงยืนคุยกันอยู่ตรงบันไดเหมือนเดิม แต่พอฉันรู้ตัวว่าคุณภาคจับเอวเขาก็ย้ายมือมาจับแขนฉันก่อนดึงตัวฉันเข้าไปใกล้ตัว
“เคยได้ยินเรื่องเล่าไหม” คุณภาคกระซิบกระซาบมองซ้ายทีขวาทีจนฉันต้องมองตามก่อนจะเอียงคอตั้งใจฟัง
“คะ? เรื่องเล่าอะไร”
มาด้วยน้ำเสียงแบบนี้ใครบ้างจะไม่อยากรู้อยากเห็น
“ก็เรื่องที่ว่า...ถ้าเราเอาดินมาจากนา สวน ไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือบอกกล่าวเจ้าของตัวจริงหรือที่คนเขาเรียกกันว่า ‘ผี’ จะมาตามเอาคืนน่ะ” คุณภาคเน้นคำว่าผีชัดมาก ส่วนคำพูดในประโยคอื่น ๆ เขากลับทำน้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน
“บ้าน่า! เรื่องเล่าหลอกเด็ก นี่มันยุคไหนสมัยไหนแล้ว ไม่มีผีหรอกค่ะ”
“ไม่เชื่อเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิคะ พราวอยู่ที่หมู่บ้านมาตั้งแต่เกิด ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้เลย”
“อาจจะเป็นเรื่องเล่าในวงเหล้าน่ะ คงไม่มีอะไรหรอก” คุณภาคยกยิ้มขึ้นด้วยท่าทางอบอุ่นหวังให้ฉันสบายใจในคำพูด แต่เมื่อฉันหันหลังกำลังจะก้าวขาขึ้นบ้านคุณภาคก็พูดเสริมเติมแต่งอีกว่า “ว่ากันว่าจะมาตามผ่านเด็ก ทำให้เด็กเป็นไข้จับสั่น กินยา ไปหาหมอก็ไม่หายนะ แล้วดูสิ! พะแพงกับพลับพลึงไอจามไม่หยุดเลย คุณก็พาเด็ก ๆ ไปหลังหมู่บ้าน ขี่จักรยานผ่านสวน ผ่านนา เจ้าที่เจ้าทางเห็นเด็กอาจจะทักก็ได้”
“ไม่จริงหรอก ไร้สาระ!”
นึกว่าฉันจะกลัวเหรอยะ!!
“ผมก็แค่เล่าให้ฟัง...ก็แค่ได้ยินมาว่าผีต่างจังหวัดดุ”
คุณภาคกระซิบคำว่า ‘ได้ยินมาว่าผีต่างจังหวัดดุ’ ที่ข้างหูฉันจนลมหายใจไออุ่นเป่ารดรูหู ทำเอาสยิวขนลุกขนพอง พูดจบเขาก็ปล่อยให้ฉันยืนพะว้าพะวังห่วงหน้าพะวงหลังอยู่บันไดตามลำพัง ส่วนร่างสูงใหญ่ก็เดินนำลิ่วเข้าห้องนอนเพื่อหยิบเสื้อผ้านำไปอาบน้ำที่ห้องน้ำชั้นล่าง
บ้านฉันเป็นบ้านหนึ่งชั้นครึ่ง ซึ่งต้องเดินผ่านบันไดปูนขนาดความสูงเก้าขั้น ก่อนจะพบโต๊ะรับแขกหน้าบ้านและประตูบ้าน หากเดินผ่านประตูบ้านขนาดสองบานจะเป็นห้องโถงหน้าทีวี และพบห้องนอนสามห้องโดยแบ่งเป็นสองฝั่งคือฝั่งขวาสองห้อง ฝั่งซ้ายหนึ่งห้อง ซึ่งหากจะเข้าห้องน้ำรวมของบ้านต้องเดินผ่านห้องโถงหน้าทีวีและห้องนอนลงบันไดเล็กเพื่อไปพบห้องโถงขนาดกว้างสำหรับนั่งเล่น ออกกำลังกาย ในห้องโถงชั้นล่างยังเชื่อมห้องเสื้อผ้า ห้องเก็บของ ห้องครัว และห้องน้ำที่คุณภาคเดินไปเข้าอีกด้วย
ฉันไม่ได้สนใจคุณภาคอีกเนื่องจากพะแพงกับพลับพลึงกำลังนอนกินนมฉันจึงเดินเข้าไปนั่งรวมที่หน้าทีวี หยิบจานบนโต๊ะมานั่งแกะถั่วต้มกับมันเผาจิ้มน้ำตาลกินเล่น พอพะแพงกับพลับพลึงเห็นฉันนั่งแกะถั่วก็รีบลุกจากเบาะเดินตุปัดตุเป๋คนหนึ่งยืนเกาะไหล่คนหนึ่งนั่งลงข้าง ๆ แบมือขอกินแต่ปากก็คาบขวดนม
“จะกินด้วยเหรอคะ?”
“ยิน ยิน” พะแพงตอบ
พลับพลึงตาม “จิน จิน”
“ได้ค่ะ แต่ว่าต้องกินนมให้หมดก่อนนะคะ เดี๋ยวแม่แกะให้กินนะ” ฉันหันไปบอกพะแพงกับพลับพลึงก่อนเด็กทั้งสองจะเงยหน้าขึ้นรีบดูดนมจากขวดอย่างพร้อมเพรียง พะแพงทิ้งตัวหงายหลังลงฉันรับแทบไม่ทัน ส่วนพะแพงนั่งติดฉันแทบไม่ห่าง ยัยเด็กตัวน้อยใช้แผ่นหลังฉันเป็นที่พิงตัวเพื่อเงยหน้าดื่มนมในขวด
อะไรมันจะอยากกินขนาดนั้นคะลูก ถึงขั้นแข่งกันกินนมเลยเหรอ
พอนมหมดก็รีบชูขึ้นกลางอากาศส่งให้ฉันดู น่าทึ่งมากที่พลับพลึงตัวเล็กจะกินหมดก่อนพะแพง แถมยังอ้าปากรอกินถั่วต้มเหมือนลูกนก พอถั่วต้มเข้าปากก็ยิ้มดีใจ เดินไปเรียกพะแพงที่อยู่อีกฝั่งที่นั่งให้มากินด้วย พะแพงเห็นดังนั้นก็รีบส่งขวดนมให้ฉันดูว่ากินหมดแล้วเช่นกัน ก่อนจะอ้าปากรับถั่วต้มที่ฉันป้อนเข้าปาก จากนั้นก็หันไปหาพลับพลึงแล้วชี้ที่ปากของตัวเองคล้ายบอกว่าได้กินแล้วนะ ใบหน้าสดใสของฝาแฝดหญิงยิ้มให้กันก่อนจะหัวเราะเสียงดังเอิ้กอ้าก เรียกร้องความสนใจจากผู้ใหญ่ให้ละความสนใจจากหน้าจอทีวีหันไปดูตนเอง
“ได้กินเหมือนกันแล้วก็ดีใจใหญ่เลยนะ” ฉันคว้าตัวพะแพงมาหอมแก้ม เด็กอะไรตัวป้อมเตี้ย ตัวใกล้จะแตกแล้วลูก และไม่ลืมที่จะโอบกอดให้ความรักกับพลับพลึงหอมแก้มเด็กสาวตัวน้อยด้วยเช่นกัน
ยิ่งดึกอากาศก็เริ่มหนาว ก่อนหน้านี้ฉันดูเหมือนร่างกายแข็งแรงตอนนี้กลับเริ่มไอจามไม่หยุด พ่อแม่ฉันจึงอุ้มพะแพงกับพลับพลึงที่นอนหลับแล้วไปนอนด้วยที่ห้อง เนื่องจากกลัวว่าฉันจะเป็นไข้หวัดแล้วติดหลานเพิ่ม จึงทำให้คืนนี้ฉันต้องนอนกับคุณภาคสองต่อสองอีกตามเคย
หรือฉันต้องกลับเชียงรายแล้วจริง ๆ จะได้นอนแยกห้องกับคุณภาคสักที นอนด้วยกันทีไรตัวกลิ้งไปนอนติดกันทุกเช้า แบบนี้ก็ไม่ไหวนะ
หลังจากฉันกินยาพาราเซตามอลดักไข้ไว้ล่วงหน้าก็เดินเข้าห้องนอนของตัวเอง คุณภาคกำลังไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิก่อนนอน ฉันจึงย่องเงียบไปนั่งบนเตียงและขยับตัวเอนหลังพิงหัวเตียงด้วยท่าทางเนิบนาบ พยายามเงียบเสียงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้รบกวนสามีผู้ใฝ่ธรรมะ
มีมุมแบบนี้กับเขาด้วยเหรอเนี่ย?
ฉันคว้าโทรศัพท์ที่ถือติดมาด้วยถ่ายรูปคุณภาคและอัปโหลดขึ้นโซเชียลทันทีโดยไม่ขออนุญาตก่อน
‘ปีศาจนั่งสมาธิส่งกระแสจิตเรียกกองกำลังเสริม’
ฉันนั่งเล่นโทรศัพท์สักพัก พอเห็นคุณภาคขยับตัวดิ้นฉันก็เริ่มพูดเปิดประเด็น “เรื่องคุณส้ม ตกลงว่ายังไงคะ”
พูดให้ตรงประเด็นไปเลย ก่อนหน้านี้คุณภาคพูดเองว่าจะพูดเรื่องคุณส้มกับเด็ก ๆ นี่นา
“ไวเชียวนะ” แม้จะโดนคุณภาคแซวแต่ฉันก็ไม่โกรธเพราะเรื่องขี้เผือกฉันถนัดนัก “ผมกับส้มเลิกกันแล้ว”
“เรื่องนั้นรู้แล้ว เราสองคนก็แต่งงานกันแล้วพราวไม่ปล่อยคุณไปง่าย ๆ หรอก” พูดจนจบประโยคเพิ่งมีสติว่าสิ่งที่พูดไปนั้นเกินขอบเขตข้อตกลงของเราสองคน
โอ๊ย! สติค่ะอีแม่ วันนี้สติหาย
“พราวหมายถึง ไม่ปล่อยให้เราจบกันแบบไม่เคลียร์เงิน ยังไงก็ต้องคุยเรื่องนี้ด้วย”
แก้ตัวเก่ง!
“เลิกกันแล้วก็แปลว่าเลิกกันแล้ว ไม่มีวันกลับไปคบกันอีก” คุณภาคหันมามองฉันขณะซุกตัวเข้าผ้าห่ม วันนี้เขาแต่งตัวกันหนาวดูวัยรุ่นเท่ไม่เบา กางเกงขายาวจั๊มปลายสีดำสุดเท่ กับเสื้อกันหนาวสีดำมีฮู้ด ทั้งกางเกงและเสื้อเป็นของยี่ห้อ NYC ช่างเป็นปีศาจราคาแพงเหลือเกิน วัน ๆ อยู่แต่หมู่บ้าน ไร่ สวน เอาเวลาไหนไปซื้อเสื้อผ้ายี่ห้อราคาแพงแบบนี้กันนะ ฉันเหลือบตาก้มมองดูตัวเอง เสื้อกันหนาวลายการ์ตูนสีชมพูที่ใส่ตั้งแต่มัธยมปลายกับกางเกงสีเขียวอ่อนที่ยายซื้อให้จากตลาดนัดตอนฉันเข้าเรียนมัธยมต้น เวลาผ่านมาหลายปีก็ยังสวมใส่ได้ไม่เสียทรง เนื่องจากหน้าหนาวในเมืองไทยมีปีละครั้ง ครั้งละสองสามเดือนเท่านั้น เสื้อผ้าที่ซื้อตั้งแต่วัยรุ่นจึงยังสวมใส่ได้สบายเหมือนเดิม
ในขณะที่กำลังพูดเรื่องซีเรียสกันอยู่ ฉันกลับคิดราคาเสื้อผ้าได้อย่างไรกันเนี่ย จะบ้าตาย!
“งั้นก็เรื่องของคุณภาคสิ จะรักจะคบกับคุณส้มก็บอกด้วยแล้วกัน จะได้เตรียมตัวทัน”
จ๊ะ! ปากเก่ง พอเขาหย่าคงร้องไห้ขี้มูกโป่งทำใจอีกสามร้อยหกสิบห้าวันแน่
“ผมมีความจริงจะบอกคุณ” ฉันเงียบรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่งคุณภาคพูดว่า “ความจริงแล้ว”
“อย่าบอกนะว่าความจริงแล้วคุณภาคเป็นเกย์ เลยทิ้งคุณส้มแล้วเลือกแต่งงานกับฉันบังหน้าน่ะ เมื่อวานฉันเพิ่งอ่านเจอกระทู้นี้มา สามีมีโลกสองใบคบชู้เป็นผู้ชาย ภรรยาจับได้แต่เวลานั้นก็ท้องลูกคนที่สองแล้ว”
คุณภาคถอนหายใจคล้ายว่าเหนื่อยที่จะคุยกับฉัน “หยุดอ่านกระทู้แบบนี้แล้วก็เลิกมโนคิดว่าคนรอบตัวจะเป็นตามได้หรือเปล่า หรือไม่ก็คิดว่าชีวิตของเราสองคนจะเป็นไปตามนิยายที่คุณเขียนน่ะ”
“คุณภาครู้ได้ไงว่าพราวคิด” ฉันมองหน้าคุณภาคอย่างจ้องจับผิด หรือเขาอ่านนิยายฉัน แต่คนแบบคุณภาคเนี่ยนะจะอ่านนิยายออนไลน์รักโรแมนซ์ ไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่เข้ากับบุคลิกเขาเลย ถ้าบอกว่าดูหนังโป๊หรือไม่ก็อ่านการ์ตูน 18+ ยังน่าเชื่อกว่าอีก
“ผมก็แค่เดา” คุณภาคยกมือสองข้างขึ้นมาบ่งบอกถึงว่าเขาไม่รู้เรื่องที่ฉันชอบหยิบเรื่องของคุณภาคไปแต่งนิยาย ฉันเองก็ร้อนตัวแรงเพราะนำเรื่องของคุณภาคไปแต่งนิยายจริง ก่อนที่ฉันกับคุณภาคจะปะทุดุเดือดไปมากกว่านี้ คุณภาคก็ใจเย็นตีเรื่องให้กลับมาเรื่องเดิม
“ผมขอเล่าก่อน หากคุณจะถามจะขัด ค่อยพูดค่อยถามตอนผมเล่าจบ”
“ได้ค่ะ” ฉันผงกหัวรับรู้ ดูท่าทางฉันจะเป็นคนพูดมากเกินเหตุจนคุณปีศาจรำคาญแล้วแน่ ๆ
“ความจริงผมจะบอกคุณตั้งแต่วันที่พลับพลึงมาเชียงราย แต่ก็ยังไม่มีจังหวะได้บอก”
บอกอะไรรีบพูดมาสิ! ลีลาอยู่นั่น ตื่นเต้นนะ
“พะแพงกับพลับพลึงไม่ใช่ลูกของผมกับส้ม”
“คะ?” ปากฉันอ้าค้างไม่ต่างอะไรกับตาที่แทบจะถลนออกมาจากเบ้าเพราะตกใจคำบอกเล่าที่ได้รับ
“เด็กทั้งสองคนเป็นลูกของส้มกับเภา น้องชายของผมน่ะ”
“คุณส้มนอกใจคุณเหรอ” สมองฉันปะติดปะต่อเรื่องราวได้อย่างรวดเร็วฉับไวโดยไม่ต้องให้คุณภาคขยายความเพิ่ม “แต่ว่าวันนั้นคุณส้มบอกกับยายเล็ก ป้าเอื้อย น้าเอื้องว่าพะแพงคือลูกของเธอกับคุณภาคนะคะ พราวได้ยินเต็มสองหู”
“เรื่องนั้นผมรู้แล้ว แต่ก็ปล่อยไป คุณไม่ต้องอธิบายให้ผู้ใหญ่เขารู้หรอก เพราะเภามันแต่งงานใหม่ไปแล้ว ถ้าผู้ใหญ่รู้ว่าส้มนอกใจผมไปคบเภา ทั้งสองคนก็เดือดร้อนไปด้วย”
“เราสิคะเดือดร้อน! เลี้ยงดูเด็กให้คนอื่นนี่ไม่ง่ายนะคะ ตอนแรกก็นึกว่าลูกคุณภาคถึงเลี้ยงให้หรอก นี่ลูกแฟนเก่าคุณกับน้องชายที่พราวไม่เคยเห็นหน้า โอ๊ย! รับไม่ได้”
“คุณจะทิ้งเด็ก ๆ เหรอ” คุณภาคมองฉันด้วยสายตาตกใจ
“ที่บอกว่ารับไม่ได้คือรับไม่ได้กับพฤติกรรมพ่อแม่เด็กต่างหาก ไข่ทิ้งไข่ขว้างแล้วโยนให้เป็นภาระคนอื่นเลี้ยงดู” ฉันเงยหน้ามองคุณภาคอีกครั้งหลังจากวีนเหวี่ยงกับผ้าห่มจนลุกมานั่งอย่างหัวเสีย “แล้วไงคะ หมายความว่าคุณส้มอยากให้คุณเภารับผิดชอบ แต่คุณเภาแต่งงานแล้วเลยให้คุณภาครับผิดแทนน้องเหรอ”
คุณภาคผงกหัวรับ “เห็นแก่ตัวไม่ไหว! คุณภาคผิดอะไรทำไมต้องรับเลี้ยงแทน แล้วทำไมไม่ให้คุณเภาดูแลเด็ก ๆ แล้วเรื่องนี้คุณเภารู้หรือเปล่า เขาช่วยส่งเงินค่าเลี้ยงดูมาให้ไหมคะ”
“เภารู้ แต่ว่า...มันเป็นปัญหาของสองคนนั้นน่ะ ที่ตกลงกันไม่ได้ เลยจะส่งพะแพงกับพลับพลึงไปสถานสงเคราะห์ ส้มเขาไม่อยากทิ้งลูก ก็เลยหาที่พึ่ง”
“ที่พึ่งที่ว่าคือแฟนเก่า และอยู่ในสถานะของพี่ชาย ‘ผัว’ ” ฉันเน้นคำไม่สุภาพแรงชัดจนน้ำลายกระเด็นไปเสื้อคุณภาคแต่เพราะหน้าหนาวแหละ มันถึงได้แห้งซึมไว
เวลาฉันอารมณ์ขึ้นน้ำลายจะฟูมปากเป็นหมาบ้าแบบนี้เสมอ ทำไงได้! ก็โกรธแทน
“ที่ผมอยากพูดกับคุณเพราะต่อไปพลับพลึงก็ต้องมาอยู่กับเราที่บ้านภูมะขาม ซึ่งผมกับส้มตกลงกันแล้วว่าต่อไปเธอจะไม่มายุ่งกับเด็ก ๆ อีก”
“อ่าว! ทำไมคะ” ฉันมองหน้าคุณภาคที่ลำบากใจจะพูดจึงเสียมารยาทคิดมโนแทนพูดแทรกคาดเดาเหตุการณ์ “อย่าบอกนะว่าที่พลับพลึงเป็นรอยแผลฟกช้ำเต็มตัวเพราะคุณส้มตี”
คุณภาคถอนหายใจแทนคำตอบ เขาไม่ได้พูดหรืออธิบายเพิ่มคงไม่อยากเล่าถึงเหตุการณ์เลวร้ายเหล่านั้นให้ฉันฟัง
“เป็นแม่ภาษาอะไรเนี่ย! ทุบตีลูกช้ำทั้งตัวขนาดนั้น”
“ผมคิดว่าเขาน่าจะตีบ้างเวลาเด็กดื้อ แต่คงไม่ได้ตีบ่อย ช่วงนี้พลับพลึงกำลังฝึกเดินน่าจะปีนป่ายด้วย”
“ดูอาการเด็กก็คือคำตอบแทนคำพูดผู้ใหญ่แล้วค่ะ พลับพลึงไม่ได้ดื้ออะไรเลย พัฒนาการน้องช้ามาก พูดก็ช้า เดินก็ช้า ถ้าเทียบกับพะแพงที่เกิดวันเวลาเดียวกัน พัฒนาการพะแพงแซงหน้าพลับพลึงไปหลายเดือนเลยนะคะ แต่หลังจากพราวเลี้ยงพลับพลึงไม่กี่วันก็พอสังเกตออกว่าพลับพลึงขี้กลัวมาก ยิ่งผู้ใหญ่ยกมือขึ้นเขาจะหลบหนีทันที แล้วก็ไม่กล้าแสดงออกด้วย โถ่! เด็กตัวแค่นี้ต้องเจออะไรมาบ้างนะ แล้วที่บอกว่าศูนย์เลี้ยงเด็กตี จริงหรือเปล่าคะ”
“เรื่องนี้ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ส้มอาจจะพูดความจริงไม่หมดก็ได้ เท่าที่รู้คือช่วงที่ส้มไปทำงานจะปล่อยพลับพลึงอยู่ในห้องตามลำพัง ให้ข้าวให้น้ำ ขนม ของเล่นทิ้งไว้ในคอกเด็ก”
“ฮะ!! บ้าบอ...นั่นลูกของคุณส้มไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงปล่อยให้เลี้ยงเหมือนหมาแมวขนาดนั้น”
ฉันถึงขั้นยกมือขึ้นมากุมขมับ เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเจอคนเลี้ยงลูกเหมือนสัตว์ในคอก ไม่คิดว่าคนหน้าสวยหุ่นดีดีกรีแอร์โฮสเตสจะใจร้ายใจซาตานแบบนี้
“เพราะแบบนี้คุณถึงไม่อยากติดต่อกับคุณส้มอีกใช่ไหมคะ”
“ก็ประมาณนั้น ทั้งหมดก็ทำเพื่อคุณด้วย”
“เพื่อพราว?”
“คุณจะได้ไม่ต้องลำบากใจเวลาเจอหน้าส้ม แต่ผมก็ไม่ได้ห้ามนะถ้าวันหนึ่งพะแพงกับพลับพลึงโตขึ้นอยากจะกลับไปหาส้ม เพียงแต่...” ฉันเงียบรอฟังในสิ่งที่คุณภาคจะพูด “ส้มจะไม่กลับมาหาพะแพงกับพลับพลึงอีกแล้ว ซึ่งผมตกลงกันก่อนที่เธอจะประสบอุบัติเหตุ ความจริงผมก็ลังเลใจอยากให้เด็ก ๆ เจอแม่ แต่ส้มเขายืนกรานเองว่าไม่อยากเจอเด็กทั้งสองคน และจะทำเรื่องโอนย้ายให้เด็กทั้งสองคนอยู่ในความดูแลของผมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย”
“เรื่องมันเลยเถิดไปขนาดนี้เลยเหรอคะ เค้ารังเกียจเด็กขนาดนั้นเลยเหรอ” น้ำตาฉันเริ่มคลอเบ้ารู้สึกสงสารพะแพงกับพลับพลึง ถ้าไม่พร้อมมีลูกก็ป้องกันสิ แต่ถ้าป้องกันแล้วพลาดก็น่าจะเลี้ยงดูเขาให้ดีเท่าที่ความสามารถ ณ ตอนนั้นทำได้ก็ยังดีนี่นา
“ผมคิดว่าส้มไม่ได้รังเกียจเด็กหรอก เธอน่าจะรักเด็กทั้งสองคน เพียงแต่ฐานะทางสังคมและชีวิตไม่เอื้อให้มีลูกน่ะ”
“คุณภาคกำลังแก้ตัวแทนแฟนเก่าเหรอ” ฉันมองค้อนคุณภาคอย่างไม่พอใจ คิดแง่ดีกับแฟนเก่าเหลือเกิน
“ผมไม่ได้แก้ตัวแทน ผมแค่พูดตามที่เห็น อีกอย่างถ้าส้มไม่มาฝากผม เธอจะให้สถานสงเคราะห์ดูแล ผมในฐานะลุงก็ไม่สามารถเห็นหลานตัวเองอยู่ในสถานสงเคราะห์ทั้งที่ผมมีกำลังเลี้ยงดูได้หรอก”
“อ่อ! เลยใช้กำลังนั้นให้พราวดูแลแทน”
“แต่คุณก็เต็มใจไม่ใช่เหรอ” คุณภาคเอื้อมมือมาจับแก้มฉันบิดเล่นเชิงหยอกล้อ แต่ฉันรู้ทันหรอกนะ อยากทำตัวน่ารักให้ฉันใจอ่อนล่ะสิ
ฉันผงกหัวรับ “พราวเต็มใจ พราวชอบเด็ก อยากมีลูกเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุสิบห้าแล้ว พราวตั้งชื่อลูกเพียบเลย” ฉันไม่ได้พูดเปล่าโดยไม่มีหลักฐาน แต่หันหลังโน้มตัวเปิดลิ้นชักใต้เตียงหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าที่ฝุ่นเกาะเขรอะออกมาให้คุณภาคดู “นี่ไงหลักฐาน! ชื่อลูกของพราวเพียบ ไอสวรรค์ จันทร์ดารา รุ้งนภา แกมกาญจน์ อันนี้ชื่อผู้หญิงแบบยกตัวอย่างนะคะ ต่อไปชื่อผู้ชาย รพีมงคล อุ๊ย! มีชื่อคล้ายคุณภาคด้วย ภาคภูมิ ภาคบดินทร์ เท่สุด ๆ”
“เก็บไว้เป็นชื่อของลูกเราสองคนก็แล้วกัน”
ลูกของเรางั้นเหรอ? พูดแบบนี้ใจเต้นแรงยิ่งกว่าอยู่หน้าลำโพงงานวัดเสียอีก
คุณภาคดึงสมุดเล่มเก่าจากมือฉันไปแล้วก้มหน้าอ่านข้อความในนั้นต่อ ก่อนเงยหน้าขึ้นมามองฉันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
“ผู้ชายที่ปั่นจักรยานทักคุณหน้าบ้านน่ะ ชื่ออะไรนะ”
“อ๋อ! พี่ปั้นน่ะเหรอคะ เขาชื่อเต็ม ๆ ว่าพี่ข้าวปั้น”
“รักแรกของฉันชื่อข้าวปั้น แล้วลูกของเราจะชื่ออะไรดีนะ” คุณภาคก้มหน้าอ่านสมุดที่เขาแย่งไปก่อนหน้า ฉันรีบเบียดตัวเข้าไปนั่งข้างคุณภาคหลังยื้อแย่งสมุดกลับมาแต่ก็โดนคุณภาคจับยึดไม่ยอมปล่อย จึงต้องย้ายที่นั่งไปนั่งขนาบคุณภาคแล้วก้มอ่านตัวหนังสือที่ฉันบันทึกในสมุดเมื่อหลายสิบปีก่อนแทน
“เฮ้ย! เขียนแบบนี้ด้วยเหรอ” หลังจากก้มอ่านสมุดไดอารี่ที่ตัวเองเคยบันทึกความรู้สึกในอดีตเอาไว้จบประโยคก็เงยหน้ามองคุณภาคด้วยใบหน้าทะเล้น แต่ดูเหมือนว่าคุณพี่แกจะไม่เล่นด้วย
หน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าโดนคุณหมอฉีดฟิลเลอร์เสียอีกแน่ะ
“ไม่ขำ!”
“ไม่ขำอะไร พราวเขียนตั้งแต่เด็กแล้ว” ฉันมองค้อนคุณภาคที่ทำหน้าตาเหมือนไม่พอใจ
นี่เขาหึงเหรอ! หึงเรื่องในวัยเด็กฉันเนี่ยนะ
“วันนี้เจอพี่ปั้นที่หน้าบ้าน พี่ปั้นเอาขนมมาให้ ยัยปลายนะยัยปลายโทรมาบอกก่อนก็ไม่ได้ จะได้แต่งตัวสวย ๆ รอ”
“แฮ่ ๆ” ฉันหัวเราะแห้ง ๆ “คุณภาคอย่าบอกพี่ปั้นนะ”
“เมื่อกี้คุยกันก็เห็นหัวเราะหน้าบานเชียว ที่แท้ก็เจอรักแรกหรอกเหรอ”
“บ้า! ใครยิ้มหัวเราะอะไร...ไม่มีสักหน่อย” พูดจบฉันก็จามติดกันสามครั้งก่อนลุกออกจากเตียงไปหยิบทิชชูในกระเป๋าขึ้นมาเช็ดน้ำมูก
“พระลงโทษแล้วล่ะ คนโกหก!”
“อะไร? ทีคุณภาคโกหกเรื่องพะแพงเป็นลูกคุณภาคกับแฟนเก่าตั้งหนึ่งปี พราวยังไม่ว่าอะไรเลย พราวยังใจดีเลี้ยงหลานให้คุณภาคด้วย เงินก็...” จะบอกว่าเงินก็ไม่รับสักบาทก็ไม่ได้อีก เพราะฉันรับเงินคุณภาคทุกเดือน รายนั้นโอนไวยิ่งกว่าจรวด ตรงวันเวลาเป๊ะไม่เคยขาด แม้จะงกเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ตามเถอะ
“เงินทำไม? เลี้ยงสองคนอยากได้เพิ่มเหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
มองฉันเป็นผู้หญิงหิวเงินหรือไง? ฉันเดินไปทิ้งขยะที่มุมห้องแล้วเดินกลับมานั่งที่เตียงต่อ แต่ก็ยังจามไม่หยุด น่ารำคาญเสียจริง!
“ผมให้เพิ่มได้นะ อยากได้เท่าไหร่”
“ไม่เพิ่มก็ได้”
“เผื่อคุณอยากเอาเงินไปใช้จ่ายซื้อของให้เด็ก ๆ เลี้ยงสองคนก็น่าจะเหนื่อย” สามีเห็นอกเห็นใจภรรยา ช่างน่ารักเหลือเกิน แต่ดีใจได้ไม่นาน ยิ้มเหงือกไม่ทันแห้ง ปลื้มปริ่มยังไม่ทันใจฟูเต็มคับอก คุณภาคก็กวนประสาทฉันอีกแล้ว “เดี๋ยวทิ้งพะแพงกับพลับพลึงไปหารักแรกอยู่น่านยาว ๆ ลำบากผมขับรถมาตามง้ออีก”
“ไม่ต้องง้อก็ได้นี่”
“ต้องง้อสิ! คุณเป็นภรรยาผมนี่”
ฉันเบ้ปาก ภรรยาในนามจะง้อให้ไปเลี้ยงหลาน โถ่! น่าสมเพชชีวิตตัวเองจริง ๆ
“ภรรยาแค่ในนาม อย่าจริงจังเลย”
“ผมจริงจังกับคนของผมเสมอ ถ้าไม่ใช่คนของผมแล้ว ผมก็ไม่ยุ่งเกี่ยวอีก”
ต้องการจะสื่ออะไร สื่อแบบนี้ฉันจะเข้าข้างตัวเองว่าคุณภาคจริงจังกับฉันแล้วนะ
“อย่ามาให้ความหวังหน่อยเลยน่า จะนอนแล้ว” ฉันแสร้งหูทวนลม เปลี่ยนเรื่องคุยแล้วเอี้ยวตัวปิดไฟห้องนอน วันนี้คุณภาคปีศาจเขามาไม้ไหนกันนะ? จู่ ๆ ก็ทำท่าทางเหมือนหึงหวง อยากจริงจังด้วยบ้างล่ะ คิดว่าคนอย่างฉันจะคล้อยตามเหรอ
เออ...คล้อยตามน่ะสิ ถ้าไม่ตกหลุมรักก็ใจแข็งเกินไปแล้ว
ขณะกำลังเอี้ยวตัวกลับมานอนที่เตียง คุณภาคก็ใช้มือสากเย็นคว้าตัวฉันเข้าไปกอด กลิ่นตัวหอมสะอาดกับเสื้อผ้าหอมละมุนทำให้ฉันใจเต้น “แต่ผมหวังให้คุณอยู่ข้างผม...ตลอดไป”
แม้เป็นเพียงลมปากที่แผ่วเบาแต่ฉันก็ได้ยินชัด รู้สึกใจเต้นแรงกว่าเดิมจนต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อมองคุณภาคให้เต็มตาในความมืดและแสงไฟสลัว
“ตัวอุ่น ๆ เหมือนเป็นไข้เลยนะ หรือว่าผีที่นาจะทักจริง ๆ”
กำลังอยู่ในช่วงหวานละมุนอบอุ่นหัวใจ ปากปีศาจก็ทำงานไวจนน่าตบตีให้เลือดสาดซะเหลือเกิน ฉันผลักคุณภาคออกให้ห่าง แต่ขนาดตัวและความสูงของเขาทำให้ฉันเป็นเบี้ยล่างถูกคุณภาคกระชับกอดแน่นกว่าเดิมเสียอีก
“ขยับมานอนใกล้ ๆ สิเดี๋ยวโดนผีจับขาลากลงเตียงไม่รู้ด้วยนะ”
ใครกันแน่ที่ผีลาก ผีดึง ผีจับ อยู่กินด้วยกันมาตั้งหนึ่งปีไม่เคยจะจับมือถือแขน กอดจูบ ลูบคลำ ตั้งแต่ฉันเก็บข้าวของจะกลับน่าน แล้วคุณภาคขับรถมาส่งถึงที่นี่ พี่แกก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที รู้งี้ใช้ไม้ทุบหัวลากกลับมาน่านให้อาการขี้เก็กเปลี่ยนไปตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง
ฉันนอนหลับกกตัวเป็นลูกไก่อยู่ใต้ปีกพ่อไก่ได้สักพักก็รู้สึกปวดฉี่ จึงต้องบอกคุณภาคไปตรง
“คุณภาคปล่อยพราวก่อน พราวปวดฉี่”
พูดซ้ำประมาณสามสี่รอบกว่าคุณภาคจะยอมปล่อยฉันให้เป็นอิสระลุกออกจากเตียง ไม่รู้ว่าชาติก่อนพี่แกเป็นตุ๊กแกหรือเปล่ามือเหนียวติดหนึบไม่ยอมปล่อยฉันง่าย แต่แล้วเมื่อร่างกายปะทะกับความมืดฉันก็ก้าวขาไม่ออก รีบหันหลังไปจับเท้าคุณภาคเพื่อหวังให้เขาไปส่งฉันเข้าห้องน้ำ
แต่...ไม่ทันได้พูดว่า "คุณภาค! ตื่น ๆ ส่งไปเข้าห้องน้ำข้างล่างหน่อยสิ" พี่ภาคกำนันปีศาจก็เล่นใหญ่เล่นโตเสียแล้ว
“เว้ย! ไอ้เชี่ย”
คุณภาคตกใจมือที่ฉันสัมผัสเท้าเขา ขาแกร่งเตะสะบัดเท้าลอยขึ้นกลางอากาศฟาดใส่คางฉันเสียงดังกรึ๊บ!
“โอ๊ย!”
ฉันร้องเสียงหลงเมื่อโดนคุณภาคเตะคาง นี่ขนาดปิดไฟเหลือเพียงแสงไฟข้างนอกสาดส่องเข้ามาในห้องรำไร เท้าคุณภาคกลับหนักแน่นแม่นยำตรงเป้าเหลือเกิน
“เจ็บนะคุณภาค” ฉันร้องโวยวายเสียงหลง
“เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง”
“เล่นอะไรล่ะ พราวจะเรียกคุณให้ส่งพราวไปเข้าห้องน้ำชั้นล่าง”
“แล้วมาแตะเท้าทำไม?” คุณภาคลุกขึ้นมานั่งเอี้ยวตัวเปิดไฟ
“ก็แตะเรียก” ก่อนหน้านี้หลอกฉันว่าผีจับขาลากลงเตียง พอฉันแตะเท้าเขาเลยตกใจล่ะสิ “หรือว่าคุณภาคกลัวผี”
พอเห็นหน้าตาที่ตอบไม่ได้ของคุณภาค ฉันก็ถึงกับหัวเราะลั่นบ้าน โดนพ่อตะโกนด่าออกมาจากห้องนอนหนึ่งรอบโทษฐานเสียงดังทั้งผัวทั้งเมียยามดึก สุดท้ายคุณภาคก็ต้องออกจากห้องนอนไปส่งฉันเข้าห้องน้ำด้วยอาการหวาดระแวงซึ่งกันและกัน
“ฉี่เสียงดังขนาดนี้ กลัวบ้านข้าง ๆ ไม่รู้ว่ากำลังทำลายชักโครกเหรอคะ” ฉันแซวคุณภาคที่เข้าห้องน้ำต่อฉัน แต่ก็โดนแซวกลับแรงไม่ต่างกัน
“ก่อนหน้านี้แอบขี้เหรอ กลิ่นแรงใช่เล่นนะ”
หายไปหลายวัน งานเยอะงานรุม งานนิยายก็ดองไม่ได้มาทำ อย่าเพิ่งหนีหายไปจากกันนะคะ เรากลับมาแล้ว
ความคิดเห็น