คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ 10 ซุ่มซ่ามเป็นเหตุ [2]
ฉันลุกจากเตียงอย่างฉับไวด้วยความคล่องตัว รีบเอื้อมมือเปิดประตูออกไปหาแม่และอุ้มพะแพงที่ร้องไห้กระจองอแงตั้งแต่เช้าตรู่เข้ามากอด ยัยเด็กอวบอ้วนพอเห็นหน้าฉันก็เงียบเสียงแล้วใช้แขนกอดคอแน่นไม่ยอมปล่อย
แม่บอกว่าพะแพงตื่นนอนแล้วลุกขึ้นมองดูรอบห้อง มองซ้ายมองขวาในขณะที่ปากร้องเรียกหาแต่ชื่อฉัน ก่อนจะเบะปากคว่ำลงแล้วร้องไห้ลั่นห้อง
ฉันทิ้งคุณภาคให้นอนตัวงอคดโค้งเป็นกิ้งกือม้วนตัวอยู่บนเตียง ส่วนฉันก็รับบทคุณแม่จำเป็นพาพะแพงกับพลับพลึงไปล้างหน้าบ้วนปากจากนั้นก็พาไปเดินเล่นดูไก่บ้านที่ถูกปล่อยให้เดินอย่างอิสระ
“ก่าย” พะแพงชี้ไก่ก้าวขาเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ อย่างไม่กลัว
ที่บ้านสวนภูมะขามก็เลี้ยงไก่นานาชนิดเช่นกัน ไก่ไข่ ไก่บ้าน ไก่ต็อก ไก่แจ้ จึงทำให้พะแพงค่อนข้างคุ้นเคยไก่ แม้จะดูไก่และดูนกเกือบทุกวัน พะแพงก็ไม่เคยเบื่อ ยังหัวเราะอารมณ์ดียิ้มหวานสดใสเหมือนเดิมเมื่อพบเห็น
พลับพลึงคล้ายว่าไม่เคยเห็นนก ไม่เคยเห็นไก่มาก่อน ทุกครั้งที่เห็นก็จะยกแขนห่อไหล่แล้ววิ่งหาที่หลบ คิ้วบางขมวดเข้าหากัน แต่พอมีที่หลบซ่อนกายก็จะแอบมองอยากรู้อยากเห็น
ฉันสามารถปล่อยพะแพงให้เดินด้วยตัวเองได้บ้าง เนื่องจากท่อนขาหนาของพะแพงนั้นแข็งแรง แม้จะเดินบ้างล้มบ้างเป็นเรื่องธรรมดา หากล้มก็สอนพะแพงปัดเป่ามือจะได้ช่วยเหลือตัวเองได้ ด้านพลับพลึงแขนขาไร้กล้ามเนื้อหากเดินก็จะค่อย ๆ ย่องเดินทีละนิด ผู้ใหญ่ต้องคอยจับมือพยุงช่วย
“แมะ เพา” (แม่พราว)
พะแพงส่งเสียงร้องชื่อฉันด้วยน้ำเสียงโวยวายเมื่อเห็นฉันจับมือพลับพลึง ยัยเด็กตัวแสบคนนี้ขี้หวงใช่เล่น
“แม่ช่วยน้องพลับพลึงค่ะ จับมือน้องเดิน น้องยังเดินไม่คล่อง พี่พะแพงมาช่วยแม่จับมือน้องสิ” ฉันกวักมือเรียกพะแพงให้เดินมาหาฉัน พะแพงได้ยินฉันพูดด้วยโทนเสียงราบเรียบก็รีบซอยเท้าและท่อนขาหนาอวบเดินมาหา
พอพะแพงวิ่งมาถึงตัวฉัน เด็กอ้วนก็รีบใช้ท่อนแขนเนื้อแน่นกอดรัดขาฉันก่อนจะมุดหน้าส่ายหัวที่ต้นขานุ่ม เมื่ออ้อนพอใจแล้วเด็กน้อยแก้มอวบก็เงยหน้าขึ้นมองฉันแล้วหัวเราะคล้ายดีใจกับเรื่องอะไรสักอย่าง
ฉันรู้ใจจึงพูดอธิบายเสริม “แม่ก็รักพะแพงนะคะ ไม่ทิ้ง ไม่ลืมพะแพงสักหน่อย พลับพลึงเป็นน้องของพะแพง ทั้งสองคนเป็นพี่น้องกันก็ต้องรักกัน ช่วยเหลือกันนะ”
แม้พะแพงจะเป็นเด็ก แต่ก็เข้าใจภาษา เรียนรู้อะไรได้ก็เรียนรู้ ซึมซับอะไรได้ก็ค่อย ๆ ซึมซับ ทุกอย่างใช้เวลา ไม่จำเป็นต้องบีบบังคับให้เด็กวัยหนึ่งขวบเข้าใจ แค่พูดบอกรักบ่อย ๆ แสดงออกความรักให้เห็น เด็กตัวเล็กก็รับรู้ได้ อย่างน้อยฉันก็เป็นโลกที่สวยงามให้พะแพงกับพลับพลึงได้พักพิง
“พี่พะแพงมาจับมือน้องพลับพลึงเร็ว” ฉันคว้ามืออวบของพะแพงจับมือบางเบาของพลับพลึง
“จับ จับ” พะแพงว่าง่าย สอนอะไรก็ทำตามพูดตาม
พอทำตามที่ผู้ใหญ่บอกแล้วได้รับคำชมพะแพงก็ยิ้มจนตาหยีเห็นฟันกระต่ายสองซี่แล้วหัวเราะเอิ้กอ้าก ฉันเห็นแล้วก็มีความสุขอดที่จะก้มตัวลงไปโอบกอดหอมแก้มให้รางวัลเด็กดีไม่ได้จริง ๆ
เมื่อหอมแก้มพะแพงเสร็จ ก็หอมแก้มพลับพลึงต่อ กลัวเด็กหน้านิ่งกำลังทำความรู้จักผู้คนและสิ่งแวดล้อมใหม่จะน้อยใจที่เห็นสองแม่ลูกสนิทสนมรักใคร่กลมเกลียวแล้วเผลอคิดว่าตัวเองคือส่วนเกิน “น้องพลับพลึงก็น่ารัก แม่พราวก็รักพลับพลึงเหมือนกันน้า”
ฉันหอมแก้มพลับพลึงเสร็จก็บอกให้พะแพงหอมแก้มน้องพลับพลึงต่อ ครั้นบอกให้พลับพลึงหอมแก้มกลับ เด็กหน้าเหงากลับหอมแก้มไม่เป็น
พลับพลึงใช้ข้างแก้มชนแก้มพะแพงกับฉันเป็นการหอมตอบ ฉันจึงพอเดาได้บ้างว่าปกติพลับพลึงน่าจะถูกหอมแก้มมากกว่าที่จะหอมแก้มคนอื่น ทำให้พลับพลึงไม่เข้าใจว่าการหอมแก้มคืออะไร
แต่นั่นก็ไม่ใช่สาระสำคัญอะไรเท่ากับพลับพลึงเริ่มเข้ากับผู้อื่นได้ดีขึ้น
แผลที่ปากของพลับพลึงหายไวมาก อีกทั้งรอยช้ำตามเนื้อตัวก็เริ่มจางลงด้วย เห็นแล้วก็พอเบาใจลงบ้าง ด้านพะแพงก็ไม่ติดโรคอะไรจากพลับพลึง ยังคงวิ่งเล่น หัวเราะร่าเริงได้เหมือนเดิม
เดินเล่นกันสักพักแม่ก็เอาถ้วยข้าวต้มตับม้าผักตำลึงมาให้ฉัน “สายละ ป้อนข้าวเด็ก ๆ เดี๋ยวตัวจ๋อย (ตัวเล็ก) จะได้กินยาหลังอาหาร”
“ข้าวแค่นี้จะพออะไรแม่ ถ้วยนี้พะแพงคนเดียวก็หมดแล้ว” ฉันมองถ้วยเล็กที่อยู่ในมือตัวเอง
“หมดก็เดินไปตักสิ แม่ทำข้าวต้มหม้อใหญ่ไว้ที่หลังบ้าน”
ฉันได้แต่คว่ำปากล้อเลียนแม่ตัวเองอย่างขี้เล่น จึงโดนแม่เขกกบาลไปหนึ่งที
ป้อนข้าวแล้วเดินตามเด็ก ๆ ที่เดินเล่นนั้นช่างเป็นอะไรที่เหนื่อยเหลือเกิน เดี๋ยวก็ต้องป้อนแฝดพี่ เดี๋ยวก็ต้องป้อนแฝดน้อง เห็นพลับพลึงไม่ค่อยพูดค่อยจา แต่ให้อะไรกินกลับกินไม่หยุดปาก ไม่รู้ว่าหิวหรืออิ่ม แต่พอถามว่ากินอีกไหมก็ผงกหัวรับทุกที มื้อเช้าพลับพลึงกินเยอะกว่าพะแพงจนท้องพองเลอเสียงดังเอิ้ก! แต่ยังคงทำหน้านิ่งแอบมองผู้ใหญ่กลัวโดนดุ แต่พอเห็นว่าฉันกับแม่หัวเราะพลับพลึงก็แอบยิ้ม ครั้นพะแพงหัวเราะนำพลับพลึงก็หัวเราะตาม ที่บ้านจึงคึกคักมีเสียงของเด็กคุยโม้เจี๊ยวจ๊าวหัวเราะเอิ้กอ้ากพูดไม่เป็นภาษา
คุณภาคปีศาจตัวร้ายนั่งกินข้าวต้มที่ครัวหลังบ้านคนเดียว ส่วนฉันกลับมาจากพาเด็ก ๆ ที่เดินเป็นปูดุ๊กดิ๊กซ้ายทีขวาทีมาล้างหน้าและมือที่หลังบ้าน อีกทั้งถือโอกาสกินข้าวเช้าด้วย แต่พอเจอคุณภาคก็ถึงกลับชะงักทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที ภาพตอนเราสองคนจูบกันเมื่อคืน จูบกันตอนเช้าก็แทรกแวบเข้ามาในหัว ยิ่งตอนสัมผัสเรือนร่างก็ยิ่งเหมือนมีไฟฟ้าผ่าลงมาเปรี้ยงปร้างตอนเช้าตรู่อย่างไรอย่างนั้น มือฉันยังรู้สึกถึงความหยุ่นนุ่มนิ่มที่จับแล้วบีบเต็มแรงไม่หาย ไม่ได้จับของชายชาตรีมานานจับอีกครั้งมันก็ทำให้ใจว้าวุ่นไม่น้อย
อ๊ะ! ตอแหลแสร้งตาบอดทำเป็นไม่เห็นคุณกำนันปีศาจก็แล้วกัน ใช้ความวุ่นวายกับเด็กให้เป็นประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จำทำได้
หลังบ้านฉันเป็นหลังบ้านแบบไทยพื้นเมืองประยุกต์ เน้นครัวแบบเปิดกำแพงเป็นไม้ซี่กว้างทำให้อากาศถ่ายเทได้ง่าย พื้นที่ห้องครัวรวมโต๊ะกินข้าวกว้างขวางสิบเมตร มีทั้งเตาแก๊สและเตาถ่านอั้งโล่สองหัวที่ใช้มาตั้งแต่รุ่นยาย ซึ่งนาน ๆ ทีถึงจะใช้งาน เนื่องจากต้องเผาถ่าน กลิ่นเหม็นควันฟุ้งทั่วบ้าน ปกติยายมักใช้ทำขนมไปขายที่ตลาดหรือตามเทศกาลงานบุญ พอยายสิ้นบุญเตาถ่านก็ไม่ได้ถูกใช้งานเหมือนในอดีต แม่ฉันจึงใช้วางของหรือหม้อข้าวหมาแมวแทน
ฉันปล่อยให้เด็ก ๆ เดินเล่นตามอัธยาศัย อยากจะไปปีนป่ายป่วนปะป๊าก็ทำได้ตามสบาย ฉันเดินไปล้างกับข้าวของเด็ก ๆ ก่อนจะตักข้าวต้มตับกลิ่นหอมใส่ชามใบใหญ่จนเต็มเนื่องจากหิวข้าวมาก ก่อนจะหันหน้าเผชิญกับความจริงอันขมขื่น
คุณภาคป้อนข้าวพลับพลึงที่ไปเกาะขาขอกินข้าวเพิ่ม ด้านพะแพงปีนป่ายขึ้นไปนั่งบนโต๊ะกินข้าวแล้ว ในมืออวบถือขนมขาไก่สามสี่ชิ้น คุณภาคหันมามองฉันเมื่อฉันยืนนิ่งไม่ยอมเดิน ท่าทางคุณภาคเหมือนนักเลงหัวไม้ที่รอทุบหัวคู่กรณี สายตาเหยี่ยวพิฆาตมองจิกกัดอยากฉีกเนื้อฉันเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น
ฉันกลืนน้ำลายลงคอก่อนเชิดหน้าขึ้นแล้วแสร้งทำเป็นลืมเรื่องตอนเช้าตรู่จนหมดสิ้น คุณภาคไม่พูด ฉันไม่พูด เรื่องก็น่าจะเงียบลง ฉันก็จะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ฉันไม่ได้จู่โจมกอดจูบใครก่อนและไม่ได้บีบจขยุ้มเนื้อหนังส่วนไหนของใครทั้งสิ้น ฉันวางชามข้าวบนโต๊ะไม้สักขนาดยาวกำลังลากเก้าอี้นั่งลงเยื้องคุณภาค อีตาปีศาจก็ออกฤทธิ์ร้ายกล้าบังอาจพูดถึงเรื่องตอนเช้าทั้งที่ฉันพยายามจะไม่สนใจอยู่แล้วเชียว
“เมื่อคืนหนาวเหรอ กอดเป็นงูไม่ปล่อยเลย”
ใช่ว่าฉันจะกอดเขาคนเดียวสักหน่อย เขาก็กอดฉันเหมือนกันเถอะ
“ใช่ค่ะ อากาศที่น่านหนาวกว่าเชียงรายเยอะเลย ปกติพราวจะกอดพลับพลึงนอน เมื่อคืนลืมว่าพลับพลึงไปนอนกับแม่”
“ก็แสดงว่าจำได้ มีสติดีนี่! ดึก ๆ จะคิดบัญชี ผมไปช่วยพ่อทำเล้าไก่ที่สวนนะ อยู่บ้านเลี้ยงลูกอย่าก่อเรื่องล่ะ”
ไม่ทันได้ตอบคุณภาคก็อุ้มพลับพลึงที่เกาะขาเขาขึ้นมานั่งบนโต๊ะไม้สักที่ฉันนั่งกินข้าวแล้วหยิบขนมขาไก่จากถังปี๊บใส่มือให้พลับพลึง
พูดแบบนั้นหมายความว่าไง! ดึก ๆ จะมีภาคสองต่อเหรอ ไม่เอาน่าเดี๋ยวพ่อแม่ได้ยิน ฉํนต้องหักห้ามใจไม่ทำเรื่องบัดสีที่บ้านสิ คุณภาคปีศาจนี่ก็พูดเหมือนฉันเป็นเด็กอมมือเลยเนอะ ฉันโตอายุเท่าไหร่แล้วจะก่อเรื่องอะไรกันล่ะ
“อยู่บ้านกับแม่ต้องเตือนสติแม่ดี ๆ นะคะพะแพง พลับพลึง”
“เตือนสติอะไรล่ะ” ฉันตักข้าวต้มเข้าปากมองคุณภาคอย่างหัวเสีย
“ทำอะไรไม่ค่อยมีสติไง เมื่อเช้าจำไม่ได้เหรอ หรือลืมสมองไว้ที่เชียงราย”
เอาสมองมาเว้ย! ปีศาจทำไมคำรามเก่งนัก
“ปะป๊า หม่ำ ๆ” พะแพงหยิบขนมป้อนใส่ปากคุณภาค คุณภาคอ้าปากรับ ด้านพลับพลึงก็ทำตามพะแพงป้อนขนมใส่ปากคุณภาคบ้าง
ดีมาก! แม้พะแพง พลับพลึงจะเป็นลูกคุณภาค แต่เด็กทั้งสองคนต้องอยู่ฝั่งฉัน ปิดปากเน่า ๆ ของปะป๊าปีศาจด้วยขนม ฉลาดมากลูก สมแล้วที่ฉันเลี้ยงดูมาอย่างดี
เวลาล่วงเลยผ่านไป ฉันอาบน้ำให้พะแพงกับพลับพลึงหลังจากอุณหภูมิเริ่มสูงขึ้น พออาบน้ำเสร็จญาติ ๆ ก็มาหาที่บ้านทำให้แผนที่ฉันจะนั่งแต่งนิยายอัปเดตขึ้นออนไลน์นั้นถูกเลื่อนออกไป พลับพลึงนั่งเล่นของเล่นเงียบ ๆ สายตามองตามพะแพงตลอด ส่วนพะแพงจะชอบโหวกเหวกโวยวายเสียงดัง ทั้งวิ่งทั้งคลานรอบบ้าน พื้นบ้านมีแต่ของเล่นกระจัดกระจายเต็มพื้น ตกบ่ายหลังจากญาติกลับไปแล้ว หลังจากเด็กทั้งสองคนได้นมคนละขวด ก็ล้มตัวลงที่นอน สายตามองดูโทรทัศน์ซึ่งสามารถเชื่อมอินเทอร์เน็ตได้ พะแพงชี้นิ้วจิ้มหน้าจอบอกให้ฉันเปิดเพลง ‘Five Little Duck’ จากนั้นทั้งสองพี่น้องฝาแฝดจอมป่วนก็ให้ฉันเปิดเพลงนี้วนซ้ำไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ครั้นจะเปลี่ยนเพลงก็ไม่ยอมให้เปลี่ยน ฉันจึงถือโอกาสนั่งพิมพ์นิยาย ณ ช่วงเวลาที่พะแพงกับพลับพลึงนอนกินนมดูทีวี
พิมพ์นิยายจนอัปเดตออนไลน์เสร็จ หันไปดูเด็ก ๆ อีกทีก็นอนหลับแผ่ตัวทิ้งที่เบาะแล้ว เห็นดังนั้นฉันก็ทนไม่ไหวที่จะเดินไปนอนตาม
ตกใจตื่นประมาณสี่โมงครึ่ง เวลานั้นแม่ฉันกำลังจะเตรียมมื้ออาหารถัดไป ฉันกับเด็กแฝดพะแพง พลับพลึงจึงพากันเดินเล่นไปบ้านญาติซึ่งรั้วติดกัน เขาเปิดร้านซ่อมรถมอเตอร์ไซค์และจักรยาน
ตอนแรกตั้งใจว่าจะพาเด็กแฝดไปเดินเล่น แต่สายตากลับเห็นรถจักรยานที่มีเบาะนั่งสำหรับเด็กจอดใต้ถุนบ้านน้องเมฆ จึงเอ่ยปากขอยืมจากญาติผู้น้อง “น้องเมฆพี่ยืมรถจักรยานน้องหน่อยได้ไหม คันที่เด็กนั่งได้น่ะ”
“เอาไปสิพี่”
เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของฉันก็อุ้มพะแพงนั่งเบาะเด็ก ยัยตัวอวบอ้วนคุ้นชินมือหนอนด้วงสาคูเกาะคอจักรยานอย่างชำนาญการ ด้านพลับพลึงแอบกลัวแต่ก็ใจกล้านั่งซ้อนหลังพะแพงมือกอดคอและหัวไหล่พะแพงด้วยสัญชาตญาณ ฉันนั่งซ้อนทับปิดท้ายส่วนผู้ใหญ่นั่ง มือข้างหนึ่งบังคับคอจักรยาน มืออีกข้างกอดรวบเด็กสองคนมัดเป็นก้อนเข้าหากัน
น้องเมฆเห็นท่าทางเอนเอียงรถของฉันแล้วขำขันจึงเดินไปหยิบสายรัดตัวสำหรับออกกำลังกายมายื่นให้ “รัดตัวหลานกับพี่ไว้สิ เด็กจะได้ไม่ตกรถ แฟนผมทำประจำ”
เมื่อน้องเมฆเสนอฉันก็สนอง แฟนน้องเมฆก็เดินมาช่วยจับพะแพง พลับพลึง ส่วนน้องเมฆก็ใช้สายรัดรวบตัวฉันกับเด็กแฝดเข้าหากันเป็นก้อน แค่จะไปปั่นจักรยานเที่ยวแต่มีเด็กสองคนก็กลายเป็นประเด็นทำให้ญาติคนนั้นคนนี้เดินมาส่องดูคล้ายมีเหตุการณ์แปลกใหม่
ฉันปั่นจักรยานแกว่งไปมาก่อนจะเริ่มคล่องตัวขึ้นหลังจากปรับตัวและทรงตัวได้ก็ปั่นปลิ่วลมไปตามทางลาดยาง แม้หมู่บ้านที่ฉันเกิดจะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ แต่ชุมชุนก็น่ารัก ผู้คนจิตใจดี คนในชุมชนเข้มแข็ง มีถนนหนทางลาดยางตัดเส้นชัด การคมนาคมในหมู่บ้านสะดวกสบายกว่าตอนที่ฉันเป็นเด็กมาก ข้างทางประดับประดาเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสี ขยะในชุมชนมีน้อยมาก เนื่องจากหน้าบ้านแต่ละคนจะมีถังขยะยางวางตั้งไว้ มองแล้วสะอาดตา ยิ่งปั่นจักรยานรับกับอากาศยามเย็นยิ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
ฉันปั่นจักรยานรอบหมู่บ้านจนกระทั่งเลี้ยวไปทางสวนหลังหมู่บ้านที่มีวิวนาทิวเขาสวยงาม ซึ่งเมื่อก่อนเป็นสะพานไม้เก่าข้ามหนองน้ำครกขนาดใหญ่ที่ไหลมาจากฝายเก็บน้ำ ตอนนี้ถูกพัฒนาให้เป็นสถานที่ออกกำลังกายของคนในชุมชน มีฝายเก็บน้ำขนาดใหญ่ ล้อมไปด้วยถนนสีฟ้าสำหรับวิ่งและปั่นจักรยานรอบฝายน้ำ ส่วนสะพานไม้เก่าก็ถูกปรับให้เป็นสะพานปูนตกแต่งตัวยเรือดหงส์สีทองอร่ามแวววับล้อกับแสงพระอาทิตย์ยามเย็น
พะแพงทำเสียงอ้อแอ้ดังล้อไปกับเสียงลม ด้านพลับพลึงโอบกอดพะแพงจากทางข้างหลังสายตากลมมองตามพี่สาว เมื่อก้มมองดูสองพี่น้องฝาแฝดอยู่ด้วยกันก็อดยิ้มไม่ได้ ฉันปั่นจักรยานไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงหลังหมู่บ้านที่สองข้างทางเป็นนาสามารถมองทอดยาวสุดสายตาเป็นภูเขารายเรียงตัวสวยตัดกับท้องฟ้าสีครามอมชมพูส้มยามเย็น
“พราวเหรอ? กลับมาน่านตอนไหน” เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งทักทายฉันดังมาจากกลางทุ่งนา ฉันหันไปมองตามดสียงเรียกตอบกลับทันทีเมื่อเห็นว่าคนทักทายคือพี่เมือง หลานชายของยายบ้านห่างจากฉันไปสองหลังทางขวามือ
“กลับมาได้สองสามวันแล้ว”
ปากอยากพูดแต่มือกลับอ่อนหัด เท้ายังคงปั่นจักรยานโดยไม่หยุดเบรก ทำให้คอจักรยานเลี้ยวไปสะดุดกับก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นกระเด็นไปด้านข้าง ฉันตกใจจนทำให้คอจักยานแกว่งไกวบังคับไม่อยู่ ล้อรถไถแกว่งหมุนไปข้างหน้า ฉันพยายามตั้งสติแม้จะแหกปากร้องเท้าหยุดปั่นแล้วใช้ส้นเท้าเบรกไปตามพื้น
พลาดแล้วไอ้พราวเอ๊ย รถไหลลงเนินถนนแต่เบรกมือกลับเอาไม่อยู่ แม้ใช้รองเท้าแตะเบรกพื้นช่วยก็ไม่ได้ทำให้รถจักรยานหยุดไหลลงเนิน ผู้ใหญ่โวยวาย เด็กร้องหัวเราะตาม ประสานเสียงเป็นทำนองคล้ายร้องเพลงโอเปร่ากลางนาก่อนที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นไวเพียงกระพริบตา ฉันหักคอรถจักรยานพลาดตกถนนไถตัวลงนาที่เพิ่งเทน้ำจนดินเหนียวนุ่มนิ่ม
ได้สติก็ใช้มือโอบอุ้มเด็กพยายามใช้มือและแขนบังไม่ให้หัวเด็ก ๆ โดนพื้นซีเมนต์และดินแข็ง รถจักรยานของเมฆหล่นตุ๊บลงไปในนาก่อนล้มลงทั้งรถทั้งคน
ฉันรีบย้ายตัวเองออกจากรถจักรยานในขณะที่เชือกยังรัดตัวพะแพงกับพลับพลึงติดตัวฉัน แม้จะลำบากสักหน่อยในการเคลื่อนย้ายเนื่องจากดินเหนียวในนาตอนนี้ค่อนข้างเฉอะแฉะเป็นน้ำโคลน แต่ก็สามารถออกจากรถจักรยานรถได้ปลอดภัย พี่เมืองรีบวิ่งมาตามคันนาเพื่อมาดูฉันกับพะแพง พลับพลึง เด็กแฝดที่ตอนนี้หัวเราะไร้เสียงร้องไห้
หาเรื่องอีกแล้วไงไอ้พราว! ปั่นจักรยานหวังชมหมู่บ้านยามเย็นแต่ไม่คิดว่าจะปั่นพลาดตกลงนาขาว โชคดีที่อุ้มเด็กและใช้มือบังศีรษะทัน ดีนะที่ชาวนากลางทุ่งเป็นพี่เมืองญาติบ้านใกล้เรือนเคียงที่เพิ่งปล่อยน้ำลงนาจึงทำให้ทุกคนปลอดภัยไร้กังวล
“เป็นไงบ้างพราว” พี่เมืองลงจากคันนามาช่วยฉันแกะเชือกให้เด็ก ๆ หลุดออกจากกัน
“ไม่เป็นไรเลยพี่ สบายมาก”
“ผ่อท่าละอ่อนจะมักดินน้อ หนแรกคึดว่าจะไห้เหียละ ฮีบวิ่งมาหาเจิ่นปอปะเลิ้ดดิน”
[เด็ก ๆ ดูท่าทางจะชอบดินนะ ตอนแรกนึกว่าจะร้องไห้ซะแล้ว รีบวิ่งมาหาจนล้มไถลงดิน]
ฉันหัวเราะ เสียงดังลั่นหน้า โชคดีได้ลูกบุญธรรมนิสัยดี ก้มมองดูพะแพงกับพลับพลึงที่ตัวเปื้อนโคลนหน้าเปื้อนดิน มือน้อยหนาป้อมของพะแพงจับดินเหนียวเปียกขึ้นมาขยำเล่น สายตาจ้องมองกอ่นจ้องหน้าฉันด้วยแววตาแวววับ ท่าทางชอบดินเหนียวเหนียวนุ่มหยุ่นมือแล้วมีน้ำโคลนสีน้ำตาลไหลติด ด้านพลับพลึงด็ไม่น้อยหน้าซุกตัวลงไปในน้ำโคลนแล้วจับดินขึ้นมาปาดแก้มพะแพงแล้วหัวเราะเอิ้กอ้าก เสื้อผ้าที่ใส่มาเปรอเปื้อนไปด้วยโคลนแนบตัวเด็กสาวตัวน้อยจนเห็นรูปร่างแต่ไม่โป๊เนื้องจากวันนี้เด็ก ๆ ใส่สีแดงแรงฤทธิ์ น้ำโคลนน้ำดินเปื้อนแค่ไหนก็ดูไม่สกปรก
“ดิ้น ดิน”
“ดิน นั้ม”
พะแพงพูดน้ำ พลับพลึงพูดตาม เด็ก ๆ พากันนั่งลงแช่ในน้ำนาด้วบใบหน้ามีความสุข
“ท่าจะชอบขนาด”
[น่าจะชอบมาก]
พี่เมืองใช้มือเท้าเอวมองดูเด็ก ๆ เสื้อผ้าแขนยาวสีเขียวสะท้อนแสงของพี่ใหม่เปรอะเปื้อนดินเป็นเรื่องปกติ แต่เสื้อผ้าฉันกับเด็ก ๆ นี่สิสกปรกและเปียกขนาดนี้จะทำอย่างไรล่ะเนี่ย
“พะแพง พลับพลึงขึ้นข้างบนกันค่ะ เลอะตัวเปื้อนไปหมดแล้วเนี่ย เดี๋ยวปะป๊ามาเห็นโดนด่าแน่เลย”
“ไม่! ไม่ไป” พะแพงพูดจบก็เม้มปากจนแก้มห้อยตุ่ยปัดมือฉันทิ้งแล้ววิ่งหนีในนาเปียก พลับพลึงเห็นพะแพงปฏิเสธก็พูดตามบ้าง เป็นตัวดื้อเพิ่มตัวที่สอง
“ม่าย ม่าย” แม้จะพูดช้าเนิบและวิ่งไปตามพะแพงไม่ทัน แต่ก็ไม่ดิ้นขัดขืนเมื่อโดนฉันจับตัวรั้งไว้
จับเด็กสองคนในนาดินเหนียวที่ดูดเท้าพร้อมกันไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันโดนดินเหนียวดูดจนล้มลงไปในนาทำให้รองเท้าที่ใส่มานั้นปลิวขึ้นลอยฟ้าตกมาใส่ตัวราวกับโชคชะตากลั่นแกล้ง เมื่อเอื้อมมือหยิบรองเท้ากลับมาใส่ก็พบว่ารองเท้ายางขาดจนใส่เดินไม่ได้แล้ว
อยากจะบ้าตาย!
เด็กแฝดจอมยุ่ง กึ่งคลานกึ่งเดินเล่นในน้ำดินโคลนและทิ้งตัวนอนจนหัวเปียกไปด้วยน้ำดิน แม้กระทั่งเส้นผมยังมีโคลนติดหัว เด็กไม่ยอมขึ้นจากนาแม้ฉันกับพี่เมืองจะช่วยกันไล่จับและอุ้มขึ้นต่างก็พากันร้องไห้งอแงอยากเล่นโคลนต่อ
จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย เด็ก ๆ ไม่ยอมขึ้นจากโคลนนาดินเหนียวเลย ฉันไม่รู้จะทำยังไงก็เลยเล่นดิน และน้ำในนาไปด้วย ปล่อยให้พะแพงกับพลับพลึงเล่นน้ำโคลนเต็มที่ ส่วนฉันก็นั่งหลังพิงดินปั้นดินเหนียวเป็นควาย กระต่าย ยื่นให้พะแพงกับพลับพลึงคนละตัว ฉันปั้นรูปสัตว์ต่าง ๆ วางเรียงที่คันนาแล้วก็เอาหินมาวางซ้อน ด้านพะแพงกับพลับพลึงก็ขยำดินเล่นพยายามทำตามในขณะที่ตัวยังจุ่มอยู่ในนาข้าว
“เล่นตรงนี้ไปนะ พี่เอาวัวไปผูกที่บ้านก่อนล่ะ”
“ค่ะ” ฉันตอบรับพร้อมกับยกมือพะแพงกับพลับพลึงขึ้นมาโบก
“บัย บัย” พะแพงกับพลับพลึงทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูยกมืออวบอิ่มขึ้นมาโบกลาพี่เมืองก่อนจะละความสนใจก้มหน้าเล่นดินเหนียวต่อ เลือดแม่ตัวจริงเป็นอย่างไรฉันไม่ทราบ ตอนนี้รู้แต่ว่าเด็ก ๆ ได้นิสัยฉันไปเต็ม ๆ แม้แต่พลับพลึงที่เพิ่งมาอยู่ด้วยไม่กี่วันก็ติดฉันหนึบแทบไม่ห่างตัวคล้ายกับว่าจะกลัวโดนทิ้งให้อยู่ตามลำพัง
ฉันไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรรู้เพียงว่าฉันปั้นดินเหนียวได้สัตว์ทำฟาร์มหลายตัว วัว ควาย คอกวัวควายที่สร้างจากก้านไม้ที่หาได้ข้างนา เด็ดหญ้ามาทำเป็นอาหารให้ควายดินเหนียว ข้างคอกฉันปั้นแม่ไก่ พ่อไก่ และลูกไก่หลายตัว อีกทั้งปั้นงูให้ขดตัวอยู่ข้างก้อนหินด้วย พะแพงกับพลับพลึงใช้นิ้วและอุ้งมือเล็กขุดดินมาวางให้ฉันปั้นรูปสัตว์โดยสองแฝดพูดด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ล้มลุกคลุกคลานเพื่อนำดินเหนียวที่ได้มายื่นให้ฉัน
โชคดีชั้นสองที่นาผืนนี้เป็นของพี่เมือง เขาเพิ่งปล่อยน้ำลงนาจึงทำให้ฉันกับแฝดจอมป่วนไม่ได้รับบาดเจ็บ และยังสามารถนั่งเล่นได้เพลิดเพลินคลายกังวล
“จะกลับหรือยังคะลูก เริ่มมืดแล้วน้า” ฉันหันไปถามพะแพงกับพลับพลึงเมื่อเห็นท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี เด็กแฝดยังสนุกกับธรรมชาติท้องทุ่ง พากันส่ายหน้าปฏิเสธแล้วเล่นน้ำในนาต่อ ฉันจึงอุ้มพะแพงกับพลับพลึงไปนั่งเล่นน้ำตามร่องนา น้ำเชี่ยวไหลเย็น เด็ก ๆ พากันหัวเราะครึกครื้นชอบใจ
ขณะฉันกำลังนั่งปั้นดินเหนียวนำไปตากแดดรำไรยามเย็น พะแพงกับพลับพลึงก็เก็บหินในร่องน้ำมาเรียงต่อกันบนคันนา ฉันก็ได้ยินเสียงรถยนต์ที่คุ้นมาจอดริมทางบนถนนจึงหันไปมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในใจร้อง ‘พ่อมา!’ ตะโกนดังลั่นจนตาเบิกโตกว้างอย่างตกใจ เล่นน้ำปั้นดินเพลินรู้ตัวอีกทีกำนันปีศาจก็มาตามล่าด้วยไม้มะยมแล้ว
เขาเด็ดก้านมะยมริมทางแล้วรูดให้ใบออกจนหมดจากนั้นก็ก้าวขาเดินลงมาจากเดินถนน ตัวยังไม่ใกล้แต่เสียงกลับลอยมาก่อนตัว “บ้านช่องไม่ต้องกลับมันละ มานั่งปั้นดินเล่นโคลนกลางนา ให้มันได้อย่างนี้” มือฉันยังคงจับช้างที่ปั้นจากดินเหนียวสายตามองไปยังคุณภาคอย่างหวาดหวั่น
คุณภาคกำนันปีศาจหยุดยืนอยู่ข้างหลังฉัน ร่างกายสูงใหญ่ย้อนแสงพระอาทิตย์ยามเย็นราวกับยักษ์ เห็นแล้วก็กลัว
“ไม่ใช่แบบนั้น พอดีว่า...” ไม่ทันได้อธิบายคุณภาคก็พูดตัดหน้าอย่างรู้ทัน
“ขี่รถลงนาแทนที่จะอุ้มลูกกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวทำแผล แต่กลับชวนกันเล่นดิน เล่นโคลน ทำนาเขาเสียหาย” ฉันเงยหน้ามองคุณภาคปีศาจอ้าปากค้างเถียงไม่ออก มือถือช้างดินเหนียวค้างไว้กลางอากาศ สิ่งที่เขาพูดมามันก็ถูกต้อง “เป็นเด็กโข่งหรือไง อายุเลขสามเป็นแม่คนจนจะลงโรงอยู่แล้วยังทำตัวเป็นเด็กเห็นน้ำในนาก็ปั่นจักรยานลงไปเล่น”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ พราวปั่นตกลงมาต่างหาก ก็พะแพงกับพลับพลึงไม่ยอมขึ้นนี่ เด็ก ๆ งอแง”
“ก็อุ้มกลับบ้านทั้งงอแงนั่นล่ะ ตามใจจนเด็กจะเสียคนแล้ว”
เปี๊ยะ! ก้านมะยมฟาดเหวี่ยงลงที่แขนฉันอย่างไม่เบามือ อีตากำนันภาคปีศาจช่างเป็นคนร้ายกาจ ฉันอยากจะกรี๊ดแตกใส่หน้าสักสองสามทีจนหูชาไปเลย ตอนก้านฟาดเหวี่ยงลงที่ผิวแขนเจ็บเหมือนโดนมดกัดแล้วแสบลึกถึงกระดูกชั้นในจนฉันต้องยกมืออีกข้างขึ้นมาลูบ
“เจ็บนะ! มาตีทำไมเนี่ย”
“ตีเด็กโข่งให้ได้สติน่ะสิ เป็นหัวหน้าแก๊งฟันน้ำนมหรือไง”
“เออ! เป็นแล้วจะทำไม” ฉันยืดอกขึ้นสู้ เชิดหน้าขึ้นสู้กับแสงแดดยามเย็นที่เริ่มคล้อยลง
“เถียงเก่งเหลือเกิน รับผิดหน่อยจะเป็นอะไรไป” พูดจบประโยคก็ฟาดก้านมะยมลงที่แขนฉันอีกข้างจนช้างดินเหนียวของฉันแบนติดคามือ
“อีตาคุณภาค เป็นปีศาจมาจากนรกเหรอ”
ดินเหนียวที่เคยปั้นเป็นรูปช้างถูกปาใส่คุณภาคอย่างโมโห ก่อนที่ดินเหนียวที่เปียกชิ้นจะถูกโยนมาโดนคอและใบหน้าของคุณภาค เราสองคนก้มมองไปยังต้นสายปลายเหตุ ก็พบว่าพะแพงปาดินเหนียวเปียกน้ำใส่คุณภาค ปากเล็กยกยิ้มโชว์ฟันกระต่ายสองซี่ คุณภาคก้มตัวทำท่าเหมือนจะตีพะแพงฉันจึงรีบเอี้ยวตัวลงเพื่อจับพะแพงป้องกันก้านมะยมจากคุณภาค การกระทำของฉันว่องไวราวกับตะครุบกบด้วยมือเปล่า แต่อาจจะพลาดไปสักหน่อยเพราะดินเหนียวในนาดูดเท้าจึงทำให้ลื่นล้มทั้งยืนหน้าซุกลงโคลนนา พะแพงเป็นหมูดุ๊กดิ๊กเอี้ยวตัวหลบหลังพลับพลึงก่อนฉันกับคุณภาคจะหันไปมองเด็กแฝดที่ยืนต่อแถวเรียงตัวกันห่างจากเราสองคนประมาณหนึ่งเมตร
ปึ๊ก!
ไม่ทันที่ฉันกับคุณภาคจะเอ่ยปาก พลับพลึงก็ปาดินเหนียวที่อยู่ในมือใส่หน้าคุณภาคซึ่งกำลังเดินเข้าไปหาและโน้มตัวหวังจะอุ้มเด็กแฝดจอมซนกลับบ้านอย่างแม่นยำ ก่อนที่พะแพงกับพลับพลึงจะหัวเราะเสียงดังเอิ๊กอ๊ากหมุนตัวหลบมือคุณภาค ล้มลุกคลุกคลานไปกับโคลน สองแข้งขาของเด็กฟันน้ำนมวิ่งฝ่าโคลนไปคนละทิศละทาง ลำบากฉันกับคุณภาควิ่งไล่จับพะแพงกับพลับพลึงกลับบ้านด้วยสภาพที่ไม่ต่างอะไรจากการผ่านสงครามโคลน
“กลับไปบ้านเดี๋ยวจับฟาดแม่มันคนแรกเลย!”
“ใจร้าย” ฉันอุ้มพลับพลึงได้ก็เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาหาคุณภาคที่จับพะแพงขึ้นขี่คอ
“ยังจะพูดอีก พี่เมืองไปบอกที่บ้านว่าขี่รถตกนา ไอ้เราก็เป็นห่วงขับรถมาตาม นึกว่าจะหัวแตกเป็นแผล ดันนั่งแช่โคลนในนาเล่นน้ำในหนองน้ำอย่างกับควายแช่น้ำทั้งแม่ทั้งลูก” คุณภาคส่ายหัวคล้ายรับพฤติกรรมฉันไม่ได้
ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย เขาไม่เคยเล่นดินโคลนในนาหรือไง
คุณภาคอุ้มพะแพงกับพลับพลึงขึ้นหลังรถกระบะก่อนจะยกรถจักรยานของเมฆขึ้นตามหลัง เด็กแฝดตัวจิ๋วใช้มือเล็กป้อมเกาะที่ขอบรถเพื่อมองดูคุณภาคกับฉันด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น ปากก็พูดร้องเหมือนนกกระจิบนกกระจอก
“ปะป๊า”
“แมะเพา” (แม่พราว)
“ก่าย ๆ นด ๆ” (ไก่ ๆ นก ๆ)
พลับพลึงชี้นิ้วบางไปยังทุ่งนา สายตามองไปยังดินเหนียวที่ฉันปั้นแล้วจัดวางทำเป็นฟาร์มสัตว์บนคันนา “ก่าย ๆ”
ตอนแรกฉันกำลังจะปีนขึ้นหลังรถกระบะ แต่พอเห็นสายตาของพลับพลึงที่มองจ้องฉันแต่มือชี้ไปยังคันนาก็รีบถอยหลังลงรถของคุณภาคทันที
“คุณภาครอก่อน พราวไปเอาดินเหนียวที่คันนาก่อนนะ”
“ยัง! ยังไม่หยุดอีก เดี๋ยวจะโดนไม้มะยมอีกครั้งนะ”
“เอาดินเหนียวให้ลูก”
ฉันกระโดดหลบคนใจดุอย่างคุณภาคแทบไม่ทัน พอเบี่ยงตัวหลบไม้มะยมจากมือคุณภาคได้ ก็รีบวิ่งไปหยิบดินเหนียวรูปสัตว์ใส่เสื้อที่เปิดขึ้นจากหน้าท้องแล้วห่อม้วนพร้อมกับขุดดินเหนียวตักใส่เสื้อหน้าท้องเพิ่มอีกนิดหน่อยจะได้กลับไปปั้นที่บ้านต่อได้
“เห็นไหมน่ะว่ามันเลอะรถ”
“เลอะก็ล้างสิ” ฉันเถียงกลับอย่างไม่กลัวรีบใช้เสื้อห่อม้วนดินหวังให้ลูกได้เล่น พะแพงกับพลับพลึงรีบวิ่งมาเกาะขอบกระบะรถอีกฝั่งเพื่อมองดูว่าฉันได้ดินเหนียวกลับมาด้วยหรือเปล่า พอเห็นว่าฉันได้ดินเหนียวกลับมาทั้งสองคนก็หัวเราะชอบใจ ยกไม้ยกมือตบตีแปะ ๆ
“ฟาดสักคนดีไหม ทำหน้าทะเล้นจริงเชียว”
คุณภาคทำหน้าดุพะแพงกับพลับพลึงก่อนยกยิ้มขึ้น แต่เด็ก ๆ รู้งานรีบถอยหลังกรูหลับไปหลังรถจักรยานก่อนอ้อมตัวมาหลบหลังฉัน ฉันเห็นคุณภาคเผลอเพราะมัวแต่มองดูเด็กแฝดจอมซนวิ่งหนี ฉันจึงใช้มืออีกข้างแย่งไม้มะยมจากคุณภาคแล้วฟาดมือเขาไปหนึ่งหน
“นี่แน่ะ! อย่ามาตีลูกพราวนะ ไปขับรถเลยไป๊”
คุณภาคกระตุกมือหลบไม่ทันจึงโดนฉันใช้ก้านมะยมฟาดมือจนขึ้นสี เขาทำหน้าดุตอบกลับฉันราวกับปีศาจจอมอาฆาตก่อนเดินอ้อมไปนั่งทางคนขับรถโดยไม่บ่นอะไรอีก
ฉันใช้มือโอบกอดพะแพงกับพลับพลึงมานั่งที่ตักอากาศเริ่มเย็นลง เดี๋ยวรถวิ่งอาจทำให้เด็ก ๆ หนาวและไม่สบายได้ จึงใช้แผ่นหลังของตัวเองเป็นเกาะบัง แต่แล้วก็มีความอบอุ่นเข้ามาห่มตัวฉันจากทางข้างหลัง
“คลุมเสื้อไว้ เดี๋ยวไม่สบาย” คุณภาคปีศาจใช้เสื้อหนังสีดำคลุมแผ่นหลังฉัน เขาคงหยิบออกมาจากรถเมื่อกี้แน่ ๆ ก่อนหน้านี้ยังใช้ก้านมะยมตีฉันและไล่ตีเด็ก ๆ อยู่เลย ตอนนี้ทำเป็นคนดีไปได้
“อยากได้พอดีเลย” ฉันรีบดึงเสื้อที่คลุมไหล่ออกแล้วใช้คลุมข้างหน้าซึ่งพะแพงกับพลับพลึงนั่งตักแทน “ขอบคุณนะค๊า” น้ำเสียงขี้เล่นของฉันตะโกนบอกคุณภาครั้งท้ายเมื่อเขาเดินกลับเข้าไปนั่งในรถ
ถึงบ้านมีหวังฉันโดนพ่อกับแม่ด่าซ้ำเติมคูณสองแน่ ๆ คุณภาคนะคุณภาค ไม่อ่อนโยนแม้กระทั่งการขับรถ รู้ไหมว่านั่งข้างหลังรถกระบะในช่วงหน้าหนาวขณะตัวเปียกมันหนาวมากขนาดไหน
ความคิดเห็น