คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 9 นักปั้นฝัน [2]
ผมยังไม่ทันจะก้าวขาเดินไปไหน น้ำขิงเพื่อนของส้มก็เดินเข้ามากลางวง มือจับผมของนักเขียนหรือพราวแล้วกระชากจนหน้าเธอเงยขึ้นมองฟ้าในยามค่ำคืน ก่อนจะง้างมือตบหน้าพราวในเวลาอันสั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่มีใครได้ตั้งตัว
“นี่มันอะไรเวฟ ผู้หญิงคนนี้คือใคร” น้ำขิงเอ่ยถามผู้ชายที่นั่งกับพราวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดอย่างไร้สติ
ผมกำลังจะเดินเข้าไปห้ามเพราะเห็นพราวไร้ทางสู้และไม่อยากให้เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกันเกิดขึ้นในร้านอาหารไปมากกว่านี้ ก่อนหน้านี้แค่ส้มลุกขึ้นมาโวยวายและสาดน้ำใส่หน้าผมก็เรียกสายตาจากแขกในร้านมากพอแล้ว ยิ่งน้ำขิงใช้อารมณ์ในการพูดคุยก็ยิ่งเรียกสายตาของผู้คนมากขึ้น
“คุณนั่นแหละเป็นใคร?” แต่ผมคงคิดผิดพราวตะคอกตอบกลับทันทีเมื่อโดนรังแก “มาตบฉันทำไมไม่ทราบ”
“ฉันแฟนเวฟ จะตบมึงอีกสักหนก็ได้” จังหวะนั้นเป็นจังหวะที่ผมเอื้อมมือจะห้ามศึกการทะเลาะวิวาทของผู้หญิงแต่แล้วไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เศษส้มตำก็ปลิวว่อนมาโดนเสื้อผ้าผมตามด้วยจานตกลงพื้นเสียงดังจนแตก
พราวมือไวคว้าจานส้มตำปาใส่หน้าน้ำขิงแต่เศษซากกลับกระเด็นโดนผมที่อยู่ข้างหลัง...ผู้ชายทะเลาะกันก็ว่ารุนแรงแล้ว เจอผู้หญิงทะเลาะกันก็รุนแรงไม่ต่างจากผู้ชายเลย ผมไม่ทันได้ฟังว่าพราวหันไปพูดอะไรกับผู้ชายที่เธอมาด้วยเพราะน้ำขิงกรีดร้องโวยวายเสียงดังมาก ผมไม่สามารถห้ามคนอื่นได้ สิ่งที่ห้ามได้คือเพื่อนของตัวเองที่เป็นฝ่ายเริ่มเกมก่อน
“พอแล้วน้ำขิง พอได้แล้ว” ผมจับล็อกแขนน้ำขิงให้หันหลังชนพุงกลมของผมเมื่อเห็นว่าเพื่อนของตัวเองกำลังขาดสติรีบฉวยโอกาสง้างมือจะตบพราวซ้ำสอง เมื่อก่อนผมค่อนข้างอ้วนลงพุง จึงทำให้มีรูปร่างหนาสูงกลมตัวใหญ่เหมือนยักษ์ในร่างคน ยิ่งตอนที่ผมจับน้ำขิงซึ่งตัวผอมเล็กบอบบางสภาพที่ผู้คนมองมาก็คงไม่ต่างจากผู้ร้ายล็อกตัวหญิงสาวเป็นตัวประกัน
“ปล่อยนะไอ้ภาค ปล่อย”
ปึ๊ก...จะใช้คำว่าทุกอย่างเกิดขึ้นไวเพียงกระพริบตาอีกครั้งจะได้หรือไม่ เพราะมันเกิดขึ้นไวจนผมตั้งตัวไม่ติดจริง ๆ พราวถลาตัวมาหาน้ำขิงที่โดนผมล็อกตัวเธอใช้เข่าอัดน้ำขิงจนหลังเพื่อนสาวงอกระแทกพุงของผมจนจุก ผมไม่ทันได้ตั้งตัวเพราะตัวเอนคล้ายจะล้ม พราวก็ตาหน้าน้ำขิงซ้ำอีกหนจนน้ำขิงเอนตัวตามแรงทำให้ผมกลับมายืนตรงอีกครั้ง
“กูไม่ใช่เพื่อนมึงที่จะมาทำสถุนยังไงก็ได้”
พราวบอกกับน้ำขิงด้วยสายตาดุ ไร้ความเกรงกลัว ช่างเป็นผู้หญิงที่ตรงข้ามกับในนิยายที่เธอเขียนโดยสิ้นเชิง
“พอแล้วพราว พอ!”
“มึงสิพอ!” เสียงแหลมสูงตวาดแผดเสียงดังตอบกลับไปยังผู้ชายที่เธอมาด้วยอย่างไม่พอใจ “หยุดตอแหลสักที”
“ไปคุยกันในรถ”
ผู้ชายคนนั้นพยายามดึงพราวให้ออกจากสถานการณ์ที่ผู้คนต่างหันหน้ากันมามองและพยายามจะเข้ามาห้ามแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามา ได้แต่ยืนมองดูอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล นักเขียนที่ผมเคยคิดว่าเธอเป็นคนใจเย็นละเอียดละออในการเล่าเรื่องใจร้อนถึงขนาดสามารถเตะผู้ชายให้ล้มตัวงอกับพื้นหันมากระชากน้ำขิงเพื่อนของส้มออกจากมือผม
แรงเยอะอย่างกับช้าง...
“ไปโรงพัก! ฉันจะไปแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่น และทำให้เกิดความอับอาย คนสันดานต่ำตบคนอื่นกลางร้านอาหารต้องเจอฉัน”
พราวกระชากน้ำขิงที่ตัวงอเหมือนกุ้งมือกุมท้องด้วยความเจ็บปวดทำท่าทางร้องขอชีวิตแต่พูดไม่ออกไปตามพื้น เพื่อนในกลุ่มทั้งหญิงชายพยายามมาห้ามแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ แม้เธอจะหน้าตาดีเป็นต่อแต่ความดุยิ่งกว่าสัตว์ดุร้าย นี่มันนางมารจากนรกชัด ๆ ไม่ใช่นักเขียนรักโรแมนติกแล้ว ไร้ความเมตตาปราณีแถมปากจัด มือไวตีนไฟอีกต่างหาก
“ใครไม่เกี่ยวถอยไป ก่อนที่ฉันจะแจ้งข้อหาว่ามีส่วนร่วมทำร้ายร่างกายฉันให้หมด”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไปกันใหญ่ และผู้คนก็เริ่มแตกตื่น ในฐานะที่ผมอยู่ในเหตุการณ์และเป็นเพื่อนกับน้ำขิงด้วยความเป็นคนดีมีจิตใจชอบช่วยผู้อื่นโดยไม่หวังผลเป็นพื้นฐานจึงเข้าไปห้ามเหตุการณ์หวังว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะคลี่คลาย
“พอเถอะคุณ! ผมขอโทษแทนเพื่อนผมด้วย เรื่องแค่นี้เองอย่าทำเป็นเรื่องใหญ่เลยครับ”
“ฉันไม่ใช่คุณ ที่จะยืนนิ่งให้คนอื่นที่ไม่ใช่แม่สาดน้ำใส่หน้าแล้วเดินมาขอโทษแทนอย่างเสียศักดิ์ศรี ผิดก็คือผิด ถ้าคำว่าขอโทษมันใช้ได้ผล ตำรวจจะมีไว้ทำไม”
คำด่าเชิงเสียดสีสั่งให้ผมยืนนิ่งไม่คิดห้ามเหตุการณ์อีก สมองและจิตใจผมคิดทบทวนรวดเร็วดั่งมีเซลล์ประสาทส่วนหนึ่งได้รับการกระตุ้นให้จิตสำนึกความเป็นคนทำงาน
ที่ผ่านมาผมโดนเอารัดเอาเปรียบจากคำว่าเพื่อน ญาติ พี่ น้อง หลายครั้งหลายคราว ต่อให้ผมไม่ผิดก็ต้องเป็นฝ่ายขอโทษก่อนเสมอ และก้มหน้ายอมรับในสิ่งที่ผมไม่ได้ก่อ หรือต่อให้ผมผิดก็ต้องสำนึกมากกว่าเดิมหลายเท่า ข้อดีของมันคือทำให้ผมเป็นคนปล่อยวางง่าย จิตใจโล่งโปร่งสบายเพราะไม่คิดเยอะ แค่ทำหน้าที่ของตัวเองจบก็เพียงพอแล้ว แต่คำพูดนั้นทำให้ผมตระหนักได้ว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่เป็นการลดศักดิ์ศรีของตัวเองลง ตอนที่แม่มีชีวิตผมไม่เคยบอกรัก ไม่เคยกอดหรือขอโทษท่านเลยสักครั้ง ผมโกรธแม่ที่ทิ้งผมไปอยู่เชียงราย และพ่อก็บอกเสมอว่าแม่นอกใจพ่อมีผู้ชายคนใหม่อยู่ที่เชียงราย ถึงได้ขนข้าวของไปอยู่บนเขา ผมไม่เพียงแต่คิดและไตร่ตรองแต่กลับเคืองโกรธเก็บความขมขื่นไว้ในใจสะสมนานหลายปี จนกระทั่งผมไปเรียนต่อแล้วกลับมาประเทศไทยและรู้สึกว่าไม่ได้ติดต่อแม่มานานแล้ว พอกลับไปเชียงรายก็พบท่านเสียชีวิต นั่นคือเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกเสียใจมาตลอด
แต่ผมกลับเลือกที่จะให้อภัยส้มทั้งที่รู้ว่าเธอนอกใจ กำลังพูดคุยและคบหากับน้องชายตัวเองในวันที่ผมไม่ว่าง และผมก็สามารถขอโทษคนอื่นได้ง่ายเพียงแค่เจอกันไม่กี่วินาที
ความจริงแล้ว...
ผิดก็คือผิด คนบางคนต่อให้พูดคำว่าขอโทษ บางครั้งความโกรธแค้นก็ยังไม่หาย
ผิดก็คือผิด เรื่องบางเรื่องก็ไม่น่าให้อภัย แต่ผมก็ให้อภัยได้โดยไม่คิดมากและเก็บมาใส่ใจแม้เป็นคนถูกกระทำ
ผิดก็คือผิด เรื่องบางเรื่องต่อให้เป็นเรื่องที่ผิด ก็สามารถพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจกันได้ แต่ผมก็ไม่เคยพูดหรือถามเพื่อปรับความเข้าใจ
บางอย่างก็สายไปแล้ว ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไข
บางอย่างก็สามารถแก้ไขได้ แต่ผมกลับเลือกที่จะไม่แก้ไขและตัดสินใจให้เด็ดขาด
วันนั้นผมจึงกลับไปนั่งที่โต๊ะแม้ในร้านจะยังคงวุ่นวาย และมีตำรวจมาที่ร้าน ผมนั่งมองดูเหตุการณ์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลบนอาหาร พราวให้ตำรวจดำเนินเรื่องตามกฎหมาย เธอไม่ขอยอมคดี เธอเสียหน้า เธอเสียศักดิ์ศรี เธอโดนทำร้ายร่างกายและจิตใจทำให้คนอื่นดูถูกและเหยียดหยาม ทำให้เกิดความอับอายในที่สาธารณะ
“ภาค! ไอ้ใจทราม ส้มโกรธมึงอยู่นะเว้ย ทำไมไม่ไปง้อวะ แล้วเมื่อกี้กูยังเห็นมึงห้ามศึกน้ำขิงกับผู้หญิงคนนั้นอยู่เลย ทำไมมานั่งดื่ม นั่งสูบเฉย เหี้ยมจริง” ไอ้โต๋เพื่อนในกลุ่มของผมเอ่ยถาม แม้มันจะปากหมาไปหน่อยแต่ก็เป็นคนที่จริงใจดี ผมวางแก้วที่เพิ่งดื่มจนหมดลงบนโต๊ะ ก่อนที่มันจะใส่น้ำแข็งและเทเบียร์ให้ผมจนเต็ม
“ง้อไปก็เท่านั้น คนหมดรักกันแล้วยื้อให้กลับมากูก็คงเหมือนของตายอยู่ดี แม่กู...กูยังไม่เคยขอโทษหรือง้อเขาเลย จนแม่จากไป กูก็ทำได้แต่เคาะโรงบอกว่ากูเข้าใจเขาผิด โตมากูถึงเข้าใจว่าถ้าความรักมันไปต่อไม่ได้ก็แค่หยุดแล้วเดินจากกันไปด้วยดี”
“เฮ้ย...มึงโอเคไหมเนี่ย”
“มึงว่าถ้ามีผู้หญิงสาดน้ำใส่หน้ามึง มึงโอเคไหมวะ” ผมย้อนถามโต๋ “กูไม่โอเค”
“มึงใจแคบเกินไปนะภาค กับอีแค่สาดน้ำใส่หน้า” เพื่อนในกลุ่มของส้มพูดแย้งเมื่อได้ยินผมกับโต๋คุยกัน “ที่มึงไม่ชัดเจนกับส้ม คบกันตั้งนานแต่ไม่ยอมแต่งงาน ไม่มีอนาคตร่วมกัน มันก็เหมือนกักขังชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งไว้ในกรงทองไม่ใช่เหรอไง หรือคิดว่าตัวเองรวย บ้านทำธุรกิจหลายพันล้าน ต่อให้เลิกกับส้มก็มีผู้หญิงต่อคิวเรียงแถว เลิกกับส้มไปมึงก็อยู่ได้นี่ แต่ผู้หญิงน่ะมีมดลูกนะเว้ย เขามีอายุการใช้งาน บางทีมึงก็ต้องเห็นใจเรื่องนี้บ้าง ในจะสังคมที่ตั้งคำถามและต้องคอยตอบอีกล่ะ”
“ใจเย็นปอย! ถ้ามึงมองว่าผู้หญิงมีมดลูกต้องใช้งาน งั้นพวกกระเทย เกย์ที่ไม่มีมดลูกก็คงร้องขอความรักและร้องของานแต่งกันแล้วมั้ง พวกนั้นก็ยังรักกับแฟนดีนี่ อย่าเอาคำว่ามดลูกหรือเพศมากดดันกันดิวะ พูดอะไรก็เห็นใจเพื่อนบ้าง ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนสองคนดีไหม” โต๋เถียงแทนผม ตอนนั้นผมไม่ได้ตอบโต้แต่กลับยกแก้วเบียร์ขึ้นมาดื่มฟังเพื่อนเถียงกัน
“กูว่าคนเราทะเลาะกันมันไม่ผิด ต่างพ่อต่างแม่มาคบกันก็มีเรื่องให้ไม่เข้าใจกันอยู่แล้ว แต่เรื่องการทำร้ายร่างกายต่อให้เป็นที่ลับหรือที่สาธารณะมันไม่มีใครโอเคหรอกเว้ย” บีบีเพื่อนของส้มพยายามอธิบายให้ปอยฟัง “แล้วเรื่องนี้ต่อให้ส้มจะตัดสินใจเลิก ภาคจะตัดสินใจไม่ง้อและให้ทุกอย่างจบแค่นี้ พวกเราที่เป็นคนนอกก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของพวกมัน”
“ส้มเพื่อนแกนะบี” ปอยแย้ง
“แต่ภาคก็เพื่อนกูเหมือนกัน โต๋ก็เพื่อนกู คินทร์ อราม นาม หนึ่ง เบนซ์ ทุกคนก็เพื่อนกูหมด กูแค่เคารพการตัดสินใจของเพื่อน ไม่ได้แบ่งแยก ต่อให้คิดแทนก็ไม่ได้อยากจะให้มันมาเอาคำพูดหรือความคิดกูไปเหวี่ยงใส่ชีวิตพวกมัน จนทำให้พวกมันทุกข์ไม่มีความสุข”
“เออ...กูขอโทษ”
“พอแล้ว ไม่ต้องเถียงกันหรอก ยังไงทุกคนก็หวังดีกับเรา กับส้ม แต่อาจจะเพราะว่ากูไม่รักษามันไว้เองแหละ ส่วนเรื่องค่าปรับแล้วก็ค่าอาหารกูออกเงินให้แทนละกัน” ผมหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าสตางค์ปึกใหญ่ให้โต๋เก็บไว้ “ฝากมึงจัดการด้วย กูขอตัวกลับบ้านก่อน”
“อืม...ถ้าไม่สบายใจยังไงก็โทรมานะ”
หลังจากผมกลับมาถึงคอนโดใจกลางเมืองขนาดพื้นที่ใหญ่ 200 ตารางเมตรหวังพูดคุยกับส้มให้เข้าใจ ผมก็พบว่าส้มกำลังขนย้ายข้าวของออกจากห้อง ตอนนั้นผมไม่ได้ขอร้องหรือห้ามปราม เพียงแค่พูดคุยกันเล็กน้อยและปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปในแบบที่มันควรจะเป็น
เมื่อส้มตัดสินใจเลิกกับผมอย่างเด็ดขาด ผมก็ตัดสินใจดำเนินชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการโดยไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง เก็บของใส่กระเป๋าเดินทางไปจังหวัดเชียงรายเพื่อพักอาศัยที่บ้านของแม่ ในพื้นที่สวนภูมะขามซึ่งตาชินและยายเล็กเป็นเจ้าของพื้นที่ ผู้ใหญ่ในบ้านรับรู้ว่าผมคบกับส้มตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่เชียงราย เมื่อเห็นว่าผมปรับปรุงบ้านและย้ายมาอยู่ที่นี่ท่านก็พอเข้าใจเหตุการณ์ในชีวิตของผมบ้าง น้าเอื้องมาถามผมเกี่ยวกับเรื่องของส้ม ผมบอกเพียงว่า “เลิกกันแล้วครับ” แต่ไม่ได้อธิบายถึงเหตุผล โชคดีที่น้าเอื้องเป็นคนเข้าใจผู้อื่นจึงไม่ได้เซ้าซี้พูดจารบเร้าเพื่อให้ผมบอก
อาจเพราะน้าเอื้องเห็นผมวัน ๆ เอาแต่ดูแบบต่อเติมบ้าน หรือไม่ก็ให้ช่างมาทำฟาร์มไก่ไข่ และฟาร์มกบที่สวนมะขาม แกจึงชวนผมให้เป็นสารถีขับรถพาเพื่อน ๆ ที่เรียนวิทยาลัยด้วยกันเที่ยวชมจังหวัด และวั้นนั้นผมก็ได้พบกับนักเขียนตัวแสบอีกครั้ง ‘พราว’
เรื่องที่เธอเขียนในนิยายหลาย ๆ เรื่อง สถานที่ที่เธอบรรยายไม่รู้ว่ามาจากจินตนาการหรือชีวิตจริงจากที่บ้านของเธอ แต่ผมก็สร้างมันขึ้นที่สวนภูมะขาม ไม่ว่าจะเป็นฟาร์มไก่ไข่ ฟาร์มกบ ฟาร์มวัวนม และมีสวนสตรอว์เบอร์รีเล็ก ๆ บนภูมะขามที่ออกดอกออกผลได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เหลือแค่รีสอร์ตที่ผมยังไม่ได้ทำให้เหมือนในนิยายที่ผมอ่าน เพราะต้องใช้เวลาในการปรับภูมิทัศน์บนพื้นที่ที่รกร้าง เนื่องจากคนในครอบครัวของแม่ส่วนใหญ่รับราชการและเป็นผู้ดีเก่าที่ค่อนข้างหวงที่ดิน ทุกอย่างจึงค่อยเป็นค่อยไป ผมเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบขัดแย้งกับใครจึงเน้นการสร้างให้เห็นภาพแล้วเจรจาความทีละเรื่อง โดยเริ่มสร้างฐานอำนาจให้ตัวเองในพื้นที่ชุมชนโดยการมีส่วนร่วมกับคนในพื้นที่ หวังว่าตัวเองจะได้เป็นผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันที่สามารถพัฒนาคนในชุมชนได้
“ภาคก็โสด พราวก็โสด ไม่ลองคบกันดูล่ะ” ขณะกำลังล้อมวงกันกินปิ้งย่าง พวกผู้ใหญ่ก็พูดขึ้นด้วยเสียงหัวเราะหยอกล้ออย่างมีความสุข
ผผมเหลือบมองพราวแวบหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดและหัวเราะเชิงล้อเล่น “เพิ่งจะเจอกันครั้งแรก จะคบกันได้ยังไงคะ”
เจอกันครั้งแรกเหรอ? หรือเธอจำผมไม่ได้
“พราวไม่ใช่สเป็กพี่ภาค พี่ภาคก็ไม่ใช่สเป็กพราว แม้พราวจะขี้เหล่แต่พราวก็ขอเลือกหน่อย พราวชอบผู้ชายแข็งแรง แข็งแกร่ง เป็นผู้นำ กล้ามเน้น ๆ ดูแล้วตื่นตาตื่นใจหวีดว้าวน้ำลายไหล รักพราวคนเดียว พราวคือที่หนึ่งในใจ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในละคร ดังนั้นดูละครกับซีรีส์ดีกว่าค่ะ อย่าหวังในชีวิตจริงเลย ล่าสุดพราวเพิ่งโดนแฟนที่คบกันหลายปีอกหัก พูดแล้วแค้นใจ อยากจับมันมาเฉือนเนื้อปิ้งย่างกินให้เข็ด”
“ผู้หญิงอะไรโหดขนาดนี้” แม่ของพราวตำหนิแต่ยังคงเส้นเสียงอารมณ์ดีแซวลูกสาว น้าเอื้องและกลุ่มเพื่อนต่างพากันหัวเราะและปลอบใจพราวว่าอย่าสนใจ
ด้านน้าเอื้องก็หันมามองผม “เมื่อก่อนพี่ภาคผอม หุ่นดีมากเลยนะ เป็นนักกีฬาโรงเรียนด้วย สาว ๆ โทรมาที่บ้านบ่อยมาก น้ารับสายประจำ”
ผมใช้ตะเกรียบคีบหมูสามชั้นจิ้มซอสสุกี้เข้าปาก ขณะเคี้ยวก็เหลือบมองพุงของตัวเองที่วางกองบนตักจนแทบไม่เห็นปลายเท้า ก่อนเงยหน้ามองพราวที่นั่งตรงข้าม สายตาของเราเหลือบมองกันนิดหน่อย ภาษาที่สื่อมาทางสายตาทำให้ผมพอรับรู้ว่าพราวไม่เชื่อในสิ่งที่น้าเอื้องพูด ผมเองก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าร่างกายตัวเองจะเดินทางมาถึงขั้นบวมน้ำเป็นอึ่งพองลมได้ยังไง
“เค้าโครงพี่ภาคก็หล่ออยู่นะคะ แค่ไม่ได้ดูแลตัวเอง รักตัวเองเมื่อไหร่ก็คงกลับมาหล่อเหมือนเดิม”
“ตายจริงดูพูดจาเข้า” แม่ของพราวใช้ตะเกรียบตีแขนของเธอ จากนั้นคนในวงก็หันมามองผมแล้วหัวเราะ
“จริงด้วย ภาคเค้าก็ดูหล่ออยู่นะ” แม้ทุกคนจะแซวว่าอ้วน แต่ก็คีบของกินอร่อย ๆ มาวางในจานผมจนพูดเต็ม ต่อให้ผมบอกว่าอิ่ม เพื่อนของน้าเอื้องก็ยังหยิบยื่นความปราถณาดีส่งมอบของอร่อยใส่มือผมตลอด เพื่อนหน้าเอื้องมาเที่ยวที่จังหวัดเชียงรายประมาณสามวัน ก่อนแยกย้ายกันกลับ
เวลาผ่านไปประมาณสองอาทิตย์ ผมได้รับข้อความจากพราวผ่านเฟซบุ๊ก เธอติดต่อมาถามเกี่ยวกับการทำฟาร์มไข่ ฟาร์มกบ และวัวนมที่ผมโพสต์ลงในโซเชียลและเพจที่เพิ่งสร้างได้ไม่นาน
พราว : สวัสดีค่าพี่ภาค สบายดีไหม จำพราวได้หรือเปล่า คนที่น่าตาดี ๆ เป็นลูกสาวของเพื่อนน้าเอื้องน่ะค่ะ
ผมอ่านข้อความแล้วก็อดสงสัยและอมยิ้มไม่ได้ ทักมาเพื่อหลงตัวเองเหรอ?
พราว : คนนี้ค่ะ
พราวคงกลัวผมจำไม่ได้ เธอจึงส่งรูปภาพที่ผมเป็นคนถ่ายรูปให้เธอกับแม่ส่งให้ผมดู
ภาค : จำได้ครับ
จะจำไม่ได้ยังไงล่ะ ผมยังติดตามผลงานออนไลน์ของพราว แม้ไม่ได้ตามติดชีวิตแต่เรื่องของเธอก็ทำให้ผมตระหนักคิดและทบทวนตัวเองหลายอย่าง ตัวอักษรที่พราวพิมพ์เผยแพร่สู่สาธารณะทำให้ผมได้คิดวิเคราะห์ ปั้นฝันจนเป็นรูปเป็นร่างทั้งที่ก่อนหน้ารู้สึกเหมือนชีวิตกำลังหมดสิ้นแล้วความหวัง
พราว : พราวกำลังจะเปิดนิยายเรื่องใหม่ อยากเขียนเกี่ยวกับการทำฟาร์มไข่ไก่ ให้เจ้าของเป็นคนเลี้ยงไก่ไข่ พี่ภาคพอจะสะดวกเล่าเกี่ยวกับการดูแลไก่ เก็บไข่ ซื้อขายให้พราวฟังหน่อยได้ไหม พราวอยากรู้รายละเอียดแล้วก็ดูฟาร์มไก่ด้วย ถ้าพี่ภาคใจดีหรือว่างช่วงไหนพราวขอวิดิโอคอลไปหาแล้วพี่ภาคเปิดกล้องให้พราวดูฟาร์มหน่อยได้หรือเปล่าคะ
ข้อความถูกพิมพ์มายืดยาวเพื่ออธิบายเหตุและผลของเธอให้ผมเข้าใจ สมกับเป็นนักเขียนนิยายจริง ๆ พิมพ์เยอะมาก ช่างต่างจากช่วงเวลาที่เจอกันต่อหน้าเสียจริง ตอนมาเชียงรายพราวไม่แม้แต่จะอยู่ใกล้ผม เธอพยายามเลี่ยงหลบ ไม่เดินผ่าน ไม่เดินใกล้ และไม่พูดคุยกับผมตรง ๆ จะพูดอ้อมค้อมคุยกับผู้ใหญ่มากกว่า
ภาค : เย็นนี้พี่เข้าฟาร์มไปให้อาหารไก่ อยากดูไก่ไหมล่ะ
พราว : ยินดีค่ะ วิดิโอคอลมาเลยนะคะ พราวจะรอ
นับตั้งแต่วันนั้นเราสองคนก็เริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับฟาร์มทุกเย็น เนื่องจากผมอ่านนิยายของเธออยู่แล้ว ผมจึงรับรู้ว่าเรื่องใหม่ที่พราวเขียนออนไลน์ เธอนำเรื่องของผมไปเขียนและดัดแปลงเป็นนิยาย
ในขณะที่บ้านผมไม่มีสุนัขโกลเด้นท์ พราวก็ดัดแปลงเรื่องราวให้บ้านของผมเลี้ยงสุนัข
ในขณะที่ผมยังคงตัวอ้วน หนวดเครารุงรัง พราวก็บรรยายให้ผมดูดี มีกล้ามเนื้อแขนและหน้าท้องเป็นมัดขึ้นเงา
ผมมองดูสภาพตัวเองในกระจกและอ่านสิ่งที่พราวบรรยาย ทำให้ผมถึงขั้นกุมขมับ ‘ผมมีกลิ่นตัวเปรี้ยวด้วยเหรอ มันเหม็นเขียวขนาดนั้นเลยหรือไง’
ผมทำการลดน้ำหนักโดยการคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างง่ายที่บ้าน พอเข้าสวนหรือฟาร์มจากที่ยืนสั่งลูกน้องและช่างก็ลงมือทำเพิ่มอีกแรง ปรากฏว่าน้ำหนักผมลงเร็ว หนวดเคราที่ขึ้นผมก็จัดการโกนจนเกลี้ยงเกลา กลับมาเป็นภาคคนเดิม...คนที่รักตัวเองอีกครั้ง
ช่วงนั้นสุนัขพันธุ์โกลเด้นของโซ่กับข้าวปุ้นที่เลี้ยงไว้ออกลูกพอดี ผมจึงขอรับเลี้ยงหนึ่งตัว ที่บ้านผมจะได้มีสุนัขคล้ายนิยายที่พราวแต่ง ผมขับรถไปรับสุนัขของโซ่ถึงที่กรุงเทพฯ โซ่ตกใจที่เห็นว่าผมกลับมาผอมอีกครั้ง มันจึงถ่ายภาพผมกับโกลเด้นท์ก่อนส่งภาพนั้นให้ผมในวันถัดมา เมื่อผมได้รับภาพผมก็ส่งให้พราว
ภาค: ผมได้หมาตัวใหม่มา ตั้งชื่อว่าอะไรดี
พราว: พี่เบิ้ม ตั้งชื่อว่าพี่เบิ้มดีไหมคะ
พราว: อีกหน่อยต้องตัวใหญ่และซนแน่ ๆ
ได้ยินชื่อแล้วก็นึกขำ ตั้งชื่อตรงกับสุนัขในนิยายที่ตัวเองแต่งซะงั้น ผมใช้เวลาคุยกับพราวส่วนใหย่ผ่านโซเชียลและวิดิโอคอลเป็นหลัก พราวจะให้ความสนใจกับฟาร์มเป็นพิเศษ หากผมมีโอกาสได้ไปภูมะขามตรงจุดที่แม่เสียชีวิต แต่ในใจกลับนึกหวั่นกลัว เสียใจ คิดถึง ผมก็จะวิดิโอคอลหาพราว แล้วให้กล้องหันไปมองยังวิวทิวเขาที่เห็นพระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าในแต่ละวันไม่เคยเหมือนกัน แต่สภาพจิตใจของผมก็ยังเหมือนเดิม ผมไม่อยากให้พราวเห็นผมเศร้า แต่ผมอยากเห็นเธอมีความสุขเมื่อได้มองยังวิวบนภูมะขาม
ผมกลายเป็นหนุ่มบ้านนอกอาศัยอยู่ในสวนและฟาร์มใหญ่ต่างจังหวัด แต่หันกลับมารักตัวเองมากขึ้น แม้จะทำงานอยู่ในฟาร์มผมก็ยังยึดติดกับข้อความของพราวที่บอกในนิยายตอนพระเอกทิ้งโลกภายนอกติดอยู่ในความเจ็บปวดแล้วขังตัวเองในพื้นที่ปลอดภัยปราศจากผู้คน
“เหตุผลของเรามักถูกเสมอในมุมของตัวเองแต่ไม่ได้หมายความว่าถูกในมุมของคนอื่น ต่อให้ใครจะดูถูกเรา เราอย่าดูถูกตัวเอง ต่อให้ใครไม่รักเรา เราอย่าลืมรักตัวเอง ต่อให้โลกนี้จะไม่น่าอยู่ การงานจะไม่มีเกียรติไม่มีศักดิ์ศรีในสายตาผู้อื่น อยู่ในสถานที่หรืออาชีพที่ไม่เหมาะแก่การแต่งตัวหล่อสวย แต่ก็อย่าลืมดูแลตัวเอง ยกจิตใจและร่างกายตัวเองให้มีสง่าราศีแม้อับแสงส่อง ทรงผมที่ดูดี ใบหน้าที่สดใส เครื่องแต่งกายไม่ต้องแพงมากแต่แต่งแล้วสบายตาเพิ่มความเชื่อมั่น เราสามารถเสริมแต่งให้ตัวเองดูดีได้ ต่อให้ใครไม่เห็น ไม่มอง แต่เราสามารถมองตัวเองและยิ้มให้กำลังใจตัวเองได้เสมอไม่ใช่เหรอ...คุณภาคปีศาจผู้ปิดหัวใจในฟาร์มสัตว์”
เปลี่ยนชื่อพระเอกหน่อยก็ได้มั้ง...ไม่คิดว่าผมจะบังเอิญอ่านนิยายของเธอบ้างเหรอ นินทาผมให้คนอื่นได้อ่านแบบนี้ ผมไม่โหดร้ายฟ้องเธอกลับก็นับว่าใจดีแล้ว
งั้นก็กักขังหน่วงเหนี่ยว เรียกลิขสิทธิ์นักเขียนโดยการให้แต่งงานด้วยแล้วย้ายมาอยู่ที่เชียงราย โทษฐานที่นำชื่อผมและเรื่องราวของผมไปเผยแพร่ต่อสาธารณชนก็แล้วกัน หวังว่านักเขียนจะยินยอมและรับข้อเสนอที่ผมนั่งคิดมาหลายวัน
ผมหวนคิดถึงเรื่องราวเก่า ๆ ที่ทำให้เราสองคนได้พบเจอ และเวียนกลับมาพบกันอีกครั้ง จนกระทั่งแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกันแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ ก่อนจะแสร้งทำเป็นนิ่งขรึม บิดลูกบิดเปิดประตูเข้าห้องพร้อมน้ำดื่มและแก้ว
เมื่อเข้ามาในห้องก็พบว่าพราวนอนแผ่ร่างอยู่กลางเตียง กางแขนขาเป็นปลาดาวลอยน้ำ
นี่แกล้งนอนหรือนอนจริง ?
“น้ำมาแล้วคุณนาย” ผมเทน้ำใส่แก้วแล้วเรียกพราวให้ตื่นออกมาจากฝันที่แกล้งนอน “นี่! ไหนบอกหิวน้ำไง ตื่นมากินสักแก้วสิ” ผมวางแก้วบนหัวเตียงก่อนใช้มือสะกิดแขนเรียกพราว
ผมก้มลงมองดูพราวใกล้ ๆ เปลือกตาปิดแต่ขนตาสั่นคล้ายคนแกล้งนอน ‘หลอกใช้ผมสินะ แล้วแกล้งนอนเพราะกลัวโดนดุเรื่องเมากลับบ้าน นึกว่ารู้ไม่ทันเหรอ’
“ถ้าไม่ตื่นมาดื่มน้ำ จะจูบอีกครั้งนะ” ผมกระซิบข้างหู แต่พราวก็ยังไม่ยอมลุกขึ้น ปากเธอขยับเล็กน้อยเห็นแล้วมันก็อดใจไม่ไหว “หนึ่ง สอง...”
ยังนับไม่ถึงสามและผมก็ยังไม่ทันได้จูบ ยัยตัวแสบก็ลืมตาขึ้นใช้มือกอดคอผมให้โน้มตัวเข้าไปหาแล้วจูบผมกลับ ขาเกี่ยวตัวผมให้ทิ้งร่างทับเธอจนมิดแล้วพันไม่ให้ผมดิ้นหรือลุกไปไหน ขณะเคลิ้มและมือกำลังเคลื่อนไปยังจุดนุ่มนิ่ม ภรรยาตัวแสบก็ร้องโวยวายเสียงลั่นห้อง
“แม่ช่วยด้วย! พี่ภาคจะปล้ำหนู!”
ความคิดเห็น