ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 8 รับเลี้ยงเพราะความจำเป็น [2]
“คิดว่าภาคจำไม่ได้เหรอว่าเราสองคนมีอะไรกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” ไม่ทันที่ส้มจะตอบ ผมก็ถามส้มเพิ่มเติม “แล้วส้มคิดว่าภาคไม่รู้เหรอว่าเหตุผลที่ส้มบอกเลิกคืออะไร”
“ภาค! ภาคกำลังดูถูกส้มอยู่นะ”
“ก็ดูถูก…ไม่ได้ดูผิดนี่” ผมยกแขนขึ้นมากอดอก หลังพิงพนักเก้าอี้ สายตาจ้องจับผิดส้ม ผู้หญิงที่ผมเคยรักและไว้ใจ
มันก็แค่อดีต
“พูดแบบนี้หมายความว่าไง ภาคกำลังจะบอกว่าส้มโกหกเหรอ พาพะแพงไปตรวจ DNA ก็ได้นะ” ส้มพยายามพูดท้าทายปนน้ำเสียงประชดหวังให้ผมเชื่อในสิ่งที่เธอบอก
“ต้องการอะไร? ต้องการให้ภาครับบทเป็นพ่อของเด็กหรือต้องการให้ภาคเลิกกับภรรยาแล้วเราสองคนกลับไปคบกันเหมือนเดิม”
“รับ…” ผมไม่ทิ้งช่องว่างให้ส้มตอบคำถามเพราะไม่ว่าคำตอบจะคืออะไรผมก็ไม่ตกลง
“เรื่องเลิกกับภรรยาภาคไม่เลิกแน่นอน และไม่คิดจะเลิกด้วย ส่วนเรื่องรับผิดชอบเด็กคงไม่รับ” ผมยกยิ้มขึ้น กุมหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นแขน
“แล้วพะแพงลูกของเราล่ะ ภาคไม่คิดจะรับผิดชอบเลยเหรอ” น้ำตาใสแต่ไม่บริสุทธิ์ใจไหลลงมาเชื่องช้า ผมแพ้น้ำตาผู้หญิงนะ แต่กรณีนี้ผมขอเว้น
“ภาคจะรับผิดชอบได้ยังไง ในเมื่อเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของภาค แต่...จะให้ภาครับผิดชอบพะแพงในฐานะลุงก็พอได้”
ส้มเม้มปากอวบอิ่มเข้าหากัน ดวงตากลมโตกระพริบตาถี่ “พูดอะไรน่ะ ลุงอะไร”
“ทำไมไม่ไปคุยกับเภาก่อน หรือคุยกับมันแล้วแต่มันไม่ยอมรับ”
ความสัมพันธ์ของผมกับส้มเริ่มจืดจางหลังจากแม่ของผมเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายและเป็นข่าวโด่งดังในพื้นที่ ผมเก็บตัวเงียบ วัน ๆ เอาแต่ดื่มเหล้า ซึมเศร้าจนต้องเข้ารับการรักษากับจิตแพทย์ ผมจำได้ว่าวันที่แม่เสียชีวิต ผมเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ผมตั้งใจว่าจะไปเซอร์ไพรส์วันเกิดแม่พร้อมใบปริญญาโทฉบับที่สอง แต่ไม่คิดว่าสิ่งที่พบเจอจะเซอร์ไพรส์กว่า ภาพแม่ที่แขวนคอด้วยเชือกผูกติดกับต้นมะขามยังติดอยู่ในความทรงจำไม่เคยลบเลือนจางหาย
การได้ดื่มสุรากับเพื่อนในสถานบันเทิงทำให้ผมลบเลือนเรื่องราวไปได้บ้าง แต่ก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แม้ผมจะอยู่ในช่วงจิตตกต่ำยากฟื้นฟูแต่ผมก็ไม่เคยละทิ้งงานที่พ่อมอบหมายให้ดูแล ไม่เคยละทิ้งงานที่ลงทุนกับลูกพี่ลูกน้อง ยังคงทำงานตามปกติ เลิกงานก็นั่งกินนั่งดื่มไม่รักษาสุขภาพ จากร่างกายกำยำแข็งแรงรักษาความสะอาด เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็เริ่มอ้วนลงพุง ไว้หนวดไว้เครา สภาพเช้าตื่นไปทำงานเย็นเมาหัวราน้ำ
แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีและผมก็ทำใจได้แล้วกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของแม่ แต่สมุดบันทึกที่ผมพบเจอในห้องนอนของท่านทำให้ผมต้องทิ้งธุรกิจในกรุงเทพฯ ให้ ‘โซ่’ ลูกพี่ลูกน้องที่ร่วมทำธุรกิจด้วยกันเป็นคนสานต่อ ส่วนตัวผมย้ายถิ่นฐานกลับมาอยู่เชียงรายและพยายามผลักดันตัวเองให้ก้าวไปเป็นผู้นำชุมชนเพื่อสืบหาเบาะแสเรื่องราวที่แม่บันทึกเกี่ยวกับการค้าขายที่ดินผิดกฎหมายให้นายหน้า ผมคิดและสงสัยมาโดยตลอดว่าการตายของแม่ผมไม่แน่อาจมีเบื้องลึกเบื้องหลังซ่อนอยู่ แต่กลับถูกปิดคดีโดยผู้มีอิทธิพลอย่างง่ายในเวลาอันสั้น
เพราะเหตุนี้จึงทำให้ผมไม่มีเวลาให้กับส้ม ความสนใจของผมพุ่งเป้าไปที่งานและการพัฒนาพื้นที่ในไร่มะขามจังหวัดเชียงราย พื้นที่ทองขนาดใหญ่ราคาสูง การเป็นคนธรรมดาไร้ชื่อ แม้มีเงินแต่ไร้อำนาจบางครั้งก็ไม่สามารถปกป้องสิ่งสำคัญในชีวิตได้ การสร้างอำนาจในพื้นที่จนขยายเป็นวงกว้างต่างหากที่สร้างเกราะป้องกันและสามารถปกป้องสิ่งที่ผมรักได้
“เภาเกี่ยวอะไรด้วย”
“ทำอะไรน่าจะรู้อยู่แก่ใจ หรือต้องให้ภาคบอกถึงจำความได้”
ช่วงเวลาที่ผมกำลังต่อสู้กับความเศร้าและงานที่รุมเร้า ‘เภา’ น้องชายของผมปิดเทอมและกลับมาประเทศไทย ความสัมพันธ์ของส้มกับเภาจึงก่อตัวขึ้น เภามาพักที่คอนโดผมค่อนข้างบ่อย และไปไหนมาไหนกับส้มสองต่อสองหลายครั้ง ผมเริ่มระแคะคะคายหลังจากสัวเกตว่าทั้งสองคนลงรูปสถานที่เดียวกันบ่อย ต่างกันแค่ถ่ายภาพคนละมุม ลงสื่อโซเชียลคนละวัน
“ภาค ภาครู้เรื่องเหรอ” ลมปากเสียงแผ่วเบาดังกระท่อนกระแท่นแล้วหายไป “ส้มพลาด...ไม่ได้ตั้งใจ”
“เข้าประเด็นเลยดีกว่า คุณต้องการอะไร แล้วโกหกผู้ใหญ่แบบนั้นทำไม”
ผมหยิบบุหรี่ออกมาจากสาบเสื้อจุดไฟแล้วสูบพ่นควันระบายความเครียด พยายามปกปิดสีหน้าและแววตาของความเจ็บปวดจากความผิดหวังที่ได้รับจากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งผมเคยรักสุดหัวใจ ผมลุกขึ้นออกจากเก้าอี้ที่นั่งพ่นควันหันไปทางอื่น
“ส้มพูดไปแล้ว ผู้ใหญ่ทุกคนก็รับรู้แล้ว หรือภาคอยากให้ส้มขายหน้าผู้ใหญ่ เอาแบบนั้นก็ได้นะ ส้มเดินไปบอกญาติผู้ใหญ่ของภาคก็ได้ว่าเด็กคนนั้นคือลูกของเภา น้องชายของภาคน่ะ”
“ก็เดินไปบอกสิ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเชิงท้าทาย
“ลืมเหรอว่าเภากำลังจะแต่งงานกับลูกเจ้าสัวเดือนหน้า” ส้มลุกขึ้นมาหาผมที่โยนบุหรี่ทิ้งบนพื้นแล้วเหยียบบี้ดับไฟ สูบนานกลิ่นอาจติดตัวโดนพราวบ่นด้วยท่าทางแขยงยกมือขึ้นมาปิดจมูกต่อหน้าต่อตา ถ้าเป็นแบบนั้นผมจะรู้สึกเสียความมั่นใจจนต้องอาบน้ำแปรงฟันใหม่ทุกที “พ่อของภาคเพิ่งทำธุรกิจกับเจ้าสัว ภาคคงไม่อยากเห็นน้องตัวเองงานแต่งล่ม ธุรกิจพ่อพังหรอก...จริงไหม”
ส้มทิ้งน้ำเสียงหวานปิดท้ายประโยคและส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้ผมอย่างเหนือกว่า น้ำตาถูกหลังมือเช็ดออกไม่ทิ้งคราบ เสียใจด้วยนะ ผมเปลี่ยนไปแล้ว
“ภาคกับพ่อ เราสองคนไม่ร่วมธุรกิจกันแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องข้องเกี่ยวกันอีก ส่วนเรื่องของเภาปล่อยให้มันจัดการเอง ส้มควรจะคุยกับเภามากกว่าภาคนะ ไม่ใช่อุ้มเด็กมาที่นี่ เพื่อบอกใครต่อใครว่าคือลูกภาค”
“เภาขู่ว่าจะฆ่าส้มกับลูก หากส้มทำงานแต่งของมันพัง ส้มโดนมันทำร้ายร่างกายเกือบเอาชีวิตไม่รอด ดีที่อุ้มลูกหนีมาได้หนึ่งคน ส่วนอีกคนเภามัน...เภามันเอาไปทิ้งที่ศูนย์เด็กกำพร้า”
“แต่งเรื่องเหรอ น้ำเน่า! แม้ภาคกับเภาจะไม่ได้สนิทกันเหมือนพี่น้องคนอื่น แต่ภาคก็พอรู้ว่าเภามันไม่เลวถึงขนาดไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเอาลูกตัวเองไปทิ้งที่ศูนย์เลี้ยงเด็กกำพร้าหรอก อย่างน้อยมันก็คงเอาเงินให้ส้มเพื่อปิดปาก”
“ดูนี่!” ส้มเปิดเสื้อแขนยาวและถอดแว่นตาออกให้ผมดูรอยแผลบนตัวและใบหน้า “ดูสภาพส้ม ส้มอุ้มลูกหนีรอดมาได้หนึ่งคนก็ถือว่าดีมากแค่ไหนแล้ว ส่วนลูกอีกคนส้มจะตามกลับมาทีหลัง”
“เภา...ไม่น่าจะทำร้ายใคร แม้มันจะมีเรื่องชกค่อยกับเพื่อนสมัยเรียนจนพ่อจับส่งมันไปเรียนที่ต่างประเทศ แต่มันก็ไม่น่าจะทำร้ายผู้หญิงและเด็ก อีกอย่าง...ในเมื่อเภาจะแต่งงานกับลูกเจ้าสัว ถ้ามันทำรุนแรงขนาดนี้ ลูกเจ้าสัวก็คงโดนด้วยเช่นกัน เรื่องฉาวใครว่าจะปิดมิด”
ผมแซะส้มทิ้งท้าย ต่อให้เภาจะหัวรั้นไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนพ่อแม่และมีเรื่องชกต่อยที่โรงเรียนสมัยเด็กและวัยรุ่น แต่มันไม่ทิ้งลูกของตัวเองแน่นอน ที่ผมกล้ายืนยันเพราะก่อนที่พ่อจะส่งเภาไปเรียนต่างประเทศเพื่อดัดนิสัย เภาทำเพื่อนนักเรียนท้องและมาสารภาพกับพ่อที่บ้าน เภายืนยันจะเก็บลูกและจะทำงานที่โรงงานของพ่อเพื่อหารายได้เสริม แม้พ่อจะบ่นอบรมสั่งสอนด้วยคำพูดทิ่มแทงจิตใจ แต่พ่อก็ชื่นชมที่เภากล้าทำก็กล้ารับ แม้เด็กคนนั้นจะเสียชีวิตก่อนคลอดเพราะแม่ครรภ์เป็นพิษแต่เภาก็ทำบุญให้ลูกที่ไม่เคยเจอหน้าเสมอ
“ก็เภาเป็นน้องของภาคนี่ ภาคก็พูดได้สิ” ส้มถอนหายใจตอบกลับผม
ผมไม่ได้อยากเข้าข้างน้องชายตัวเอง ผมพอรู้บ้างว่าน้องของผมเป็นพวกหนักไม่เอาเบาไม่สู้ บุคลิกดีหน้าตาเป็นเอก ใช้ชีวิตหรูหรา มีเพื่อนระดับสังคมไฮโซ เกิดมาก็สบายมีแต่คนเอาใจจึงไม่แปลกที่เภาจะเป็นคนนิสัยอยากได้อะไรจ้องได้ ในขณะที่พ่อแม่เลิกกัน ผมเลือกมาอยู่เชียงรายกับแม่ ส่วนพี่สาวกับน้องชายเลือกที่จะอยู่กรุงเทพฯ กับพ่อซึ่งฐานะดีร่ำรวย มีกิจการโรงงานนำเข้าและส่งออกหลายกิจการจากรุ่นสู่รุ่น หลังจากผมเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยจึงได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวของพ่อ และได้ร่วมทำงานในช่วงที่โรงงานมีปัญหาพัฒนาระบบการจัดการจนกิจการเฟื่องฟูอีกครั้ง ช่วงเวลาที่ผมกลับไปอยู่กรุงเทพฯ เพื่อเรียนต่อ น้องชายของผมก็ถูกส่งตัวไปเรียนต่างประเทศเนื่องจากมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนและคุณครูฝ่ายปกครอง แต่นั่นเป็นเรื่องตอนเภาเรียนมัธยม ปัจจุบันเภาบุคลิกเปลี่ยนไป เขามีความเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าผมเสียอีก
จะเป็นไปได้ยังไงที่เภาจะทำร้ายร่างกายผู้หญิง...
“ยังไงพะแพงก็หลานภาคนะ ภาคช่วยเลี้ยงดูพะแพงให้ส้มทีเถอะ ส้มฝากเลี้ยงพะแพงแค่ชั่วคราวเท่านั้น วันใดที่ส้มสามารถดูแลลูกได้ ส้มจะมารับพะแพงกลับไปอยู่กับส้มแน่นอน ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายภาคไม่ต้องกังวล ส้มจะโอนให้ภาคทุกเดือน”
“ภาคเลี้ยงเด็กไม่เป็นและไม่คิดจะมีลูกด้วย”
“แต่ภาคแต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอ ให้แฟนของภาคเลี้ยงพะแพงก็ได้ หรือภาคกลัวเรื่องเงิน ส้มบอกแล้วไงว่าส้มจะเป็นคนจ่ายเงินให้ภาคทุกบาททุกสตางค์ จ้างแฟนภาคเลี้ยงก็ได้”
“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ต่อให้ส้มไม่ส่งเงินให้ ภาคก็มีเงินเลี้ยงดูเมียภาคให้สบายอยู่แล้ว”
“ลืมไป...ภาครวย” ส้มพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ฟังแล้วก็รู้สึกน่ารำคาญ
“ไม่เกี่ยวจะรวยหรือจน ต่อให้ภาคจนก็ไม่คิดจะทำให้เมียตัวเองลำบากอยู่แล้ว” เมียผม ผมดูแลได้สบายมาก “เพียงแต่...หากพะแพงมาอยู่ที่นี่ วันหนึ่งเภามันก็ต้องรู้ อีกอย่างถ้าพะแพงอยู่ที่นี่ในฐานะลูกของภาคเหมือนที่ส้มสร้างเรื่องหลอกผู้ใหญ่ เมียของภาคเค้าจะไม่สบายใจ”
“ห่วงเหลือเกินนะ คำก็เมีย สองคำก็เมีย” แม้ส้มจะพูดประชดประชันแต่ผมก็ไม่สนใจ
“งั้นภาคก็เลือกมา...ระหว่างพ่อภาคกับน้องชายภาคล่มจมเสียชื่อเสียง ธุรกิจพัง กับเมียที่ภาคเพิ่งแต่งไม่ถึงเดือน ภาคจะเลือกใคร? ” ไม่ทันได้ตอบส้มก็คาดเดาอนาคตแทนผมอย่าวกับแม่หมอทำนายผู้อื่นด้วยความอคติ “ถ้าเลือกเมียก็ระวังโดนนอกกายนกใจแล้วผลาญเงินเล่นล่ะ แต่ถ้าเลือกพ่อกับน้อง ความสัมพัฯธ์ในครอบคราวก็จะอยู่ดี มีความสุข เพราะพ่อกับน้องของภาคจะสนับสนุนไม่ให้ธุรกิจล่มจมแน่นอน”
“แค่คิดก็ต่ำทราม!” ผมไม่คิดว่านิสัยส้มจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ “ต่อให้ภาคจะเลือกใคร คนนั้นก็คงไม่เป็นส้มแน่นอน”
“ก็ดี อยากด่าไรส้มก็ด่าเลย ส้มไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ทิ้งยัยเด็กพะแพงไว้ที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กเหมือนแฝดอีกคนก็น่าจะดีเหมือนกัน”
“แม่ส้มล่ะ เขาไม่...” ไม่ทันที่ผมจะเอ่ยปากถาม ส้มก็พูดอธิบายเหตุผลของตัวเองยืดยาวว่าแม่เธอไม่ค่อยสบาย ต้องเลี้ยงลูกให้พี่ชายจนล้มป่วย กินนอนไม่เป็นเวลา เข่าพังต้องได้รับการผ่าตัด ตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างรอคิวจากหมอ
“ผมขอคุยกับพราวก่อน ถ้าพราวช่วยผมจะตอบตกลง แต่ถ้าพราวตอบว่าไม่ ผมจะปฏิเสธและไม่สนว่าพ่อหรือเภาจะเป็นยังไง”
ความจริงผมไม่ได้รู้สึกเห็นใจส้มหรือเภา และผมก็ไม่ได้สนเรื่องธุรกิจของครอบครัว ก่อนหน้านี้ผมล้างมือวางลงแล้ว แม้แต่ธุรกิจที่ผมร่วมทำกับโซ่ซึ่งเป็นลูกของอา ผมก็ให้โซ่จัดการดูแลต่อ ผมตัดสินใจร่วมเมื่อมีการประชุมออนไลน์หรือโซ่โทรมาปรึกษาขอความคิดเห็นเท่านั้น ความสัมพันธ์ของผมกับเภานั้นไม่ได้ดีแต่ก็ไม่แย่ อาจเพราะพ่อรักเภามากกว่าผมหรืออาจเพราะเราสองคนไม่มีช่วงเวลาดี ๆ ที่ได้อยู่หรือพูดคุยกันเหมือนพี่น้องคนอื่น ไม่เหมือนความสัมพันธ์ของผมกับโซ่ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขทั้งเรื่องงานเรื่องเงิน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันค่อนข้างมาก
สิ่งที่ผมเห็นใจและเป็นห่วงคือ ‘พะแพง’ เด็กที่ถือกำเนิดมาจากความเลินเล่อของพ่อแม่ หากเรื่องราวเป็นไปตามที่ส้มบอกเล่า ทั้งส้มและเภาขาดความรับผิดชอบอย่างรุนแรง กรรมที่ผู้ใหญ่เป็นคนกระทำกลับถูกโยนไปให้เด็กบริสุทธิ์รับเคราะห์ นั่นเป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถรับได้ แม้เด็กคนนั้นจะไม่ใช่ลูกผมแต่เขาก็ถือว่าเป็นหลานแท้ ๆ ของผม หากต้องสวมบทบาทเป็นพ่อพะแพงชั่วคราวเพื่อรอส้มสะดวกเลี้ยง ผมก็สามารถโกหกให้ได้แล้วตั้งใจว่าจะบอกพราวทีหลังเมื่อส้มรับพะแพงกลับไปดูแล ส้มวางแผนแต่งเรื่องโกหกผู้ใหญ่ตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้ผมโดนยายเล็กกดดันยากจะปฏิเสธ หากยายเล็กเชื่อแล้วท่านก็ไม่รับฟังเพิ่ม
เมื่อคุยและตกลงกับส้มเสร็จ ผมก็กลับมาคุยกับพราว ตอนแรกผมเข้าใจว่าเธอจะโวยวายหรือไม่ก็เสียใจที่จู่ ๆ ผมก็ได้ชื่อว่ามีลูกกับแฟนเก่า ยังไม่ทันได้พูดหรืออธิบายให้เธอเข้าใจถึงสถานการณ์ พราวก็รีบพูดเกี่ยวกับเรื่องหย่าขึ้นมาทันทีทำให้ตอนนั้นผมมีอารมณ์ฉุนอยู่ไม่น้อย 'อะไรกัน เพิ่งจะแต่งงานไม่ถึงเดือนก็อากหย่าแล้วเหรอ' หรือความจริงแล้วพราวอยากได้เงินจากผม เมื่อลองแหย่แซวเล่นท่าทางอาการก็แสดงพิรุธจนน่ากลั่นแกล้ง
สมกับเป็นนักเขียนออนไลน์ สมาธิสั้น ขี้มโนและคิดแทนผู้อื่น ในความคิดและสมองของพราวเหมือนมีเรื่องราวอยู่ในหัวตลอดเวลาจนบางครั้งเธอก็สับสนงุนงงว่านั่นคือเรื่องในนิยายหรือชีวิตจริง ผมพอเข้าใจจุดนี้บ้างจึงปล่อยเลยตามเลย มองข้ามข้อเสียที่เอาแต่ใจและชอบคิดแทนผู้อื่นจนเพ้อเจ้อมโนทิพย์ และหันไปให้ความสำคัญเรื่องจิตใจแทน เรื่องเงินผมไม่เกี่ยง แต่ได้รับเงินแล้วนำไปก่อประโยชน์ไหมเรื่องนี้สำคัญมากกว่า ซึ่งผมพอรู้บ้างว่าพราวอยากได้เงินเอาไปเป็นทุนทำหนังสือ เธอมีรายรับแค่ช่องทางเดียว หากได้เงินจากผมไปสมทบผมก็พอเบาบางใจบ้างที่ได้ช่วยสนับสนุนความฝันแม่นักเขียนตัวป่วนทางอ้อม ครั้นจะยกเงินก้อนให้ยืมหรือให้โดยไม่หวังผลคุณพราวภรรยาก็ขี้ระแวงหาว่าผมไปขโมยเงินชาวบ้าน ค้าขายไม้เมืงเหนือ ค้ายา ทำเรื่องผิดกฎหมายจนผมแทบจะกินข้าวไม่ลงเพราะกลั้นขำไม่ไหว นี่คงเป็นเหตุผลอีกหนึ่งข้อที่ผมเลือกจะให้เงินพราวรายเดือนโดยอ้างให้เป็นค่าเลี้ยงดูหลาน แต่เงินรายเดือนที่โอนให้ก็แถมแรงสนับสนุนความฝันอยู่ในนั้นโดยแม่นักเขียนตัวยุ่งไม่รู้ตัว
เวลาผ่านไป...หนึ่งปีเต็มที่พะแพงมาอยู่เชียงรายโดยมีพราวดูแลยิ่งกว่าไข่ในหินอย่างชิดใกล้ จากตัวเล็กหนักไม่ถึงสองพันห้าร้อยกรัมปัจจุบันหนักสิบกว่ากิโล พราวโอบอุ้มพะแพงตัวติดกันจนผมแทบไม่ได้ใกล้ชิด ความสัมพันธ์ของเราสองคนไม่ได้พัฒนาขึ้นแต่ก็ไม่ได้แย่ลง ยังคงเส้นคงวา จนบางครั้งผมก็คิดว่านี่คือข้อดีหรือข้อเสียที่รับพะแพงมาเลี้ยงดู นอกจากจะให้เงินภรรยาทุกเดือนไม่เคยขาด ผมก็ไม่เคยได้แตะเนื้อต้องตัวหรืออยู่ใกล้กันอีก เว้นเสียแต่จะขออุ้มพะแพงเท่านั้นถึงได้ใกล้ชิดโดนตัวกันบ้าง ส่วนเวลาที่เหลือผมก็ทำงานกลับบ้านก็ได้แค่มองในองศาที่สองแม่ลูกได้วางให้
ผมมองว่าตัวเองไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของพะแพงจึงไม่อยากอุ้มหรือโดนเนื้อต้องตัวหลานสาวบ่อยนัก ให้ผู้หญิงเหมือนกันได้ดูแลน่าจะสบายใจกว่า ต่อให้พราวจะไม่ใช่แม่เด็ก หรือปัจจุบันรู้ว่าพะแพงคือลูกติดจากแฟนเก่า พราวก็ยังเป็นพราวเหมือนวันแรกที่พบไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ทุกอย่างเหมือนดำเนินไปด้วยดีตามเส้นที่เคยเป็นมา พะแพงอยู่ที่เชียงรายจนทุกคนรักใคร่และเอ็นดู แต่แล้ววันหนึ่งส้มก็กลับมาที่บ้านสวนภูมะขามอีกครั้ง วันนั้นผมไปทำระบบน้ำสำหรับรดสนามหญ้าที่บ้านยายเล็กพอดี รถเบนซ์คันหรูป้ายแดงขับมาจอดที่ลานหน้าบ้าน เมื่อประตูเปิดออกก็เผยให้เห็นผู้หญิงที่ผมเกือบลืมไปแล้ว
ผมเหมือนฉลาดรู้ทันผู้หญิงคนนี้ แต่นั่นเป็นเพียงความคิดโง่ ๆ ที่โดนผู้หญิงคนหนึ่งปั่นหัวหลอกให้หลงเชื่อเท่านั้น
ส้มมาแนวเดิมคืออ้างว่าเป็นลูกผมบอกเล่าเหตุผลและความจำเป็นในชีวิตให้ญาติผู้ใหญ่บ้านผมฟัง ครั้งนี้เธออุ้มแฝดอีกคนมาด้วย 'พลับพลึง' แต่ที่ทำให้ผมต้องตกใจคือพลับพลึงมีแผลและรอยช้ำทั้งตัว ส้มอ้างกับผู้ใหญ่ว่าพลับพลึงโดนพี่เลี้ยงในศูนย์เนอสเซอรีตบตี อีกทั้งการงานของเธอไม่สะดวกเลี้ยงดูเล็ก แม่ผ่าตัดเข่า คำโกหกหลอกลวงที่เคยใช้พูดกับผมถูกส่งต่อให้ผู้ใหญ่รับทราบอย่างรวดเร็ว
‘ให้พราวเมียภาคดูแลก็ได้ พราวรักเด็ก พราวดูแลดีมาก อยู่กับพ่อก็สบายใจกว่า โชคดีที่ภาคได้เมียดี’
หลังจากผู้ใหญ่ในบ้านทุกคนมีความเห็นชอบตรงกัน จากนั้นก็ให้คนไปเรียกพราวมาหา แต่พอพราวมาถึงก็ไม่มีใครพูดถึงประเด็นที่จะให้พราวรับเลี้ยงเด็กเพิ่มสักคน นั่นหมายความว่าพราวถูกมัดมือชกให้รับเลี้ยงเด็กโดยใช้ข้ออ้างในการเป็นคนดี รักเด็ก เพื่อรับหน้าที่ดูแลเด็กเพิ่ม ผมรู้สึกเรื่องชักจะไปกันใหญ่ และผมก็ากหนักคิดว่าตัวเองจัดการเรื่องนี้ได้ ความจริงผมก็เป็นอีกหนึ่งคนที่หลอกใช้ความดีของพราวเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่เมื่อเห็นคนอื่นทำกับพราวบ้างผมก็รู้สึกหงุดหงิด และพูดกับผู้ใหญ่ในบ้านทุกคนหลังจากที่พราวขอตัวกลับบ้าน 'เรื่องนี้ผมกับพราวขอเป็นคนตัดสินใจเอง จะเลี้ยงหรือไม่รับเลี้ยงยายกับน้าอย่าไปบังคับพราวเลย'
ผมกล้าบอกผู้ใหญ่ทั้งที่ก่อนหน้าผมเงียบและไม่เคยแสดงความคิดเห็นใด ๆ ก่อนลุกตามพราวกลับไปที่บ้านหลังเล็กเพราะเข้าใจว่าพราวกำลังหดหู่ที่จู่ ๆ ก็มีเด็กมาเพิ่มอีกคน เธออาจจะเหนื่อยกับการเลี้ยงเด็กก็ได้ แต่เดินไปยังไม่พ้นบ้านหลังใหญ่ชาวบ้านก็ปั่นจักรยานมาถามว่าบ้านไฟไหม้หรือเปล่า ควันลอยฟุ้งไปถึงบ้านเขา ตอนนั้นผมคิดได้แต่พราวเผลอเลอทำอาหารจนครัวไหม้ จึงรีบวิ่งกลับบ้านเพราะเป็นห่วงกลัวพราวอยู่ในอันตราย แต่ตอนนั้นผมอารมณ์ฉุนเฉียวเรื่องส้มและด้วยความเป็นห่วงพราวที่มากเกินไปจึงตวาดตอบกลับเธอยกใหญ่ พราวเองก็ร้องไห้และด่าผมกลับนับว่าเป็นครั้งแรกที่เราทะเลาะกันเสียงดังใหญ่โตก่อนพราวจะวิ่งไปทางสวนหลังบ้าน
ผมกำลังจะเดินไปตามเพื่อหวังจะง้อแต่ 'ใจเย็น ๆ ภาค เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจำเป็นต้องทะเลาะกันเลย' เสียงหวานจากส้มดังขึ้น เมื่อผมหันไปมองก็พบว่าเธอเดินตามผมมาที่บ้านหลังเล็กด้วย เด็กตัวผอมร่างบางที่สวมใส่ชุดกันหนาวหนาก็ถูกอุ้มมาด้วยเช่นกัน
เห็นดังนั้นผมจึงตัดสินใจไม่เดินไปตามพราวแล้วหันปพูดคุยปัญหากับส้มแทน หากพราวอารมณ์ดีเธอคงกลับมาที่บ้าน
ดูผิวเผินคล้ายพลับพลึงโดนพี่เลี้ยงในศูนย์ตี แต่ความจริงแล้วคนที่ทำร้ายร่างกายพลับพลึงกลับเป็นส้ม ผมรู้สึกตัดสินใจผิด ไม่น่าเชื่อใจและให้การช่วยเหลือส้มตั้งแต่แรก แต่หากไม่ช่วยเด็กก็ได้รับอันตราย สภาพพลับพลึงผอมแห้ง รอยแผลเต็มตัว เห็นแล้วก็รู้สึกหดหู่ที่หลานผมต้องพบเจอเรื่องราวแบบนี้
“พูดตามตรงเลยดีกว่า พี่เลี้ยงศูนย์ไม่ได้ตีพลับพลึงแต่คนที่ตีลูกคือส้มใช่ไหม” ผมย้อนถามส้มเมื่ออยู่ด้วยกันสองต่อสอง ครั้งนี้ผมไม่ได้สูบบุหรี่แต่เคี้ยวหมากฝรั่งแทน ผมเลิกสูบบุหรี่ตั้งแต่พะแพงย้ายเข้ามาที่บ้านนับตั้งแต่นั้นก็พยายามฝืนตัวเองและห้ามใจไม่สูบมาดดยตลอด จนในที่สุดก็สามารถเลิกได้
“เด็กมันดื้อ พูดไม่ฟังก็ต้องมีสั่งสอนบ้างเป็นเรื่องปกติ”
“แต่พลับพลึงเพิ่งจะอายุหนึ่งขวบ ส้มจะเอาอะไรกับเด็กตัวเล็กแค่นี้”
“แล้วภาคจะให้ส้มทำยังไง งานก็ต้องทำ เด็กก็ต้องดูแล ช่วงนี้ตารางบินส้มค่อนข้างเยอะ ไม่ว่างดูแลพลับพลึง พอเลิกงานกลับมาที่ห้องเจอเด็กร้องไห้เสียงดังส้มก็ไม่ไหวหรอกนะ พอร้องไห้มาก ๆ ข้างห้องก็มาด่าอีก ส้มลำบาก”
“ก่อนหน้านี้ทำไมดูแลได้ไม่เห็นลำบากอะไร เงินที่มีก็จ้างพี่เลี้ยงมาดูแลแทนก็ได้นี่หรือไม่ก็ฝากที่ศูนย์เหมือนเดิม”
"ถ้ามันง่ายแบบภาคพูดก็ดีสิ เงินที่ส้มหามาได้ยังไม่พอกับค่าใช้จ่ายเลย ไหนจะผ่อนคอนโด ค่าส่วนกลาง ค่ารถ ค่าน้ำมัน"
"เที่ยวต่างประเทศได้แทบทุกเดือน ซื้อของแบรนด์เนม กินร้านอาหารหรูกลางใจกรุงบนตึกสูง รถที่ขับมาก็ป้ายแดง แต่กลับไม่มีเงินจ้างพี่เลี้ยงดูแลเด็กเนี่ยนะ ข้ออางหรือเปล่า"
"ส้มไปต่างประเทศเพราะงานบินของส้ม ไม่ได้ไปเองสักหน่อย ไปแป๊บเดียวก็กลับ ชมเมืองไม่กี่ชั่วโมงแต่สามารถถ่ายรูปอวดโซเชียลเป็นร้อยมันก็เรื่องปกติไม่ใช่เหรอภาค ไปต่างประเทศทีก็ต้องหิ้วของมาขายออนไลน์ด้วยถึงจะคุ้ม พอมีเด็กก็ทำงานลำบาก ไปไหนมาไหนก็ห่วง"
"ก็แบ่งเงินส่วนขายออนไลน์จ้างคนมาดูแลลูกก็ได้นี่" ขณะที่กำลังท้วงส้ม ผมก็เพิ่งนึกอะไรออกจึงถามส้มกลับ "แล้วช่วงที่ส้มบิน พลับพลึงอยู่กับใคร"
“บางทีก็นำไปฝากี่ศูนย์เลี้ยงเด็ก แต่ครั้งไหนไม่สะดวกไปก็ขังพลับพลึงในคอกเด็กที่ห้อง” ได้ยินคำตอบก็ถึงกับตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้กับใบหน้าเพิกเฉยไร้จิตสำนึกของคนที่ผมเคยรัก “แต่ช่วงนี้พลับพลึงเริ่มปีนป่าย เดินแล้วก็ส่งเสียงดัง ล่าสุดพลับพลึงปีนจะออกคอกเด็กเลยทำให้ตีลังกาหัวโขลกพื้นน่ะ วันนั้นส้มเครียดเรื่องงาน เพราะจะมีสอบเลื่อนตำแหน่งก็เลยพลั้งมือตีลูกไปหลายครั้ง ช่วงนี้ส้มซึมเศร้าด้วยต้องกินยารักษากับคุณหมอ”
“อย่าอ้างว่าป่วย แล้วใช้อารมณ์กับเด็กได้ไหม ก่อนหน้านี้ภาคก็เคยป่วยแต่ก็ไม่เคยใช้กำลังทำร้ายส้มนี่ อย่างมากก็แค่เมาแล้วอ้วก แต่ส้มก็เคยทิ้งให้ภาคนอนจมกองอ้วกนี่” นึกแล้วก็น่าขำชีวิตตัวเองเสียจริง
โชคดีแล้วล่ะที่วันนั้นส้มบอกเลิกผม
โชคดีแล้วล่ะที่ผมไม่ตามง้อเธอ
และโชคดีแล้วล่ะที่ผมมีโอกาสได้เจอพราวอีกครั้งจากการแนะนำของน้าเอื้อง
“บอกความจริงมาเถอะ...เรื่องมันเป็นมายังไง อย่าคิดจะโกหกผมอีก เพราะถ้าผมรู้ว่าเรื่องที่คุณพูดคือเรื่องโกหก ผมจะไม่มีวันช่วยเหลือคุณอีก”
“แม่ส้มไม่รู้ว่าส้มท้อง ภาคก็รู้ว่าแม่ส้มผู้ดีเก่า ดุขนาดไหน ถ้ารู้ว่าส้มท้องก่อนแต่งและเป็นคนที่ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันและแต่งงานจดทะเบียนได้ แม่จะต้องดุด่าส้มจนตัดลูกแน่ อีกอย่างเพราะหน้าที่การงานส้มไม่สามารถเลี้ยงลูกสองคนพร้อมกัน ก็เลยตัดสินใจยกพะแพงให้ภาคเพราะเห็นภาคเป็นพี่ชายของเภา ภาคมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ติดต่อกับเภาเขาไม่น่าจะรู้ว่าส้มเก็บเด็กไว้ ก่อนหน้านี้เภาให้เงินส้มไปทำแท้งแต่ส้มก็ไม่กล้า ส้มกลัว...ส้มจึงตัดสินใจเลี้ยงลูกแค่คนเดียว ตอนแรกก็คิดว่าเลี้ยงเด็กไม่ยาก หากไปบินก็ฝากพลับพลึงที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก ไม่คิดว่าค่าใช้จ่ายจะเยอะ ส้มก็เลย...”
ส้มก้มหน้าลงมองดูพลับพลึงที่นั่งตักของตัวเอง “ขังพลับพลึงในคอกเด็กในห้องคอนโด ในคอกเด็กส้มก็จะเตรียมข้าว ของเล่น แล้วก็ขนมให้พลับพลึงครบ ระหว่างที่ส้มว่างก็ดูกล้องว่าพลับพลึงทำอะไร คุยกับพลับพลึงผ่านกล้อง หลังจากบินเสร็จกลับบ้าน ส้มก็จะอาบน้ำเปลี่ยนแพมเพิสให้ลูก วันไหนเหนื่อยแล้วลูกงอแงก็มีบ้างที่ตี แต่ไม่ได้ตีบ่อย ก็เหมือนแม่ตีลูกทั่วไป แต่พักหลังส้มได้ไฟท์ไปต่างประเทศก็เลยไม่สะดวกดูแลพลับพลึงเหมือนเดิม”
“ส้ม! พลับพลึงเป็นคนนะ แม้เขาจะเป็นเด็กเขาก็เป็นคน เขาไม่ใช่หมาหรือแมวที่จะขังอยู่ในคอก แล้วส่องกล้องดูพฤติกรรม นี่ลูกส้มนะ…ทำไมถึงไม่ไปฝากเลี้ยงเหมือนเดิม”
“ค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูเด็กมันเยอะมากนะภาค ค่ากิน ค่าอยู่ส้มอีกล่ะ”
“แต่งตัวซื้อของแบรนด์เนมให้น้อยลงหน่อยสิ ถ้าไม่ว่างก็เอากระเป๋าไปขาย นำเงินที่ได้จ้างพี่เลี้ยง ชาวบ้านแถวนี้แม้เขาจะจนและไม่ได้รวยเท่าส้มเขาก็เลี้ยงลูกให้อยู่ดีกินดี ทุกคนต่างก็เสียสละเพื่อลูกเพื่อครอบครัวกันทั้งนั้น”
“นั่นมันชาวบ้านไม่ใช่ส้ม ตอนนี้ส้มไม่อยากได้พลับพลึงแล้ว ส้มมีแฟนใหม่ ส้มอยากมีชีวิตใหม่”
ได้ยินคำพูดนี้ผมถึงกับไปไม่เป็น ที่ผ่านมาผมคบกับผู้หญิงคนนี้ไปได้อย่างไร สังคมทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยเหรอหรือแท้ที่จริงแล้วนี่คือนิสัยของส้มที่ผมไม่เคยรับรู้และสัมผัส
“ถ้าคุณให้พลับพลึงกับผม ผมจะไม่มีวันคืนให้คุณอีก พะแพงก็เช่นกัน”
“ตกลง สิบล้าน!” ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของส้ม “พะแพงห้าล้าน พลับพลึงห้าล้าน รวมเป็นสิบล้าน แลกกับการที่ส้มยกลูกให้กับภาค เราไม่ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก แม้แต่ลูก...ส้มก็ไม่รับคืน ส้มจะขอเงินแทนคำขอโทษเท่านั้น”
ผมเงยหน้ามองฟ้าเมื่อได้ยินส้มพูดถึงเรื่องเงิน ก่อนจะถอนหายใจ เงินอีกแล้วเหรอ...
“ส้มกำลังเจรจาซื้อขายลูกกับภาคเหรอ”
“อย่าลืมสิว่าพะแพงกับพลับพลึงเป็นหลานของภาค สิบล้านแค่นี้คงไม่ทำให้ขนหน้าแข้งของภาคร่วงหรอก คอนโดกลางใจเมืองเราอยู่ด้วยกันมาสิบปีราคาสามสิบล้านพ่อภาคยังซื้อให้ภาคได้เลย ปัจจุบันน่าจะราคาพุ่งไปเกือบร้อยล้านแล้วมั้ง ธุรกิจที่ภาคทำกับโซ่ก็ทำเงินได้ไม่น้อยนี่ เงินสิบล้านบาทแค่นี้ถือว่าน้อยมากนะ”
"ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าให้เงินไปแล้ว คุณจะไม่หักหลัง เงินหมดก็กลับมาขอ แล้วใช้เด็ก ๆ เป็นเครื่องมือ"
"มั่นใจได้เพราะส้มอยากมีชีวิตใหม่ อีกอย่างเด็กๆ อยู่กับภาคที่นี่ส้มก็วางใจ ไม่มีใครดูแลเด็กและน่าไว้ใจเท่าภาคกับพราวแล้วล่ะ"
ผมได้แต่หัวเราะในลำคออย่างตลกขบขันกับคำยินยอปอปั้นที่เสแสร้งจอมปลอม
"ส้มก็รักเด็กทั้งสองคนนะ เพียงแต่ชีวิตของส้มมันเดินมาไกลเกินจะกลับ ลูกทั้งสองคนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ปลอดภัยส้มก็หมดห่วง"
"เอาเถอะ ถ้าอยากได้เงินจะโอนให้ ส่วนเด็ก ๆ จะมาหาก็ได้ไม่ว่า แต่อย่ามาทำให้เค้ามีบาดแผลในใจเพิ่ม ถ้าวันหนึ่งเด็ก ๆ โตขึ้นเดี๋ยวเค้ารับรู้เรื่องราวมากกว่านี้ก็อย่าใจร้ายผลักไสเค้า ต้อนรับเค้าด้วย" ผมปรายตามองส้มอย่างข่มขู่ "ผมไม่ได้ใจดีเหมือนเมื่อก่อน ผมไม่ได้ทำเพื่อคุณ ผมทำเพื่อภรรยาผม เธอคงไม่สบายใจถ้าเด็กที่เธอเลี้ยงมากับมือด้วยความรักและเอาใจใส่ต้องไปเจอแม่ใจร้ายใจดำอำมหิตอย่างคุณ"
ส้มผงกหัวรับคำโดยไม่พูดแก้ตัวอะไรอีก เธอลูบผมบางของพลับพลึงแล้วกอดกระชับ ผมมองไม่ออกว่านั่นคือท่าทางของความรักหรือกำลังสร้างภาพ
เรื่องดำเนินมาถึงตรงนี้ พราวหายเงียบไปทั้งวันติดต่อไม่ได้ ท่าทางเธอจะโกรธผมกว่าครั้งไหน ๆ ผมตัดสินใจแทนพราวโดยไม่ได้พูดและถามความคิดเห็นเช่นเดิม หากตัดสินใจช้าผมก็รู้สึกผิดกับน้องชายและหลานสาวฝาแฝดเช่นกัน
วันนี้เป็นอีกหนึ่งคืนที่ผมเฝ้ารอพราวกลับบ้าน ไม่ต่างจากวันนั้น วันที่เราทะเลาะกันจนพราวไปร้านอาหารยามค่ำคืนแล้วพบเจอกับโยชน์ ญาติที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปี การได้อยู่คนเดียวในความเงียบเพื่อทบทวนความคิดและการกระทำของตัวเองนั้น เป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย เพราะนั่นทำให้ผมรู้ว่าปัญหาของเราสองคนคือไม่เปิดใจคุยกัน ปัญหาของผมคือไม่พูด ไม่อธิบาย ปัญหาของพราวคือคิดมโนล่วงหน้าคาดหวังในคำตอบ
"ผัวอะไร ไม่มีผัว ไม่อยากมีแล้วปากเสีย ไอ้คนใจดำ" เสียงอึกทึกดังมาแต่ไกลพร้อมกับเสียงมอเตอร์ไซค์
"เกาะดีๆ เดี๋ยวหล่น"
"เกาะให้แน่นหน่อยนะน้องน้า เกาะพี่หน่อยนะน้องน้า" เสียงร้องเพลงเพี้ยนขี้โวยวายแบบนี้คงไม่ใช่ใครอื่น พอได้ยินเสียงที่คุ้นเคยของพราวดังเข้ามาใกล้ผมก็ลุกจากที่นั่งเดินไปประตูรั้วหน้าบ้าน
รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างขี่เข้ามาจอดที่ลานหน้าบ้าน ผู้ชายเป็นคนขี่ ส่วนพราวนั่งพื้นรถพ่วงโดยมีผู้หญิงคนหนึ่งจับตัวเธอเอาไว้
"เกิดอะไรขึ้นครับ" ผมเดินเข้าไปถามผู้หญิงที่คาดว่าจะชื่อโรสและอุ้มพราวออกมาจากรถพ่วงข้าง
"สภาพนี้เมาค่ะ กินเหล้าขาวไปสองแก้วเอง"
สำหรับผู้หญิง เหล้าขาวก็แรงอยู่นะ...
"แล้วเสื้อพราวล่ะครับ ก่อนหน้านี้ผมจำได้ว่าเธอใส่เสื้อกันหนาวแขนยาวสีแดงหรือไม่ก็ส้มไม่ใช่เหรอ"
"อ่าว" พี่โรสมองซ้ายมองขวา หันไปดูรถพ่วงแะถามผู้ชายคนขี่รถ ก่อนได้รับคำตอบว่า "สงสัยมันเมาแล้วร้อนก็เลยถอดทิ้งไว้ที่บ้านนู้นน่ะค่ะ เดี๋ยวตอนเช้าพี่เอามาให้นะ"
ผมก้มมองพราวในอ้อมกอดของตัวเอง เสื้อกล้ามสีแดงไม่ใส่เสื้อชั้นในกล้าออกจากบ้านโดยไม่ใส่เสื้อชั้นในได้ยังไงหรือคิดว่าใส่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ก็สามารถปกปิดหน้าอกตัวเองได้น่ะ น้อยนักจะได้ใกล้ชิดกันแบบนี้ แต่ทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดสภาพไม่เมาก็มีเรื่องทะเลาะกันตลอด
"ขอบคุณครับ"
ระหว่างที่ผมกำลังขอบคุณและกระชับกอดพราวอุ้มและพาเขข้าบ้าน พ่อแม่ของพราวก็ออกมาดูสถานการณ์หน้าบ้าน ญาติพี่น้องทักทายคุยกันเป็นเรื่องปกติ ส่วนผมขอตัวพาพราวกลับไปนอนที่ห้อง
"อีกำนันภาคปีศาจ ไอ้ปีศาจ ใจดำ เลวระยำ ตกนรกแน่ๆ ขุมไหนขุมอเวจี ไอ้ชิงหมาเกิด ไอ้ดำทะมึน"
เจอใครด่าก็ไม่เจ็บเท่าเมียด่า เจอใครบูลลี่ก็ไม่เท่าเมียบูลลี่
"เดี๋ยวคืนนี้แม่พาเด็กๆ ไปนอนที่ห้องแม่ก็แล้วกันนะ โวยวายเสียงดังขนาดนี้เดี๋ยวเด็ก ๆ ไม่ได้นอนกันพอดี" แม่ของพราวเดินเข้ามาดูพราวในห้อง ในขณะที่ผมกำลังจัดท่านอนและห่มผ้าให้
"ขอบคุณครับ เดี๋ยวเรื่องพราวผมจัดการเองครับ"
"ไม่ต้องห่วงเด็ก ๆ นะ พะแพงเพิ่งคล้อยหลับไป เหลือพลับพลึงดูเหมือนจะตื่นสถานที่ทำท่าจะนอน แต่ก็ฝืนตัวเองไม่ยอมนอน"
"เอาตุ๊กตาให้เค้ากอดหรือไม่เราก็ต้องอุ้มเค้าไว้ตลอดน่ะครับ พลับพลึงเค้ากลัวคนหายหลือเค้าคนเดียว เลยจ้องมองตลอด"
"อ่าวเหรอ ได้ ๆ เดี๋ยวแม่อุ้มมากล่อมที่ตัก"
"ขอบคุณอีกครั้งนะครับ"
"เล็กน้อยไม่เป็นไร ดูคนขี้โวยวายเถอะงานหนักหน่อยนะภาค"
ผมกับแม่ของพราวหัวเราะและยิ้มให้กัน ก่อนผมจะเดินไปห้องน้ำเพื่อเปิดน้ำอุ่นใส่กะละมังขนาดเล็กนำมาเช็ดตัวให้พราว
'แสบสมชื่อ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเกินใคร'
ขณะเช็ดหน้าเช็ดตาให้พราว เธอก็เหมือนจะได้สติขึ้นมานิดหน่อย "มาเช็ดตัวให้ทำไม ไม่รักก็ไม่ต้องมายุ่ง"
"ถ้ารักแล้วยุ่งได้ไหม"
"ก็น่าจะ เออะ เออะ" พราวสะอึกเสียงดัง ก่อนถีบทึ้งผ้าห่มออกจากตัว "สะอึกอะ ต้องกินน้ำ ไปเอามาให้หน่อยจิ"
"กล้าใช้เหรอ" ผมยิ้มให้กับท่าทางขี้โวยวายปนน้ำเสียงอ้อนปิดท้ายของคนเมา
"ไปเอาเองก็ได้" พราวกำลังจะขยับตัวลุกขึ้น ผมจึงใช้โอกาสนี้จับเธอกดนอนราบกับเตียงแล้วใช้โอกาสขยับตัวและใบหน้าเข้าไปใกล้
"กินน้ำอาจจะไม่หายสะอึก ต้องวิธีนี้ได้ผลแน่นอน"
"อะไร"
เมื่อถูกถามผมก็ให้คำตอบพราวทันที รีบประกบปากบดขยี้จูบคนขี้ดื้อ ขี้มโน ขี้โวยวายให้หายอาการสะอึก ไม่รู้ว่าทำให้คนอื่นตกใจแล้วจะหายสะอึกจริงหรือไม่ ผมรู้เพียงแต่ว่าได้จูบพราวก็พอแล้ว
“ภาค! ภาคกำลังดูถูกส้มอยู่นะ”
“ก็ดูถูก…ไม่ได้ดูผิดนี่” ผมยกแขนขึ้นมากอดอก หลังพิงพนักเก้าอี้ สายตาจ้องจับผิดส้ม ผู้หญิงที่ผมเคยรักและไว้ใจ
มันก็แค่อดีต
“พูดแบบนี้หมายความว่าไง ภาคกำลังจะบอกว่าส้มโกหกเหรอ พาพะแพงไปตรวจ DNA ก็ได้นะ” ส้มพยายามพูดท้าทายปนน้ำเสียงประชดหวังให้ผมเชื่อในสิ่งที่เธอบอก
“ต้องการอะไร? ต้องการให้ภาครับบทเป็นพ่อของเด็กหรือต้องการให้ภาคเลิกกับภรรยาแล้วเราสองคนกลับไปคบกันเหมือนเดิม”
“รับ…” ผมไม่ทิ้งช่องว่างให้ส้มตอบคำถามเพราะไม่ว่าคำตอบจะคืออะไรผมก็ไม่ตกลง
“เรื่องเลิกกับภรรยาภาคไม่เลิกแน่นอน และไม่คิดจะเลิกด้วย ส่วนเรื่องรับผิดชอบเด็กคงไม่รับ” ผมยกยิ้มขึ้น กุมหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นแขน
“แล้วพะแพงลูกของเราล่ะ ภาคไม่คิดจะรับผิดชอบเลยเหรอ” น้ำตาใสแต่ไม่บริสุทธิ์ใจไหลลงมาเชื่องช้า ผมแพ้น้ำตาผู้หญิงนะ แต่กรณีนี้ผมขอเว้น
“ภาคจะรับผิดชอบได้ยังไง ในเมื่อเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของภาค แต่...จะให้ภาครับผิดชอบพะแพงในฐานะลุงก็พอได้”
ส้มเม้มปากอวบอิ่มเข้าหากัน ดวงตากลมโตกระพริบตาถี่ “พูดอะไรน่ะ ลุงอะไร”
“ทำไมไม่ไปคุยกับเภาก่อน หรือคุยกับมันแล้วแต่มันไม่ยอมรับ”
ความสัมพันธ์ของผมกับส้มเริ่มจืดจางหลังจากแม่ของผมเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายและเป็นข่าวโด่งดังในพื้นที่ ผมเก็บตัวเงียบ วัน ๆ เอาแต่ดื่มเหล้า ซึมเศร้าจนต้องเข้ารับการรักษากับจิตแพทย์ ผมจำได้ว่าวันที่แม่เสียชีวิต ผมเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ผมตั้งใจว่าจะไปเซอร์ไพรส์วันเกิดแม่พร้อมใบปริญญาโทฉบับที่สอง แต่ไม่คิดว่าสิ่งที่พบเจอจะเซอร์ไพรส์กว่า ภาพแม่ที่แขวนคอด้วยเชือกผูกติดกับต้นมะขามยังติดอยู่ในความทรงจำไม่เคยลบเลือนจางหาย
การได้ดื่มสุรากับเพื่อนในสถานบันเทิงทำให้ผมลบเลือนเรื่องราวไปได้บ้าง แต่ก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แม้ผมจะอยู่ในช่วงจิตตกต่ำยากฟื้นฟูแต่ผมก็ไม่เคยละทิ้งงานที่พ่อมอบหมายให้ดูแล ไม่เคยละทิ้งงานที่ลงทุนกับลูกพี่ลูกน้อง ยังคงทำงานตามปกติ เลิกงานก็นั่งกินนั่งดื่มไม่รักษาสุขภาพ จากร่างกายกำยำแข็งแรงรักษาความสะอาด เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็เริ่มอ้วนลงพุง ไว้หนวดไว้เครา สภาพเช้าตื่นไปทำงานเย็นเมาหัวราน้ำ
แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีและผมก็ทำใจได้แล้วกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของแม่ แต่สมุดบันทึกที่ผมพบเจอในห้องนอนของท่านทำให้ผมต้องทิ้งธุรกิจในกรุงเทพฯ ให้ ‘โซ่’ ลูกพี่ลูกน้องที่ร่วมทำธุรกิจด้วยกันเป็นคนสานต่อ ส่วนตัวผมย้ายถิ่นฐานกลับมาอยู่เชียงรายและพยายามผลักดันตัวเองให้ก้าวไปเป็นผู้นำชุมชนเพื่อสืบหาเบาะแสเรื่องราวที่แม่บันทึกเกี่ยวกับการค้าขายที่ดินผิดกฎหมายให้นายหน้า ผมคิดและสงสัยมาโดยตลอดว่าการตายของแม่ผมไม่แน่อาจมีเบื้องลึกเบื้องหลังซ่อนอยู่ แต่กลับถูกปิดคดีโดยผู้มีอิทธิพลอย่างง่ายในเวลาอันสั้น
เพราะเหตุนี้จึงทำให้ผมไม่มีเวลาให้กับส้ม ความสนใจของผมพุ่งเป้าไปที่งานและการพัฒนาพื้นที่ในไร่มะขามจังหวัดเชียงราย พื้นที่ทองขนาดใหญ่ราคาสูง การเป็นคนธรรมดาไร้ชื่อ แม้มีเงินแต่ไร้อำนาจบางครั้งก็ไม่สามารถปกป้องสิ่งสำคัญในชีวิตได้ การสร้างอำนาจในพื้นที่จนขยายเป็นวงกว้างต่างหากที่สร้างเกราะป้องกันและสามารถปกป้องสิ่งที่ผมรักได้
“เภาเกี่ยวอะไรด้วย”
“ทำอะไรน่าจะรู้อยู่แก่ใจ หรือต้องให้ภาคบอกถึงจำความได้”
ช่วงเวลาที่ผมกำลังต่อสู้กับความเศร้าและงานที่รุมเร้า ‘เภา’ น้องชายของผมปิดเทอมและกลับมาประเทศไทย ความสัมพันธ์ของส้มกับเภาจึงก่อตัวขึ้น เภามาพักที่คอนโดผมค่อนข้างบ่อย และไปไหนมาไหนกับส้มสองต่อสองหลายครั้ง ผมเริ่มระแคะคะคายหลังจากสัวเกตว่าทั้งสองคนลงรูปสถานที่เดียวกันบ่อย ต่างกันแค่ถ่ายภาพคนละมุม ลงสื่อโซเชียลคนละวัน
“ภาค ภาครู้เรื่องเหรอ” ลมปากเสียงแผ่วเบาดังกระท่อนกระแท่นแล้วหายไป “ส้มพลาด...ไม่ได้ตั้งใจ”
“เข้าประเด็นเลยดีกว่า คุณต้องการอะไร แล้วโกหกผู้ใหญ่แบบนั้นทำไม”
ผมหยิบบุหรี่ออกมาจากสาบเสื้อจุดไฟแล้วสูบพ่นควันระบายความเครียด พยายามปกปิดสีหน้าและแววตาของความเจ็บปวดจากความผิดหวังที่ได้รับจากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งผมเคยรักสุดหัวใจ ผมลุกขึ้นออกจากเก้าอี้ที่นั่งพ่นควันหันไปทางอื่น
“ส้มพูดไปแล้ว ผู้ใหญ่ทุกคนก็รับรู้แล้ว หรือภาคอยากให้ส้มขายหน้าผู้ใหญ่ เอาแบบนั้นก็ได้นะ ส้มเดินไปบอกญาติผู้ใหญ่ของภาคก็ได้ว่าเด็กคนนั้นคือลูกของเภา น้องชายของภาคน่ะ”
“ก็เดินไปบอกสิ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเชิงท้าทาย
“ลืมเหรอว่าเภากำลังจะแต่งงานกับลูกเจ้าสัวเดือนหน้า” ส้มลุกขึ้นมาหาผมที่โยนบุหรี่ทิ้งบนพื้นแล้วเหยียบบี้ดับไฟ สูบนานกลิ่นอาจติดตัวโดนพราวบ่นด้วยท่าทางแขยงยกมือขึ้นมาปิดจมูกต่อหน้าต่อตา ถ้าเป็นแบบนั้นผมจะรู้สึกเสียความมั่นใจจนต้องอาบน้ำแปรงฟันใหม่ทุกที “พ่อของภาคเพิ่งทำธุรกิจกับเจ้าสัว ภาคคงไม่อยากเห็นน้องตัวเองงานแต่งล่ม ธุรกิจพ่อพังหรอก...จริงไหม”
ส้มทิ้งน้ำเสียงหวานปิดท้ายประโยคและส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้ผมอย่างเหนือกว่า น้ำตาถูกหลังมือเช็ดออกไม่ทิ้งคราบ เสียใจด้วยนะ ผมเปลี่ยนไปแล้ว
“ภาคกับพ่อ เราสองคนไม่ร่วมธุรกิจกันแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องข้องเกี่ยวกันอีก ส่วนเรื่องของเภาปล่อยให้มันจัดการเอง ส้มควรจะคุยกับเภามากกว่าภาคนะ ไม่ใช่อุ้มเด็กมาที่นี่ เพื่อบอกใครต่อใครว่าคือลูกภาค”
“เภาขู่ว่าจะฆ่าส้มกับลูก หากส้มทำงานแต่งของมันพัง ส้มโดนมันทำร้ายร่างกายเกือบเอาชีวิตไม่รอด ดีที่อุ้มลูกหนีมาได้หนึ่งคน ส่วนอีกคนเภามัน...เภามันเอาไปทิ้งที่ศูนย์เด็กกำพร้า”
“แต่งเรื่องเหรอ น้ำเน่า! แม้ภาคกับเภาจะไม่ได้สนิทกันเหมือนพี่น้องคนอื่น แต่ภาคก็พอรู้ว่าเภามันไม่เลวถึงขนาดไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเอาลูกตัวเองไปทิ้งที่ศูนย์เลี้ยงเด็กกำพร้าหรอก อย่างน้อยมันก็คงเอาเงินให้ส้มเพื่อปิดปาก”
“ดูนี่!” ส้มเปิดเสื้อแขนยาวและถอดแว่นตาออกให้ผมดูรอยแผลบนตัวและใบหน้า “ดูสภาพส้ม ส้มอุ้มลูกหนีรอดมาได้หนึ่งคนก็ถือว่าดีมากแค่ไหนแล้ว ส่วนลูกอีกคนส้มจะตามกลับมาทีหลัง”
“เภา...ไม่น่าจะทำร้ายใคร แม้มันจะมีเรื่องชกค่อยกับเพื่อนสมัยเรียนจนพ่อจับส่งมันไปเรียนที่ต่างประเทศ แต่มันก็ไม่น่าจะทำร้ายผู้หญิงและเด็ก อีกอย่าง...ในเมื่อเภาจะแต่งงานกับลูกเจ้าสัว ถ้ามันทำรุนแรงขนาดนี้ ลูกเจ้าสัวก็คงโดนด้วยเช่นกัน เรื่องฉาวใครว่าจะปิดมิด”
ผมแซะส้มทิ้งท้าย ต่อให้เภาจะหัวรั้นไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนพ่อแม่และมีเรื่องชกต่อยที่โรงเรียนสมัยเด็กและวัยรุ่น แต่มันไม่ทิ้งลูกของตัวเองแน่นอน ที่ผมกล้ายืนยันเพราะก่อนที่พ่อจะส่งเภาไปเรียนต่างประเทศเพื่อดัดนิสัย เภาทำเพื่อนนักเรียนท้องและมาสารภาพกับพ่อที่บ้าน เภายืนยันจะเก็บลูกและจะทำงานที่โรงงานของพ่อเพื่อหารายได้เสริม แม้พ่อจะบ่นอบรมสั่งสอนด้วยคำพูดทิ่มแทงจิตใจ แต่พ่อก็ชื่นชมที่เภากล้าทำก็กล้ารับ แม้เด็กคนนั้นจะเสียชีวิตก่อนคลอดเพราะแม่ครรภ์เป็นพิษแต่เภาก็ทำบุญให้ลูกที่ไม่เคยเจอหน้าเสมอ
“ก็เภาเป็นน้องของภาคนี่ ภาคก็พูดได้สิ” ส้มถอนหายใจตอบกลับผม
ผมไม่ได้อยากเข้าข้างน้องชายตัวเอง ผมพอรู้บ้างว่าน้องของผมเป็นพวกหนักไม่เอาเบาไม่สู้ บุคลิกดีหน้าตาเป็นเอก ใช้ชีวิตหรูหรา มีเพื่อนระดับสังคมไฮโซ เกิดมาก็สบายมีแต่คนเอาใจจึงไม่แปลกที่เภาจะเป็นคนนิสัยอยากได้อะไรจ้องได้ ในขณะที่พ่อแม่เลิกกัน ผมเลือกมาอยู่เชียงรายกับแม่ ส่วนพี่สาวกับน้องชายเลือกที่จะอยู่กรุงเทพฯ กับพ่อซึ่งฐานะดีร่ำรวย มีกิจการโรงงานนำเข้าและส่งออกหลายกิจการจากรุ่นสู่รุ่น หลังจากผมเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยจึงได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวของพ่อ และได้ร่วมทำงานในช่วงที่โรงงานมีปัญหาพัฒนาระบบการจัดการจนกิจการเฟื่องฟูอีกครั้ง ช่วงเวลาที่ผมกลับไปอยู่กรุงเทพฯ เพื่อเรียนต่อ น้องชายของผมก็ถูกส่งตัวไปเรียนต่างประเทศเนื่องจากมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนและคุณครูฝ่ายปกครอง แต่นั่นเป็นเรื่องตอนเภาเรียนมัธยม ปัจจุบันเภาบุคลิกเปลี่ยนไป เขามีความเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าผมเสียอีก
จะเป็นไปได้ยังไงที่เภาจะทำร้ายร่างกายผู้หญิง...
“ยังไงพะแพงก็หลานภาคนะ ภาคช่วยเลี้ยงดูพะแพงให้ส้มทีเถอะ ส้มฝากเลี้ยงพะแพงแค่ชั่วคราวเท่านั้น วันใดที่ส้มสามารถดูแลลูกได้ ส้มจะมารับพะแพงกลับไปอยู่กับส้มแน่นอน ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายภาคไม่ต้องกังวล ส้มจะโอนให้ภาคทุกเดือน”
“ภาคเลี้ยงเด็กไม่เป็นและไม่คิดจะมีลูกด้วย”
“แต่ภาคแต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอ ให้แฟนของภาคเลี้ยงพะแพงก็ได้ หรือภาคกลัวเรื่องเงิน ส้มบอกแล้วไงว่าส้มจะเป็นคนจ่ายเงินให้ภาคทุกบาททุกสตางค์ จ้างแฟนภาคเลี้ยงก็ได้”
“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ต่อให้ส้มไม่ส่งเงินให้ ภาคก็มีเงินเลี้ยงดูเมียภาคให้สบายอยู่แล้ว”
“ลืมไป...ภาครวย” ส้มพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ฟังแล้วก็รู้สึกน่ารำคาญ
“ไม่เกี่ยวจะรวยหรือจน ต่อให้ภาคจนก็ไม่คิดจะทำให้เมียตัวเองลำบากอยู่แล้ว” เมียผม ผมดูแลได้สบายมาก “เพียงแต่...หากพะแพงมาอยู่ที่นี่ วันหนึ่งเภามันก็ต้องรู้ อีกอย่างถ้าพะแพงอยู่ที่นี่ในฐานะลูกของภาคเหมือนที่ส้มสร้างเรื่องหลอกผู้ใหญ่ เมียของภาคเค้าจะไม่สบายใจ”
“ห่วงเหลือเกินนะ คำก็เมีย สองคำก็เมีย” แม้ส้มจะพูดประชดประชันแต่ผมก็ไม่สนใจ
“งั้นภาคก็เลือกมา...ระหว่างพ่อภาคกับน้องชายภาคล่มจมเสียชื่อเสียง ธุรกิจพัง กับเมียที่ภาคเพิ่งแต่งไม่ถึงเดือน ภาคจะเลือกใคร? ” ไม่ทันได้ตอบส้มก็คาดเดาอนาคตแทนผมอย่าวกับแม่หมอทำนายผู้อื่นด้วยความอคติ “ถ้าเลือกเมียก็ระวังโดนนอกกายนกใจแล้วผลาญเงินเล่นล่ะ แต่ถ้าเลือกพ่อกับน้อง ความสัมพัฯธ์ในครอบคราวก็จะอยู่ดี มีความสุข เพราะพ่อกับน้องของภาคจะสนับสนุนไม่ให้ธุรกิจล่มจมแน่นอน”
“แค่คิดก็ต่ำทราม!” ผมไม่คิดว่านิสัยส้มจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ “ต่อให้ภาคจะเลือกใคร คนนั้นก็คงไม่เป็นส้มแน่นอน”
“ก็ดี อยากด่าไรส้มก็ด่าเลย ส้มไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ทิ้งยัยเด็กพะแพงไว้ที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กเหมือนแฝดอีกคนก็น่าจะดีเหมือนกัน”
“แม่ส้มล่ะ เขาไม่...” ไม่ทันที่ผมจะเอ่ยปากถาม ส้มก็พูดอธิบายเหตุผลของตัวเองยืดยาวว่าแม่เธอไม่ค่อยสบาย ต้องเลี้ยงลูกให้พี่ชายจนล้มป่วย กินนอนไม่เป็นเวลา เข่าพังต้องได้รับการผ่าตัด ตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างรอคิวจากหมอ
“ผมขอคุยกับพราวก่อน ถ้าพราวช่วยผมจะตอบตกลง แต่ถ้าพราวตอบว่าไม่ ผมจะปฏิเสธและไม่สนว่าพ่อหรือเภาจะเป็นยังไง”
ความจริงผมไม่ได้รู้สึกเห็นใจส้มหรือเภา และผมก็ไม่ได้สนเรื่องธุรกิจของครอบครัว ก่อนหน้านี้ผมล้างมือวางลงแล้ว แม้แต่ธุรกิจที่ผมร่วมทำกับโซ่ซึ่งเป็นลูกของอา ผมก็ให้โซ่จัดการดูแลต่อ ผมตัดสินใจร่วมเมื่อมีการประชุมออนไลน์หรือโซ่โทรมาปรึกษาขอความคิดเห็นเท่านั้น ความสัมพันธ์ของผมกับเภานั้นไม่ได้ดีแต่ก็ไม่แย่ อาจเพราะพ่อรักเภามากกว่าผมหรืออาจเพราะเราสองคนไม่มีช่วงเวลาดี ๆ ที่ได้อยู่หรือพูดคุยกันเหมือนพี่น้องคนอื่น ไม่เหมือนความสัมพันธ์ของผมกับโซ่ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขทั้งเรื่องงานเรื่องเงิน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันค่อนข้างมาก
สิ่งที่ผมเห็นใจและเป็นห่วงคือ ‘พะแพง’ เด็กที่ถือกำเนิดมาจากความเลินเล่อของพ่อแม่ หากเรื่องราวเป็นไปตามที่ส้มบอกเล่า ทั้งส้มและเภาขาดความรับผิดชอบอย่างรุนแรง กรรมที่ผู้ใหญ่เป็นคนกระทำกลับถูกโยนไปให้เด็กบริสุทธิ์รับเคราะห์ นั่นเป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถรับได้ แม้เด็กคนนั้นจะไม่ใช่ลูกผมแต่เขาก็ถือว่าเป็นหลานแท้ ๆ ของผม หากต้องสวมบทบาทเป็นพ่อพะแพงชั่วคราวเพื่อรอส้มสะดวกเลี้ยง ผมก็สามารถโกหกให้ได้แล้วตั้งใจว่าจะบอกพราวทีหลังเมื่อส้มรับพะแพงกลับไปดูแล ส้มวางแผนแต่งเรื่องโกหกผู้ใหญ่ตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้ผมโดนยายเล็กกดดันยากจะปฏิเสธ หากยายเล็กเชื่อแล้วท่านก็ไม่รับฟังเพิ่ม
เมื่อคุยและตกลงกับส้มเสร็จ ผมก็กลับมาคุยกับพราว ตอนแรกผมเข้าใจว่าเธอจะโวยวายหรือไม่ก็เสียใจที่จู่ ๆ ผมก็ได้ชื่อว่ามีลูกกับแฟนเก่า ยังไม่ทันได้พูดหรืออธิบายให้เธอเข้าใจถึงสถานการณ์ พราวก็รีบพูดเกี่ยวกับเรื่องหย่าขึ้นมาทันทีทำให้ตอนนั้นผมมีอารมณ์ฉุนอยู่ไม่น้อย 'อะไรกัน เพิ่งจะแต่งงานไม่ถึงเดือนก็อากหย่าแล้วเหรอ' หรือความจริงแล้วพราวอยากได้เงินจากผม เมื่อลองแหย่แซวเล่นท่าทางอาการก็แสดงพิรุธจนน่ากลั่นแกล้ง
สมกับเป็นนักเขียนออนไลน์ สมาธิสั้น ขี้มโนและคิดแทนผู้อื่น ในความคิดและสมองของพราวเหมือนมีเรื่องราวอยู่ในหัวตลอดเวลาจนบางครั้งเธอก็สับสนงุนงงว่านั่นคือเรื่องในนิยายหรือชีวิตจริง ผมพอเข้าใจจุดนี้บ้างจึงปล่อยเลยตามเลย มองข้ามข้อเสียที่เอาแต่ใจและชอบคิดแทนผู้อื่นจนเพ้อเจ้อมโนทิพย์ และหันไปให้ความสำคัญเรื่องจิตใจแทน เรื่องเงินผมไม่เกี่ยง แต่ได้รับเงินแล้วนำไปก่อประโยชน์ไหมเรื่องนี้สำคัญมากกว่า ซึ่งผมพอรู้บ้างว่าพราวอยากได้เงินเอาไปเป็นทุนทำหนังสือ เธอมีรายรับแค่ช่องทางเดียว หากได้เงินจากผมไปสมทบผมก็พอเบาบางใจบ้างที่ได้ช่วยสนับสนุนความฝันแม่นักเขียนตัวป่วนทางอ้อม ครั้นจะยกเงินก้อนให้ยืมหรือให้โดยไม่หวังผลคุณพราวภรรยาก็ขี้ระแวงหาว่าผมไปขโมยเงินชาวบ้าน ค้าขายไม้เมืงเหนือ ค้ายา ทำเรื่องผิดกฎหมายจนผมแทบจะกินข้าวไม่ลงเพราะกลั้นขำไม่ไหว นี่คงเป็นเหตุผลอีกหนึ่งข้อที่ผมเลือกจะให้เงินพราวรายเดือนโดยอ้างให้เป็นค่าเลี้ยงดูหลาน แต่เงินรายเดือนที่โอนให้ก็แถมแรงสนับสนุนความฝันอยู่ในนั้นโดยแม่นักเขียนตัวยุ่งไม่รู้ตัว
เวลาผ่านไป...หนึ่งปีเต็มที่พะแพงมาอยู่เชียงรายโดยมีพราวดูแลยิ่งกว่าไข่ในหินอย่างชิดใกล้ จากตัวเล็กหนักไม่ถึงสองพันห้าร้อยกรัมปัจจุบันหนักสิบกว่ากิโล พราวโอบอุ้มพะแพงตัวติดกันจนผมแทบไม่ได้ใกล้ชิด ความสัมพันธ์ของเราสองคนไม่ได้พัฒนาขึ้นแต่ก็ไม่ได้แย่ลง ยังคงเส้นคงวา จนบางครั้งผมก็คิดว่านี่คือข้อดีหรือข้อเสียที่รับพะแพงมาเลี้ยงดู นอกจากจะให้เงินภรรยาทุกเดือนไม่เคยขาด ผมก็ไม่เคยได้แตะเนื้อต้องตัวหรืออยู่ใกล้กันอีก เว้นเสียแต่จะขออุ้มพะแพงเท่านั้นถึงได้ใกล้ชิดโดนตัวกันบ้าง ส่วนเวลาที่เหลือผมก็ทำงานกลับบ้านก็ได้แค่มองในองศาที่สองแม่ลูกได้วางให้
ผมมองว่าตัวเองไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของพะแพงจึงไม่อยากอุ้มหรือโดนเนื้อต้องตัวหลานสาวบ่อยนัก ให้ผู้หญิงเหมือนกันได้ดูแลน่าจะสบายใจกว่า ต่อให้พราวจะไม่ใช่แม่เด็ก หรือปัจจุบันรู้ว่าพะแพงคือลูกติดจากแฟนเก่า พราวก็ยังเป็นพราวเหมือนวันแรกที่พบไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ทุกอย่างเหมือนดำเนินไปด้วยดีตามเส้นที่เคยเป็นมา พะแพงอยู่ที่เชียงรายจนทุกคนรักใคร่และเอ็นดู แต่แล้ววันหนึ่งส้มก็กลับมาที่บ้านสวนภูมะขามอีกครั้ง วันนั้นผมไปทำระบบน้ำสำหรับรดสนามหญ้าที่บ้านยายเล็กพอดี รถเบนซ์คันหรูป้ายแดงขับมาจอดที่ลานหน้าบ้าน เมื่อประตูเปิดออกก็เผยให้เห็นผู้หญิงที่ผมเกือบลืมไปแล้ว
ผมเหมือนฉลาดรู้ทันผู้หญิงคนนี้ แต่นั่นเป็นเพียงความคิดโง่ ๆ ที่โดนผู้หญิงคนหนึ่งปั่นหัวหลอกให้หลงเชื่อเท่านั้น
ส้มมาแนวเดิมคืออ้างว่าเป็นลูกผมบอกเล่าเหตุผลและความจำเป็นในชีวิตให้ญาติผู้ใหญ่บ้านผมฟัง ครั้งนี้เธออุ้มแฝดอีกคนมาด้วย 'พลับพลึง' แต่ที่ทำให้ผมต้องตกใจคือพลับพลึงมีแผลและรอยช้ำทั้งตัว ส้มอ้างกับผู้ใหญ่ว่าพลับพลึงโดนพี่เลี้ยงในศูนย์เนอสเซอรีตบตี อีกทั้งการงานของเธอไม่สะดวกเลี้ยงดูเล็ก แม่ผ่าตัดเข่า คำโกหกหลอกลวงที่เคยใช้พูดกับผมถูกส่งต่อให้ผู้ใหญ่รับทราบอย่างรวดเร็ว
‘ให้พราวเมียภาคดูแลก็ได้ พราวรักเด็ก พราวดูแลดีมาก อยู่กับพ่อก็สบายใจกว่า โชคดีที่ภาคได้เมียดี’
หลังจากผู้ใหญ่ในบ้านทุกคนมีความเห็นชอบตรงกัน จากนั้นก็ให้คนไปเรียกพราวมาหา แต่พอพราวมาถึงก็ไม่มีใครพูดถึงประเด็นที่จะให้พราวรับเลี้ยงเด็กเพิ่มสักคน นั่นหมายความว่าพราวถูกมัดมือชกให้รับเลี้ยงเด็กโดยใช้ข้ออ้างในการเป็นคนดี รักเด็ก เพื่อรับหน้าที่ดูแลเด็กเพิ่ม ผมรู้สึกเรื่องชักจะไปกันใหญ่ และผมก็ากหนักคิดว่าตัวเองจัดการเรื่องนี้ได้ ความจริงผมก็เป็นอีกหนึ่งคนที่หลอกใช้ความดีของพราวเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่เมื่อเห็นคนอื่นทำกับพราวบ้างผมก็รู้สึกหงุดหงิด และพูดกับผู้ใหญ่ในบ้านทุกคนหลังจากที่พราวขอตัวกลับบ้าน 'เรื่องนี้ผมกับพราวขอเป็นคนตัดสินใจเอง จะเลี้ยงหรือไม่รับเลี้ยงยายกับน้าอย่าไปบังคับพราวเลย'
ผมกล้าบอกผู้ใหญ่ทั้งที่ก่อนหน้าผมเงียบและไม่เคยแสดงความคิดเห็นใด ๆ ก่อนลุกตามพราวกลับไปที่บ้านหลังเล็กเพราะเข้าใจว่าพราวกำลังหดหู่ที่จู่ ๆ ก็มีเด็กมาเพิ่มอีกคน เธออาจจะเหนื่อยกับการเลี้ยงเด็กก็ได้ แต่เดินไปยังไม่พ้นบ้านหลังใหญ่ชาวบ้านก็ปั่นจักรยานมาถามว่าบ้านไฟไหม้หรือเปล่า ควันลอยฟุ้งไปถึงบ้านเขา ตอนนั้นผมคิดได้แต่พราวเผลอเลอทำอาหารจนครัวไหม้ จึงรีบวิ่งกลับบ้านเพราะเป็นห่วงกลัวพราวอยู่ในอันตราย แต่ตอนนั้นผมอารมณ์ฉุนเฉียวเรื่องส้มและด้วยความเป็นห่วงพราวที่มากเกินไปจึงตวาดตอบกลับเธอยกใหญ่ พราวเองก็ร้องไห้และด่าผมกลับนับว่าเป็นครั้งแรกที่เราทะเลาะกันเสียงดังใหญ่โตก่อนพราวจะวิ่งไปทางสวนหลังบ้าน
ผมกำลังจะเดินไปตามเพื่อหวังจะง้อแต่ 'ใจเย็น ๆ ภาค เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจำเป็นต้องทะเลาะกันเลย' เสียงหวานจากส้มดังขึ้น เมื่อผมหันไปมองก็พบว่าเธอเดินตามผมมาที่บ้านหลังเล็กด้วย เด็กตัวผอมร่างบางที่สวมใส่ชุดกันหนาวหนาก็ถูกอุ้มมาด้วยเช่นกัน
เห็นดังนั้นผมจึงตัดสินใจไม่เดินไปตามพราวแล้วหันปพูดคุยปัญหากับส้มแทน หากพราวอารมณ์ดีเธอคงกลับมาที่บ้าน
ดูผิวเผินคล้ายพลับพลึงโดนพี่เลี้ยงในศูนย์ตี แต่ความจริงแล้วคนที่ทำร้ายร่างกายพลับพลึงกลับเป็นส้ม ผมรู้สึกตัดสินใจผิด ไม่น่าเชื่อใจและให้การช่วยเหลือส้มตั้งแต่แรก แต่หากไม่ช่วยเด็กก็ได้รับอันตราย สภาพพลับพลึงผอมแห้ง รอยแผลเต็มตัว เห็นแล้วก็รู้สึกหดหู่ที่หลานผมต้องพบเจอเรื่องราวแบบนี้
“พูดตามตรงเลยดีกว่า พี่เลี้ยงศูนย์ไม่ได้ตีพลับพลึงแต่คนที่ตีลูกคือส้มใช่ไหม” ผมย้อนถามส้มเมื่ออยู่ด้วยกันสองต่อสอง ครั้งนี้ผมไม่ได้สูบบุหรี่แต่เคี้ยวหมากฝรั่งแทน ผมเลิกสูบบุหรี่ตั้งแต่พะแพงย้ายเข้ามาที่บ้านนับตั้งแต่นั้นก็พยายามฝืนตัวเองและห้ามใจไม่สูบมาดดยตลอด จนในที่สุดก็สามารถเลิกได้
“เด็กมันดื้อ พูดไม่ฟังก็ต้องมีสั่งสอนบ้างเป็นเรื่องปกติ”
“แต่พลับพลึงเพิ่งจะอายุหนึ่งขวบ ส้มจะเอาอะไรกับเด็กตัวเล็กแค่นี้”
“แล้วภาคจะให้ส้มทำยังไง งานก็ต้องทำ เด็กก็ต้องดูแล ช่วงนี้ตารางบินส้มค่อนข้างเยอะ ไม่ว่างดูแลพลับพลึง พอเลิกงานกลับมาที่ห้องเจอเด็กร้องไห้เสียงดังส้มก็ไม่ไหวหรอกนะ พอร้องไห้มาก ๆ ข้างห้องก็มาด่าอีก ส้มลำบาก”
“ก่อนหน้านี้ทำไมดูแลได้ไม่เห็นลำบากอะไร เงินที่มีก็จ้างพี่เลี้ยงมาดูแลแทนก็ได้นี่หรือไม่ก็ฝากที่ศูนย์เหมือนเดิม”
"ถ้ามันง่ายแบบภาคพูดก็ดีสิ เงินที่ส้มหามาได้ยังไม่พอกับค่าใช้จ่ายเลย ไหนจะผ่อนคอนโด ค่าส่วนกลาง ค่ารถ ค่าน้ำมัน"
"เที่ยวต่างประเทศได้แทบทุกเดือน ซื้อของแบรนด์เนม กินร้านอาหารหรูกลางใจกรุงบนตึกสูง รถที่ขับมาก็ป้ายแดง แต่กลับไม่มีเงินจ้างพี่เลี้ยงดูแลเด็กเนี่ยนะ ข้ออางหรือเปล่า"
"ส้มไปต่างประเทศเพราะงานบินของส้ม ไม่ได้ไปเองสักหน่อย ไปแป๊บเดียวก็กลับ ชมเมืองไม่กี่ชั่วโมงแต่สามารถถ่ายรูปอวดโซเชียลเป็นร้อยมันก็เรื่องปกติไม่ใช่เหรอภาค ไปต่างประเทศทีก็ต้องหิ้วของมาขายออนไลน์ด้วยถึงจะคุ้ม พอมีเด็กก็ทำงานลำบาก ไปไหนมาไหนก็ห่วง"
"ก็แบ่งเงินส่วนขายออนไลน์จ้างคนมาดูแลลูกก็ได้นี่" ขณะที่กำลังท้วงส้ม ผมก็เพิ่งนึกอะไรออกจึงถามส้มกลับ "แล้วช่วงที่ส้มบิน พลับพลึงอยู่กับใคร"
“บางทีก็นำไปฝากี่ศูนย์เลี้ยงเด็ก แต่ครั้งไหนไม่สะดวกไปก็ขังพลับพลึงในคอกเด็กที่ห้อง” ได้ยินคำตอบก็ถึงกับตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้กับใบหน้าเพิกเฉยไร้จิตสำนึกของคนที่ผมเคยรัก “แต่ช่วงนี้พลับพลึงเริ่มปีนป่าย เดินแล้วก็ส่งเสียงดัง ล่าสุดพลับพลึงปีนจะออกคอกเด็กเลยทำให้ตีลังกาหัวโขลกพื้นน่ะ วันนั้นส้มเครียดเรื่องงาน เพราะจะมีสอบเลื่อนตำแหน่งก็เลยพลั้งมือตีลูกไปหลายครั้ง ช่วงนี้ส้มซึมเศร้าด้วยต้องกินยารักษากับคุณหมอ”
“อย่าอ้างว่าป่วย แล้วใช้อารมณ์กับเด็กได้ไหม ก่อนหน้านี้ภาคก็เคยป่วยแต่ก็ไม่เคยใช้กำลังทำร้ายส้มนี่ อย่างมากก็แค่เมาแล้วอ้วก แต่ส้มก็เคยทิ้งให้ภาคนอนจมกองอ้วกนี่” นึกแล้วก็น่าขำชีวิตตัวเองเสียจริง
โชคดีแล้วล่ะที่วันนั้นส้มบอกเลิกผม
โชคดีแล้วล่ะที่ผมไม่ตามง้อเธอ
และโชคดีแล้วล่ะที่ผมมีโอกาสได้เจอพราวอีกครั้งจากการแนะนำของน้าเอื้อง
“บอกความจริงมาเถอะ...เรื่องมันเป็นมายังไง อย่าคิดจะโกหกผมอีก เพราะถ้าผมรู้ว่าเรื่องที่คุณพูดคือเรื่องโกหก ผมจะไม่มีวันช่วยเหลือคุณอีก”
“แม่ส้มไม่รู้ว่าส้มท้อง ภาคก็รู้ว่าแม่ส้มผู้ดีเก่า ดุขนาดไหน ถ้ารู้ว่าส้มท้องก่อนแต่งและเป็นคนที่ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันและแต่งงานจดทะเบียนได้ แม่จะต้องดุด่าส้มจนตัดลูกแน่ อีกอย่างเพราะหน้าที่การงานส้มไม่สามารถเลี้ยงลูกสองคนพร้อมกัน ก็เลยตัดสินใจยกพะแพงให้ภาคเพราะเห็นภาคเป็นพี่ชายของเภา ภาคมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ติดต่อกับเภาเขาไม่น่าจะรู้ว่าส้มเก็บเด็กไว้ ก่อนหน้านี้เภาให้เงินส้มไปทำแท้งแต่ส้มก็ไม่กล้า ส้มกลัว...ส้มจึงตัดสินใจเลี้ยงลูกแค่คนเดียว ตอนแรกก็คิดว่าเลี้ยงเด็กไม่ยาก หากไปบินก็ฝากพลับพลึงที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก ไม่คิดว่าค่าใช้จ่ายจะเยอะ ส้มก็เลย...”
ส้มก้มหน้าลงมองดูพลับพลึงที่นั่งตักของตัวเอง “ขังพลับพลึงในคอกเด็กในห้องคอนโด ในคอกเด็กส้มก็จะเตรียมข้าว ของเล่น แล้วก็ขนมให้พลับพลึงครบ ระหว่างที่ส้มว่างก็ดูกล้องว่าพลับพลึงทำอะไร คุยกับพลับพลึงผ่านกล้อง หลังจากบินเสร็จกลับบ้าน ส้มก็จะอาบน้ำเปลี่ยนแพมเพิสให้ลูก วันไหนเหนื่อยแล้วลูกงอแงก็มีบ้างที่ตี แต่ไม่ได้ตีบ่อย ก็เหมือนแม่ตีลูกทั่วไป แต่พักหลังส้มได้ไฟท์ไปต่างประเทศก็เลยไม่สะดวกดูแลพลับพลึงเหมือนเดิม”
“ส้ม! พลับพลึงเป็นคนนะ แม้เขาจะเป็นเด็กเขาก็เป็นคน เขาไม่ใช่หมาหรือแมวที่จะขังอยู่ในคอก แล้วส่องกล้องดูพฤติกรรม นี่ลูกส้มนะ…ทำไมถึงไม่ไปฝากเลี้ยงเหมือนเดิม”
“ค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูเด็กมันเยอะมากนะภาค ค่ากิน ค่าอยู่ส้มอีกล่ะ”
“แต่งตัวซื้อของแบรนด์เนมให้น้อยลงหน่อยสิ ถ้าไม่ว่างก็เอากระเป๋าไปขาย นำเงินที่ได้จ้างพี่เลี้ยง ชาวบ้านแถวนี้แม้เขาจะจนและไม่ได้รวยเท่าส้มเขาก็เลี้ยงลูกให้อยู่ดีกินดี ทุกคนต่างก็เสียสละเพื่อลูกเพื่อครอบครัวกันทั้งนั้น”
“นั่นมันชาวบ้านไม่ใช่ส้ม ตอนนี้ส้มไม่อยากได้พลับพลึงแล้ว ส้มมีแฟนใหม่ ส้มอยากมีชีวิตใหม่”
ได้ยินคำพูดนี้ผมถึงกับไปไม่เป็น ที่ผ่านมาผมคบกับผู้หญิงคนนี้ไปได้อย่างไร สังคมทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยเหรอหรือแท้ที่จริงแล้วนี่คือนิสัยของส้มที่ผมไม่เคยรับรู้และสัมผัส
“ถ้าคุณให้พลับพลึงกับผม ผมจะไม่มีวันคืนให้คุณอีก พะแพงก็เช่นกัน”
“ตกลง สิบล้าน!” ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของส้ม “พะแพงห้าล้าน พลับพลึงห้าล้าน รวมเป็นสิบล้าน แลกกับการที่ส้มยกลูกให้กับภาค เราไม่ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก แม้แต่ลูก...ส้มก็ไม่รับคืน ส้มจะขอเงินแทนคำขอโทษเท่านั้น”
ผมเงยหน้ามองฟ้าเมื่อได้ยินส้มพูดถึงเรื่องเงิน ก่อนจะถอนหายใจ เงินอีกแล้วเหรอ...
“ส้มกำลังเจรจาซื้อขายลูกกับภาคเหรอ”
“อย่าลืมสิว่าพะแพงกับพลับพลึงเป็นหลานของภาค สิบล้านแค่นี้คงไม่ทำให้ขนหน้าแข้งของภาคร่วงหรอก คอนโดกลางใจเมืองเราอยู่ด้วยกันมาสิบปีราคาสามสิบล้านพ่อภาคยังซื้อให้ภาคได้เลย ปัจจุบันน่าจะราคาพุ่งไปเกือบร้อยล้านแล้วมั้ง ธุรกิจที่ภาคทำกับโซ่ก็ทำเงินได้ไม่น้อยนี่ เงินสิบล้านบาทแค่นี้ถือว่าน้อยมากนะ”
"ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าให้เงินไปแล้ว คุณจะไม่หักหลัง เงินหมดก็กลับมาขอ แล้วใช้เด็ก ๆ เป็นเครื่องมือ"
"มั่นใจได้เพราะส้มอยากมีชีวิตใหม่ อีกอย่างเด็กๆ อยู่กับภาคที่นี่ส้มก็วางใจ ไม่มีใครดูแลเด็กและน่าไว้ใจเท่าภาคกับพราวแล้วล่ะ"
ผมได้แต่หัวเราะในลำคออย่างตลกขบขันกับคำยินยอปอปั้นที่เสแสร้งจอมปลอม
"ส้มก็รักเด็กทั้งสองคนนะ เพียงแต่ชีวิตของส้มมันเดินมาไกลเกินจะกลับ ลูกทั้งสองคนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ปลอดภัยส้มก็หมดห่วง"
"เอาเถอะ ถ้าอยากได้เงินจะโอนให้ ส่วนเด็ก ๆ จะมาหาก็ได้ไม่ว่า แต่อย่ามาทำให้เค้ามีบาดแผลในใจเพิ่ม ถ้าวันหนึ่งเด็ก ๆ โตขึ้นเดี๋ยวเค้ารับรู้เรื่องราวมากกว่านี้ก็อย่าใจร้ายผลักไสเค้า ต้อนรับเค้าด้วย" ผมปรายตามองส้มอย่างข่มขู่ "ผมไม่ได้ใจดีเหมือนเมื่อก่อน ผมไม่ได้ทำเพื่อคุณ ผมทำเพื่อภรรยาผม เธอคงไม่สบายใจถ้าเด็กที่เธอเลี้ยงมากับมือด้วยความรักและเอาใจใส่ต้องไปเจอแม่ใจร้ายใจดำอำมหิตอย่างคุณ"
ส้มผงกหัวรับคำโดยไม่พูดแก้ตัวอะไรอีก เธอลูบผมบางของพลับพลึงแล้วกอดกระชับ ผมมองไม่ออกว่านั่นคือท่าทางของความรักหรือกำลังสร้างภาพ
เรื่องดำเนินมาถึงตรงนี้ พราวหายเงียบไปทั้งวันติดต่อไม่ได้ ท่าทางเธอจะโกรธผมกว่าครั้งไหน ๆ ผมตัดสินใจแทนพราวโดยไม่ได้พูดและถามความคิดเห็นเช่นเดิม หากตัดสินใจช้าผมก็รู้สึกผิดกับน้องชายและหลานสาวฝาแฝดเช่นกัน
วันนี้เป็นอีกหนึ่งคืนที่ผมเฝ้ารอพราวกลับบ้าน ไม่ต่างจากวันนั้น วันที่เราทะเลาะกันจนพราวไปร้านอาหารยามค่ำคืนแล้วพบเจอกับโยชน์ ญาติที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปี การได้อยู่คนเดียวในความเงียบเพื่อทบทวนความคิดและการกระทำของตัวเองนั้น เป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย เพราะนั่นทำให้ผมรู้ว่าปัญหาของเราสองคนคือไม่เปิดใจคุยกัน ปัญหาของผมคือไม่พูด ไม่อธิบาย ปัญหาของพราวคือคิดมโนล่วงหน้าคาดหวังในคำตอบ
"ผัวอะไร ไม่มีผัว ไม่อยากมีแล้วปากเสีย ไอ้คนใจดำ" เสียงอึกทึกดังมาแต่ไกลพร้อมกับเสียงมอเตอร์ไซค์
"เกาะดีๆ เดี๋ยวหล่น"
"เกาะให้แน่นหน่อยนะน้องน้า เกาะพี่หน่อยนะน้องน้า" เสียงร้องเพลงเพี้ยนขี้โวยวายแบบนี้คงไม่ใช่ใครอื่น พอได้ยินเสียงที่คุ้นเคยของพราวดังเข้ามาใกล้ผมก็ลุกจากที่นั่งเดินไปประตูรั้วหน้าบ้าน
รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างขี่เข้ามาจอดที่ลานหน้าบ้าน ผู้ชายเป็นคนขี่ ส่วนพราวนั่งพื้นรถพ่วงโดยมีผู้หญิงคนหนึ่งจับตัวเธอเอาไว้
"เกิดอะไรขึ้นครับ" ผมเดินเข้าไปถามผู้หญิงที่คาดว่าจะชื่อโรสและอุ้มพราวออกมาจากรถพ่วงข้าง
"สภาพนี้เมาค่ะ กินเหล้าขาวไปสองแก้วเอง"
สำหรับผู้หญิง เหล้าขาวก็แรงอยู่นะ...
"แล้วเสื้อพราวล่ะครับ ก่อนหน้านี้ผมจำได้ว่าเธอใส่เสื้อกันหนาวแขนยาวสีแดงหรือไม่ก็ส้มไม่ใช่เหรอ"
"อ่าว" พี่โรสมองซ้ายมองขวา หันไปดูรถพ่วงแะถามผู้ชายคนขี่รถ ก่อนได้รับคำตอบว่า "สงสัยมันเมาแล้วร้อนก็เลยถอดทิ้งไว้ที่บ้านนู้นน่ะค่ะ เดี๋ยวตอนเช้าพี่เอามาให้นะ"
ผมก้มมองพราวในอ้อมกอดของตัวเอง เสื้อกล้ามสีแดงไม่ใส่เสื้อชั้นในกล้าออกจากบ้านโดยไม่ใส่เสื้อชั้นในได้ยังไงหรือคิดว่าใส่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ก็สามารถปกปิดหน้าอกตัวเองได้น่ะ น้อยนักจะได้ใกล้ชิดกันแบบนี้ แต่ทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดสภาพไม่เมาก็มีเรื่องทะเลาะกันตลอด
"ขอบคุณครับ"
ระหว่างที่ผมกำลังขอบคุณและกระชับกอดพราวอุ้มและพาเขข้าบ้าน พ่อแม่ของพราวก็ออกมาดูสถานการณ์หน้าบ้าน ญาติพี่น้องทักทายคุยกันเป็นเรื่องปกติ ส่วนผมขอตัวพาพราวกลับไปนอนที่ห้อง
"อีกำนันภาคปีศาจ ไอ้ปีศาจ ใจดำ เลวระยำ ตกนรกแน่ๆ ขุมไหนขุมอเวจี ไอ้ชิงหมาเกิด ไอ้ดำทะมึน"
เจอใครด่าก็ไม่เจ็บเท่าเมียด่า เจอใครบูลลี่ก็ไม่เท่าเมียบูลลี่
"เดี๋ยวคืนนี้แม่พาเด็กๆ ไปนอนที่ห้องแม่ก็แล้วกันนะ โวยวายเสียงดังขนาดนี้เดี๋ยวเด็ก ๆ ไม่ได้นอนกันพอดี" แม่ของพราวเดินเข้ามาดูพราวในห้อง ในขณะที่ผมกำลังจัดท่านอนและห่มผ้าให้
"ขอบคุณครับ เดี๋ยวเรื่องพราวผมจัดการเองครับ"
"ไม่ต้องห่วงเด็ก ๆ นะ พะแพงเพิ่งคล้อยหลับไป เหลือพลับพลึงดูเหมือนจะตื่นสถานที่ทำท่าจะนอน แต่ก็ฝืนตัวเองไม่ยอมนอน"
"เอาตุ๊กตาให้เค้ากอดหรือไม่เราก็ต้องอุ้มเค้าไว้ตลอดน่ะครับ พลับพลึงเค้ากลัวคนหายหลือเค้าคนเดียว เลยจ้องมองตลอด"
"อ่าวเหรอ ได้ ๆ เดี๋ยวแม่อุ้มมากล่อมที่ตัก"
"ขอบคุณอีกครั้งนะครับ"
"เล็กน้อยไม่เป็นไร ดูคนขี้โวยวายเถอะงานหนักหน่อยนะภาค"
ผมกับแม่ของพราวหัวเราะและยิ้มให้กัน ก่อนผมจะเดินไปห้องน้ำเพื่อเปิดน้ำอุ่นใส่กะละมังขนาดเล็กนำมาเช็ดตัวให้พราว
'แสบสมชื่อ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเกินใคร'
ขณะเช็ดหน้าเช็ดตาให้พราว เธอก็เหมือนจะได้สติขึ้นมานิดหน่อย "มาเช็ดตัวให้ทำไม ไม่รักก็ไม่ต้องมายุ่ง"
"ถ้ารักแล้วยุ่งได้ไหม"
"ก็น่าจะ เออะ เออะ" พราวสะอึกเสียงดัง ก่อนถีบทึ้งผ้าห่มออกจากตัว "สะอึกอะ ต้องกินน้ำ ไปเอามาให้หน่อยจิ"
"กล้าใช้เหรอ" ผมยิ้มให้กับท่าทางขี้โวยวายปนน้ำเสียงอ้อนปิดท้ายของคนเมา
"ไปเอาเองก็ได้" พราวกำลังจะขยับตัวลุกขึ้น ผมจึงใช้โอกาสนี้จับเธอกดนอนราบกับเตียงแล้วใช้โอกาสขยับตัวและใบหน้าเข้าไปใกล้
"กินน้ำอาจจะไม่หายสะอึก ต้องวิธีนี้ได้ผลแน่นอน"
"อะไร"
เมื่อถูกถามผมก็ให้คำตอบพราวทันที รีบประกบปากบดขยี้จูบคนขี้ดื้อ ขี้มโน ขี้โวยวายให้หายอาการสะอึก ไม่รู้ว่าทำให้คนอื่นตกใจแล้วจะหายสะอึกจริงหรือไม่ ผมรู้เพียงแต่ว่าได้จูบพราวก็พอแล้ว
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น