คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
บทนำ
“ทำอะไรไหม้อีกแล้ว เหม็นสาบไปถึงหน้าบ้าน บ้านข้าง ๆ เขาวิ่งมาบอกนึกว่าไฟไหม้บ้าน” เสียงเขียวของพ่อกำนันดีเด่นประจำจังหวัดดังมาแต่ไกล
เขาคือกำนันภาค สามีฉันเอง อายุสามสิบตอนปลายแต่กลับมีอิทธิพลในชุมชนเป็นอย่างมาก หน้าตาจริงจังกับท่าทางเคร่งขรึมของเขาทำให้ดูน่าเชื่อถือ คุณตาของคุณภาคเคยเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่มีชื่อเสียงด้านการพัฒนาจึงทำให้เขามีฐานเสียงในชุมชนค่อนข้างมาก
“ข้าวต้มของน้องพะแพงค่ะ พอดีว่า...” ไม่ทันได้อธิบายเหตุผลให้พ่อกำนันหัวร้อนฟังเขาก็โวยวายเล่นใหญ่เหมือนฉันฆ่าลูกเขาตายในบ้าน เล่นเอาฉันหัวเสียจนปั้นหน้ายิ้มไม่ได้
“ต้มข้าวไหม้อีกแล้วเหรอ เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ทำไมทำไม่ได้ นี่หม้อที่สามของเดือนแล้วนะ” คุณภาคมาถึงก็เดินไปหยิบผ้ามาจับหม้อสีดำที่มีควันพุ่งขึ้นจากนั้นก็โยนหม้อทิ้งไปทางหน้าต่าง “เวลาต้มข้าวก็หัดมีสติ อยู่เฝ้าหม้อบ้าง ไม่ใช่เอาแต่อ่านนิยาย วาดรูป เดินเล่นรอบบ้านเพลิน นึกว่าอยู่ในสวนสนุกเหรอ! ถ้าไฟไหม้บ้านขึ้นมาจะทำยังไงฮะ!” เสียงตวาดฉันดังกึกก้องคับบ้านหลายทับหลายซ้อนจนแก้วหูของฉันสะเทือน
“ก็ไม่ได้ไหม้สักหน่อย”
ฉันพูดด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มอยากเถียงแต่ก็ไม่ได้อยากให้คุณภาคได้ยิน รีบสาวเท้าเดินไปเปิดพัดลมเป่าควันออกไปทางนอกหน้าต่าง
“พูดแล้วยังจะเถียงอีก มันใช่เรื่องจะมาล้อเล่นหรือไง ถ้าไหม้ใบที่สี่ผมจะให้คุณซื้อเองแล้วนะ”
“สามใบก่อนหน้าพราวก็จะออกเงินเอง แต่คุณบอกว่าไม่ต้องนี่”
“ต่อไปให้ออกเอง จะได้รู้คุณค่าของสิ่งของบ้าง ประมาทเกินไปแล้ว คุณไม่ใช่เด็กสิบขวบที่เพิ่งฝึกต้มข้าวกินนะ แล้วนี่จะดูแลลูกได้ยังไง วันหน้าคงไม่เอาลูกผมไปเผาลงในกองเพลิงหรอกเหรอ”
“พูดเกินไปแล้วนะ”
ฉันทำหน้าตาบึ้งตึงเถียงกลับคุณภาคที่หันมาตะคอกใส่ฉันด้วยใบหน้าดุดัน คิ้วเข้มของเขาบ่งบอกว่าอารมณ์คุกรุ่นขุ่นเคืองมากขนาดไหน เห็นแล้วก็อยากเอากรรไกรไปตัดให้ปมที่หัวคิ้วคายออกเสียจริง
“ไม่เกินไปหรอก ผมพูดสันนิษฐานในข้อมูลที่มาจากพฤติกรรมประมาทเลินเล่อของคุณทั้งนั้น”
“งั้นวันหลังคุณก็ต้มข้าวให้พะแพงเองก็แล้วกัน ฉันไม่ต้มให้แล้ว”
ฉันหันหลังให้คุณภาคตั้งใจจะเดินออกจากบ้าน แต่ดันซุ่มซ่ามเดินเตะพัดลมที่เพิ่งเปิดไล่ควันล้มทั้งคนทั้งพัดลม น่าอับอายขายขี้หน้าชะมัด นิยามของคนทำผิดพลาด 'ล้มก็ต้องลุก' ตอนนี้ถูกนำมาใช้กับฉันผู้โดนสามีด่า พยายามเดินหนีปัญหาแต่กลับสร้างปัญหาให้ตัวเอง
พอลุกขึ้นได้ก็เอามือลูบเข่าที่ขึ้นสีเพื่อปลอบร่างกายตัวเอง เข่าก็ปวดอยู่หรอกนะ แต่เสียหน้าไม่ได้ ล้มแล้วก็รีบลุก หันไปมองคุณภาคอย่างเจ็บใจ
“ไอ้พัดลมควาย! เกะกะฉิบหาย”
คุณภาคหัวร้อนเป็นคนเดียวหรือไง ฉันก็หัวร้อนเป็นเหมือนกันนะ ฉันทำตัวมาดแมนสวนกลับพัดลมเตะคอจนตะแกลงปลิวไปโดนรูปครอบครัวจอมปลอม ที่มีฉัน คุณภาคและน้องพะแพงถ่ายกับน้องวัวนมตัวใหม่ของฟาร์ม
เพล้ง!
“เดี๋ยวเถอะ! ตัวทำลายข้าวของ”
ใครจะโง่อยู่รอฟังสามีด่าต่อล่ะ รีบวิ่งเผ่นออกจากบ้านสิคะ รออะไรอยู่
ฉันเดินผ่านสวนครัวหลังบ้าน ข้ามสะพานไปนั่งเล่นที่เนินสูงใต้ต้นมะขามยักษ์และใต้ต้นดอกนางพญาเสือโคร่งดูวิวแก้เครียด
“ไอ้กำนันห่วยแตก ถามสักคำไม่ได้เหรอไงว่าทำไมหม้อไหม้ เกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรหรือเปล่า มาถึงก็ด่าฉอด ๆ เลี้ยงเด็กก็เหนื่อยนะเว้ย ยังมาเจอคนงี่เง่าอีก ต่อไปจะไม่คุยด้วยอีกแล้ว แน่จริงวันหลังก็เลี้ยงลูกเองเลยสิ ไอ้คนนิสัยไม่ดี ไม่น่าเป็นกำนันได้ บ้าปึ๊กแอ๊”
บ้าปึ๊กในภาษาเหนือหมายถึงโง่ คือคำด่าที่สุดจะทนแล้ว
“บ้าควายดำ”
กำนันร่างใหญ่ผิวคล้ำ เรียกควายดำก็เหมาะสมแล้วล่ะ
ฉันนั่งถอนหายใจ ดึงหญ้าที่นั่งทับออกแล้วปาไปข้างหน้าเพื่อระบายอารมณ์ ไม่น่าหลวมตัวมาแต่งงานด้วยเลย แม้จะตกลงว่าไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของกันและกันแต่ไม่ได้หมายความว่าดุด่ากันไม่ได้ ฉันคงลืมไปว่าคนเราต่างพ่อต่างแม่ ต่างนิสัย มาอยู่บ้านเดียวกัน แม้แยกห้องนอนก็ย่อมมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่คิดว่าเขาจะปากคอเราะร้ายด่าเก่ง เหน็บบ่อยขนาดนี้
อารมณ์เสีย!
ฉันนั่งมองวิวอยู่เนินเขาลูกเล็ก ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต
หลังจากแม่ของน้องพะแพงหรือแฟนเก่าคุณภาคนำน้องพะแพงวัยหนึ่งเดือนมาให้เลี้ยงเมื่อปีก่อน เธอก็ไม่มาเยี่ยมลูกพะแพงอีกเลย แต่วันนี้จู่ ๆ เธอก็แวะมาที่บ้านหลังใหญ่ตั้งแต่เช้า บ้านหลังนั้นเป็นบ้านของตายายคุณภาค คุณน้าของคุณภาคจึงมาตามฉันให้พาพะแพงไปหาแม่แท้ ๆ ที่บ้านหลังใหญ่ ฉันซึ่งกำลังทำอาหารให้น้องพะแพงอยู่จึงละทิ้งหม้อต้มข้าว ตั้งใจว่าจะอยู่พูดคุยด้วยไม่นานเนื่องจากใจคอไม่ดีเรียกได้ว่าแทบไม่มีสติเลยก็ว่าได้ที่เห็นคุณส้มแฟนเก่าของคุณภาคกลับมาเยี่ยมเยือน
ใจหนึ่งก็กลัวว่าคุณส้มจะพาพะแพงกลับไปอยู่ที่กรุงเทพฯ พรากลูกนอกไส้ออกจากอก แต่อีกใจก็รู้สึกยินดีที่พะแพงจะได้กลับไปอยู่กับแม่ตัวจริงสร้างครอบครัวที่อบอุ่นอีกครั้ง ไม่คิดว่าการพูดคุยกันที่บ้านหลังใหญ่จะใช้เวลานานกว่าที่คิด กว่าฉันจะขอตัวกลับมาบ้านเพื่อดูหม้อต้มข้าวเด็กก็กินเวลาไปหลายนาทีจนหม้อไหม้ ควันดำลอยขึ้นฟุ้งเต็มครัว
หากตอนนั้นฉันไม่ด่วนตัดสินใจตกลงแต่งงานกับคุณภาคเพียงเพราะความสุขส่วนตัวและความฝันของตัวเองด้วยความเห็นแก่ตัว พะแพงคงอยู่กับครอบครัวอย่างสุขสันต์ คุณภาครับบทบาทเป็นพ่อที่เคร่งขรึม คุณส้มรับบทบาทเป็นแม่บ้านสุดสวย ครอบครัวของเขาคงน่ารักใครเห็นก็ต่างอิจฉาแน่
เพราะอารมณ์ชั่ววูบ ความเห็นแก่ตัว หรือความโลภครอบงำกันนะ ถึงทำให้ฉันได้ตัดสินใจอะไรที่ผิดพลาดผิด แค่คิดก็เจ็บใจเจียนตาย แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักจนรักไม่รู้ตัว มันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
พอแฟนเก่าของสามีมาเยือนถึงถิ่นอีกครั้งก็ชักจะหวั่นใจกลัวโดนแย่งของ
พอแม่ตัวจริงของพะแพงกลับมาหาก็รู้สึกร้อนใจ
หากถามว่าตอนนี้ฉันรักคุณภาคหรือไม่ คงปฏิเสธว่า ‘ไม่ได้รัก’ อย่างเต็มปากเต็มคำเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วล่ะ
แม้เราสองคนไม่ได้มีเรื่องบนเตียงเหมือนสามีภรรยาคู่อื่น แต่การเจอหน้ากันทุกวัน กินข้าวด้วยกันเกือบทุกมื้อ มีเหรอที่ใจจะไม่หวั่นไหว
นึกย้อนไปถึงช่วงอายุวัยรุ่นหัวใจว้าวุ่นเมื่อเจอหน้ารุ่นพี่ที่แอบชอบ เจอเพียงเสี้ยววินาทียังหลงรักหัวปักหัวปำ นี่ฉันเจอกำนันปีศาจทุกวัน อยู่บ้านหลังเดียวกัน ใช้ห้องน้ำห้องเดียวกัน ไม่ปันใจและผูกพันคงเป็นมนุษย์ไร้หัวใจแล้ว
แม้กระทั่งลูกของคุณภาคอย่างน้องพะแพง บางครั้งฉันก็สับสนคิดว่าเป็นลูกของตัวเอง นับประสาอะไรกับคนที่จดทะเบียนแต่งงานด้วยมีเหรอที่จะไม่คิดหึงหวงและร้อนลุ่มในอก
อืม...หวง
ฉันไม่รู้ว่าคุณภาคจะรู้สึกแบบเดียวกับฉันไหม เพราะเราสองคนไม่เคยแสดงออกในเชิงชู้สาว มีบ้างที่แสดงออกถึงความเป็นห่วง แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนจนตีความว่าคือความรัก เราสองคนอยู่กินกันเหมือนเพื่อนร่วมบ้านเสียมากกว่า ตัวฉันไม่มีความมั่นใจในตัวเองขนาดนั้น แม้จะเขียนนิยายรักมาหลายเรื่อง แต่การเดาใจใครสักคนทำไมยากนัก ไม่เหมือนนิยายที่สามารถแต่งแต้มนิสัย ควบคุมเหตุการณ์ตามแบบที่เราอยากให้เป็น
ยิ่งเห็นสายตาคุณภาคที่มองไปยังคุณส้มในวันนี้ ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าคุณภาคยังคงมีใจให้กับคุณส้ม สายตาอบอุ่น มั่นคงในรัก ไม่เย่อหยิ่งกวนประสาทเหมือนสายตาที่มองมายังฉัน แค่นั้นก็น่าอิจฉาแล้ว
ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขาสั้นขึ้นมานั่งดูรูปน้องพะแพงที่ฉันถ่ายเก็บไว้ตั้งแต่อายุหนึ่งเดือนจนกระทั่งอายุหนึ่งขวบด้วยใจที่สั่นเทา
ใจหายชะมัด จู่ ๆ คุณส้มก็มาที่บ้านไม่บอกกล่าว หากคุณส้มจะพาลูกไปตอนนี้ฉันก็ขอไม่เห็นตอนลูกย้ายของออกบ้านซะยังจะดีกว่า แค่คิดน้ำตาก็ไหลหยดลงอาบแก้มแล้ว คนอย่างฉันจะเอาอะไรไปสู้คุณส้มได้ล่ะ
ผู้หญิงที่อยู่ในใจคุณภาค
แม่ของลูกคุณภาค
แม่ของพะแพงตัวจริงก็คือ ‘คุณส้ม’
คนในบ้านคุณภาคทุกคนต่างก็สนิทและเอ็นดูคุณส้มเหมือนลูกหลานอีกคน เธอทั้งขาว สวย หุ่นดี ดูดีเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ลงมาจุติ แทบหาข้อเสียไม่เจอเลยก็ว่าได้
ฉันดูภาพน้องพะแพงอย่างเพลิดเพลินใจ เด็กอะไรทำไมน่ารักแบบนี้ อวบอ้วนจนน่าฟัด แก้มย้อยเท่าคางจนบี้จมูก ยิ่งดูก็ยิ่งหลงรัก ไม่ใช่เพราะฉันชงนม ต้มข้าว ป้อนอาหาร ให้ขนม เลี้ยงดูอย่างดีหรอกเหรอ พะแพงถึงได้เป็นเด็กอารมณ์ดี แข็งแรงอ้วนท้วนอุดมสมบูรณ์แบบนี้
ไม่ใช่คุณส้มสักหน่อย...เขาก็แค่ให้กำเนิดแล้วทิ้งไปนี่!
คนกำลังฟินกับรูปเด็กด้วยใจบอบบาง กำนันภาคปีศาจก็โทรมาหาฉันผ่านทางไลน์ ฉันมองหน้าจอแต่ไม่กดรับสาย ตรงกันข้ามกลับกดปิดเสียงโทรศัพท์มือถือทันทีเมื่อเห็นหน้าจอแสดงรูปคุณภาคกำนันบ้านนอกปากร้าย
หงุดหงิด!
พอฉันไม่รับสายทางไลน์ คุณภาคก็โทรตรง ๆ มายังเบอร์มือถือแทน ซึ่งแน่นอนว่าฉันไม่รับสายเหมือนเดิม ฉันยังจำน้ำเสียงที่คุณภาคตะคอก ดุด่าฉันได้
หม้อต้มข้าวไหม้แค่นี้ทำไมต้องดุโวยวายเสียงดังขนาดนั้นด้วย ไหม้ก็แค่ซื้อใหม่สิ ไหม้สามหม้อแล้วยังไงไม่ทราบ สี่ห้าหม้อก็ไหม้ได้หมดนั่นแหละ ก็ไฟมันร้อน ไม่ได้เย็นสักหน่อย
ใช่ว่าฉันจะทำไหม้ครั้งแรกเสียเมื่อไหร่กันล่ะ ยังไม่ชินอีกเหรอไง อยู่กินกันมาหนึ่งปีก็ไม่เห็นเคยดุจนตะคอกโวยวายลั่นบ้านเลยสักครั้ง พอแฟนเก่ามาบ้านเข้าหน่อย ก็ทำเบ่งดุฉันต่อหน้าเขาเหรอไง อยากแสดงออกว่าตัวเองเก่งกับเมียว่างั้น
เดี๋ยวแม่ไม่ทนจะกระโดดเตะขาคู่ให้หงายหลังหัวฟาดพื้นเข้าสักวัน ระวังตัวให้ดีเถอะอีตากำนันปีศาจ
ฉันก็น้อยใจเป็นนะ
จะว่าไปแล้ว ‘ชีวิตฉันทำไมคล้ายนิยายที่ฉันเคยแต่ง’
หนึ่ง…ฉันเลิกกับแฟนเก่าได้ไม่นานก็มีเหตุให้ต้องแต่งงานกับคุณภาค เหมือนใบบัวที่พลาดท้องกับคุณปราบเจ้าของรีสอร์ต
สอง...ฉันไม่ได้มีลูกกับคุณภาค ไม่ได้พลาดท้อง แต่กลับเลี้ยงลูกให้คุณภาคกับแฟนเก่าเหมือนแม่เลี้ยงคุณปราบที่เลี้ยงคุณปราบและคุณโปรดมาตั้งแต่เด็กแทนแม่ตัวจริงที่เสียชีวิต
นี่ฉันเขียนบททรมานจิตใจใบบัวมากไปใช่ไหมเนี่ย บทนั้นถึงได้คืนสนองกลับมาย่ำยีชีวิตนักเขียนอย่างฉันขนาดนี้ คิดแล้วก็กลุ้มใจชะมัด
ถ้าคุณปราบที่เป็นพระเอกในเรื่องคือคุณภาค ต่อไปฉันก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับคุณภาคแน่ แม้ตอนจบจะรักแต่ระหว่างทางนี่สิน่าปวดหัว ลูกก็ไม่มีเหมือนเขา ไหนจะเรื่องเข้าใจผิดไร้สาระอีก ไม่แน่ว่าอีกหน่อยฉันกับคุณภาคอาจจะได้แยกบ้านกันอยู่ หรือไม่ก็อาจจะหย่ากันเลยก็ได้มั้ง
ไม่รู้แล้วเว้ย! ไม่อยากคิดมากแล้ว ขอนั่งเงียบ ๆ สงบสติอารมณ์อยู่คนเดียวสักหน่อยก็แล้วกัน ยังไงคุณภาคก็หาฉันไม่เจอแน่ ๆ ที่นี่เป็นเหมือนที่ลับสำหรับฉัน สามารถชมวิวทิวทัศน์พระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกดินลับฟ้าดั่งภาพวาด
คุณภาคไม่มารบกวนแน่
ฉันปิดโทรศัพท์มือถือยัดใส่กระเป๋ากางเกง นั่งเหม่อลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พอจิตใจสงบจึงเดินกลับบ้าน
แต่...
แปลกจัง! บ้านเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่เลย มีเพียงเจ้าเบิ้มสุนัขพันธุ์โกเด้นสีน้ำตาลตัวใหญ่นอนขวางทางเข้าบ้าน มันเงยหน้าขึ้นมามองฉันอย่างขี้เกียจ ตัวนอนหางกระดิกเห็นแล้วก็อยากจะขยำพุงเล่นเสียจริง
สายตาฉันเลื่อนมองประตูบ้าน พบว่าประตูปิดสนิทและลงกลอนเอาไว้อย่างแน่นหนา เมื่อมองไปยังบ้านหลังใหญ่ บ้านของคุณยายและครอบครัวคุณน้าก็ปิดประตูบ้าน รถครอบครัวของน้าเอื้องไม่ได้จอดอยู่ที่โรงรถเฉกเช่นเดียวกับรถกระบะสีขาวสี่ประตูของคุณภาคก็ไม่ได้จอดอยู่ที่โรงรถเช่นกัน
สงสัยจะออกไปกินข้าวนอกบ้าน และที่โทรมาหาฉันก็เพื่อจะโทรตามสินะ
แต่ก็ช่างเถอะ ฉันไปก็ไม่รู้จะทำหน้าตาอย่างไรให้มีความสุขทั้งที่ใจอมทุกข์ สู้อยู่บ้านนั่งแต่งนิยาย ดูทีวี ฟังเพลงน่าจะสบายใจกว่า
พอคิดได้แบบนั้นก็เดินคอตกไปยังตู้รองเท้าที่ซ่อนกุญแจบ้านสำหรับฉันและคุณภาค หยิบเอากุญแจไขประตูเข้าไปในบ้าน สายตาเลื่อนไปเห็นภาพถ่ายของพะแพงที่ถ่ายร่วมเฟรมกับฉันก็ทำให้รู้สึกเศร้าขึ้นมาอีกหน
‘พะแพงอยู่กับแม่แท้ ๆ ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ เขาน่าจะดูแลลูกได้ดีกว่าฉันที่เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้’
ฉันบอกกับตัวเองก่อนที่จะเปิดวิทยุเสียงดัง ทำกิจกรรมที่ตัวเองอยากทำจนเบื่อ มองดูนาฬิกาตอนนี้ก็ห้าโมงกว่าแล้ว ออกไปกินข้าว ฟังเพลงชิว ๆ ที่นอกบ้านบ้างน่าจะดี มาอยู่เชียงรายปีกว่ายังไม่เคยไปนั่งร้านอาหารที่มีดนตรีสดเลยสักครั้ง วันนี้มีโอกาสต้องลองสักหน่อย นึกได้ดังนั้นก็เดินไปไปหยิบเสื้อผ้าเตรียมตัวอาบน้ำ สระผม
หลังชำระร่างกายจนหอมสะอาดก็หยิบเสื้อไหล่เดี่ยวแขนยาวสีแดงเลือดหมูที่ซื้อมาจากอินเทอร์เน็ตมาใส่คู่กับกางเกงขาสั้นสีซีดเอวสูง แต่งหน้าโทนพิงค์โรสโกล ทาปากสีชมพูเบาบาง หนีบผมให้ปลายรอนงุ้มเข้าหาทรงหน้าดูเป็นสาวเกาหลีหน้าเรียวเล็ก
พอแต่งหน้าทาปากเสร็จ ฉันก็ดูดีระดับนางเอกเกาหลียังต้องก้มหัวยอมซูฮกให้ฉันเดินนำ จะว่าไปแล้วฉันสวยกว่าแม่ของพะแพงเสียอีกแน่ะ
เชิ่ดเข้าไว้ยัยพราว สู้เขา!
ฉันเปิดโทรศัพท์มือถืออีกครั้งหลังจากถึงร้านอาหาร miss call ของคุณภาคขึ้นข้อความมาเพียบ แต่กลับไม่พบข้อความใด ๆ เพิ่มเติม เห็นดังนั้นฉันจึงส่งข้อความบอกคุณภาคว่า
พราว: ออกมากินข้าวนอกบ้านนะคะ
พราว: กลับช้าหน่อยค่ะ ไม่ต้องรอ อย่าล็อกประตูบ้าน
ไม่รู้ว่าคุณภาคจะอ่านข้อความฉันหรือเปล่า ในไลน์เขามีแต่ข้อความกลุ่มหมู่บ้าน กลุ่มงานสวน ไร่ ฟาร์มที่เขาดูแล จึงไม่แปลกหากฉันส่งข้อความไปหาแล้วคุณภาคยังไม่เปิดอ่านทันที ฉันอาจจะต้องรอประมาณชั่วโมง สองชั่วโมง บางครั้งอาจจะทั้งวันคุณภาคถึงอ่านข้อความและส่วนใหญ่จะตอบกลับมาเพียงสติ๊กเกอร์หรือไม่ก็ข้อความสั้น ๆ เท่าที่เขาอยากจะพูดเท่านั้น
มีสามีเป็นกำนันปีศาจก็ต้องปล่อยวาง ปลง…
เป็นแม่เลี้ยงที่เลี้ยงลูกให้คนอื่นก็ต้องทำใจเวลาแม่ตัวจริงมาทวงลูกคืนเช่นกัน หรือฉันต้องมีลูกเป็นของตัวเองสักคน
บทที่ 1
โดนพ่อฟาดเข้าให้
ณ ร้านอาหาร At Night
ฉันขับรถเก๋งสีขาว รถส่วนตัวของฉันที่ใช้ตั้งแต่ทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ จอดหน้าร้านอาหารซึ่งก่อนหน้านี้ค้นหาผ่านแอปพลิเคชันชื่อดัง ฉันเลือกร้านที่มีดนตรีสดเหมาะสำหรับคนวัยทำงานนั่งดื่ม เสียงไม่ดังอึกทึกคึกโครมจนเกินไป บรรยากาศเป็นแบบเอาท์ดอร์ ยามค่ำคืนเย็นสบาย
เมื่อเดินเข้าไปในร้านพนักงานก็ต้อนรับอย่างสุภาพ เขาผายมือให้ฉันนั่งโต๊ะเล็กริมบ่อปลาคราฟ ฉันรับเมนูจากพนักงานสั่งเอ็นไก่ ชีสสติ๊กส์ ปลากะพงทอดน้ำปลา ถั่วคลุกเกลือ แล้วก็เหล้าปั่น
กินคนเดียวแต่สั่งเหมือนมาหลายคนอีกแล้ว ช่วยไม่ได้ก็คนมันอยากใช้เงินบำบัดจิตใจ การได้นั่งฟังเพลง กินข้าว นั่งมองผู้คนในร้านอย่างพิจารณาเพื่อนำไปเขียนนิยายโดยเล่นโซเชียลน้อยลงก็ทำให้สุขใจสบายกายขึ้นไม่น้อย ลองใช้ชีวิตในแบบฉบับที่อยากใช้โดยไม่สนสายตาคนอื่นดูบ้างจะเป็นอะไรไปล่ะ
ยิ่งไม่ได้เห็นคุณภาค ยิ่งรู้สึกดี
ฉันไม่อยากรับรู้เรื่องราวของใคร ทำตัวหายไปจากปัญหาที่เกิดขึ้นบ้างก็ดีไม่น้อย เหมือนที่ใครหลายคนมักจะแนะนำกับฉันว่า
‘ลองออกจากหน้ากากเดิม ๆ ของตัวเองแล้วลองสวมหน้ากากใบใหม่เพื่อทดลองเป็นอีกคน บางทีอาจพบเจอเรื่องราวใหม่ ๆ ที่มีสีสันในชีวิตกว่าเดิม’
ฉันจะลองสวมบทบาทนั้นดู
“สวัสดีครับ คุณใช่คุณพราวหรือเปล่าครับ”
เสียงนุ่มของผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยถามในขณะที่ฉันส่งสายสังเกตผู้คนในร้าน มือยังค้างอยู่ที่ช้อนส้อมเพื่อเขี่ยก้างปลา เมื่อเงยหน้ามองไปยังเจ้าของเสียงฉันก็ได้แต่งุนงงว่าผู้ชายคนนี้คือใคร เขารู้จักฉันได้อย่างไร
ชื่อฉันโหลเหรอ? ก็ไม่นะ
“ผมเป็นเพื่อนกับภาค ความจริงผมเป็นลูกพี่ลูกน้องกับภาคครับ คุณแต่งงานกับภาคก็นับว่าเราเป็นญาติกัน”
ตกลงเป็นเพื่อน เป็นลูกพี่ลูกน้องหรือว่าเป็นญาติกันแน่คะพ่อหนุ่ม หรือนี่คือมุกจีบหญิงของหนุ่มเหนือกันนะ น่ารำคาญเสียจริง
จะมุกหรืออยากทักทายเพราะคุ้นหน้าคุ้นตาก็ช่าง แต่ฉันออกจากบ้านเพื่อมาพักร่างกายสวยงามที่บอบบาง พักสมองจากการหัวร้อนเพราะสามีกำนันปีศาจ ลงทุนขับรถเข้าเมืองมานั่งกินข้าว ชมวิวยามค่ำคืนคนเดียวเพื่อหลบหนีคนปากมลพิษ แต่ไม่คิดว่าชื่อของเขา (สามีปีศาจ) จะตามหลอกหลอนมาให้ได้ยินถึงที่นี่
หนีไม่พ้นเลยสินะ
“อ๋อค่ะ” น้ำเสียงฉันตอบราบเรียบ ไม่ยินดียินร้ายแต่ก็ไม่ได้ยิ้มรับ ส่งสายเฉื่อยมองผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าแสดงออกชัดว่าไม่อยากพูดคุยต่อ แม้เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงสดใสคล้ายดีใจที่เจอคนรู้จัก แต่เมื่อฉันไม่รู้จักก็ไม่เห็นจะต้องแสดงออกว่าดีใจที่เจอเพื่อนของกำนันปีศาจนี่
ดูไปดูมาเขาก็มีลักษณะหน้าตาคล้ายคุณภาคหลายส่วน แต่คุณภาคมีบุคลิกและความเป็นผู้ใหญ่สูงวัยเกินอายุมากกว่า
อาจเพราะความนิ่งสงบเป็นน้ำไหลเย็น มาดสุขุมนุ่มลึก จนบางทีก็ลึกเกินจะทน จึงทำให้แรกพบระหว่างฉันกับคุณภาคน่าวางใจมากกว่าผู้ชายคนนี้ ที่ดูลักษณะท่าทางคล้ายคนเจ้าชู้ กะล่อน ปลิ้นปล้อน
“ผมมองคุณตั้งนานแน่ะ ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าใช่แฟนภาคหรือเปล่า ก็เลยไม่กล้าเข้ามาทัก”
ทักอยู่นี่ไง ยังบอกว่าไม่กล้าอีกเหรอ ตอแหลมากค่ะ
“แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงมาทักทั้งที่ไม่มั่นใจล่ะคะ”
ฉันเป็นพวกกวนประสาทแบบนี้แหละ แม้หน้าตาธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่นแต่เล่นตัวเหมือนดาราฮอตสุดฮิต ค่าตัวแพงนะจะบอกให้
“ลองเสี่ยงดูครับ ถ้าใช่คุณพราวก็ถือว่าได้ทักทายญาติ แต่ถ้าไม่ใช่ก็ถือว่าได้คุยกับสาวสวย”
นั่นไง คาดการณ์อะไรไว้ไม่มีผิด เจอครั้งแรกก็ปากหวานชมว่าสวย อ่อยเก่งมากจ๊ะพ่อจ๋า ผู้ชายแบบนี้แหละที่ฉันจะไม่เลือกเอามาทำพันธุ์ให้แผ่นดินยุบต่ำลงไป เพราะนอกจากจะเต๊าะสาวเก่งแล้ว คงหลอกฟันสาวมานักต่อนักสินะ
รู้ตัวว่าสวยไม่ต้องสาระแนเอ่ยปากชม ฉันชมตัวเองที่หน้ากระจกกับหน้าโทรศัพท์มือถือได้ย่ะ
“แปลกจังนะคะ ฉันแต่งงานกับคุณภาคมาปีกว่า ไม่เคยได้ยินคุณภาคพูดถึงคุณสักครั้ง และไม่เคยเห็นคุณแวะเวียนไปที่บ้านภูมะขามสักหน” ฉันพยายามพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น แม้เนื้อความที่พูดจะประชดประชันติดเหน็บแนมก็ตาม
หากเขาพอจะรู้ตัวบ้างว่าฉันแขวะอยู่ ฉันก็ยินดียิ้มก้มหัวรับไม่ขัดศรัทธา พอดีว่าไม่ใช่ผู้หญิงหวาน และรำคาญผู้ชายยุ่มยามชีวิตน่ะสิ
ก่อนหน้านี้หัวเสียมาหลายเรื่อง เจอคนมาทักตอนอารมณ์ยังค้างก็ถือโอกาสเปิดเผยตัวตนเพื่อเป็นเกราะป้องกันคนไม่หวังดีที่ก้าวมาในชีวิต
“ปกติผมทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นครปฐมแล้วก็สุพรรณบุรีน่ะครับ วิ่งรถตรวจงานหลายจังหวัด นานทีปีหนถึงจะได้กลับบ้านที่เชียงราย”
ฉันผงกหัวรับ...จะบอกว่าขยันทำงาน จนไม่มีเวลาให้ญาติพี่น้องใช่ไหม
ก็คงจะใช่แหละ เพราะคุณภาคก็ทำแต่งาน ไม่ค่อยมีเวลาว่างดูแลลูกสาวตัวเองเท่าไร ฉันถึงดูแลลูกเขายี่สิบสี่ชั่วโมงยังไงล่ะ พอรักสุดใจ ก็ขอลูกคืนยกให้แม่แท้ ๆ ไปดูแลซะแล้ว ฉันคนนอกจะทำอะไรได้ล่ะ
ก็...นั่งทำใจอยู่นี่ไง
“ถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอนั่งคุยด้วยได้ไหมครับ”
ไม่ทันที่ฉันจะอนุญาตเขาก็ลากเก้าอี้นั่งลงตรงข้ามฉันอย่างไร้มารยาทเสียแล้ว ถ้าไม่ติดว่าหน้าตาดีฉันคงด่าเขากลับไปแล้วล่ะ คนอยากนั่งคนเดียวแต่จู่ ๆ ก็มีตัวละครลิงเข้ามาพูดมากเพิ่มความรำคาญแบบนี้ใครกันจะไม่เซ็ง
ถือซะว่าได้พูดคุยกับพ่อหนุ่มหน้ามนต์ คนเจ้าชู้ก็แล้วกัน
“นั่งไปแล้วนี่คะ ฉันคงว่าอะไรไม่ได้แล้วมั้ง งั้นก็ตามสบายเถอะค่ะ” ฉันเน้นคำพูดหวังประชดประชัน เขาจะรู้ไหมนะว่าฉันเป็นคนปากร้าย แต่ใจดี ต่อให้รู้หรือไม่รู้ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบกับชีวิตฉันนักหรอก
เพื่อนหรือญาติของคุณภาคคนนี้ชื่อ “โยชน์” ที่มาจากคำว่า “ประโยชน์” กว่าจะฟังชื่อเขาออก ฉันก็ออกเสียงผิดเพี้ยนเป็น ‘ยด’ ‘โย้ด’ ‘หยด’ กว่าจะพูดชื่อถูกก็ออกเสียงหลายรอบหลายหน เราสองคนพูดคุยกันสักพักใหญ่ เพื่อนของคุณโยชน์ก็มาเรียกที่โต๊ะ ก่อนเขาจะขอตัวกลับไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนฝูง
นี่ถ้าเพื่อนไม่เรียกคุณเขาก็คงนั่งนานจนฉันอาจจะต้องเอ่ยปากไล่เป็นแน่
ขณะกำลังนั่งจัดการอาหารที่เหลือบนจานให้หมดและดื่มเบียร์ขวดที่สาม เสียงน่ารำคาญของคุณโยชน์อะไรนั่นก็ทักขึ้นมาอีกหน
“จะห้าทุ่มแล้วนะครับ คุณยังไม่กลับอีกเหรอ”
ก่อนหน้านี้หมอนี่ก็ลุกไปหาเพื่อนแล้วแท้ ๆ ไม่น่ากลับมาทักฉันอีกนะ ความจริงควรจะจบไปตั้งแต่เพื่อนเขามาเรียกให้กลับไปนั่งที่โต๊ะแล้วหรือเปล่า
“จะกลับแล้วค่ะ รอเบียร์ขวดสุดท้ายหมด”
“โห ดื่มเก่งเหมือนกันนะเนี่ย”
“นานทีค่ะ” ฉันยกแก้วขึ้นล้อกับแสงไฟแล้วยักไหล่ขึ้นอย่างอวดเก่ง
ความจริงก็เริ่มรู้สึกมึนคล้ายจะเมาแล้วล่ะ แต่เพราะดื่มสลับกับน้ำเปล่าจึงทำให้เมาช้าลง ยิ่งอากาศเย็นก็ต้องลิ้มรสรับความขมและความซาบซ่าของเบียร์บ้าง ความรู้สึกแย่ที่ฟุ้งซ่านจะได้ลดลง
“น้องคะคิดเงินค่ะ” ฉันยกมือขึ้นเรียกพนักงานของร้าน
“อะไรกัน ผมทักนิดเดียว ถึงกับคิดเงินเลยเหรอ”
“ดึกแล้วน่ะค่ะ อีกอย่างตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้ว หากดึกกว่านี้คงต้องช่วยพนักงานเก็บกวาดร้านแล้วล่ะค่ะ”
“ก็จริงของคุณ”
คุณโยชน์พยายามจะออกเงินค่าอาหารและน้ำดื่มให้แต่ฉันปฏิเสธ “ไม่เป็นไรค่ะ พอดีคุณภาคให้เงินมากินข้าวหลายพัน หากใช้เงินคุณฉันกลัวว่าเขาจะเคืองที่ฉันไม่ยอมใช้เงินเขา”
โกหกอวดผัวเพื่อป้องกันตัวในยามวิกาลสักหน่อย แม้เงินที่ฉันใช้จะเป็นเงินรายเดือนที่คุณภาคจ่ายให้เพราะเลี้ยงดูพะแพง แต่ก็สามารถเอาโอ้อวดคนอื่นกรณีป้องกันตัวเองในภาวะฉุกเฉินได้
“ขอตัวนะคะ ต้องรีบกลับแล้วล่ะ เดี๋ยวสามีเป็นห่วง”
แม้การแต่งงานของเราสองคนจะเป็นการตกลงกันเพื่อผลประโยชน์ สามารถคบคนอื่นได้หากเจอคนที่ถูกใจ แต่ไม่รู้ทำไมพอมีคนเข้ามาทำทีท่าเหมือนจะจีบหรือตีสนิท ฉันกลับอ้างชื่อกำนันปีศาจบ่อยครั้งบ่อยหน แม้ตอนนี้จะกำลังโกรธเคืองเขามากก็ตาม
“ถ้าพรุ่งนี้ว่าง ผมจะแวะไปหาย่าที่บ้านนะครับ”
“ย่า? ใช่คุณยายเล็ก ยายของคุณภาคหรือเปล่าคะ”
“ใช่ครับ ยายเล็กเป็นลูกพี่ลูกน้องกับย่าของผม ผมก็เลยเรียกยายเล็กว่าย่า” ฉันผงกหัวรับคำ ไม่ได้อยากเผือกเรื่องของเขาขนาดนั้น แต่เมื่อเสนอตัวอยากเล่าก็ยินดีรับรู้
เมื่อพูดคุยและลากันพอสังเสป ฉันก็ขอตัวกลับเดินแยกไปขึ้นรถของตัวเองซึ่งจอดลานหน้าร้านอาหาร ยิ่งดึกอากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ ทำให้หัวเริ่มปวดหนึบ ฉันเหลือบมองคุณโยชน์ที่เดินแยกทางไปขึ้นรถของเขา
รถปอร์เช่สีขาว รวยซะด้วย!
รวยแล้วไง รถปอร์เช่ที่มีก็น่าจะผ่อนนั่นแหละ คงรวยสู้คุณปราบนิยายที่ฉันแต่งไม่ได้หรอก
ฉันบิดกุญแจรถคันเก่า สั่งตัวเองให้หยุดมโน จะเอานิยายมาเปรียบกับชีวิตจริงไม่ได้นะ กลับบ้านดีกว่า อยากล้างหน้า อาบน้ำอุ่น ให้สบายเนื้อสบายตัว แล้วก็หลับใต้ผ้าห่มหนา ๆ แล้ว
ไม่รู้ว่าวันนี้คุณส้มจะพาน้องพะแพงไปนอนที่โรงแรมด้วยหรือเปล่า หรือไม่แน่ว่าคุณส้มอาจจะรับพะแพงกลับไปอยู่กรุงเทพฯ แล้วก็ได้
ฉันไม่ใช่แค่น้อยใจรอยยิ้มของคุณภาคที่เจอแฟนเก่าเท่านั้น แต่ฉันกลัวน้องพะแพงจะกลับไปอยู่กับแม่ตัวจริงของเขาด้วย หากคุณภาคคิดจะกลับไปคืนดีกับคุณส้ม แล้วเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้งโดยมีเด็กเชื่อมความสัมพันธ์ ฉันควรจะทำยังไง ฉันจะต้องรับมือกับความรู้สึกของตัวเองยังไงดีนะ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว
ตลอดระยะเวลาจากร้านอาหารถึงบ้านคุณภาค ฉันพยายามเปิดเพลงเสียงดังกลบเกลื่อนความรู้สึกทุกข์ใจของตัวเอง หวังว่าเพลงจะปลอบประโลมใจ แต่ไม่รู้ทำไมดีเจวันนี้ถึงเปิดเพลงเศร้าคล้ายดีเจกำลังอกหักหน้าหนาว พาลให้คนมีเรื่องหนักใจจมดิ่งกับอารมณ์หมองหม่นไปด้วย
ตอนนี้ฉันตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่า ถ้าคุณภาคกลับไปหาคุณส้มและพร้อมเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง ฉันจะเดินถอยออกมาอย่างกล้าหาญชาญชัย เป็นหญิงแกร่งกล้าที่สวยสง่าอย่างมีศักดิ์ศรี เดินหน้าทำเรื่องหย่ากันที่อำเภออย่างองอาจ แม้เป็นขี้ปากของเพื่อนและชาวบ้านนิดหน่อย เศร้าสร้อยหงอยเหงาบางเวลา แต่เพื่อน้องพะแพงมีความสุขก็น่าจะคุ้มกับจุดจบที่ฉันพบเจอ
อายุฉันจะสามสิบแล้ว ไม่ได้ต้องการอะไรมากนอกจากเดินตามฝันอยากเป็นนักเขียนนิยาย มีผู้จัดละครตาดีพบเจอนิยายฉันแล้วนำไปเป็นละครหลังข่าวสักเรื่อง แค่นี้ความฝันก็บรรลุเป้าแล้ว
แต่เด็กวัยหนึ่งขวบอย่างน้องพะแพง ยังมีอนาคตอีกยาวไกล หากฉันใจร้ายเป็นหนามแทงอกทำลายครอบครัวสถานที่อบอุ่นปลอดภัยที่สุดของน้องพะแพงก็ดูเป็นผู้ใหญ่ไร้จิตสำนึกไปสักหน่อย นักเขียนผู้ดีนางเอ๊กนางเอกอย่างฉันก็ต้องหลีกทางให้อยู่แล้ว
ขับรถกลับบ้านคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งเลี้ยวรถเข้าบ้านสวน “ภูมะขาม”
ณ บ้านสวนภูมะขาม
รถของฉันแล่นจอดที่ลานจอดรถประจำของตัวเอง รถของคุณภาคยังคงจอดอยู่ที่เดิม ฉันหันไปมองบ้านหลังใหญ่พบว่ารถทุกคันก็จอดเรียงกันครบไม่มีคันไหนหายไป บ้านหลังเล็กที่ฉันอาศัยกับคุณภาคเปิดเพียงไฟหน้าบ้านและไฟลานจอดรถเท่านั้น
เที่ยงคืนครึ่ง สงสัยคุณภาคจะนอนไปแล้ว ทางสะดวกมากจ้า
ฉันเดินลงจากรถแวะไปเล่นกับมะยมหมาพันธุ์ดัลเมเชี่ยนลายจุด กับมะขามหมาพันธุ์ไทยหลังอานสีน้ำตาลเข้มที่เดินส่ายหางต้อนรับฉันกลับบ้าน ส่วนเจ้าเบิ้มโกลเด้นท์ก็เห่าเสียงดัง ส่ายหางดุ๊กดิ๊กเรียกร้องความสนใจจนน่าหมั่นไส้
เห่าเสียงดังเดี๋ยวพ่อกำนันปีศาจก็ตื่นมาอาละวาดแม่กลางดึกอีกหรอก
“เห่าแต่ไกลเลยนะมะยม มะขาม พี่เบิ้ม แม่แวะซื้อขนมมาให้ด้วยนะ”
ฉันพูดพร้อมกับเอาขนมปังออกจากถุงผ้า แกะให้มะยม มะขาม พี่เบิ้มกิน
ก่อนหน้านี้แวะร้านสะดวกซื้อ หาน้ำและยากินแก้อาการมึนเมา จึงหยิบขนมปังของโปรดลูกรักคุณภาคติดไม้ติดมือมาด้วย หากฉันออกบ้านแล้วกลับมามือเปล่า แก๊งลูกรักคุณภาคจะงอนเก่ง เรียกจนปากแฉะคอแห้งก็ไม่ยอมหันมาเล่นด้วย ตรงกันข้ามหากคุณภาคมีธุระออกไปข้างนอกไม่มีของติดไม้ติดมือ เจ้าที่คุมบ้านสวนมะขามสามซนกลับวิ่งเข้าไปออดอ้อนเล่นกับคุณภาคเพื่อขอเป็นที่หนึ่งในใจ
เห็นแล้วก็น่าหมั่นไส้นัก นี่ฉันเกิดมาเป็นคนไม่เคยต้องไต่เต้าเลียใครให้เสียศักดิ์ศรี แต่กลับเรียกร้องความรักจากหมาเพราะอยากเอาชนะกำนันปีศาจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
โถ่! พราวผู้น่าสงสาร
“กินแล้วก็กลับเข้าไปนอนด้วยล่ะ อากาศเย็นแล้วนะ มานี่เร็วเดี๋ยวแม่ห่มผ้าให้” ฉันเดินไปยังบริเวณที่นอนของมะยม มะขาม และพี่เบิ้ม ก่อนที่หมาแสนรู้จะรีบกิน รีบวิ่งมารวมตัวกันที่กองผ้าเน่า “กลิ่นผ้าแรงมากเลย พรุ่งนี้ต้องเอาไปซักแล้วล่ะ วันนี้ก็นอนเหม็น ๆ ไปก่อนนะเด็กๆ” เจ้าหมาแสนรู้ทำเสียงอี๋ ๆ ออดอ้อน นอนส่ายหางบนเบาะนุ่มของตัวเอง ก่อนฉันจะใช้ผ้าผืนใหญ่ห่มทับปิดคลุมน้องหมาเหลือแต่หัวโผล่พ้นออกมาส่งสายตาอ้อน
“น่ารักนะเราเนี่ย เฝ้าบ้านดี ๆ ล่ะ” พูดจบฉันก็เดินไปยังประตูบ้าน แต่ทว่าประตูกลับถูกล็อกลงกลอนจากข้างใน
บ้าจริง! อย่าบอกนะว่าคุณภาคลืมฉันแล้วล็อกประตูบ้านน่ะ หรือไม่แน่เขาก็อาจจะไม่ได้ลืมแต่ตั้งใจอยากกลั่นแกล้งให้ฉันนอนหนาวยุงกัดหน้าบ้านล่ะสิไม่ว่า
คนปากร้ายใจดำแบบคุณภาคช่างอำมหิตยิ่งกว่าใคร
จะว่าไปแล้วฉันขับรถเข้าบ้านแสงไฟสาดส่องเขาไม่ตกใจตื่นลุกขึ้นมาดูบ้างเหรอ แม้กระทั่งเสียงหมาเห่าหอนดังทั่วทั้งสวนหูทิพย์ก็ไม่ได้ยินเลยหรือยังไง หรือเพราะเจอแฟนเก่าก็เลยนอนหลับสนิทฝันหวานลืมตื่นไปแล้ว
ปกติกำนันภาคปีศาจหูดีตาไวจะตายไป เสียงอะไรนิดอะไรหน่อยดังรอบบ้านก็ลุกออกจากห้องเดินสำรวจจนน่ารำคาญ หรือแท้ที่จริงแล้วอยากแก้แค้นฉันจนตัวสั่น พอได้โอกาสก็ล็อกบ้านจากข้างในแกล้งให้ฉันเข้าบ้านลำบากต้องเคาะประตูอ้อนวอนขอร้องให้เขาช่วยเปิดประตูให้ยามดึก
ไม่ก้มหัวให้หรอกนะ!
ไม่เป็นไร เราหญิงถึกพึ่งพาตัวเองเก่ง ปกติหน้าต่างห้องนอนฉันไม่ได้ล็อกอยู่แล้ว เข้าทางนั้นก็ได้นี่ ไม่เห็นยากเลย ฉันสามารถปีนหน้าต่างเข้าห้องนอนได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนคุณภาคให้แปรงร่างยามดึกหรอก
เมื่อตัดสินใจได้ ฉันก็เดินไปลากเก้าอี้จากโรงจอดรถมายังหน้าต่างห้องนอนของตัวเองที่เปิดทิ้งไว้ โชคดีที่บ้านคุณภาคเป็นบ้านชั้นเดียว ยกสูงขึ้นจากพื้นไม่มาก แค่ยืนบนเก้าอี้ก็สามารถก้าวขาปีนขึ้นหน้าต่างได้แล้ว
ฉันเซียนนักปีนป่าย เรื่องแค่นี้ง่ายมาก
เมื่อก้าวขายืนเต็มความสูงบนเก้าอี้พลาสติกสีน้ำเงิน ฉันก็เอื้อมมือออกแรงผลักลวดตาข่ายที่ติดกับหน้าต่างบ้านออก ก่อนจะโยนกระเป๋าเข้าไปในห้อง
ปึก!
จากนั้นก็ใช้มือจับที่ขอบหน้าต่างโน้มตัวไปข้างหน้า ยกตัวขึ้นสูง เอาขาเข้าไปในห้องทีละข้างก่อนจะนั่งขอบริมหน้าต่างแล้วไถตัวเข้าไปในห้องอย่างชำนาญ เมื่อเข้าไปในห้องได้ก็หันหลังปิดมุ้งลวดจากนั้นก็ปัดฝุ่นที่มือและกางเกงของตัวเอง
เก่งชะมัด...ฝีมือเยี่ยมยอด
หลังจากปัดฝุ่นออกจากเรือนร่างบอบบาง ก็เดินไปหยิบกระเป๋าที่ตกพื้นไปวางบนโต๊ะทำงานที่อยู่ในห้องนอน ไฟจากโรงรถส่องเข้าห้องจึงพอทำให้เห็นสิ่งของในห้องได้บ้าง แต่เมื่อเดินไปเปิดไฟแล้วหันหลังจะถอดเสื้อออกแล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนหน้าตู้เสื้อผ้า
“อ๊าก!!”
ฉันร้องเสียงหลงตกใจจนใจหล่นตกไปตาตุ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ มือที่กำลังไขว้เป็นกากบาทที่ปลายเสื้อยกขึ้นสูงจนเห็นเนินหน้าอกเลื่อนลงเพื่อสวมใส่เสื้อปกปิดร่างกายอย่างรวดเร็ว
ภาพที่เจอในตอนนี้แทบทำฉันช็อกตายคาห้อง คุณภาคนั่งเหยียดขายาวพิงหลังกับหัวเตียง จ้องมองฉันด้วยสายตาดุ มือข้างหนึ่งของเขากล่อมน้องพะแพงซึ่งนอนกอดตุ๊กตาตัวโปรดบนเตียง ฉันยืนอึ้งกิมกี่กับสายตาคมดุของสามีตัวเองจนเผลอตัวอ้าปากค้าง พอได้สติก็รีบหันหลังปิดไฟลงทันควัน
ก่อนหน้านี้ทำเก่ง ปากดี พอเจอสายตากำนันปีศาจที่มองจ้องโดยไร้คำพูดก็ใจฝ่อห่อเหี่ยวคล้ายกำลังทำความผิด แต่ไม่ยอมสำนึก แค่นึกถึงแววตาคุณภาคตอนเปิดไฟเมื่อกี้ ฉันก็ขนลุกจนหวาดระแวง
ยังไม่หายโกรธฉันเหรอ หรือกำลังตำหนิที่ฉันกลับดึกไม่อยู่ดูแลน้องพะแพง แต่ปกติเราสองคนให้อิสระกันตลอด ไม่น่าจะเคืองฉันนานขนาดนี้ หรือว่าโกรธที่ฉันปีนหน้าต่างเข้ามาโดยไม่โทรบอกเขา แต่คุณภาคล็อกบ้านนี่ ฉันไม่อยากรบกวน
แม้จะเป็นข้ออ้างที่เถียงตัวเองในใจแต่ฉันก็ไม่ได้เอ่ยปากถามคุณภาคตามตรง แค่เรื่องหม้อต้มข้าวไหม้ถึงขั้นบุกรุกเข้ามาห้องฉันโดยไม่บอกไม่กล่าวเลยเหรอ
ในห้องเงียบไร้เสียงการพูดคุยระหว่างฉันกับคุณภาค ฉันจึงถือโอกาสรีบหยิบเสื้อผ้าออกจากลิ้นชัก มืออีกข้างดึงผ้าเช็ดตัวที่ตากหน้าตู้เสื้อผ้าพาดบ่า แล้วเดินย่องเบาไปอาบน้ำ เกรงว่าหากเดินเต็มเท้าพื้นไม้สักราคาแพงจะเสียงดังทำให้น้องพะแพงตื่นกลางดึก วันนี้พ่อบ้านใจปีศาจกล่อมลูกสาวนอนเป็นวันแรก หากฉันเสียงดังทำลูกสาวเขาตื่น เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต
“ตอนนี้กี่โมง”
น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเมื่อฉันกำลังเอื้อมมือจะบิดลูกบิดเปิดประตู
ถามทำไมเนี่ย ปกติก็ใส่นาฬิกา Garmin ราคาแพงตลอดเวลา หรือว่าวันนี้ลืม ถอดออกตอนระลึกความหลังกับแฟนเก่าเหรอ
แม้ใจจะเถียงเก่งแต่ฉันก็ก้มมองนาฬิกาดิจิทัลบนข้อมือตัวเอง “เที่ยงคืนครึ่ง เกือบตีหนึ่งค่ะ”
“ข้อมือก็มีนาฬิกา อ่านเวลาก็เป็นนี่ ทำไมถึงไม่รู้ว่าเวลาไหนควรกลับบ้าน”
“แต่เราไม่ได้กำหนดหรือตกลงกันเรื่องเวลากลับบ้านนี่คะ”
“มันก็ควรเป็นหน้าที่และจิตสำนึก ไม่จำเป็นต้องมีใครกำหนด”
ฉันเงียบไม่เถียงกลับ ในใจก็ยอมรับว่าผิดจริง สายตาเลื่อนมองคุณภาคอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แม้ไม่ได้เปิดไฟห้องมีเพียงแสงไฟริบหรี่จากโรงรถ แต่กลับมีรังสีอำมหิตของปีศาจลอยทั่วห้องจนรู้สึกหนาวเย็น
สมยานามปีศาจไม่ได้ตั้งมาเล่น ๆ คุณภาคเขามีกลิ่นไอสังหารของคนพูดน้อยต่อยหนัก และใช้สายตาขู่เก่งมาก
ฉันเหลือบมองพะแพงที่นอนบนเตียงอีกหน แต่เหมือนตาจะฝาดหรืออาจจะเมาค้างเพราะฉันเห็นพะแพงแยกร่างได้ ฉันไม่แน่ใจว่าสติตัวเองยังครบเหมือนเดิมไหม ทำไมยิ่งจ้องมองก็เหมือนจะเห็นเด็กน้อยสองคนนอนเคียงข้างกัน เมื่อสายตาพร่ามัวคล้ายคนไม่สร่างเมา ฉันก็ยกมือขึ้นมาขยี้ตาแล้วมองเพ่งไปยังเด็กที่นอนข้างคุณภาคอีกหน
“นั่นใครคะ คนที่นอนข้างพะแพง” แม้จะเอ่ยปากถามไปแล้ว แต่อีกใจก็กลัวคุณภาคด่าว่าฉันเมาแล้วขับ
“แฝดของพะแพง”
“คะ?”
“รีบไปอาบน้ำแล้วมาดูลูกสิ”
“แล้วแฝด...แฝดนั่นหมายความว่าอะไร” ฉันเดินเข้าไปใกล้เตียงก่อนย่อตัวนั่ง ก้มลงมองใกล้ ๆ เด็กผู้หญิงที่ผอมกว่าพะแพงอย่างนึกสงสัย
“ไปอาบน้ำ!”
คุณภาคพูดถ้อยคำสั้นแต่เน้นชัดในน้ำเสียงสื่อความหมายว่าออกคำสั่ง หากไม่ทำตามจะโดนด่ารอบสองแน่ มือเขาจับต้นแขนฉันข้างที่ไร้แขนเสื้อ สัมผัสเนื้อหนังโดยตรงจนสะดุ้งเพราะมือคุณภาคนั้นทั้งเย็นทั้งสากราวกับคนทำงานหนัก
“ถ้าไม่อาบจะจับกด...”
ไม่ทันได้จับกด จับกอด พูดจาข่มขู่ดุด่าเหมือนที่เขาถนัด กำนันภาคปีศาจนิสัยดุก็รวบตัวฉันดึงเข้าไปจูบโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว ฉันไม่ทันได้ขัดขืนดิ้นสู้ก็ถูกพลิกตัวให้นอนจมเตียงนุ่ม
“มีลูกมาเลี้ยงเพิ่มหนึ่งคน ไม่น่ามีเวลาว่างออกบ้านไปอ่อยผู้ชายแล้วมั้ง”
ความคิดเห็น