ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Love not bad] ฝากร้ายคืนรัก

    ลำดับตอนที่ #8 : ทำร้ายให้พอ [1]

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 63


    ณ หอฟ่าง

    “นี่ห้องแกเหรอเนี่ย ทำไมมันรกแบบนี้”

    ห้องผู้ชายยังไงก็คือห้องผู้ชายจริงๆ รกตั้งแต่หน้าห้องยันระเบียงหลังห้อง

    “ห้องผู้ชายก็แบบนี้แหละ เช้าเรียน กลางคืนทำงาน กว่าจะกลับเข้าห้องก็เหนื่อยแล้ว ไม่มีเวลามานั่งทำความสะอาดหรอก” ฟ่างตอบพร้อมกับยิ้มอย่างภูมิใจทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรน่าโอ้อวดถึงความโสโครกของห้องมันเลย

    “นี่รองเท้าแกเหรอหรือของเต้”

    ฉันมองดูรองเท้ากีฬาที่ใส่อยู่ในกล่องพลาสติกใสอย่างเป็นระเบียบจนเกือบถึงเพดาน ก่อนจะไล่สายตาดูบางคู่ที่ถูกจัดวางอยู่ตามชั้นรองเท้าซ้อนๆ กันอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ แต่บางคู่ก็วางตามพื้นระเกะระกะ สายตาฉันเหลือบไปมองดูที่เตียงใหญ่กลางห้องที่มีกองเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวพาดอยู่บนเตียงทำเอาฉันไม่กล้าเดินไปนั่งหรือนอนเล่นเลยก็ว่าได้ นี่ยังไม่นับรวมกระป๋องเบียร์และถุงขนมที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าโซฟาอีกนะ เห็นแล้วแทบอยากจะกรี๊ดวิ่งออกนอกห้องกันเลยทีเดียว

    “อ๋อ รองเท้าในกล่องนั่นของไอ้พาร์ท ส่วนบนชั้นของไอ้เต้ และที่วางเรี่ยราดตามพื้นสามคู่นั่นของเราเอง”

    แยกรองเท้ากันแบบนี้เลยเหรอ จะว่าไปในกล่องดูดี ดูแพง มากจริงๆ ส่วนไอ้ที่วางตามพื้นตามชั้นนี่ก็โสโครกเหลือเกิน โดยเฉพาะของฟ่างเนี่ยแหละ สุดจัดปลัดยังโกรธ

    “นั่งรอแปบหนึ่งนะปุ้น เดี๋ยวเราขอจัดกระเป๋าแปบ”

    “ได้” ฉันมองไปรอบๆ ห้องก่อนที่จะเดินไปนั่งที่โซฟา

    พอนั่งโซฟาปุ๊บ ทีวีก็ติดปั๊บ เล่นเอาฉันสะดุ้งโหยงนึกว่าผีหลอก ที่ไหนได้ฉันนั่งทับรีโมททีวีนี่เอง ส่วนฟ่างก็ลากกระเป๋าเดินทางใบโตออกมาแล้วก็ยัดเสื้อผ้าของมันใส่กระเป๋า

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

    เสียงประตูดังขึ้น ทำให้ฉันต้องเหลียวหน้าไปมองตามต้นทางเสียง

    “ใคร?” ฟ่างตะโกนถามในขณะที่มือก็เก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋าอย่างลวกๆ

    “กูเอง”

    พอได้ยินเสียงตอบรับจากคนนอกห้อง นั่นก็คือพาร์ท ฟ่างก็ลุกจากการจัดกระเป๋าอันแสนวุ่นวาย ไปเปิดประตูให้พาร์ทเข้ามาในห้อง

    “ว่าไงวะ มีไร?”

    “ไอ้เต้มันบอกว่าจะมาอยู่ห้องกู มึงจะไปไหน?” พาร์ทเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับทำคิ้วขมวดเข้าหากันจนยุ่งเหยิง

    “กูจะไปอยู่กับปุ้น” ฟ่างตอบก่อนที่พาร์ทจะปรายตามามองฉันแล้วหันไปพูดกับฟ่างต่อ

    “ถาวรเลยเหรอ?”

    “อืม ก็ประมาณนั้น”

    “ปกติปุ้นอยู่กับใคร” พาร์ทหันมาถามฉันเหมือนผู้ต้องหาที่ทำอะไรผิด

    “เอ่อคือ...” ไม่ทันที่ฉันจะตอบ ฟ่างก็ตอบคำถามพาร์ทแทนฉันแล้ว

    “ปกติปุ้นอยู่กับเพื่อน พอดีว่าทะเลาะกับเพื่อนน่ะ ตอนนี้ก็เลยอยู่คนเดียว อีกอย่างปุ้นก็เพิ่งเลิกกับแฟนด้วย กูก็เลยจะไปอยู่กับปุ้น ประหยัดค่าใช้จ่ายไปอีกแรง มึงก็ช่วยแชร์ค่าห้องกับไอ้เต้มันก็แล้วกัน”

    “มึงก็รู้กูไม่ชอบอยู่กับใคร แล้วอีกอย่างไอ้เต้มันก็สกปรกด้วย วางของเรี่ยราด ข้าวของพะรุงพะรัง ดูห้องมึงดิ รกอย่างกับรังหนู นี่กูเข้ามาก็หายใจแทบจะไม่ออกแล้ว ฝุ่นเยอะฉิบหาย”

    “แค่นี้เองไอ้พาร์ท เดี๋ยวนี้ไอ้เต้มันมีแฟน บางวันมันก็ไปนอนกับแฟนที่ห้อง มึงไม่ต้องเครียดไปหรอกน่า” ฟ่างพยายามพูดปลอบใจพาร์ท ในขณะที่พาร์ทกำลังเครียด ซึ่งใบหน้าของเขามันฟ้องออกมาชัดเจนมาก

    “ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ฟ่างเก็บของไปอยู่เป็นเพื่อนเราแค่สามวันก็พอ ปุ้นอยู่คนเดียวได้” ฉันพูดขึ้นเพื่อระงับการโต้เถียงของพาร์ทกับฟ่างที่เริ่มชักสีหน้าใส่กันจนฉันเองก็รู้สึกอึดอัด

    “ถึงจะอยู่คนเดียวได้ก็เถอะ แต่ฟ่างก็ไม่สบายใจอยู่ดี” ฟ่างเดินมาตรงหน้าฉัน

    “เชื่อปุ้นสิ ปุ้นอยู่คนเดียวได้” ฉันยืนยันเสียงแข็งเพื่อให้ฟ่างมั่นใจ

    “แน่ใจนะว่าจะไม่คิดสั้นอีกน่ะ” ฟ่างถามเพื่อย้ำในคำตอบ

    “แน่ใจ! ปุ้นไม่คิดสั้นหรอกน่า อีกอย่างมหาวิทยาลัยฟ่างก็ไกลจากมหาวิทยาลัยปุ้นด้วย ไหนฟ่างยังจะต้องไปทำงานเสริมกลางคืนอีก เดินทางลำบากแย่!”

    แคร่ก แคร่ก ฉันไอเมื่อเปล่งเสียงพูดดังคับห้องตอบฟ่าง

    “เนี่ย! มึงก็ไปเป็นเพื่อนปุ้นสามวันก็พอแล้ว ปุ้นเค้าบอกว่าอยู่ได้ มึงก็อย่าไปคิดมาก” พาร์ทตบบ่าฟ่าง “อีกอย่าง ไอ้เต้มันจะเลิกกับแฟนเมื่อไหร่ไม่รู้ มึงก็ไปๆ มาๆ ที่ห้องก็ได้ ไม่ใช่ว่าไม่มาอยู่เลย พอมึงไม่อยู่ที่ห้อง เดี๋ยวก็ติดต่อทำงานกลุ่มกันลำบากไปด้วยหรอก ปีหน้าก็จะเรียนจบกันแล้วด้วย ทั้งเรื่องงานเรื่องเรียน มึงจะไหวเหรอวะ” พาร์ทพูดเตือนสติฟ่าง เห็นดังนั้นฉันจึงสมทบด้วยบ้าง

    “ใช่ ปีหน้าก็ขึ้นปีสี่แล้วด้วย ฟ่างไม่ต้องเอาเรื่องปุ้นมาเป็นประเด็นข้ออ้างหรอก ปุ้นอยู่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าช่วงนี้มันหวั่นไหว จิตใจมันอ่อนแอเฉยๆ ใช่ว่าอนาคตจะเป็นแบบนี้สักหน่อย แต่อนาคตฟ่างนี่สิ ต้องมาตามติดปุ้นตลอดเวลาแบบนี้คงไม่ดีแน่ การเรียนก็พัง งานก็เสีย มันไม่คุ้มหรอกนะ ไม่ต้องทำเพื่อปุ้นขนาดนั้น ทำเพื่อตัวเองเถอะ”

    “เออๆ บ่นเป็นพ่อเป็นแม่กูเลยวุ้ยสองคนนี้ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะ” ฟ่างยิ้มร่าเมื่อพูดจาแซวฉันกับพาร์ท

    “มึงอยากอมตีนไหม?” พาร์ททำน้ำเสียงขู่ฟ่าง

    “พูดเล่นเว้ยไอ้นี่ ล้อเล่นแค่นี้ทำจริงจังไปได้” ฟ่างทำสีหน้ากวนๆ ใส่พาร์ท ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงไปว่า “แต่ปุ้นโสดนะมึง มาเป็นพี่เขยกูไหม?”

    “กูไม่ชอบเพื่อน กูชอบผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า” พาร์ทพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นถึงสเปคผู้หญิงที่ชอบ

    “แหม่! อุดมการณ์หนักแน่นเหลือเกิน แต่ได้ข่าวว่ารุ่นพี่มาจีบกี่คนๆ ก็ไม่สนใจ ไม่เอาใครสักคน ขี้กั๊กชะมัด”

    “ก็กูยังไม่เจอคนที่โดนใจ ก็เท่ากับว่าดูได้เรื่อยๆ อีกอย่างกูเข็ด!” ฉันนั่งฟังพาร์ทกับฟ่างพูดกันไปมาแม้จะไม่รู้เรื่องแต่จู่ๆ ก็อยากจะเผือกยุ่งเรื่องของชาวบ้านขึ้นมาเสียดื้อๆ จึงถามออกไปตรงๆ โดยไม่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวอะไรให้ยุ่งยากมากความ

    “นายเข็ดอะไรน่ะพาร์ท เข็ดความรักเหรอ” ฉันหันไปถามพาร์ท

    ไม่ทันที่พาร์ทจะตอบ ฟ่างก็เล่าเรื่องยาวเหมือนเรียงความหน้ากระดาษส่งอาจารย์ให้ฉันฟังราวกับพาร์ทไม่ได้อยู่ในห้องด้วยจนพาร์ทหน้าเสียเดินมานั่งข้างฉันด้วยสีหน้าหงุดหงิดแต่ก็ไม่เถียงกลับฟ่าง

    “ไอ้พาร์ทเมื่อก่อนมันคบผู้หญิงไม่เลือกหน้า คบไปเรื่อยๆ หน้าตาดีไง บ้านรวย มีหน้ามีตามีชื่อเสียงในสังคมอีก ไปไหนสาวๆ ก็กรี๊ด ยิ่งตอนเป็นนักเรียนนายร้อยนะ อื้อหือ สาวเข้ามาหาตรึม ทั้งเฟซบุ๊ก ไอจี ไลน์ เด้งจนไม่ตอบไลน์เพื่อนอะ แต่ที่มันเข็ดเพราะว่ามันไปเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งที่รุ่นพี่นายร้อยของมันแนะนำให้ เป็นรุ่นพี่ห่างมันสิบปี ไอ้พาร์ทก็หลงหนักเปย์ทุกสิ่งอย่าง คิดดูสิเด็กเปย์ผู้ใหญ่อะ พาไปกินข้าว ดูหนังฟังเพลง ซื้อของ เดินห้าง ไอ้นี่จ่ายให้หมด เสื้อผ้าหน้าผม เครื่องสำอาง แหวนเพชรก็ซื้อให้ด้วยนะ พี่มันให้ใช้บัตรเครดิตเพื่อการศึกษาซื้อเครื่องดนตรีแต่ไอ้ไอ้พาร์ทเอาเงินไปเปย์ผู้หญิงแทน แม่งมารู้ทีหลังว่าผู้หญิงคนที่รุ่นพี่แนะนำมาอาชีพเสริมคือไซด์ไลน์ รับงานเรื่องอย่างว่า หลอกเอาเงินผู้ชายซื้อของ ตอนมันรู้เรื่องก็ยังให้อภัย ยอมรับได้ ไปมาหาสู่กันเรื่อยๆ พี่สาวมันบอกให้เลิกก็ไม่ยอมเลิก จนกระทั่งมันเริ่มสังเกตตัวเองว่าผิดปกติแล้วก็ไปตรวจโรงพยาบาล สรุปติดโรคทางเพศ มันถึงกับแม่งขยาดผู้หญิงและเรื่องเซ็กส์ไปเลย”

    “ฮะ!? พาร์ทเป็นเอดส์เหรอ” ฉันผงะถอยกรูออกจากพาร์ทเด้งตัวไปนั่งโซฟาที่อยู่อีกมุมห่างจากพาร์ทด้วยความตกใจอย่างนึกรังเกียจ ปฏิกิริยาเป็นไปโดยอัตโนมัติ

    “นี่! เราไม่ได้เป็นเอดส์ ไอ้ฟ่างแม่งก็พูดห่ารากยาวฉิบหาย คนเขาเข้าใจผิดหมด ทำเหมือนกูสำส่อน”

    “ก็มึงนั่นแหละ สำส่อน!” ฟ่างหัวเราะร่าให้กับพาร์ทที่ขมวดคิ้วหนามองมาทางฉันเหมือนขอความเห็นใจ

    “แล้วถ้านายไม่เป็นเอดส์นายเป็นอะไร”

    “เราไม่ได้สำส่อนหรือนอนกับผู้หญิงมั่วๆ นะ คบใครก็นอนกับคนนั้น”

    “มึงคบผู้หญิงเคยเกินหนึ่งเดือนไหม? นอนมาแล้วกี่คน” ฟ่างถามย้ำด้วยน้ำเสียงกวนตีน

    “เออๆ ยอมรับว่าเคยคบๆ เลิกๆ แต่กูไม่ได้มั่ว พี่คนนั้นคนแรกของกู กูเอากับผู้หญิงคนนั้นแค่คนเดียวกูก็เข็ดจนไม่อยากมีอะไรกับใครอีกแล้ว” พาร์ทมองหน้าฟ่างก่อนจะหันมาจ้องหน้าฉันด้วยสายตาที่ดุดัน “แล้วก็ไม่ได้เป็นเอดส์หรือโรคติดต่อร้ายแรง ตอนนี้หายแล้ว” พาร์ทจ้องหน้าฉันเขม็งเพราะฉันเองก็ทำหน้าขยะแขยงเขาอย่างเห็นได้ชัด “เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้วน่า ถ้าเป็นเอดส์ไม่งั้นไอ้ฟ่างก็ติดแล้วดิ”

    “ไอ้ควาย กูจะเป็นได้ไง กูไม่ได้มีอะไรกับมึง!” ฟ่างพูดพร้อมกับปาเสื้อใส่หน้าพาร์ท

    “แล้วพาร์ทเป็นโรคอะไรเหรอ” ฉันเริ่มทำตัวสบายขึ้นเมื่อพาร์ทยืนยันด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

    “เป็นโรคพยาธิไตรโคโมนีเอซิสน่ะ กินยาฆ่าเชื้อรักษาหายแล้ว ล่าสุดเพิ่งไปตรวจกับหมอไม่พบเชื้อแล้วล่ะ”

    “มันไปตรวจกับหมอทุกเดือน ทั้งๆ ที่มันก็หายแล้วแต่แม่งก็กลัวไม่เข้าเรื่อง” ฟ่างบ่น

    “มึงนี่! ตั้งแต่ให้กูเรียกชื่อเล่นก็พูดมากไม่เข้าเรื่อง” พาร์ทพูดพร้อมกับเอาเสื้อที่ฟ่างปามาใส่เขวี้ยงกลับไปหาฟ่าง

    “เมื่อก่อนไม่ได้เรียกว่าฟ่างเหรอ แล้วเรียกว่าอะไรน่ะ อย่าบอกว่าเรียกชื่อจริงนิรันทร์” ฉันถามพาร์ท

    “เรียกมันว่ารัน แต่จู่ๆ ก็มาบอกว่าให้เรียกชื่อเล่นว่าฟ่างแทน กว่าจะเรียกชื่อนี้ติดปาก ลำบากคนอื่นฉิบหาย”

    “แต่ฉันเข้าใจฟ่างนะ เวลาคนเรามีชื่อจริงสั้นๆ เพื่อนๆ มักจะไม่เรียกชื่อเล่น ชอบเรียกชื่อจริงไม่ก็เรียกฉายา ส่วนชื่อเล่นคนก็จะพากันลืม อย่างฉันอะ ตอนอนุบาลเพื่อนๆ ก็เรียกข้าวปุ้น พอประถมเพื่อนก็เรียกปุ้นรินทร์ เพราะว่าในห้องมีปุ้นสองคนก็เลยเอาชื่อเล่นกับชื่อจริงมารวมกัน พอมามัธยมเพื่อนเรียกชื่อจริงว่านิรินทร์ บางคนก็เรียกรินทร์ แล้วตอนนี้อยู่มหาวิทยาลัยเพื่อนๆ ก็กลับไปเรียกชื่อเล่นอีกครั้งคือข้าวปุ้น ไม่ก็ปุ้นแล้วแต่อารมณ์พวกมันน่ะ”

    “เหมือนพี่สาวเรานั่นแหละ ที่ทำงานเรียกชญา คนอื่นที่ไม่สนิทจะเรียกชื่อจริงว่าพิชญา (พิด-ชะ-ยา) เพื่อนๆ เรียกพิชชา (พิด-ชา) ส่วนคนที่บ้านเรียกพิช (พิด) พูดมาทั้งหมดนี่คือคนๆ เดียวกัน เรียกวนๆ กันไปจริงๆ” พาร์ทพูดพร้อมกับทำหน้างุนงงกับเรื่องที่เขาสงสัย

    “แล้วนายมีแต่คนเรียกพาร์ทเหรอ”

    “อืม” พาร์ทยักคิ้วให้ฉันหนึ่งที “ไม่เห็นมีใครเรียกพิพัฒน์สักคน”

    “ก็ชื่อนายน่ะมันคล้ายๆ กันไง พาร์ท กับ พัฒน์ เวลาออกเสียงก็ออกเสียงใกล้ๆ กัน”

    (คนอ่านลองออกเสียงตามดูจ้า ถ้าออกเสียงช้าๆ ชัดๆ จะเสียงไม่เหมือนกัน แต่ถ้าออกเสียงไวๆ จะกลายเป็น พัด)

    “ก็จริงอย่างที่เธอพูด” พาร์ทผงกหัวรับ

    ฉันเอาหัวพิงพนักโซฟา พอจมูกเริ่มจับกลิ่นของโซฟาที่เหม็นอับอาการจามไม่หยุดก็เริ่มต้นขึ้น จนพาร์ทที่นั่งข้างๆ ซึ่งติดนิสัยกลัวเชื้อโรคต้องย้ายตัวไปยืนกอดอกอยู่ประตูทางออกแทน

    “กูกลับห้องละ ห้องนี้แม่งเชื้อโรค” พาร์ดพูด

    “เออ! มึงกลับก็ดีละ กูฝากปุ้นไปอยู่ที่ห้องมึงด้วยสิ กูขอซักกางเกงในกับถุงเท้าแป๊บ แม่งไม่มีอยู่ในตู้เลย ซักเสร็จจะทำความสะอาดห้องด้วย ไอ้เต้แม่งทำรกฉิบหาย” ฟ่างเดินไปใกล้ๆ คุยกับพาร์ทพร้อมหาเหตุผลร้อยแปด

    “อย่าอ้างไอ้เต้ มึงก็สกปรก รองเท้ามึงเนี่ยซักบ้างยัง” พาร์ททำหน้าจริงจังเอาเรื่องมองไปยังรองเท้าของฟ่าง

    “ปีหนึ่งซักที ขาวมากใส่ไม่ลง อย่าว่าแต่รองเท้ากูเลยไอ้หวยคัว (หัวxวย) รองเท้ามึงเนี่ย มาฝากห้องกูไว้เยอะแยะแรมปี กูแค่ฝากแฝดพี่ไปอยู่ห้องหน่อยทำเป็นบ่นกูยาว พูดมากเดี๋ยวก็จับรองเท้าราคาแพงไปขายออนไลน์หาเงินส่งตัวเองเรียนซะหรอก”

    “แล้วนี่ปุ้นเป็นไข้ไม่ใช่เหรอไง เดี๋ยวกูติดไข้ปุ้นขึ้นมาลำบากกูอีก”

    “โรคที่มึงเคยเป็นน่ากลัวกว่าไข้ปุ้นไหม? นี่แค่ไข้หวัดจาก...” ฉันหันไปจ้องฟ่างเขม็ง เดี๋ยวเผลอหลุดปากพูดเรื่องที่ฉันมีอะไรครั้งแรกกับโซ่มา เจอดีแน่ “ไข้จากว่ายน้ำดึก ไม่ได้ไข้เพราะอย่างอื่น" พาร์ททำหน้างุนงงในสิ่งที่ฟ่างพูด จนฟ่างต้องแถไหลไปตามน้ำเรื่อยๆ "กูหมายถึงปุ้นไม่ได้เป็นไข้หวัดใหญ่ ติดต่อร้ายแรง มึงสบายใจได้” ฟ่างกลืนน้ำลายเหนียวลงคอเหมือนกับว่าสามารถเอาตัวรอดได้จากคำแก้ตัวและสายตากดกันจากการจ้องของฉัน

    “แน่นะ!” พาร์ทถามย้ำ

    “เออ! จะกลัวอะไรขนาดนั้น โรคก็กลัว ผู้หญิงก็ไม่ให้เข้าใกล้ บ้าไปแล้ว!”

    “เออ เออ มาที่ห้องก็ได้ แต่อย่านอนที่เตียง” พาร์ทพูดปัดรังควาน ก่อนที่ฉันจะเดินตามพาร์ทไปยังห้องของเขาเพราะฟ่างเป็นคนฉุดกระชากลากถูให้ฉันลุกจากโซฟา แล้วไล่ไปอยู่ที่ห้องพาร์ท

    “ไปนอนโซฟาที่ห้องมันรอฟ่างแป๊บ ขอฟ่างจัดการห้องตัวเองก่อน” ฟ่างหันมาบอกกับฉัน ก่อนที่ฉันจะเดินตามพาร์ทไปยังห้องของเขาซึ่งอยู่ตรงข้ามห้องของฟ่างอีกที

    พอเปิดประตูเข้าไปในห้องของพาร์ทเท่านั้นแหละ โอ้โห! นึกว่าอยู่โลกอีกใบ กลิ่นในห้องคืออโรม่าสุดๆ สดชื่นเหมือนอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ จะบอกว่ายังไงดีล่ะ คือกลิ่นมันสะอาด สดชื่น และหอมหวานๆ แปลกๆ

    ข้าวของเครื่องใช้ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่มีแขวนอยู่นอกตู้หรือระเบียงแม้แต่ตัวเดียว หากจะมีก็อยู่ในตะกร้าไม่ล้นเละเทะออกมาจนพูน

    รองเท้าจัดอยู่ในกล่องพลาสติกสีใสเรียงกันเป็นคอนโดเต็มถึงเพดานหลายแถวแต่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ ผ้าห่มบนเตียงถูกพับครึ่งแนวขวางครึ่งเตียงจัดราวกับอยู่โรงแรม ผ้าปูที่นอนสีขาวเรียบตึงมากถึงมากที่สุด เรียกได้ว่าโยนเหรียญบาทลงเตียง เหรียญก็เด้งดึ๋งดั๋ง พื้นห้องเดินเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ลื่นฝุ่นเหมือนถูกขัดลงแว็กให้ขึ้นเงาเลยก็ว่าได้

    “นอนพักที่โซฟาก็แล้วกัน พอดีเราไม่ชอบให้ใครมานอนหรือนั่งเล่นที่เตียงตอนไม่ได้อาบน้ำน่ะ” พาร์ทพูดพร้อมกับถอดรองเท้าหยิบวางเข้าชั้นก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นรองเท้าสำรองเพื่อใส่ในห้อง และเดินไปกดแอลกอฮอล์ที่วางบนโต๊ะมาล้างมือ ฉันมองดูพฤติกรรมของเขาอย่างแปลกใจ

    “ล้างมือหน่อยไหม เมื่อกี้เห็นจามแล้วก็เอามือปิดปาก” พาร์ทพูดพร้อมกับยื่นแอลกอฮอล์ที่ใช้ล้างมือมากดใส่มือฉันโดยที่ฉันยังไม่ได้สติตอบรับเขาแต่อย่างใด พอก้มหน้าทาแอลกอฮอล์ล้างมือเสร็จเงยหน้ามาก็พบว่าพาร์ทสวมหน้ากากอนามัยรวมถึงยื่นมาให้ฉันด้วยหนึ่งอัน

    “นี่นายเห็นฉันเป็นตัวเชื้อโรคขนาดนั้นเลยเหรอ”

    “เปล่า ก็แค่ป้องกันไว้” พาร์ทยกไหล่ปฏิเสธ แต่ฉันคิดว่าเขาน่าจะรังเกียจฉันเลยล่ะ นี่เขาเป็นพวกวิตกกังวลหรือไม่ก็เป็นคนคลั่งการรักษาความสะอาดมากจนเกินไป

    “ที่นายเป็นแบบนี้เพราะว่าเคยติดโรคซิสๆ อะไรนั่นมาน่ะเหรอ” เขาทำหน้าครุ่นคิดหลังจากฉันยิงคำถามในขณะที่เดินไปเปิดคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะทำงานก่อนหันมามองฉัน

    “น่าจะใช่”

    “เป็นแบบนี้มานานหรือยัง?”

    “ก็ตั้งแต่ปีหนึ่ง” ฉันผงกหัวรับ

    พาร์ทเป็นคนรักษาความสะอาดสองสามปีแล้วสินะ! น่าจะช่วงที่ฉันเริ่มคบกับพี่เมส ฉันเดินไปนั่งที่โซฟาซึ่งดูสะอาดสะอ้านแถมยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ พร้อมกับใส่หน้ากากอนามัยตามที่พาร์ทบอก ในขณะที่เจ้าของห้องอย่างพาร์ทก็นั่งลงเก้าอี้ตัวใหญ่คล้ายเก้าอี้ผู้บริหารเปิดโปรแกรมเพื่อเล่นเกม

    ขณะที่ฉันกำลังจะเอียงตัวลงนอนที่โซฟาเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นจนพาร์ทหันมามองเพราะฉันไม่ยอมรับสาย เอาแต่จ้องหน้าจอมือถือของตัวเองจนตัวสั่นเมื่อมองสายเรียกเข้าที่แสดงหน้าจอมือถือในขณะนี้

    “รับสิ! ทำไมไม่รับสาย”

    ฉันก้มมองที่หน้าจอมือถือตัวเองอีกครั้งก่อนตัดสินใจกดรับสายโทรศัพท์มือถือของตัวเองและกรอกเสียงที่สั่นเทาลงไป

    “ว่าไงคะพี่เมส”

    “พี่มาหาที่ห้อง จะรอจนกว่าจะกลับมา เรามีเรื่องต้องคุยกัน”


     


     

     

     

     

    error loaded

    พาร์ท: บุรุษผู้รักษาความสะอาด และกลั๊วกลัวความสกปรก


     

     

     

     

    error loaded

    ข้าวฟ่าง: นักดนตรี ติสๆ และกวนๆ พ่อหนุ่มผมยาว


     

    --------------------------------------



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×