คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ยัยโง่ที่จมในรัก [2]
พวกเราออกจากที่พักเกือบๆ 10 โมงมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารทะเลขึ้นชื่อของจังหวัด ฉันจึงไลน์ไปบอกข้าวฟ่างพร้อมกับแชร์โลเคชั่นไปหา ไม่รู้ว่ามันจะมาได้หรือเปล่า ติดรถคนอื่นมาทำงานด้วยคงลำบากน่าดู หรือฉันจะเปลี่ยนใจค่อยเจอกันที่คอนโดเลยดีนะ
เราสองคนไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน คอนโดฉันและหอพักของข้าวฟ่างก็ไกลกันพอสมควร
ณ ร้านอาหาร
ร้านอาหารติดริมทะเลที่แก๊งเพื่อนๆ ต่อโต๊ะกินกันซะยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยอาหารทะเลน่ากิน กุ้ง หอย ปู ปลา รวมถึงอาหารทะเลที่เหลือเมื่อวานนำเอามากินที่ร้านด้วย
อาหารน่ากินนะ แต่ว่าฉันไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ ไม่รู้เพราะพิษไข้หรือพิษทางใจกันแน่ที่ทำให้รู้สึกหน่วงขนาดนี้
แม้จะกินโต๊ะอาหารเดียวกันกับโซ่แต่เราก็นั่งไกลกันพอสมควร เรื่องเมื่อคืนบอกตรงๆ ว่าฉันมองหน้าโซ่ไม่ติดและไม่คิดจะมองด้วย มันรู้สึกนึกโมโหตัวเองที่ตอนนั้นไม่แหกปากตะโกนเรียกเพื่อน วิ่งหนี ชก ต่อย ตบ หรือทำอะไรก็ได้ให้หลุดพ้นจากจุดนั้น ทำไมถึงได้มีความคิดชั่ววูบอยากประชดชีวิต อยากลองทำอะไรที่ไม่ลองทำ ทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจว่าไม่ควร ดูเลว ดูแย่ที่สุด
หงุดหงิดตัวเองที่ต้องกังวลเรื่องท้องและก็กลัวว่าจะกลับไปหาหรือง้อขอคืนดีกับพี่เมสไม่ได้ ยังไงฉันก็ยังรู้สึกรักและลืมพี่เมสไม่ลงจริงๆ แม้ว่าจะเห็นเขากับผู้หญิงคนอื่น แต่ฉันก็ยังอยากจะถามให้รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น
ความจริงฉันควรจะส่งข้อความไปหาพี่เมสตั้งแต่เมื่อวาน แต่ยัยปุยฝ้ายห้ามไว้ บอกว่าให้ใจเย็นๆ ก่อน เพราะผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นญาติ เพื่อน หรือใครคนอื่นก็ได้ที่ไม่ใช่คนที่ฉันสงสัยในโทรศัพท์ ฉันก็ทำตามที่ปุยฝ้ายบอกเลือกที่จะไม่ส่งข้อความไปหา ตั้งใจว่ากลับไปที่กรุงเทพจะโทรไปหาพี่เมสและขอนัดเจอ คุยกันให้รู้เรื่อง ปรับความเข้าใจกันอีกครั้ง เขาอาจจะเปลี่ยนใจและให้โอกาสฉันบ้างก็ได้
คนคบกันมาตั้งสามปี เจอหน้ากันทุกวันตลอดสามปี นอนห้องเดียวกันตลอดสามปี แม้จะทะเลาะกันไปบ้าง แต่พี่เมสก็คือส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันไปแล้ว แล้วแบบนี้ฉันจะลืมพี่เมสเพียงแค่ไม่กี่อาทิตย์ได้ยังไง
ไม่มีทาง ฉันทำไม่ได้!
“ยังปวดหัวอยู่เหรอแก เห็นเขี่ยข้าวไปมา”
ปุยฝ้ายที่นั่งข้างๆ ถามฉัน มันเหมือนเป็นแม่คนที่สองของฉันตั้งแต่มันรู้ว่าแม่ฉันแต่งงานใหม่และย้ายไปอยู่ต่างประเทศเมื่อสองปีก่อนหลังจากพ่อเสียได้หนึ่งปี
“นิดหน่อยน่ะ”
“กินข้าวเยอะๆ จะได้กินยา" ปุยฝ้ายพูดพร้อมกับตักข้าวผัดใส่จานฉันเพิ่มอีกหนึ่งทัพพี ในจานยังกินไม่หมด นี่แกยังจะตักเพิ่มให้ฉันอีกเหรอ "แล้วนี่ชะเง้อมองใคร เห็นมองไปทางหน้าร้านหลายทีละ”
“อ๋อ รอฟ่าง เผื่อมันจะมาหา”
“ฮ๊ะ? ฟ่างจะมาเหรอ”
นวลที่นั่งตรงข้ามทำหน้ายิ้มดีใจยกใหญ่เมื่อได้ยินชื่อฟ่าง และหันไปมองรอบๆ อย่างตื่นตระหนก
“อื้ม บอกว่าจะมาแต่ไม่รู้มาทันร้านนี้ไหมนะ ถ้าไม่ทันก็เจอกันระหว่างทาง ไม่ก็คอนโดเลย”
พวกเพื่อนๆ ในกลุ่มที่รู้และเคยเจอฟ่างน้องชายฝาแฝดของฉันก็คือปุยฝ้ายและนวลเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ไม่เคยเจอฟ่าง แต่ก็ได้ยินยัยสองคนนี้พูดถึงบ่อยๆ อย่างที่บอกตั้งแต่ฉันมีแฟนฉันก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนกับฟ่าง แล้วฟ่างเองก็ไม่ค่อยอัพเดทหรือเล่นโซเชียล แต่ถ้าทักไลน์ไปเมื่อไหร่ก็ตอบไวทุกครั้ง
“จะกลับกับฟ่างเหรอ” ปุยฝ้ายถาม พร้อมกับทำน้ำเสียงอ้อน “อยากให้กลับด้วยกันอะข้าวปุ้น นานๆ ทีแกจะมาเที่ยวกับเรา ถ้าแกกลับกับฟ่างรถฉันก็ว่างไปหนึ่งที่เลยดิ เหงาปากแย่”
“เดี๋ยวเค้าคุยเป็นเพื่อนเอง ไม่เหงาหรอก” มาร์คพูดพร้อมกับยื่นกุ้งที่แกะแล้วให้ปุยฝ้าย
“มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ อุ่ย!”
“อะไรปุยฝ้าย ทำไมทำหน้าแบบนั้น” นวลถามขึ้นเมื่อปุยฝ้ายมองไปข้างหลังฉันด้วยสีหน้าที่ตกใจ
ฉันหันไปมองตามสัญชาตญาณก็พบชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังจะเดินออกจากร้าน ดูเหมือนว่าพวกเขานั่งอยู่โซนในสุดของร้านและเพิ่งกินข้าวเสร็จ นั่นมัน...พี่เมสและผู้หญิงหุ่นดีคนนั้นนี่
ฉันมองตามด้วยสายตาละห้อยและสุดท้ายก็ตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงไปหาทันที
“เฮ้ย! ไอ้ปุ้น”
เสียงของนวลและปุยฝ้ายพูดประสานขึ้นมาพร้อมกัน ดูเหมือนเพื่อนในแก๊งคนอื่นๆ ก็ทำหน้าตาเลิ่กลั่กมองกันไปมาอย่างตกใจ แต่ความตั้งใจที่จะลุกไปหาพี่เมสของฉันก็ดับลง เมื่อโซ่ลุกขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเขาตั้งใจจะเดินไปไหนสักที่แต่ดันหันมาทางฉันพอดี
พอฉันเอียงตัวหลบจะไปซ้ายตานั่นก็เอียงตัวเดินหลบมาทางซ้าย พอฉันจะไปขวาอีตาโซ่หน้ามึนก็เอียงตัวจะเดินมาทางขวาด้วย จนฉันเริ่มหงุดหงิดถอนหายใจเสียงดังและจ้องหน้าโซ่ให้เขารู้ว่าฉันเริ่มไม่พอใจแล้ว
ในที่สุดเขาก็หยุดยืนนิ่งๆ เอามือล้วงกางเงเหมือนกับว่าให้ฉันเลือกเดินเองว่าจะไปซ้ายหรือขวา ด้วยความที่ตัวโซ่ค่อนข้างสูงมาก ฉันจึงชะเง้อมองดูพี่เมสที่อยู่หลังโซ่ก็พบว่าพี่เมสเดินไปถึงรถของเขาและกำลังจัดแต่งทรงผมก่อนที่จะเปิดประตูเข้ารถไป
ไม่เดินไปทักก็ได้ ฉันมองพี่เมสตาละห้อยในขณะที่โซ่ก็ยืนนิ่งและหันไปมองตามที่ฉันจ้องมองอยู่ เสียดายที่ไม่ได้ทักทายกันก่อนกลับ เสียดายที่ฉันไม่เห็นพี่เมสตั้งแต่ต้นไม่งั้นก็จะได้พูดคุยกันบ้าง ถามอะไรที่ค้างคาใจหน่อยก็ยังดี
ฉันก็แค่จะเดินไปทักทายแบบผูกมิตรอยากมองหน้าคนที่คิดจบเรื่องของเราสองคนแล้วบอกว่าไม่มีมือที่สามสักหน่อย ไม่ได้จะไปตบตีใคร แล้วนี่ฉันก็ไม่เจอพี่เมสเลยตั้งแต่ที่เราเลิกกันเพราะพี่เมสหลบหน้าฉันหรืออาจจะเพราะไม่ค่อยเข้าคณะเนื่องจากติดทำโปรเจ็กจบกับเพื่อนหรือเปล่าฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
"ตกลงจะเดินไหม?"
"ไม่ล่ะ"
ฉันมองค้อนโซ่อย่างหงุดหงิดและเหวี่ยงใส่เขาสุดๆ ตัดใจหันหลังกลับเดินไปที่นั่งของตัวเอง เบื่อที่จะเห็นหน้าคนนิสัยเสียแบบโซ่เต็มที ส่วนโซ่ก็เดินไปคุยกับแก๊งเพื่อนผู้ชายที่หัวโต๊ะ เขามองฉันด้วยสายตาเรียบเฉยไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายที่กวนประสาท ไม่น่าคบหาเสียจริงๆ
แค่หันไปมองโซ่แม้จะรู้สึกหงุดหงิดแต่ฉันก็รู้สึกวูบวาบขึ้นมาอีกหน เรื่องเมื่อคืนยังคงติดอยู่ในหัวไม่หาย แค่คิดเพียงเสี้ยววิก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเสียดื้อๆ แต่เรื่องของฉันคงไม่ได้อยู่ในหัวของโซ่หรอกมั้ง ดูเขาคงประสบการณ์ช่ำชองกว่าฉันเยอะ ผู้หญิงในสต็อกก็คงมากมายอยู่แล้ว ฉันก็แค่หนึ่งในแต้มที่เขาล่า คงไม่น่าจะแปลกอะไรที่โซ่จะดูนิ่งได้ขนาดนั้น
พอฉันเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง ยัยปุยฝ้ายก็บ่นฉันหูแทบขาด
"แกจะไปหาพี่เมสอีกทำไมวะ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าที่พี่เค้ามาบอกเลิกแกก็เพราะว่าเค้ามีคนอื่น"
"ฉันรู้" ฉันตอบพร้อมกับควานหามือถือในกระเป๋า ยังไงก็ต้องไลน์ไปหาพี่เมสให้ได้
"รู้? รู้แล้วจะลุกไปหาพี่เมสอีกทำไม จะไปตบผู้หญิงคนนั้นเหรอ หรือจะลุกไปอาละวาดพี่เมสที่หน้าร้าน"
ฉันไม่ตอบยัยปุยฝ้าย เลือกที่จะก้มดูมือถือที่หาเจอได้ที่ก้นกระเป๋า หยิบขึ้นมาเปิดแอพพลิเคชันไลน์ ตั้งใจว่าจะไลน์ไปหาพี่เมสถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยจะได้หายค้างคาใจเสียทีว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร ฉันไม่ได้เป็นคนใจเย็นรอให้ถึงกรุงเทพฯ แล้วค่อยติดต่อ ตอนนี้ทนไม่ไหวแล้ว เพราะขืนยังรอให้พี่เมสติดต่อกลับหรือเจอกันอีกหนที่กรุงเทพ ฉันเกรงว่าอกฉันมันจะแตกจนเพื่อนๆ เดือดร้อนนะสิ
แต่ไม่ทันได้กดเข้าไปหาแชทพี่เมส ไลน์ของข้าวฟ่างก็เด้งมาเสียก่อน
ไลน์ข้าวฟ่าง
ข้าวฟ่าง: ปุ้น พอดีไอ้พาร์ทมันแวะไปทำธุระให้พี่สาวมัน ไม่รู้เสร็จตอนไหน คงไม่ได้ไปหาแล้ว แต่ถ้าเสร็จไวจะบอกอีกทีนะ
ฉันอ่านข้อความแต่ไม่ตอบกลับใดๆ เพราะรู้สึกเซง ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเลยสักอย่าง สงสัยจะได้ท้องจริงๆ แล้วมั้งเนี่ย จะได้ไหมนะยาคุม เดี๋ยวก็เกิน 72 ชั่วโมงหรอกข้าวฟ่างเอ๊ย! แกรู้ไหมว่าฉันกังวลขนาดไหน ทำไมถึงได้ชักช้า และมีอุปสรรคนัก
เรื่องยาคุมเอาไว้ก่อน แต่ว่าเรื่องพี่เมสนี่สิ ยังไงซะวันนี้ก็ต้องเคลียร์กับพี่เมส
ฉันส่งข้อความหาพี่เมสรัวๆ แบบเลือดขึ้นหน้า แต่ทว่าพี่เมสก็ไม่อ่านและไม่ตอบกลับข้อความฉันมาด้วย ไม่น่าจะมีอะไรต้องแปลกใจหรอก เพราะว่าข้อความก่อนหน้าที่ฉันส่งไปตั้งแต่ที่เราเลิกกัน พี่เมสก็ยังไม่เปิดอ่าน หรือว่าเขาจะบล็อคฉันนะ
"ไม่ต้องส่งข้อความไปหาพี่เมสแล้วปุ้น ปล่อยเขาไปเถอะ ตอนนี้แกควรกินข้าวนะ"
ปุยฝ้ายบ่นฉันเล่นเอาฉันหน้ามุ่ยไม่พอใจ เพราะโดนมันยึดโทรศัพท์ไปชั่วคราว ฉันจึงนั่งเขี่ยเศษอาหารในจานเล่นด้วยความรู้สึกที่หลากหลายตีกันไปหมดจนอยากจะร้องไห้ขึ้นมาเสียดื้อๆ
ว้อย! ทำอะไรไม่ได้สักอย่างเลย หงุดหงิดเบอร์ร้อย ฉันได้แต่นั่งกุมขมับนวดหัวตัวเองไปมา เส้นประสาทเต้นแรงจนปวดหนึบ เลยตอนนี้ นั่งรอเพื่อนๆ กินข้าวจนเสร็จแล้วก็เดินตรงไปยังรถของมาร์คเพื่อรอเวลาที่จะกลับไปยังกรุงเทพ เที่ยวครั้งนี้ไม่เห็นจะสนุกเลย แถมยังมีเรื่องให้ปวดหัวอีก
พอขึ้นรถได้เท่านั้นแหละฉันก็นอนยาวแทบไม่รู้สึกตัวเลย ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ของยาหลังอาหารหรือว่าเพราะเหนื่อยกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตพร้อมๆ กัน ตื่นอีกทีก็ตอนที่ข้าวฟ่างโทรมาหาฉัน
“ว่าไงฟ่าง แคร่กๆ”
(อยู่ไหนแล้ว)
“บนถนน”
(รู้แล้วว่าถนน แต่ว่ามันตรงไหนล่ะ)
ฉันถามมาร์คที่ขับรถอยู่ และได้คำตอบว่าทางด่วน และข้างหน้ามีปั๊มน้ำมัน มี KFG และร้านแม็กขนาดใหญ่ๆ เดี๋ยวจะแวะพักรถที่นั่น จึงบอกกับฟ่างไป พร้อมกับแชร์โลเคชั่นไปให้ข้าวฟ่าง
ณ ปั๊มน้ำมัน
พอลงรถได้ก็เดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา ระหว่างทางเดินก็ไออยู่ตลอดทาง แดดก็ร้อนชะมัด พวกเพื่อนๆ บอกว่าจะแวะกินข้าวที่นี่ ไม่กินแม็กโดโน่ก็ KFG ให้แยกกันกินแล้วแต่สะดวกฉันจึงไปกับปุยฝ้ายและนวล
เพิ่งจะกินข้าวกันไปนี่ก็จะกินข้าวกันอีกแล้วเหรอ ฉันยังอิ่มอยู่เลย
รถเรามาถึงเป็นคันที่ 3 ส่วนคันที่เหลือตามมาอีกหนึ่งคันนั่นก็คือรถของเพลินและแฟนหนุ่ม
“กินอะไรดี” นวลหันมาถามความเห็นของเพื่อนๆ ที่มองกันไปมา
สุดท้ายก็ตัดสินใจกิน KFG ส่วนฉันให้พวกเพื่อนๆ เข้าไปก่อน เพราะจะรอเจอข้าวฟ่างนอกร้าน ฉันจะต้องกินยาคุมก่อนอาหารมื้อนี้ให้ได้ไม่งั้นจะไม่สบายใจ พวกผู้ชายบางคนก็ยืนสูบบุหรี่กันอยู่ใต้ต้นไม้ บางคนก็ซื้อกาแฟ แต่ใครบางคนที่ฉันพลาดทักทายตอนที่ร้านอาหารตอนนี้เขากำลังเดินออกมาจากร้านกาแฟ
ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอพี่เมสอีกครั้งที่ปั๊ม
“พี่เมส”
ฉันตัดสินใจวิ่งไปหาอย่างไม่รอจังหวะหรือสนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น พี่เมสกำลังเปิดประตูขึ้นรถเบนซ์คันหรูที่ฉันคุ้นตาและนั่งเป็นประจำตลอด 3 ปีเต็ม ตั้งแต่ป้ายแดงจนเป็นป้ายประมูลสีเหลืองม่วง
“พี่เมส!!”
ฉันวิ่งไปดักหน้ารถแต่ไม่ทันแล้ว รถถอยหลังออกไปอย่างจงใจ แต่ฉันไม่ลดละความพยายามวิ่งไปขวางหน้ารถไม่ให้ไปไหน มาร์ค ปุยฝ้ายและนวลวิ่งออกมาจากร้าน KFG และตะโกนตามหลังให้วุ่นเพื่อห้ามปรามฉัน ไม่ให้วิ่งหรือไปขวางรถเบนซ์คันหรูนั้น แต่ดูเหมือนว่าฉันจะบ้าและแรงเยอะขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งๆ ที่ป่วยอยู่
แม้แดดจะร้อนแรงแค่ไหน อาการปวดหัวที่เป็นก่อนหน้าก็หายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเจอพี่เมส ฉันไม่สนใจแล้ว ยังไงซะวันนี้ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ฉันสะบัดแขนมาร์คออกพร้อมกับเตะมาร์คล้มลงไปที่พื้นเมื่อมันวิ่งมาถึงตัวฉันคนแรก ฉันออกตัววิ่งไปตามรถเบนซ์คันหรูที่จอดอยู่หน้าปั๊มรอจังหวะถนนใหญ่ว่าง
“ข้าวปุ้นอย่าไป อย่าวิ่งอันตราย กลับมาก่อน ข้าวปุ้น” เสียงเพื่อนๆ ไล่ตามหลังเป็นพัลวัล
“ไอ้โซ่จับข้าวปุ้นให้ทีดิ๊”
มาร์คตะโดนตามหลังมาเสียงดัง ฉันไม่รู้หรอกว่าโซ่อยู่ไหน เพราะตาฉันพร่ามัวไปหมด น้ำตามันเอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ทำไมพี่เมสไม่ลงมาคุยกับฉันให้รู้เรื่องวะ จะขับรถหนีฉันแบบนี้ทำไม
ฉันวิ่งเต็มแรงเท่าที่ขาของฉันจะทำได้ เกือบถึงรถคันนั้นอยู่แล้วเชียว แต่ฉันก็ถูกมือหนาของใครสักคนคว้าไว้ก่อน
โซ่!
ฉันสะบัดออกด้วยแรงที่มีก่อนจะวิ่งตามรถคันหรูที่พุ่งตัวออกจากปั๊มไปแล้ว ฉันวิ่งจะไปยังเลนถนนเพื่อตามรถพี่เมส แต่โดนจับไว้อีกครั้ง ครั้งนี้ฉันต่อยแขนเขาสองทีและกัดสุดแรงก่อนวิ่งไปที่ถนนหวังฆ่าตัวตายแทนการวิ่งตามรถพี่เมส
ปี๊มมมมมมมมม!!
เสียงแตรบีบลากยาวพร้อมกับรถที่ขับเบี่ยงหลบ
แขนแกร่งของโซ่โอบเอวฉันไว้จนเท้าฉันลอยละลิ่วจากพื้น เสื้อตัวเล็กเปิดจนเห็นสปอร์ตบลาสีดำแล้วฉันก็โดนเหวี่ยงลงพื้นหญ้าหน้าปั๊มน้ำมันอย่างไม่ใยดี
โอ๊ยศอกฉัน! อ๊ะ เจ็บไปหมดแถมยังมีแผลถลอกที่ต้นแขนด้วย
“ทำบ้าอะไร อยากตายหรือไง!” ฉันหันควับไปดูคนที่ตะโกนใส่ฉัน และโยนฉันทิ้งอย่างขยะไร้ค่า
“มาจับฉันไว้ทำไม ฉันตายยังดีกว่าให้ฉันมีชีวิตอยู่ ฉันจะไปหาเค้าแล้วนายจะมายุ่งอะไรด้วย”
“คิดว่าเธอตายแล้วเค้าจะกลับมาหาหรือไง คิดอะไรโง่ๆ” ประโยคหลังพูดช้าๆ ชัดๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ฮื้อ” ฉันปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย
“คิดโง่ๆ แบบนี้ไง ถึงโดนทิ้ง” โซ่พูดย้ำอีกครั้ง มือของเขายกขึ้นมากอดอกแกร่ง
“นายมันเลว ไม่มีสิทธิ์มาพูดอะไรทั้งนั้น”
ฉันทั้งร้องไห้และไอแคร่กๆ หอบอย่างหนักจากอาการป่วยและวิ่งไม่ดูสังขาร
“เธอมันดีนักรึไงที่เที่ยวว่าคนนั้นคนนี้เลว"
"แล้วนายล่ะ ดีนักหรือไง" ฉันตวาดใส่เขาสุดเสียง
"ดูสภาพตัวเองตอนนี้สิ ดูยังไงก็น่าสมเพช”
น้ำเสียงของโซ่ทำให้ฉันถึงกับหงุดหงิดจนอยากจะกรี๊ดอยู่หน้าปั๊มน้ำมันให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ยับยั้งช่างใจเอาไว้ แม้สิ่งที่เขาพูดจะจริงแค่ไหนแต่ฉันไม่ได้สนิทกับเขาถึงกับต้องมาด่าฉันได้ขนาดนี้นะ
คนอะไรปากร้ายชะมัด!
“นายมันก็ไม่ต่างจากผู้ชายที่ย่ำยีผู้หญิงนักหรอก”
ฉันดันตัวเองลุกขึ้นมาจากหญ้า เห็นเพื่อนๆ กำลังวิ่งกรูเข้ามา ก่อนที่พวกเขาจะถึงตัว ใจนึกอยากด่าเขาเรื่องเมื่อคืนสักหน่อย มันอึดอัดและค้างคาใจฉันเป็นอย่างมาก
“นายน่ะมันหน้าตัวเมีย ไม่มีสิทธิ์สั่งสอนหรือว่าฉัน”
“อะไรนะ หน้าตัวเมียงั้นเหรอ? หึ!”
โซ่เอามือบีบคางจนปากฉันเผยอขึ้น แววตาดุดันนั้นจ้องฉันอย่างไม่ปราณี ถ้าตบได้เขาคงตบหน้าฉันเลือดสาดหน้าปั๊มน้ำมันไปแล้วล่ะ
เชื่อสิ! เขามันป่าเถื่อนที่สุด
อ๊วก!! โซ่บีบแก้มฉันแรงมากแต่เพราะฉันปวดหัวและหน้ามืดเนื่องจากลุกขึ้นไว ผสมโรงกับอาการเวียนศีรษะจากการนั่งรถ ฉันจึงอาเจียนออกมาเลอะใส่เต็มหน้าอกของโซ่
“เชี่ย!!”
“อ๊ะ ขอโทษ”
ฉันพูดพร้อมกับ เบี่ยงหน้าหลบแต่โซ่กลับขยับเท้าหลบอ้วกเก่าของฉันพอดี ฉันเลยอาเจียนใส่รองเท้าใบหรูและแพงของโซ่จนแทบหมดไส้หมดพุงอีกสองสามครั้ง มือของฉันที่จับแขนของโซ่ไว้แน่นก่อนหน้าถูกสะบัดออกอย่างแรงจนฉันล้มลงไปนอนจมอ้วกของตัวเอง
ทั้งกุ้งหอยปูปลาสวัสดีวิ่งเต้นกันเต็มพื้นหญ้าหน้าปั๊มน้ำมันเหม็นเต็มไปหมด ฉันมองหน้าโซ่ด้วยสายตาที่พร่ามัวก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดลง
ความคิดเห็น