ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Love not bad] ฝากร้ายคืนรัก

    ลำดับตอนที่ #3 : เอารัก (เก่า) ไปลอยทะเล [2]

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.พ. 63


    ฉันหยิบเสื้อมาใส่คู่กับกางเกงสีขาวขาสั้น เดินเข้าไปอาบน้ำสระผมปล่อยให้น้ำเย็นๆ ชำระล้างความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองให้ไหลลงไปในท่อน้ำตั้งใจอยากจะเริ่มชีวิตใหม่ที่ไร้ผู้ชายชื่อเมส แม้ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้หรือไม่แต่ก็อยากจะลองดูอีกครั้ง จะกลับไปง้อหรือไม่กลับไปง้อตอนนี้ก็ยังสองจิตสองใจให้คำตอบตัวเองไม่ได้ซักที

    พอฉันอาบน้ำเสร็จเพื่อนๆ ก็ทยอยเดินเข้ามาในบ้านสลับสับเปลี่ยนกันอาบน้ำแต่งตัว ฉันเป็นมือโปรในการทำผม จึงทำผมให้เพื่อนๆ และก็เป็นเรื่องน่าปลื้มปริ่มยินดีมากเมื่อเพื่อนๆ ต่างพากันอุดหนุนตุ้มหูของฉันเป็นการตอบแทนที่ฉันทำผมสวยๆ ให้ จนฉันขายได้แทบจะคืนทุนมาเที่ยวทะเลเลยล่ะ

    ทำทรงผมให้คนอื่นซะสวยเหมือนดารานางแบบแต่ทรงผมฉันน่ะเหรอ แค่มัดครึ่งหัวแบบยกสูงผูกโบว์ด้วยผ้าสีขาวแค่นั้นแหละ แล้วปล่อยให้ตุ้มหูใหญ่ๆ สวยๆ โดดเด่นแทนดวงตาเศร้าๆ น่าจะดีกว่า

    ฉันขี้เกียจนั่งฟังเพื่อนๆ คุยกันกลัววกวนกลับมาถามฉันว่า 'เป็นอะไรทำไมตาบวม' ด้วยความที่ไม่อยากให้ใครเห็นว่าฉันเศร้าจึงหาอะไรทำเรื่อยเปื่อย และยังอาสาทำน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดให้อีกด้วยซึ่งต้องออกไปซื้อของที่ตลาดเพราะไม่มีวัตถุดิบเลย ปุยฝ้ายจึงขอยืมรถของมาร์คแฟนหนุ่มขับไปซื้อของที่ตลาด

    “แค่น้ำจิ้มเอง ซื้อที่เซเว่นก็ได้นะปุ้น” ปุยฝ้ายหยิกมาร์คทันทีเมื่อมาร์คพูดจบประโยค

    “ไปกันปุ้น อย่าไปสนใจมาร์คเลย เดี๋ยวเราไปเป็นเพื่อน ฉันจะซื้อน้ำจิ้มขวดให้นายกินแล้วกันนะมาร์ค ห้ามมากินน้ำจิ้มของข้าวปุ้นเด็ดขาด เพราะว่าปุ้นทำน้ำจิ้มอร่อยมาก” ปุยฝ้ายแย้งมาร์คให้ฉัน

    “คุยโม้หรือเปล่า” มาร์คแซวแฟนสาวของตัวเองอย่างปุยฝ้าย เห็นแล้วน่ารักชะมัด ฉันแอบนึกอิจฉาในใจอยากได้โมเม้นแบบนี้กลับมาบ้างจัง

    “พูดแบบนี้ งั้นนายอด!” พูดจบปุยฝ้ายก็แย่งกุญแจรถจากมือมาร์คยื่นให้ฉันทันที

    “ปุ้นขับเป็นใช่ปะ” มาร์คถามย้ำเพื่อความมั่นใจ

    “ขับเป็นสิ! ถึงปุ้นจะมีพี่เมสเป็นสารถีขับรถให้ เออะคือ ปุ้น เราขอโทษ” ปุยฝ้ายรีบหันมาขอโทษฉันเมื่อพูดชื่ออันตรายที่มีผลกระทบต่อหัวใจฉันออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เธอคงคุ้นชินกับการพูดถึงพี่เมสกับฉันน่ะ แม้แต่ฉันเองยังชินกับการมีพี่เมสเคียงข้างเลยนับประสาอะไรกับคนอื่นที่เห็นเราสองคนตัวติดกันตลอดเวลา จู่ๆ ก็มีใครสักคนหายออกไปจากชีวิต ใครบ้างจะไม่รู้สึก

    “เฮ้ย! ไม่เป็นไรแก อย่าคิดมาก”

    ฉันฝืนยิ้มและยักคิ้วให้ปุยฝ้ายเพื่อไม่ให้เธอคิดมาก ก่อนจะกอดคอกันเดินไปรถของมาร์คที่จอดอยู่ในโรงจอดรถของบ้านเช่า

    แต่แล้วเมื่อฉันขับตรงไปยังตลาด ฉันเจอพี่เมสยืนกอดคอผู้หญิงคนหนึ่ง

    ไม่รู้สิโลกเรามันคงกลมจริงๆ แหละมั้ง จากกรุงเทพฯ มาทะเลไกลถึงหัวหินใครจะไปคิดว่าฉันจะเจอพี่เมสยืนอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง กอดกับผู้หญิงหุ่นดี ผิวขาวสุดเซ็กซี่ หน้าอกหน้าใจคือดีงามมากเว่อร์ นับว่าผู้ชายเจอก็ต้องมองเหลียวหลัง หรือแม้แต่ผู้หญิงด้วยกันเห็นก็ต้องอิจฉา

    ถึงฉันจะมีพอๆ กับผู้หญิงที่อยู่เคียงข้างพี่เมสในตอนนี้ แต่ก็ไม่เคยได้โชว์แบบนั้นเลยสักครั้ง ยัยผู้หญิงคนนั้นใส่เกาะอก โชว์สะดือสวย ถึงแม้ฉันจะเห็นตอนรถติดเมื่อขับชะลอรถขาเข้าตลาดแต่ฉันก็มั่นใจมากว่าใช่พี่เมสแน่ๆ คนที่เคยเห็นหน้ากันแทบทุกวัน ใช้ชีวิตด้วยกันแทบตลอดเวลา ทำไมฉันจะจำไม่ได้

    “เออคือ แกเห็นใช่ปะ” ปุยฝ้ายถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใยฉันแต่ก็แอบลำบากใจที่จะพูด

    “อืมเห็น”

    “โอเคนะ”

    “อื้ม”

    “ตอนนี้ฉันจะไม่ถามอะไรให้แกรู้สึกไม่ดี เที่ยวให้สนุกก่อนดีกว่า ฉันรู้ว่าแกเสียใจ แต่อย่าลืมว่าพวกฉันอยู่กับแกนะปุ้น อย่าเก็บตัวอยู่คนเดียว แกคิดถูกแล้วที่มาเที่ยวกับพวกเรา”

    ฉันกั้นน้ำตาแทบจะไม่อยู่ มันคลอเบ้าขึ้นมาเสียดื้อๆ เมื่อได้ฟังปุยฝ้ายพูด ในใจรู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปไหนมาไหนกับเพื่อนๆ ในกลุ่มที่แสนดีแบบนี้ จะมีก็แต่นั่งเรียนและนั่งทำงานด้วยกัน เรียนเสร็จก็กลับห้อง มีบ้างที่กินข้าวเที่ยงด้วยแต่ถ้าวันไหนเรียนครึ่งวันฉันก็เลือกไปกับพี่เมสมากกว่าไปกับเพื่อนในกลุ่มอยู่ดี

    “ฉันขอโทษนะ ที่ผ่านมาติดแฟนซะจนไม่ได้ไปไหนมาไหนกับพวกแกเลย”

    “เฮ้ยไม่ต้องขอโทษ ไม่เป็นไรเลยเว้ย เรื่องแค่นี้เอง เป็นเรื่องปกติที่คนมีแฟนก็ต้องติดแฟน ฉันกับมาร์คก็ตัวติดกัน แต่รายนั้นน่ะชอบทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ ไง ไม่เหมือนพี่เมสที่รักแกและตัวติดแก มันไม่เหมือนกัน ฉันเข้าใจ”

    “ไม่เลยปุยฝ้าย ที่ผ่านมาสิ่งที่แกเห็น พี่เมสไม่ได้มีความสุขกับฉันเลยสักนิด เขาอยากได้อิสระและไปไหนมาไหนกับเพื่อนแบบที่แกให้มาร์คนั่นแหละ ซึ่งฉันไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ฉันตัวติดกันมากเกินไป จนลืมช่องว่างระหว่างกัน” ฉันพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม

    “เฮ้ยปุ้น!! ใจเย็นๆ ฉันว่าเราเปลี่ยนเรื่องคุยกันเถอะ”

    “ฉันไหวเว้ยฝ้าย”

    “แน่ใจนะ?”

    “อืม”

    “ก็ดีแล้ว”

    หลังจากประโยคที่ฝ้ายพูด ฉันก็นิ่งเงียบไปสักพักก่อนเริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันว่าฉันจะเปลี่ยนตัวเองว่ะฝ้าย”

    “หืม ยังไง?”

    “ฉันจะเป็นแบบแกบ้าง เรียน กิน เที่ยว ปาร์ตี้ เอาให้ครบ อะไรที่ไม่เคยทำ ฉันอยากลองทำดูบ้าง”

    “เฮ้ยบ้า! เอาจริงดิ?”

    “จริง! ฉันจะไปเที่ยว ลองไปนั่งบาร์ นั่งชิว เปิดโอกาสให้ตัวเองบ้าง ไปปลดปล่อยตัวเองบ้าง อยากลองไปเที่ยวช่วงวันหยุดแบบแก ไม่ใช่อุดอู้อยู่แต่ในห้อง ห้าง มหาลัย หน้าคอม หน้าจอมือถือวนไปวนมาแบบนี้ อยากลองใช้ชีวิตโดยไม่ขี้กลัวหรืออยู่ในกรอบที่สร้างมา มันน่าจะสนุกน่าดู ฉันไม่อยากเป็นคนซื่อๆ ไม่ทันคน และเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้แล้ว”

    “เกิดอะไรขึ้นกับแกเนี่ย? แต่ก็ดีนะถ้าแกจะเปลี่ยนตัวเอง คนที่กินเที่ยวเล่นก็ไม่ได้แย่เสมอไป แค่เราจัดการบริหารตัวเองได้ เอาตัวรอดให้เป็นก็ดีแล้ว”

    “อื้ม ฉันอยากเข้มแข็งให้มากกว่านี้” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นบอกกับปุยฝ้าย

    “ฉันไม่รู้หรอกนะเกี่ยวกับสาเหตุที่แกกับพี่เมสเลิกกัน แต่ฉันอยากบอกว่า อย่าจมปลักกับอดีต อดีตผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไปเถอะ เริ่มต้นชีวิตใหม่กัน ฉันจะอยู่ข้างแกเอง”

    ปุยฝ้ายคนที่ฉันมักมองว่าเธอเอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ เพราะบ้านรวยไม่ต้องดิ้นรนมากกลับเป็นคนที่เข้ามาปลอบฉันและอยู่เคียงข้างฉันตลอดที่ฉันทุกข์ใจ

    แม้กระทั่งวันที่พ่อฉันเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ฉันทั้งเสียใจและร้องไห้อย่างหนักก็ได้ปุยฝ้ายนี่แหละที่รวบรวมเงินเพื่อนๆ ที่ม'หาลัยมาช่วยงานศพพ่อตอนปีหนึ่ง หรือแม้แต่วันที่แม่ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับสามีฝรั่งที่ต่างประเทศ ปุยฝ้ายก็ปลอบใจอยู่เป็นเพื่อนฉันตลอด

    เราอยู่หอพักในมหาวิทยาลัยด้วยกันจนกระทั่งฉันคบกับพี่เมส เราสองคนจึงเริ่มห่างกันเพราะฉันตัดสินใจย้ายออกไปอยู่หอนอกมหาวิทยาลัยกับพี่เมส ส่วนปุยฝ้ายก่อนหน้านี้ตั้งใจจะอยู่หอพักนอกมหาวิทยาลัยตั้งแต่แรก แต่เพราะกลัวว่าฉันจะอยู่คนเดียวจึงร่วมลงทะเบียนจองพอพักด้วย เมื่อฉันตัดสินใจจะย้ายไปอยู่กับพี่เมสทุกอย่างจึงเข้าทางปุยฝ้ายเธอจึงย้ายไปอยู่หอนอกมหาวิทยาลัยคนเดียวเนื่องจากไม่ชอบสภาพหอพักในมหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างเก่าตั้งแต่แรก พอย้ายไปอยู่หอนอกมหาวิทยาลัยไม่นานนักปุยฝ้ายจึงตัดสินใจคบกับมาร์ค และร่วมแชร์ค่าหอพักนอกร่วมกัน

    หลังจากกลับมาจากตลาด ฉันก็ขลุกตัวอยู่แต่ในห้องครัว ทำน้ำจิ้มใส่ถ้วยชามใหญ่แยกเผ็ดมาก เผ็ดน้อยตามสูตรน้ำจิ้มรสเด็ดที่พี่เมสยังติดใจบอกว่าไปกินร้านไหนก็ไม่อร่อยเท่าฝีมือของฉัน ฉันได้สูตรเด็ดเคล็ดลับและฝีมือการทำอาหารมาจากพ่อที่เป็นพ่อครัวเปิดร้านปิ้งย่างปลาเผา กุ้งเผา ฉันรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยพ่อมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้นจนกระทั่งอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่มาพรากพ่อฉันไปอย่างไม่มีวันกลับมา แต่นั่นก็ทำให้ฉันได้ฝีมือการทำอาหารมาจากพ่อบ้างนิดหน่อย

    ณ ลานปิ้งย่างริมสระน้ำ และบ้านพักริมทะเล

    ฉันไม่ได้นั่งกินกับเพื่อนๆ แต่อาสาปิ้งกุ้ง ปิ้งปลา ปิ้งปลาหมึก ทำบาบีคิว ด้วยประสบการณ์ที่ช่ำชอง (พูดซะ!) จนผมที่สระมาก่อนหน้านั้นเหม็นกลิ่นควัน แต่ไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญอะไรมากนักตั้งใจว่าก่อนนอนจะอาบน้ำใหม่อยู่แล้วจึงไม่ได้กังวล ฉันแยกตัวออกมาปิ้งย่างอยู่หน้าเตาร้อนๆ แบบนี้เพราะว่าไม่อยากฟังใครพูดอะไรเยอะแยะจนเก็บมาคิดให้ปวดหัว จึงคิดว่าแยกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนๆ แบบนี้น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับฉัน

    เรื่องตัวเองแทบจะเอาตัวไม่รอด หากฝืนสังขารไปนั่งฟังชีวิตใครเพิ่มคงปวดหัวน่าดู แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่มีอารมณ์สุนทรีจิตใจไม่เบิกบานขนาดนั้น ก็มีบ้างที่หัวเราะตามเพื่อนเล่าเรื่องตลกแต่มันก็ไม่ได้อินเท่าไร โชคดีเพลงที่เปิดเป็นเพลงแดนซ์ฝรั่งบ้าง เกาหลีบ้างปนๆ กันไป จึงทำให้บรรยากาศค่อนข้างดี ไม่มีเพลงมาบิ้วอารมณ์ให้น้ำตาฉันไหลเป็นท่อประปาแตกเหมือนตอนกลางวันอีก

    “เฮ้ย! น้ำจิ้มอร่อยจริงว่ะปุ้น” มาร์คเดินมาสะกิดฉันจากทางข้างหลัง

    “อื้ม” ฉันตอบแค่นั้นแล้วก้มหน้าก้มตาปิ้งกุ้ง ปิ้งปู ที่อยู่ตรงหน้าต่อ

    “โอ้ย เลิกทำหน้ามุ่ยได้แล้ว มาเล่าเรื่องตลกเหมือนทุกทีดีกว่า ปิ้งย่างนี่ให้คนอื่นทำก็ได้” มาร์คบอกฉับฉัน

    “มาร์คมานี่เลย ไม่ต้องไปวอแวไอ้ปุ้นมัน” เสียงปุยฝ้ายดังมาจากโต๊ะม้านั่ง จนมาร์คต้องเดินไปหาต้นเสียงแล้วเย้าแหย่กันจนตีแขนเล่นกันเล่นไปมา ตลกสองคนนี้ชะมัด ชอบทะเลาะและเล่นกันตลอดจริงๆ

    “ขอกุ้งหน่อยดิ” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น เรียกสายตาฉันที่มองมาร์คกับปุยฝ้ายให้หันกลับมาที่เตาข้างหน้า

    “จ้า” ฉันตอบรับ พอมองหน้าผู้หญิงแบ๊วๆ ตรงหน้าอย่างพิจารณาก็ไม่รู้จัก พยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออกว่าเธอคือใคร น่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนของใครสักคน ฉันคีบกุ้งที่สุกให้เธอไปประมาณ 6 ตัว

    “สุกแค่ 6 ตัวนะ เดี๋ยวถ้าสุกแล้วจะใส่จานเพิ่มให้”

    “เธอชื่อข้าวปุ้นเพื่อนปุยฝ้ายใช่มั้ย เพิ่งมาเที่ยวครั้งแรกปะ เห็นพวกที่ซื้อตุ้มหูเขาพูดกัน”

    “ใช่ ฉันชื่อข้าวปุ้น เพื่อนปุยฝ้าย”

    “ฉันชื่อคุกกี้เรียกกี้เฉยๆ ก็ได้ เห็นฝ้ายบอกว่าเธอทำน้ำจิ้มซีฟู้ดเองเหรอ”

    “อื้มใช่ ฉันทำเอง” ฉันยิ้มให้เล็กน้อยอย่างอายๆ เมื่อมีคนชม เพราะคุกกี้เองก็พูดจาดี ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร

    “แฟนฉันชอบมากเลย จิ้มกินไม่หยุด ไว้วันหลังมาสอนฉันทำบ้างสิ”

    “อ๋อเหรอ ขอบใจมากนะ ถ้าสะดวกก็มาเรียนสูตรทำน้ำจิ้มจากฉันได้เลย”

    ฉันยิ้มให้คุกกี้จนตาหยี เธอมองหน้าฉันและยิ้มหวานกลับก่อนจะเดินเชิ่ดนมโตๆ เด้งๆ มุ่งหน้าไปหากลุ่มผู้ชาย พอฉันเหลือบมองอีกครั้ง ฉันก็เห็นคุกกี้นั่งข้างๆ ผู้ชายหน้าหล่อผู้เคร่งขรึมที่เดินสวนทางกับฉันตรงบันได แฟนหล่อนช่างน่ากลัวเหลือเกิน พอฉันมองไปก็เหมือนว่าผู้ชายคนนั้นจะหันมามองพร้อมกับคุกกี้พอดี

    สงสัยจะพูดถึงน้ำจิ้มสินะ ...

    ฉันหลุบตาหลบลงที่เตาและทำการปิ้งย่างต่อ จนกระทั่งทุกคนเริ่มอิ่มและอาหารที่ปิ้งไว้เริ่มเหลือ ฉันจึงนำพวกกุ้งเผา ปลาเผา หอยเผาต่างๆ เก็บใส่กล่องไว้ เผื่อจะได้กินต่อในวันพรุ่งนี้ ดูเป็นแม่บ้านแม่เรือนเนอะ! บ้านฉันเคยเปิดร้านอาหารนี่นา ก็ต้องทำพวกนี้คล่องอยู่แล้วแหละน่า

    “พวกผู้ชายเล่นเกมกินเหล้ากันอีกละ มาทีไรก็เล่นเกมกินเหล้าทุกที” เสียงของนวลพูดขึ้นในขณะที่ฉันนั่งลงเก้าอี้ข้างๆ เธอ

    “พวกผู้หญิงอย่างเราก็ป๊อกเด้งสิคะรออะไร แปะๆ เหล้าก็มีเบียร์ก็พร้อม เสียเงินดื่มกันเถอะ” และแล้วแก๊งผู้หญิงก็พากันเข้าไปในบ้าน ฉันที่เพิ่งมานั่งก็ทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนดี

    “ปุ้นลุกสิ เข้าไปในบ้านกัน”

    “แล้วของพวกนี้ล่ะไม่เก็บเหรอ” ฉันถามเพลินและชี้ไปยังที่โต๊ะซึ่งมีจานชามและเศษกุ้งวางเกลื่อน

    “ไม่เก็บหรอก เอาไว้แบบนี้แหละ เดี๋ยวแม่บ้านก็มาจัดการ เข้าไปข้างในกันเถอะ”

    ฉันดูนาฬิกาบอกเวลา 22.10 น. บ้างก็ยังนั่งเล่นและฟังเพลงกันอยู่ บางคนก็สวีทกับแฟนจูบกันอย่างดูดดื่มริมสระอย่างไม่อายสายตาใคร บ้างก็สูบบุหรี่ กินเหล้า ทุกคนทำท่าทางชินกับสิ่งที่เจอ ส่วนฉันเพิ่งเคยมาครั้งแรกเลยมองดูนั่นดูนี่อย่างเพลินๆ อย่างนึกสงสัยในใจ แต่ก็สนุกดีเหมือนกันนะเนี่ย ได้มาเที่ยวกับเพื่อน ได้ลองทำอะไรที่ไม่ได้ทำ เดี๋ยวสระโล่งๆ ฉันจะแอบลงมาเล่นน้ำที่สระสักหน่อย แต่ว่ารอเพื่อนๆ พากันเข้าบ้านไปนอนก่อนก็แล้วกัน

    ว่ายน้ำดึกๆ สนุกมาก ยิ่งสระน้ำที่บ้านหลังนี้มีไฟสีสันใต้น้ำด้วย ยิ่งน่าว่ายน้ำ

    ฉันเคยว่ายน้ำตอนเที่ยงคืนครึ่งกับพี่เมสที่คอนโด จำได้ว่าทั้งเงียบและเย็นสบาย แถมยังไม่มีคนวุ่นวายรบกวนด้วย

    ที่ฉันไม่ยอมเล่นน้ำกับเพื่อนๆ ช่วงบ่ายเพราะว่าเขิน แม้พวกเพื่อนๆ จะใส่ชุดว่ายน้ำทูพีทอวดหุ่นสวยก็เถอะ ฉันก็ไม่กล้าอยู่ดี ยิ่งมีผู้ชายที่ไม่รู้จักเยอะๆ แบบนี้ด้วยฉันยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่ หลังจากที่ขึ้นไปอาบน้ำเพราะตัวเหม็นควันปิ้งย่างฉันก็เปลี่ยนเป็นชุดกางเกงขายาวและเสื้อกล้าม เดินมานั่งดูทีวีและมองเพื่อนเล่นไพ่จนกระทั่งเสียงไลน์แจ้งเตือน


     

    ไลน์

    ข้าวฟ่าง: “ปุ้นเลิกกับพี่เมส?”

    ข้าวปุ้น: “พี่เมสสิเลิกกับปุ้น”

    ข้าวฟ่าง: “อ่าวเหรอ เห็นพี่เมสเค้าตั้งสถานะในเฟส ฟ่างก็นึกว่าปุ้นไปหักอกผู้ชายสุดเพอร์เฟคแบบพี่เมสเสียอีก”

    ข้าวปุ้น: “อืม ปุ้นผิดเองที่ไม่เพอร์เฟคพอสำหรับพี่เมส”

    ข้าวฟ่าง: “ถึงแม้ปุ้นไม่เพอร์เฟคสำหรับพี่เมส แต่ปุ้นก็เป็นพี่ที่ดีของฟ่างนะ ซึ้งอาดิ๊”

    ข้าวปุ้น: “ต้องการไร”

    ข้าวฟ่าง: “เฮ้ยพูดจริง จะมาบอกต้องการอะไรได้ไง”

    ข้าวฟ่าง: “แค่เสียดายจะไม่ได้นั่งเบนซ์แอร์เย็นๆ สุดหรูของพี่เมสก็แค่นั้น”

    ข้าวปุ้น: “แกก็รีบๆ เรียนจบเป็นนักดนตรีตามฝัน แล้วก็เก็บเงินซื้อเบนซ์เองสิ ภูมิใจกว่าเยอะ ที่สำคัญโอนเงินมาเลี้ยงดูปุ้นด้วย”

    ข้าวฟ่าง: เห็นปุ้นกวนตีนกลับมาได้ก็ดีใจแล้ว นึกว่านอนร้องไห้ขี้มูกโป่งในห้อง ถ้านวลไม่ส่งรูปมาให้ดูนะ ฟ่างก็คงคิดว่าปุ้นตายเป็นผีเฝ้าห้องไปแล้ว

    ข้าวปุ้น: ไอ้ควายฟ่าง แช่งตลอด ว่าแต่คบกับนวลเหรอ?

    ข้าวฟ่าง: ไม่ได้คบ แค่คุยๆ กัน ไม่อยากผูกมัดกับใครน่ะ เป็นนักดนตรีเร่ร่อนไปมาตามร้านอาหาร จะเอาเวลาไหนไปเทคแคร์คนอื่น

    ข้าวปุ้น: จ๊ะ พ่อหล่อเลือกได้ ไปเล่นดนตรีไหนวันนี้

    ข้าวฟ่าง: [ส่งภาพ]

    ข้าวฟ่าง: รู้ยังเล่นดนตรีไหน เพราะเจอพี่เมสเลยเข้าเฟสบุ๊กไปส่องแล้วก็ไลน์มาถามนี่แหละ เข้าใจนะ จุฟๆ! เลิกเศร้าได้ล่ะเป็นห่วง

    ข้าวฟ่างน้องชายฝาแฝดของฉันส่งรูปร้านอาหารที่มันไปร้องเพลงกับเพื่อนๆ ในวงมาให้ดู และในภาพก็คือพี่เมสกับผู้หญิงคนนั้นที่ฉันเห็นตอนเย็น

    เราสองคนสนิทกันพูดคุยกันได้ทุกเรื่องแม้จะไม่ได้คุยกันทุกวันก็เถอะ หลังจากที่พักหลังฉันมีแฟนและไม่ได้เจอข้าวฟ่างบ่อยเหมือนตอนเข้าม'หาลัยช่วงแรกๆ แต่เราสองคนก็ติดต่อกันเรื่อยๆ เราสองคนไม่มีรูปคู่ด้วยกันมานานมากแล้ว แม้แต่วันเกิดฉันก็เลือกไปฉลองกับพี่เมส ข้าวฟ่างก็ไปฉลองกับเพื่อนๆ ในกลุ่ม ถึงจะไม่เจอกันบ่อยแต่ก็ติดต่อถามไถ่ทางไลน์ไม่ขาดสาย เรามีกันสองคนพี่น้องแค่นี้ จะทิ้งตัดขาดกันไปเลยก็ทำไม่ได้

    ฉันเลือกที่จะไม่บอกฟ่างเรื่องเลิกกับพี่เมสเพราะคิดว่าฉันอาจจะกลับไปคบกับพี่เมสได้อีกจึงยังไม่อยากด่วนบอก แต่ใครจะไปคิดว่าพี่เมสจะโพสต์ผ่านโลกโซเชียลไปแบบนั้น โอกาสกลับมาคบหาดูใจกันเหมือนเดิมก็อาจจะยากขึ้น ยิ่งเห็นพี่เมสกับผู้หญิงคนอื่นก็ยิ่งหวั่นใจว่าเปอร์เซ็นต์การกลับมาคบกันของเราสองคนนั้นน้อยลงไปทุกที

    เงินที่ฉันกับฟ่างใช้ทุกวันนี้ก็มาจากเงินค่าประกันที่ได้หลังจากพ่อเสียชีวิต แม่ให้ฉันและข้าวฟ่างเป็นทุนการศึกษา ฉันเองก็กู้ กยศ เรียนด้วยจึงเอาเงินส่วนใหญ่ให้ข้าวฟ่างเพราะฟ่างอยากเรียนคณะดนตรีซึ่งค่าเทอมแพงกว่าฉันสองเท่า และแม่เองก็ส่งเงินจากการเป็นพี่เลี้ยงเด็กมาให้จากต่างประเทศด้วยทุกเดือนจึงทำให้ไม่ลำบากเรื่องเงินมากนัก

    ญาติฉันก็มีนะ แต่ก็ไม่ค่อยได้ติดต่อใครเป็นพิเศษ และไม่อยากไปขอพึ่งใครให้เขาเดือดร้อน ฉันกับข้าวฟ่างจึงตัดสินใจหางานพิเศษทำเรื่อยๆ ตั้งแต่ผู้เป็นเสาหลักอย่างพ่อเสียชีวิตลง

    รายได้จากการขายตุ้มหูที่ฉันออกแบบต่อเดือนก็ถือว่ามากพอสมควรเพราะฉันใส่เองรีวิวเอง ส่งไปให้ดาราเน็ตไอดอลช่วยรีวิว และก็ได้พวกเพื่อนๆ ในคณะ ต่างคณะก็ช่วยอีกแรง จะว่าไปที่ผ่านมาฉันก็เคยขายตุ้มหูได้กำไรสูงสุดถึงหกหลักเชียวนะ แต่ก็แล้วแต่ช่วงและจังหวะชีวิต ไม่ได้เงินเยอะแบบนั้นบ่อยนัก

    ฟังเหมือนรายได้จะมากแต่รายจ่ายนั้นก็มากเช่นกัน เอาจริงๆ ฉันก็เป็นพวกชอบใช้ของแบรนด์ด้วยนั่นแหละ แล้วไงล่ะ? ก็เงินฉันนี่ ฉันหามาเอง จะซื้อหรือใช้จ่ายอะไรก็ย่อมได้ไม่ใช่เหรอ หากไม่ทำให้ใครเดือดร้อน มีบ้างที่พี่เมสซื้อให้ ฉันไม่ได้บังคับเขาให้ซื้อให้นี่ เขาเลือกที่จะซื้อให้ฉันเองแค่ฉันเอ่ยปากว่าสวยหรืออยากได้พี่เมสก็พร้อมซื้อให้อยู่แล้ว

    นี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ฉันรู้สึกเซ็งและเสียดาย หากผู้ชายแบบพี่เมสจะเดินออกไปจากชีวิตแล้วจริงๆ ผู้ชายหน้าตาดี ฐานะรวย เงินไม่ขาดกระเป๋า เอาใจเก่งแบบนี้จะหาที่ไหนได้อีกล่ะ ผู้หญิงคนไหนก็ต้องชอบอยู่แล้ว


     

    ข้าวฟ่าง: ปุ้นรู้ปะว่าเวลาแฝดอีกคนเศร้าน่ะ แฝดอีกคนก็เศร้าตามนะ เพราะฉะนั้นเลิกเศร้าได้ละ มันส่งผลมาถึงกระผมนะครัช

    ข้าวปุ้น: อีบ้า!

    ข้าวฟ่าง: กลับพรุ่งนี้เปล่า ให้ไปรับไหม จะได้คุยกันต่อไง

    ข้าวปุ้น: แกเอารถมาเหรอ

    ข้าวฟ่าง: อ่อไม่ได้เอามาอะ มากับพี่และเพื่อนๆ ในวง เดี๋ยวขอพาร์ทให้ปุ้นนั่งติดรถมาด้วยกันไง

    ข้าวปุ้น: ฉันว่าฉันกลับกับเพื่อนดีละ

    ข้าวฟ่าง: ทำไมกลัวไอ้เต้มันจีบเหรอ 5555+ มันมีแฟนแล้ว แต่ไม่แน่นะถ้ามันรู้ว่าปุ้นโสดมันอาจจะไปเลิกกับแฟน

    ข้าวปุ้น: อย่าทำบาปแบบนั้นได้ปะ เวลาโดนแย่งแฟนหรือเลิกกับแฟนฉันเข้าใจดีว่าความเจ็บมันเป็นยังไง แล้วเต้ก็ไม่ใช่สเป็กฉันด้วย

    ข้าวฟ่าง: ต้องล่ำ เข้มๆ รวย สุภาพๆ หน่อยใช่ปะ

    ข้าวปุ้น: กวนตีนสัส อีควายฟ่าง

    ที่มันพูดมาก็พี่เมสนั่นแหละ

    ถึงแม้จะคบกันมา 3 ปีและนอนคอนโดด้วยกัน ฉันกับพี่เมสก็ไม่เคยกินตับกันแต่ก็เคยช่วยตัวเอง เย้ย ช่วยกันและกันจนสำเร็จความใคร่บ้างเพราะฉันเล่นตัวค่อนข้างเยอะ ความจริงพี่เมสเคยพยายามดุนดันเจ้านั่นของเขาเข้ามาในตัวฉันแล้วแต่ฉันเกร็งตัว ถดตัวหนีครั้งแล้วครั้งเล่า และโวยวายใส่เขาลั่นห้องจนข้างห้องมาเคาะประตูด่า พี่เมสเลยไม่กล้าทำอีก

    น่าสมเพสเนอะ! ทำตัวดีแค่ไหน แต่ถ้าตอบสนองความต้องการผู้ชายไม่ได้เขาก็ไม่สนใจ แต่นั่นมันก็ไม่ใช่ข้ออ้างอยู่ดี บางคู่ตอบสนองความใคร่ได้ ผู้หญิงทุ่มให้ผู้ชายทั้งร่างกายได้เชยชมเต็มทีี่ ใจก็ให้เต็มร้อย บางครั้งผลตอบแทนก็ไม่ใช่คำว่าซื่อสัตย์ สรุปแล้วมันขึ้นกับสันดานคนมากกว่า อย่าโทษว่าเป็นเพราะไม่ให้ร่างกายหรือต้องเสียสาวซดตับกันอย่างเอร็ดอร่อยเลย เพราะมันอาจจะไม่คุ้มกับที่เราเสียไปก็ได้

    ฉันละสายตาจากมือถือหลังจากที่พิมพ์คุยกับข้าวฟ่างอยู่นานสองนาน พบว่าเพื่อนๆ บางคนหลับ บางคนก็นั่งเล่นไพ่ เล่นเกมในมือถือ ส่วนพวกผู้ชายที่นั่งกินเหล้าตอนนี้ก็ลากสังขารพากันกลับเข้ามาในบ้านด้วยความมึนเมาแล้ว บางคนก็ยังปกติดีแต่บางคนก็มีอาการเปลี่ยนไปคือพูดจาไม่รู้เรื่อง และโวยวายเสียงดัง แก๊งผู้ชายสลายตัวจากวงเหล้าแสดงว่านอกบ้านตอนนี้ก็น่าจะปลอดผู้คน

    ตอนนี้จะเที่ยงคืนแล้ว ได้โอกาสแล้วสินะปุ้น! ฉันเดินขึ้นห้องมาเอาชุดว่ายน้ำในห้องนอน

    “ฝ้ายฉันไปว่ายน้ำนะ”

    “ตอนนี้เนี่ยนะ” ฝ้ายที่เล่นเกมนั่งพิงมาร์คและมีสภาพกึ่งเมาจนแก้มขาวๆ แดงเป็นลูกมะเขือเทศหันมาพูดอย่างตกใจ

    ว่าแต่นี่มาร์คมันจะนอนห้องนี้จริงๆ เหรอ ถึงได้เข้ามาในห้องนอนผู้หญิงแบบนี้ แต่ก็เอาเหอะเป็นแฟนกันนี่เนอะ ไม่แปลกหรอกมั้ง จะนอนตรงไหนก็ได้ บ้านพักนี่ก็มีห้องนอนตั้งสี่ห้องนอน และยังนอนได้ห้องละ 5-6 คนแน่ะ

    “อื้ม ขอไปว่ายน้ำระบายอารมณ์หน่อย รู้สึกหงุดหงิดยังไงไม่รู้”

    "ประจำเดือนจะมาหรือเปล่า ถึงได้จิตหงุดเงี้ยว" มาร์คพูดในขณะที่สายตาก็จับจ้องไปที่จอมือถือ

    “โอ๊ย แกสิเจี๊ยวหงุดหงิด จุ๊ดจู๋เล็กอย่างกับพริกขี้หนู แข็งมาก็แยกไม่ออกระหว่างแตกกวาจิ้มน้ำพริกหรือมะระขี้นก" ปุยฝ้ายพูดจบก็เอามือไปตบเป้าของมาร์ค ทำเอามาร์คหัวเราะลั่นห้องนอนม้วนตัวหลบแทบไม่ทัน

    "เฮ้ยที่รัก เดี๋ยวลูกชายตื่นกันพอดี ดูถูกแบบนี้เดี๋ยวโดนจัดหนักหรอก"

    "กล้าเหรอฮ๊ะ" ปุยฝ้ายพูดพร้อมกับกระหน่ำตีแขนมาร์ค มองดูแล้วก็ตลกดีเหมือนกันนะคู่นี้ พอเล่นกันเต็มที่ฝ้ายก็หันมาบอกฉัน "รีบไปรีบมาล่ะแก ที่นี่ปลอดภัยไม่มีอะไรหรอก เพื่อนกันทั้งนั้น แต่ก็อย่าว่ายหนักมากล่ะ”

    “อื้มไม่หนักหรอก”

    “ทำไมตอนบ่ายๆ ไม่เล่นกับเพื่อนๆ ล่ะปุ้น กลัวดำเหรอ เลยไปเดินเล่นชายหาดคนเดียว” มาร์คถามอย่างสงสัย

    “มันไม่ชอบอวดหุ่นให้ผู้ชายเห็น” ปุยฝ้ายหันไปบอกแฟนหนุ่มและหันมาสบตาฉัน “ใช่ปะ”

    “มั้ง ก็ไม่สนิทอะ”

    “หุ้ย! เรื่องเยอะจริงๆ เลยปุ้น เห็นไปก็เท่านั้นแหละ ไอ้พวกผู้ชายพวกนี้นะ มันเห็นมากกว่าทรวดทรงอีก แกไม่รู้อะไร” มาร์คพูดพร้อมกับดึงปุยฝ้ายมากอดและหอมแก้มต่อหน้าฉันเหมือนเป็นเรื่องปกติ

    “รู้หรอกน่า แต่ก็ไม่ชอบให้ใครมามอง เข้าใจปะ” ฉันตอบไปอย่างหงุดหงิด

    “เลยต้องให้ผีสางเทวดามองแทนสินะ”

    “เออดิ จะมาพูดอะไรดึกๆ” ฉันตีมาร์คดังเปรี้ยะ พร้อมกับมือปุยฝ้ายที่ตบหัวมาร์คสมทบอีกแรง สมน้ำหน้าปากไม่ดีมาพูดผีสางอะไรกลางค่ำกลางคืน

    “ระวังนะ โดนลากไปใต้น้ำ แบร่”

    “กรี๊ดดดด” ฉันและปุยฝ้ายร้องออกมาพร้อมกันเมื่อมาร์คแกล้งเอามือมาขยุ้มที่น่องฉันแล้วทำเสียงเหมือนผีหลอก

    “นึกว่าแน่ที่แท้ก็กลัว” มาร์คหัวเราะอย่างสะใจ

    “ไม่ได้กลัวผี กลัวหน้าหลอนๆ ของแกนั่นแหละไอ้ตี๋มาร์ค ชื่อฝรั่งไม่เข้ากับหน้าเลย”

    “อารมณ์มาแล้วเว้ย! ทีตอนกลางวันนะ หน้ามุ่ยอย่างกับตูดลิง เดินทำตัวเป็นนางเอกเอ็มวีไปตามชายหาด น้ำตาไหลพราก”

    “ตูดลิงก็ยังดีกว่าตูดดำๆ ของแกแล้วกัน” ฉันเถียง

    “เคยเห็นหรือไงจ๊ะ อยากดูไหมว่าตูดพี่มาร์คนั้นดำหรือขาวเนียนนุ่มเหมือนผิวเด็ก” มาร์คทำท่าจะเปิดกางเกงให้ฉันดู

    “เออขอดูหน่อยสิว่าดำหรือขาว” ฉันแกล้งดึงกางเกงของมาร์คออก ปุยฝ้ายหัวเราะกับการเถียงกันระหว่างฉันและมาร์ค ซึ่งมาร์คก็ดึงกางเกงของตัวเองขึ้นจนรัดเป้าจนเห็นเป็นพวงมะเขือ น่าเอานิ้วดีดจนร้องจ๊ากเสียให้เข็ด

    “อารมณ์ดีแล้วใช่ไหมแก ไปว่ายน้ำเหอะ เดี๋ยวจะดึก” ฝ้ายบอกกับฉัน

    “ที่รัก นี่ก็ดึกแล้วนะ จะเที่ยงคืนแล้ว”

    “เออ เช้าแทนละกัน”

    ปุยฝ้ายเปลี่ยนคำและหันไปกอดมาร์ค

    โอ้ยยย!! อะไรจะหวานเบอร์นี้ ปกติเห็นสองคนนี้ในมุมพูดกัดกันเล่นไปมา บทจะหวานก็ไม่แคร์เพื่อนที่นอนข้างๆ อีกสองคน รวมถึงฉันที่ยืนอยู่เลยสักนิด

    “ไปละ จะรีบมา” ฉันบอกกับมาร์คและปุยฝ้าย

    “ให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหมแก”

    “ไม่ต้องหรอก ไฟก็สว่างซะขนาดนั้น ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย แกยังบอกเลยนี่ว่าเพื่อนกันทั้งนั้น”

    ฉันพูดจบก็เดินเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำสปอร์ตที่มีเว้าหลังเป็นตาข่ายสุดเซ็กซี่ แต่ก็ไม่ได้โป๊อะไร พอถึงสระก็เปิดเพลงจากมือถือวางไว้ที่เบาะริมสระว่ายน้ำ ก่อนจะใส่หมวกว่ายน้ำกันน้ำเข้าผมและสวมแว่นตาว่ายน้ำทับ

    บุ้ม!!!!

    นี่แหละการว่ายน้ำของฉัน ต้องว่ายอย่างจริงจังเอาเป็นเอาตายให้เหนื่อย ไม่ใช่ว่ายลอยตุบป่องๆ แล้วก็ถ่ายรูปเล่นสวยๆ แบบเพื่อนๆ ฉันเลยไม่อยากไปกวนใจพวกมันนักในช่วงบ่ายที่ว่ายน้ำเล่นกันอวดหุ่นรูปร่างสวย ฉันว่ายน้ำกลับไปกลับมาแบบไม่พักเลยสักครั้งเกือบสิบรอบ

    ฉันเคยเรียนว่ายน้ำตอนเด็กและยังเป็นนักกีฬาว่ายน้ำโรงเรียนสมัยประถมเหรียญทองเต็มตู้ แต่ก็เลิกเรียนว่ายน้ำไปเพราะมัธยมไม่มีสระว่ายน้ำ และที่บ้านก็ต้องนำเงินไปลงทุนเปิดร้านอาหารด้วยจึงทำให้ความฝันที่อยากเป็นนักกีฬาว่ายน้ำนั้นดับลง หลังจากว่ายน้ำจนครบเป้าที่วางไว้แล้วฉันก็ปีนขอบสระขึ้นมานั่งเหนื่อยหอบที่ริมสระ หยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดหน้าและดึงหมวกกันน้ำออก ปล่อยผมยาวที่ผูกเป็นหางม้าลงและใช้หวีที่เตรียมมาหวีจัดทรงและรวบมัดจัดใหม่อีกครั้ง

    เสียงหายใจหอบถี่เกิดจากความเหนื่อยล้าจากการว่ายน้ำโดยไม่พัก ยอมรับว่าค่อนข้างดังพอสมควรในขณะที่มือก็ยกขึ้นสูงรวบมัดผมไปด้วย อาจจะเพราะว่าดึกด้วยแหละมั้ง เลยทำให้เสียงลมหายใจของฉันดังเป็นพิเศษ...


     

    หมับ!!

    ใครบางคนจับข้อแขนฉันจนฉันต้องหันหน้าไปมองอย่างตกใจ

    ผู้ชายสีหน้าเรียบเฉยคนนั้น โซ่


     

     

     

     

    error loaded



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×