ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Love not bad] ฝากร้ายคืนรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : เอารัก (เก่า) ไปลอยทะเล [1]

    • อัปเดตล่าสุด 7 ก.พ. 63


    “ข้าวปุ้นไม่เล่นน้ำเหรอ?”

    “ไม่จ้า พวกแกเล่นเลย เดี๋ยวเราถ่ายรูปให้”


     

    ฉันสวมใส่กางเกงยีนส์ขาสั้น และเสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่นั่งขัดสมาธิที่พื้นริมสระเพื่อถ่ายรูปให้เพื่อนๆ และบรรดาแฟนหนุ่มของพวกมัน มีที่ฉันรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง บางคนก็เคยเห็นแต่ในเฟสบุ๊ก ไอจี เพิ่งจะมาเจอตัวจริงก็วันนี้แหละ


     

    “ถ่ายตรงนี้ให้ด้วยแก”


     

    “ได้ๆ”


     

    ฉันวิ่งไปมารอบสระเพื่อเป็นตากล้องจำเป็นให้กับเพื่อนๆ ก็ดีเหมือนกันมีอะไรทำ ไม่ต้องมานั่งคิดถึงใครบางคนที่ทำให้ช้ำหัวใจ ดีกว่ามานั่งกลุ้มใจเรื่องแฟนเก่า กลุ้มไปก็เท่านั้น


     

    ฉันถูกบอกเลิกทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด นั่นจึงเป็นสาเหตุทำให้ฉันตัดสินใจมาเที่ยวทะเลกับเพื่อนๆ กะทันหัน ทั้งๆ ที่ปกติฉันจะตัวติดพี่เมสมาก และพี่เมสก็ไม่เคยปล่อยให้ไปเที่ยวไหนกับเพื่อนๆ เท่าไร


     

    ตลอดระยะเวลาที่พี่เมสอยู่กับฉันพี่เมสก็ทำท่าทีเหมือนจะหวงและเป็นห่วง ดูแลฉันอย่างดีตลอด แต่พอลับหลังที่ละจากฉันไปเขากลับนอกใจฉันไปมีคนอื่น พูดแล้วก็เจ็บใจชะมัด ผู้ชายเฮงซวย!


     

    เอาจริงๆ ฉันยังไม่รู้เลยว่าผู้หญิงที่ชื่อซีคนนั้นคือใคร ฉันพยายามถามพี่เมสจนทะเลาะกันรุนแรงหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้คำตอบ พอจะหันหน้าขอความช่วยเหลือไปถามเพื่อนพี่เมสก็ไม่กล้าอีก จู่ๆ ฉันก็กลายเป็นคนหน้าบางขึ้นมาเสียดื้อๆ พอส่องดูความเคลื่อนไหวพี่เมสในเฟสบุ๊กก็ไม่มีความผิดปกติใดๆ ด้วย


     

    ฉันไม่ได้บอกใครในกลุ่มเพื่อนสักคนว่าเลิกกับพี่เมสด้วยเหตุผลอะไร เพราะคิดว่าบอกไปพวกเพื่อนๆ ก็ช่วยไม่ได้อยู่ดี สู้เก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัวน่าจะดีกว่า รอให้ใจฉันเข้มแข็งกว่านี้ค่อยบอกกลุ่มเพื่อนๆ ฉันว่าพวกมันคงเข้าใจฉันอยู่หรอกนะ อีกอย่างพวกเพื่อนๆ ในกลุ่มก็ไม่ได้คะยั้นคะยอหรือเซ้าซี้ถามให้อึดอัดใจ แถมยังเบี่ยงประเด็นไม่พูดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ พวกมันรู้แต่ว่าฉันเพิ่งเลิกกับแฟนที่คบกันมาสามปีอย่างพี่เมสแบบไม่มีวี่แววว่าจะเลิกกันมาก่อนแค่นั้นแหละ


     

    ถึงพวกเพื่อนๆ จะพากันเดาว่าฉันเป็นฝ่ายวีนเหวี่ยงพี่เมสจนเป็นประเด็นทำให้เลิกลากัน แต่ฉันก็ไม่ได้บอกความจริงไปว่าเหตุผลหลักๆ ก็คือ พี่เมสหมดรักฉันแล้ว และเขาเองก็น่าจะมีคนอื่นในใจซึ่งฉันก็จับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน


     

    เขาเป็นแฟนคนแรกของฉันด้วยสิ นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ฉันเจ็บปวดใจ


     

    เฮ้อ! แค่สมองคิดถึงเรื่องนี้ไปเพียงไม่กี่วินาทีใจมันก็เจ็บช้ำ กรีดลึกเป็นบาดแผลที่รักษายังไงก็ไม่หายภายในอาทิตย์สองอาทิตย์นี้แน่ๆ จนวินาทีนี้น้ำตาฉันก็เอ่อล้นขึ้นมาคลอเบ้าเสียดื้อๆ


     

    หลังจากที่ถ่ายรูปให้เพื่อนๆ จนเหนื่อยล้าเพราะเพลียแดดยามบ่ายแก่ๆ แล้ว ฉันตัดสินใจแยกตัวไปเดินเล่นคนเดียวอย่างล่องลอยที่ริมทะเล ตั้งใจจะนั่งพักริมชายหาดเลียนแบบนางเอก MV สักหน่อย นอนฟังเพลง เหยียดขายาวๆ ให้ลมทะเลพัดใส่หน้าแรงๆ เผื่อว่าจะพัดพาความเศร้าของฉันให้ปลิวหายไปบ้าง คิดอะไรเรื่อยเปื่อยให้น้ำตามันไหลออกมาเรื่อยๆ จนหยุดไหลไปเองก็น่าจะดีไม่น้อย พอคิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจเดินตรงไปยังบันไดซึ่งลงไปนิดหน่อยก็ถึงหาดทรายสีขาว


     

    “หากฉันใช้สมองจดจำเรื่องราว ก็ยังพอจะลืมเธอได้

    แต่ฉันใช้หัวใจ เก็บความทรงจำเรื่องของเรา”

    เสียงเพลง 'ความทรงจำ' ลอยมาเข้าหูฉัน เล่นเอาน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาอีกหน


     

    เสียงเพลงเก่าที่ไม่ได้ฟังมานานดังมาจากมือถือของใครสักคนในกลุ่มพวกผู้ชายที่ติดสอยห้อยตามมากับพวกเพื่อนๆ ในกลุ่มมหา’ลัยดังขึ้น ซึ่งฉันไม่แน่ใจว่าเป็นเพื่อนของเพื่อน แฟนของเพื่อน หรือเพื่อนของแฟนเพื่อนกันแน่ เพราะเล่นมากันแบบอิลุงตุงนังยำรวมมิตรมาก ทริปนี้มากันมากกว่า 20 คนซึ่งนับคนที่ฉันรู้จักได้เลยล่ะ


     

    พวกเขามาเที่ยวด้วยกันบ่อยตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย แต่เป็นฉันเองที่ไม่ได้ไปเที่ยวหรือไปไหนกับเพื่อนในกลุ่มเลย จึงไม่ค่อยรู้จักใครเป็นการส่วนตัว ยกเว้นมาร์คแฟนของปุยฝ้ายที่นั่งคุยและสูบบุหรี่กับเพื่อนๆ ของเขาที่มองคร่าวๆ ด้วยสายตาก็ประมาณ 5-6 คน อยู่ตรงบริเวณเบาะนั่งริมทะเล


     

    “ปุ้นปะ?” มาร์คทักฉันขึ้น เมื่อเห็นว่าฉันยืนนิ่งไม่ขยับเพราะเงี่ยหูฟังเพลงที่พวกเขาเปิดอยู่หลังพุ่มไม้ ไม่ทันที่ฉันจะตอบ เขาก็ลุกขึ้นมาดูให้เห็นฉันชัดขึ้น


     

    “อื้ม”


     

    ฉันตอบแค่นั้นแล้วทำท่าจะหมุนตัวไปลงบันไดที่มุมอื่น ตั้งใจว่าจะไม่นั่งเล่นริมทะเลตรงนี้แล้ว ดูไม่มีความส่วนตัวเอาเสียเลย หันไปเดินเล่นคนเดียวและฟังเพลงจากมือถือของตัวเองไปเรื่อยๆ เดินริมชายหาดน่าจะสะดวกใจกว่า


     

    “ไม่เล่นน้ำกับฝ้ายเหรอ”


     

    ฉันหันหน้าไปยิ้มให้และส่ายหัวไปมาเพื่อปฏิเสธ ก่อนที่จะยัดหูฟังของตัวเองใส่หูทั้งสองข้าง หวังว่าเขาคงรู้นะว่าฉันขี้เกียจพูดด้วย ฉันไม่ได้ไม่ชอบมาร์คแต่เข้าใจปะเพลงมันโดนใจอะ น้ำตาก็จะไหล ถึงจะพูดออกไปเสียงก็สั่นเครืออยู่ดี พอน้ำตาไหลก็ต้องมานั่งตอบคำถามมาร์คอีก พอมาร์คเห็นร้องไห้ก็ต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกกับปุยฝ้าย ทีนี้แหละไม่ต้องได้ไปไหนกันพอดี เลยเลือกที่จะไม่ตอบและหันหลังให้คือทางออกที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้


     

    ฉันเห็นสายตาของมาร์คมองมาที่ฉันดูงงๆ กับท่าทางของฉัน ซึ่งปกติฉันจะเป็นคนพูดมากที่สุดในกลุ่ม แถมยังพูดไม่หยุดอีกด้วย เวลาเจอมาร์คที่มหา'ลัยก็ต้องแซวและคุยเล่นด้วยตลอด แต่มาวันนี้ฉันเลือกที่จะเงียบใส่เขา


     

    “เป็นไรวะ” ฉันได้ยินเสียงมาร์คสบถเหมือนจะถามฉันแต่ก็เหมือนพูดคนเดียว หรืออาจจะพูดกับเพื่อนก็ได้มั้ง ฉันไม่ได้สนใจมาร์คขนาดนั้น


     

    “จะไปรู้เหรอ พูดไม่เก่งมั้ง” เสียงใครสักคนพูดขึ้น


     

    “ไม่นะ ปกติปุ้นพูดจนกูรำคาญอะ”


     

    ถึงฉันจะใส่หูฟังและเดินออกมาแล้ว แต่พวกผู้ชายก็คุยกันเสียงดังแข่งกับเสียงเพลงมือถือที่เปิด และมาร์คเองก็คิดว่าฉันใส่หูฟังมั้งเลยพูดออกมาซะดังแบบนั้น ฉันแทบอยากหันหน้ากลับไปตอกกลับว่า ‘ฉันได้ยินนายพูดนะมาร์ค เพราะฉันยังไม่ได้เปิดเพลง’ แต่ฉันเลือกที่จะเดินเลี่ยงออกมาและหามุมกระโดดลงกำแพงที่สร้างขึ้นมาสูงจากผืนทราย ห่างจากพวกผู้ชายที่นั่งริมชายหาดประมาณ 30 เมตรได้


     

    ฉันเดินเลียบไปตามชายหาดเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าบรรยากาศมันชวนหรือเพลงมันโดนน้ำตาถึงได้ไหลพรั่งพรูออกมาเหมือนก๊อกน้ำแตกท่อประปาระเบิดแบบนี้

    ยิ่งตอนเพลง ‘พันหมื่นเหตุผล’ ดังขึ้นก็ยิ่งทำให้ร้องไห้หนักเข้าไปใหญ่


     

    “พี่ว่าเราจบกันเถอะข้าวปุ้น”

    “ทำไมคะพี่เมส ข้าวปุ้นผิดอะไร ทำไมต้องบอกเลิกปุ้นแบบนี้”

    “พี่ว่าเราเข้ากันไม่ได้อะ”

    “เข้ากันไม่ได้หรือว่าพี่มีใคร ปุ้นรู้นะว่าพี่แชทกับผู้หญิงคนหนึ่งทุกคืน ทำไมปุ้นจะไม่รู้ ปุ้นแค่ไม่อยากจะพูดหรือยกประเด็นให้เราต้องทะเลาะกันเฉยๆ”

    “มันไม่เกี่ยวว่าพี่มีใครหรอก เราสองคนเข้ากันไม่ได้ต่างหาก พี่อยู่กับปุ้นพี่รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักวัน ปุ้นไม่ชอบออกกำลังกาย พี่ชอบออกกำลังกาย ปุ้นไปนั่งเฝ้าพี่ที่ยิมที่ฟิสเนตพี่ก็รู้สึกอึดอัด ปุ้นชอบเพลงช้า พี่มันพวกสายแด๊นซ์ชอบเพลงเร็ว ปุ้นไม่ชอบเที่ยวแต่พี่ชอบเที่ยว ปุ้นไม่ดื่มแต่พี่ดื่ม ปุ้นชอบกินขนมหวานแต่พี่ไม่ชอบกินขนมหวาน ปุ้นให้พี่ไปรับไปส่งที่คณะจนพี่แทบไม่ได้ไปไหนกับเพื่อนๆ เลย ทุกครั้งที่ทะเลาะกันปุ้นก็เอาแต่ใจขึ้นเสียงและพูดกูมึงตลอด ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งจนน่ารำคาญ พี่เปลี่ยนตัวเองให้ปุ้นจนเหนื่อยอะ พี่ว่าเราเลิกกันนั่นแหละดีแล้ว อย่าฝืนคบกันต่อไปเลย”

    ฉันมองหน้าพี่เมสอย่างอึ้งๆ กับคำพูดที่พรั่งพรูออกมา เหมือนเขาได้ระบายสิ่งที่ผ่านมาและติดค้างในใจทั้งหมดให้ฉันฟังจนฉันทำอะไรไม่ถูก

    “ที่ผ่านมาพี่เมสอึดอัดขนาดนั้นเลยเหรอคะ สามปีที่ผ่านมาไม่มีความสุขกับวันดีๆ ของเราเลยเหรอ”

    “พี่ยอมรับว่าช่วงแรกๆ พี่มีความสุขมากที่ได้คุย ได้ใช้ชีวิตกับปุ้น แต่พอเวลาผ่านไปตอนนี้พี่รู้สึกว่า มันไม่ใช่อะ หยุดความสัมพันธ์ของเราไว้แค่นี้เถอะ ก่อนที่เรา 2 คนจะมองหน้ากันไม่ติด อย่างน้อยก็ให้เหลือความทรงจำดีๆ ให้กันก็ยังดีนะ”


     

    พี่เมสทำตัวห่างเหินฉันกว่า 2 เดือนแล้ว และความสัมพันธ์ก็จบลงไปแล้ว


     

    ฉันผิดเหรอวะที่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ฉันคงโง่เองสินะที่คิดว่าเรื่องของเราคือความรักที่บริสุทธิ์ไม่มีเรื่องเพศสัมพันธ์มาเกี่ยวข้อง ไม่มีเรื่องอบายมุข ไม่เที่ยว ไม่ดื่ม ทำการบ้าน ทำรายงาน ตั้งใจเรียน และช่วยกันขายของออนไลน์อย่างตุ้มหูที่ฉันขายออนไลน์ และพี่เมสจะช่วยใส่ซองและแพ็คของให้ เพื่อสร้างอนาคตร่วมกัน


     

    บัญชีที่เปิดร่วมกันของเราสองคนเพื่อใช้สำหรับจัดงานแต่งงานหลังเรียนจบถูกปิดเมื่อวานนี้ก่อนมาเที่ยวเพียง 1 วันและพี่เมสก็ยกเงินในบัญชีให้ฉันทั้งหมด


     

    ฉันรู้ว่าบ้านเขารวย ขับเบนซ์คันหรูและลดตัวมาคบกับเด็กต่างจังหวัดที่พ่อเสียชีวิตและแม่ก็แต่งงานใหม่กับชาวต่างชาติอย่างฉัน แต่ฉันจะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อเขาเลือกแล้วว่าจะไป ฉันก็ต้องปล่อยเขาไปให้มีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น ดีกว่าคบกับฉันที่ไม่มีอะไรเลย

    แม้แต่คอนโดที่ฉันอยู่ในตอนนี้ก็เช่าอยู่กับพี่เมสตั้งสามปีมาแล้ว รังรักที่เคยอยู่ด้วยกันในตอนนี้ถูกพังลงไปต่อหน้าต่อตา


     

    ฉันเลือกที่จะเช่าคอนโดต่อเพราะไม่มีที่ไป พี่เมสยังใจดียกค่ามัดจำคอนโดให้อีกฟรีๆ แต่ฉันคงไม่เอาหรอก ถ้าเรียนจบคงเอาเงินค่ามัดจำไปคืน และถึงตอนนั้นฉันคงทำใจได้บ้างแล้วล่ะ


     

    ขอบคุณมากสำหรับความใจดีนี้ที่มอบให้ฉันเป็นของขวัญชิ้นสุดท้าย

    “เก็บเงินพวกนี้ไปเหอะข้าวปุ้น ถือว่าเป็นคำขอโทษจากพี่ที่ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับข้าวปุ้นไม่ได้ก็แล้วกันนะครับ” กอดสุดท้ายที่ให้ฉัน เล่นเอาฉันตัวชาแทบยืนไม่ไหว


     

    ในวันที่ตัดสินใจไปเที่ยวกับเพื่อน

    ไลน์เด้งเตือนในกลุ่มเพื่อนๆ ถึงการไปเที่ยวทะเลซึ่งมันเด้งไม่หยุด ตอนนั้นฉันไม่ได้สนใจและยังเอื้อมมือไปปิดแจ้งเตือนด้วยซ้ำเพราะไม่คิดจะไปเที่ยวอยู่แล้ว แต่เมื่อมีข้อความจากปุยฝ้ายพร้อมกับบอกให้ฉันเข้าไปดูในเฟสบุ๊กของพี่เมส


     

    สถานะ “อยู่ใกล้แค่ไหน ยิ่งเจ็บแค่นั้น โสดไปเลยสิครับรออะไร”


     

    ข้อความนี้ถูกโพสลงในเฟสบุค คนกดไลค์ร้อยกว่าคน ทั้งเพื่อนๆ และสาวๆ ต่างพากันมาคอมเม้นต์กันยกใหญ่เหมือนเป็นการฉลองที่พี่เมสกลับมาโสดอีกครั้งอย่างสนุกสนาน


     

    คำพูดและประโยคของพี่เมสทำให้มีแต่คนมาปลอบใจ เขาเป็นคนบอกเลิกฉันแท้ๆ แต่กลับตั้งสถานะแบบนั้นเหมือนฉันทำเขาเจ็บปวดเนี่ยนะ ใจร้ายชะมัด ปกติเคยเห็นแต่ผู้หญิงทำอะไรงี่เง่าแบบนี้ แต่นี่อะไรกัน ผู้ชายเริ่มเกมส์ก่อนเหรอ?


     

    ข้อความที่มีความหมายสองแง่สองง่ามอยู่ที่ใครจะตีความไปแบบไหน ถ้าเป็นแบบนี้จะโพสต์ให้คนเข้าใจผิดทำไมไม่ทราบ ฉันส่งข้อความไปหาพี่เมสว่าทำไมต้องตั้งสถานะแบบนั้น เขาอ่านข้อความฉันนะ แต่ไม่ตอบอะไรกลับมาเลยแม้แต่สติ๊กเกอร์ก็ไม่มีตอบกลับมาด้วยเช่นกัน


     

    เพราะเหตุนี้ฉันจึงตัดสินใจกดเข้าไปส่งข้อความหาเพื่อนๆ ว่าจะไปเที่ยวด้วยทันที ฉันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะหายใจไม่ออก มันอึดอัด ติดขัดไปหมด


     

    โลกที่เคยสดใสกลับดูมืดแปดด้าน แต่ก็เลือกที่จะเงียบและไม่เล่าหรือปรึกษาใคร เพราะคิดว่าฉันน่าจะจัดการกับตัวเองได้ จึงเลือกที่จะพาตัวเองออกจากจุดเดิมๆ ให้ตัวเองกลับมาสดใสและรู้สึกดีกว่านี้แล้วค่อยกลับไปง้อพี่เมสใหม่ในวันที่ฉันไม่เหวี่ยง ไม่วีน และมีอารมณ์ขี้หงุดหงิด แบบที่พี่เมสเคยกล่าวหา


     

    หากฉันไม่พาตัวเองออกไปไหนสักที่ฉันอาจจะต้องตายเป็นโรคซึมเศร้าไม่ก็น้ำตาหมดตัวอยู่ในห้องนี้ก็ได้


     

    เมื่อพี่เมสตั้งสถานะว่าโสดผ่านไอจีและเฟสบุคขนาดนั้น จึงไม่แปลกที่ข่าวของฉันจะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วและถึงหูพวกอยากรู้อยากเห็น จนข้อความทั้งเฟสบุ๊ก ไลน์ ไอจี ส่งมาให้ฉันพรึ่บจนอ่านและตอบไม่ทัน

    บางคนก็เป็นห่วงฉันจริงๆ แต่บางคนก็แค่อยากเข้ามาถามไถ่เพราะอยากยุ่งเรื่องชาวบ้านจากนั้นก็เอาไปพูดกันต่อโดยไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นยังไง ซึ่งฉันก็จะเลี่ยงตอบคำถาม และโฟกัสเฉพาะเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกันจริงๆ เท่านั้น


     

    ระหว่างเดินเล่นริมชายหาด...

    ฉันนั่งทรุดลงกับพื้นร้องไห้ออกมาอย่างหนักเมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ และเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอมาไม่กี่วันก่อนหลังจากอ่านข้อความบ้าๆ นั่น ไม่รู้ว่าฉันร้องไห้เสียงดังหรือเปล่า ฉันไม่ได้สนใจ เพราะเพลงที่ฟังอยู่มันโคตรกินใจเลย


     

    “เธออาจมีร้อยเหตุผลที่เธอจะไป แต่ฉันมีเพียงเหตุผลเดียวจะให้เธออยู่ ฟังเสียงหัวใจของฉัน แล้วเธออาจจะรู้ เหตุผลเดียวมีอยู่ก็คือรักเธอ”


     

    แปลกจริง ทำไมคนอกหักมักชอบฟังเพลงเศร้าที่บีบหัวใจตัวเอง


     

    ตอนจะรักกันเหตุผลไม่มีเลยสักนิด ทำไมตอนเลิกกันเหตุผลที่คิดว่ารักก็ยังกลายเป็นเหตุผลที่เลิกกันได้วะ โลกมันเบี้ยวผิดเพี้ยนเกินไปแล้วเว้ย!


     

    พอร้องไห้จนแทบไม่มีน้ำตาจะร้องแล้วฉันจึงเดินตาบวมๆ เข้าไปในบ้านพัก ซึ่งตอนนี้ทุกคนเล่นน้ำอยู่ที่สระ ทำให้ในบ้านดูโล่งๆ ไม่มีใคร ฉันเดินเหม่อลอยและชนเข้ากับใครบางคนเข้าจนตัวฉันเซไปชนฝาผนัง


     

    ปึ๊ก!

    “ขอโทษค่ะ”


     

    ฉันเงยหน้ามองผู้ชายที่ฉันเดินชนตรงทางจะขึ้นบันได ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเดินชนเขาเพราะเหม่อลอย หรือเขาตั้งใจเดินมาชนกันแน่ สติไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่


     

    เขาชื่ออะไรยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่ว่าเขาน่าจะเป็นเพื่อนของมาร์คอีกทีแหละมั้ง เพราะก่อนหน้านี้ฉันเห็นเขานั่งฟังเพลงกับมาร์คที่ริมทะเลตอนฉันเดินเล่น


     

    ผู้ชายคนนั้นมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ยินดียินร้ายหรือสงสัยอะไรที่ฉันตาบวม หรือฉันอาจจะมโนและกังวลไปเอง


     

    เขาไม่พูดอะไรออกมาด้วยซ้ำ มองหน้าฉันแบบปาดๆ แล้วเดินลงบันไดต่อ มือล้วงกางเกงขาสั้นสีดำทำตัวนิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ จะว่าไปเขาก็หล่อและเท่มาก แต่ทำไมดูแข็งๆ ทื่อๆ เย็นชาแปลกๆ


     

    “ไอ้โซ่ ได้กุญแจรถยังวะ ป่านนี้กุ้ง หอย ปูปลาหมดตลาดแล้วไอ้ห่า ช้าชิบหาย”


     

    เสียงใครคนหนึ่งตะโกนพร้อมกับเดินเข้ามาในบ้านโวยวายขึ้น ผู้ชายที่เดินสวนทางฉันลงบันไดไปตอบกลับด้วยเสียงดุดันกว่าจนฉันเองยังสะดุ้ง


     

    “หมดก็ไม่ต้องกิน!”


     

    OMG! คนแบบนี้ก็มีในโลกแฮะ ดีแค่ไหนแล้วที่ชีวิตฉันไม่มีผู้ชายแบบนี้เข้ามาในชีวิต


     

    เห็นแล้วก็แอบนึกถึงพี่เมสที่ขี้เล่น เวลาพูดก็จะเสียงนุ่มๆ ครับ คะ ขา น่ารักน่าเอ็นดู โชคดีมากที่ผู้ชายแบบนายโซ่อะไรนั่น ไม่มายุ่งเกี่ยวกับฉัน น่ากลัวชะมัด!


     

    ฉันขึ้นมาอาบน้ำล้างหน้าและแต่งตัวเป็นชุดปาร์ตี้ตอนเย็นที่เพื่อนๆ นัดกันว่าใส่ชุดสีฟ้าขาว กระโปรงก็ได้ กางเกงก็เท่ ซึ่งฉันก็เตรียมมาแล้วล่ะ เสื้อสายเดี่ยวสีฟ้าขาวเข้ากับทะเลอยากบอกว่าฉันซื้อเสื้อสายเดี่ยวตัวนี้มายังไม่เคยใส่เลยเพราะเกรงใจพี่เมส กลัวพี่เมสบอกโป๊


     

    แต่ไหนๆ ก็โสดละ ทำให้เต็มที่ไปเลย เพื่อนๆ ก็ใส่แบบนี้กันทั้งนั้น กลัวอะไรล่ะข้าวปุ้น กลัวไม่สวยน่ะสิ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×