ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Love not bad] ฝากร้ายคืนรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 63


    ความรักเมื่อเข้ามาแล้วมักจะทำให้หัวใจเราปั่นป่วนคล้ายๆ ลูกโป่งหนึ่งใบ

    บางทีก็ถูกเป่าให้พองโต บางทีก็ถูกปล่อยลมออกจนมันห่อเหี่ยว

    ถ้าเป่าลูกโป่งมากไป สุดท้ายมันก็แตก กลายเป็นความทรงจำที่ไม่อาจย้อนคืนกลับมา

     

    เมื่อรักของเรามันอิ่มตัว...เหตุผลที่เคยรัก ก็กลับกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเลิกกัน

    ต่อให้ทำดีแค่ไหน ยื้อเวลาต่อไปมากเท่าไร ในเมื่ออีกคนหมดใจ ก็ให้เรื่องของเรามันจบลงตรงนี้เสียดีกว่า

     

    เหมือนกับเรื่องของฉัน “ข้าวปุ้น”

    คนที่ถูกทิ้ง...ด้วยเหตุผลที่เคยรัก และกลายเป็นคนรักด้วยเหตุผลที่เคยโดนทิ้ง

      

     


     

     

     

     

    error loaded

    #ข้าวปุ้นเอสเปรสโซ่


     

    2 เดือนก่อนที่ฉันจะเลิกกับพี่เมส แฟนหนุ่มรุ่นพี่ที่คณะ ซึ่งคบหาดูใจกันนานถึง 3 ปีเต็ม...

     

    “พี่เมสกลับมาถึงกี่โมงคะ ทำไมไม่ปลุกข้าวปุ้นเลย”

     

    ฉันลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียงพร้อมกับขยี้ตาอย่างงัวเงีย เมื่อเจอร่างสูงที่คุ้นตากำลังนั่งเล่นและยิ้มที่มุมปากเมื่อจ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่ที่โซฟา เขามีท่าทางนิ่งเฉยหรือมีท่าทางที่เปลี่ยนไปเมื่อฉันทักขึ้น

     

    “กลับมาถึงตีหนึ่งนิดๆ พี่เห็นว่าดึกแล้ว เลยไม่อยากปลุกปุ้นน่ะ” พี่เมสตอบคำถามฉันกลับ

     

    “คิดถึงจังเลย ไม่เจอกันตั้งสองอาทิตย์แน่ะ นอนคนเดียวเหง๊าเหงา” ฉันเดินไปอ้อนพี่เมสและกอดเข้าที่เอวสอบเนื้อแน่นที่เมื่อก่อนเป็นกล้ามหนาแต่ตอนนี้เริ่มลงพุงหยุ่น สงสัยฉันจะพากินขนมหวานเยอะไปแน่ๆ หุ่นพี่เมสถึงได้เริ่มแปรสภาพกลายเป็นหุ่นหมีแบบนี้

     

    “พี่ยังไม่ได้อาบน้ำเลย เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ” พี่เมสแกะมือฉันออกลุกขึ้นแทบจะทันทีที่ฉันลุกจากเตียงเดินไปสวมกอด เขาหยิบโทรศัพท์ไปด้วยและทำสีหน้าเรียบตึง

     

    จะบอกว่าแปลกดีไหม? แต่ก็ช่างเถอะคงไม่มีอะไรหรอกมั้ง!

     

    สองอาทิตย์ก่อน พี่เมสไปแข่งงานออกแบบกราฟฟิกที่ประเทศญี่ปุ่นต่อด้วยฮ่องกง เนื่องจากพี่เมสต้องเตรียมตัวแข่งขันกราฟฟิกกับกลุ่มเพื่อน จึงทำให้เราสองคนไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกัน อีกทั้งเวลาคุยและปรึกษากันและกันนั้นก็น้อยลง

     

    ฉันไม่งอแงเหมือนเด็ก พร้อมทั้งทำความเข้าใจทุกอย่าง ช่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันนั้น ตอนแรกฉันก็ไม่ค่อยชินเท่าไรนักเพราะปกติแล้วนั้นพี่เมสจะไปรับไปส่งฉันที่มหาวิทยาลัย หรือว่างจากการเรียนเราสองคนก็มีกิจกรรมทำร่วมกันอยู่ตลอดเวลา พอพี่เมสไม่ว่างฉันจึงไปขลุกตัวอยู่กับเพื่อนฝูงในกลุ่มแทน ทำให้เพื่อนต่างก็ดีใจและประหลาดใจกันใหญ่ที่ฉันปลีกตัวออกห่างจากพี่เมสได้

     

    “เกือบตัดข้าวปุ้นออกจากกลุ่มของเราแล้วไหมล่ะ หายหน้าหายตาไปเลย ชวนไปไหนด้วยกันก็ไม่ไป นี่ถ้าแกไม่ติดเรียนเซคเดียวกันกับเราหรือพี่เมสของแกติดธุระ พวกเราในกลุ่มก็คงไม่เห็นแม้แต่เงาหัวแกเลย” ยัยนวลแซวฉัน

     

    ยัยนี่ปากคอเราะร้ายมากแต่ก็แค่ปากร้าย ข้างในไม่มีอะไรเลย ติดจะติ๊งต๊องเสียด้วยซ้ำ

     

    “ก็เว่อร์ไป!” ฉันพูดขึ้นเสียงสูง “บอกเลยนะเพื่อนๆ ถึงตัดฉันออกกลุ่ม ฉันก็จะหน้าด้านอยู่นะคะ”

     

    “ให้มันอยู่เหอะ ไม่งั้นไม่มีคนให้ลอกรายงาน” ปุยฝ้ายจีบปากจีบคอพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงเหน็บแบบติดตลกนิดๆ

     

    เวลาคุยกับเพื่อนๆ ในกลุ่ม ก็จะรู้สึกถึงความครึกครื้นกับบทสนทนาที่มีแต่เสียงหัวเราะของพวกเรา ไม่ว่าจะยามพักกลางวัน หรือหลังเลิกเรียนที่มักจะไปนั่งกินชาบู ปิ้งย่างกันเป็นกลุ่มๆ แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องไร้สาระ มีบ้างที่พวกเรารวมตัวกันนั่งทำรายงาน พูดง่ายๆ ฉันกับเพื่อนๆ ก็ใช้ชีวิตเหมือนนักศึกษาทั่วไปนี่แหละ

     

    ขณะเที่ยวกับเพื่อนๆ หรือไปไหนต่อไหนนอกห้อง ฉันก็จะพกกล่องเล็กติดกระเป๋าไปด้วยเกือบทุกครั้ง มันเป็นกล่องออกแบบและทำตุ้มหูที่ฉันทำเป็นงานเสริมหารายได้ระหว่างเรียน คุยเล่นกับเพื่อนไปก็นั่งทำตุ้มหูขายไป สนุกและใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อารมณ์เหมือนแม่บ้านชอบถักโครเชต์ บางทีเพื่อนๆ ก็ใจดีช่วยทำมาหากินโพสต์รีวิวตุ้มหู และช่วยอุดหนุนกันในกลุ่มไปมา

     

    ในกลุ่มเพื่อนฉันค่อนข้างหัวการค้า อย่างนวลก็มีแบรนด์เสื้อยืดทำกับพี่ชาย หรือแม้แต่ปุยฝ้ายนักท่องราตรีก็มีแบรนด์กระเป๋าหนังเป็นของตัวเองเช่นกัน ยัยฝ้ายน่ะโชคดีที่บ้านมีเงินตั้งแต่ต้นตระกูลทำกงสีธุรกิจค้าหนังแท้หนังเทียม รวมถึงผ้าเช็ดตัว ผ้าขนหนู แค่ปุยฝ้ายออกแบบแล้วส่งให้โรงงานที่บ้านตัดเย็บโพสต์ขายออนไลน์ก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำครึ่งต่อครึ้งแล้ว

     

    เห็นพวกเราหัวการค้าแบบนี้ ไม่ได้เรียนการตลาด บัญชี หรือว่าคณะบริหารธุรกิจ แต่พวกเราเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ พี่เมสแฟนของฉันก็เช่นกัน ฉันกับพี่เมสเจอกันตอนรับน้องคณะ ฉันนี่แหละเข้าหาพี่เมส

     

    หง้อวว!! เป็นผู้หญิงหน้าด้านไปจีบผู้ชายก่อนเพราะเห็นว่าพี่เมสเพิ่งโสดและอกหักจากแฟนเก่า เพื่อนๆ ที่คณะรวมถึงรุ่นพี่ต่างร่ำลือกันว่าแฟนเก่าของพี่เมสสวยมาก หุ่นอย่างกับนางแบบ เรียนอยู่คนละมหาวิทยาลัย คบกันมาตั้งแต่มัธยม สาเหตุการเลิกกันนั้นน่าจะเพราะความห่างของระยะทางเลยทำให้เลิกกัน

     

    หากถามฉัน ฉันพูดได้เต็มปากว่าฉันไม่เคยเห็นหน้าแฟนเก่าพี่เมสมาก่อนและไม่คิดจะถามพี่เมสเกี่ยวกับเรื่องราวเก่าๆ ที่ผ่านมาด้วย เพราะเท่าที่เคยรู้มาพี่เมสเกริ่นแค่ว่าจบกันไม่ค่อยดีนักแค่นั้น ฉันจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ ให้เสียเวลา ไหนๆ เรื่องราวก็ผ่านไปแล้ว ฉันก็อยากจะให้มันผ่านเลยไป กลัวรื้อฟื้นมากๆ จะกระทบกระเทือนจิตใจพี่เมสรวมถึงแนเองก็อาจจะคิดมากและอารมณ์ดิ่งไปด้วย

     

    ไลน์

    ในขณะที่พี่เมสอาบน้ำอยู่นั้นเสียงไลน์ก็ดังขึ้น พี่เมสเผลอวางมือถือไว้หน้าโทรทัศน์ ทีแรกฉันก็ไม่ได้เอะใจนักหรอก แต่มันดังถี่มากจนฉันต้องหยิบมือถือพี่เมสขึ้นมาเปิดดู

     

    แม่เจ้า! เปิดมือถือพี่เมสไม่ได้ พี่เมสเปลี่ยนรหัสเข้ามือถือเหรอ? จริงด้วย! ลายนิ้วมือของฉันสแกนไม่ได้เหมือนเดิม รวมไปถึงเฟสไอดีความจำหน้าผู้ใช้งานก็ถูกลบเช่นกัน

    ในเมื่อไม่ให้เปิดหรือเล่นมือถือ ฉันอ่านข้อความที่เด้งไม่หยุดก็ได้ แม้จะข้อความไม่ครบก็เถอะ

    CL: เมสจ๋า ซีมีอะไรจะให้ดู [ส่งภาพ] ฉันเปิดเข้าไปดูไม่ได้ จึงไม่รู้ว่ารูปอะไร

    CL: อาบน้ำไวๆ สิ

    CL: คิดถึงจะแย่แล้ว

    CL: เสาร์นี้อย่าลืมนัดของเรานะ

    CL: ดูหนังกัน

    CL: เรื่องนี้ซีชอบมากเลย

    CL: ห้ามผิดนัด!

    CL: เดี๋ยวซีไปอาบน้ำบ้างดีกว่า

    ฉันยืนนิ่งเมื่อประตูห้องน้ำเปิดออก

     

    “มีอะไรหรือเปล่า” พี่เมสถามฉันที่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องน้ำจนผิดสังเกต หน้าฉันแสดงอาการออกมามากไปสินะ

    “เปล่าค่ะ ปุ้นจะเคาะห้องน้ำถามพี่เมสว่าหิวหรือเปล่า แต่ไม่แน่ใจว่าจะเคาะถามเลยดีไหม ปุ้นกำลังลังเลน่ะค่ะ” ฉันแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “จริงสิ! วันเสาร์นี้ว่างไหมคะ ไปดูหนังกัน”

     

    ฉันเป็นคนยังไงกันนะ บางทีก็ไม่ค่อยจะเข้าใจตัวเองเหมือกนัน ทำไมไม่ถามพี่เมสไปตรงๆ ว่าโทรศัพท์มีปัญหาอะไร หรือพี่เมสนำรหัสนิ้วมือฉันออกโดยไม่ตั้งใจหรือเปล่า ทำตัวเป็นนางเอกหงุมหงิมแต่แท้ที่จริงนิสัยนางร้ายนั่นล่ะ

     

    “เสาร์นี้เหรอ พี่มีนัดกับเพื่อนแล้วน่ะปุ้น เอาไว้วันหลังก็แล้วกันนะ”

     

    “เพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชายคะ”

     

    “ปุ้นเป็นอะไร! ทำไมช่วงนี้ถามรายละเอียดเยอะจัง มีอะไรหรือเปล่า” พี่เมสถามจนหัวคิ้วของเขาชนเข้าหากัน

     

    “ไม่มีอะไรคะ ก็แค่ถามดูเฉยๆ ปกติปุ้นก็ถามแบบนี้นี่คะ” ฉันเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ระเบียง จากนั้นก็เดินไปเข้าห้องน้ำต่อจากพี่เมสที่เดินออกมา ยืนร้องไห้ใต้ฝักบัวเป็นบ้าเป็นหลัง

     

    เบื่อตัวเองชะมัดที่ไม่กล้าหาญถามไปตรงๆ แต่เลือกที่จะเก็บเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาคิดมากแบบนี้จริงๆ

     

    ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาหลังจากพี่เมสกลับจากการแข่งขันกราฟฟิกที่ญี่ปุ่นและฮ่องกง ฉันก็เริ่มระแคะระคายอะไรหลายๆ อย่าง

     

    พี่เมสนอนดึก มือถือไม่เคยวางไว้ห่างจากตัว มีพฤติกรรมเล่นไลน์และโซเชียลตลอดเวลาแม้จะนั่งหรืออยู่กับฉันก็ตาม เขามักหัวเราะคิกคักหรืออมยิ้มเวลาตอบกลับข้อความ พอฉันมองจ้องหรือถามพี่เมสก็จะบึ้งตึงใส่ทั้งที่ก่อนหน้ายังยิ้มหัวเราะอยู่แท้ๆ พฤติกรรมพี่เมสเปลี่ยนไปมาก ชวนไปไหนด้วยกันเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ค่อยจะไป อ้างแต่ว่ามีนัดทำงานกลุ่มกับเพื่อน ติดงานทำโปรเจ็คต์จบ และเครียดกับการฝึกงาน

     

    ฉันเองก็ไม่ได้อยากทำตัวงี่เง่าเป็นคนที่ไม่เข้าใจคนอื่นหรอกนะ แต่พักหลังมานี้พี่เมสกลับไปนอนที่บ้านบ่อยมาก ทิ้งให้ฉันอยู่ห้องคอนโดคนเดียวเสมอ แม้แต่ตอนไปเรียนพี่เมสก็ทำหน้าที่เพียงมาส่งฉันที่รั้วมหาวิทยาลัยหรือที่คณะ แต่ตอนกลับคอนโดฉันต้องหาทางกลับเองทั้งที่เมื่อก่อนพี่เมสทำหน้าที่เป็นสารถีอยู่คอยรับคอยส่งฉันตลอด

     

    สองเดือนเต็มที่พี่เมสทำตัวห่างเหิน แม้กระทั่งล้มตัวลงนอนที่เตียง ฉันก็ได้แต่มองแผ่นหลังของพี่เมสตลอด เขาไม่แม้แต่จะหันมามองหน้ามหรือกอดฉันเหมือนก่อน

     

    ในที่สุดฉันก็ถูกบอกเลิก...ทั้งๆ ที่ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้มาตลอด ไม่รู้เลยว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสามปีเต็ม พี่เมสต้องทนกับพฤติกรรมของฉันมากน้อยขนาดไหน

     

    คนอย่างฉันผู้หญิงที่ดูเหมือนจะเรียบร้อยแต่กลับขี้เหวี่ยง ขี้วีน ไม่พอใจก็ตวาดโวยวายเสียงดังลั่น ทั้งเอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็ต้องได้ ขี้หึงไม่เข้าเรื่อง เวลาทะเลาะกันก็ขึ้นคำสรรพนามที่น่าเกลียด นรกขุมไหนก็ขุดมาด่าหมดทั้งขุม ฉันจำนนท์ต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่เมสพูดและอธิบายเหตุผลถึงสาเหตุว่าทำไมเขาถึงเบื่อหน่ายที่จะอยู่กับคนแบบฉัน

     

    ฉันดีไม่พอ หรือเธอที่เปลี่ยนไป

     

    มันจะไม่อะไรเลยถ้าฉันไม่ใช้ชีวิตเหมือนเดิม สถานที่เดิม ห้องเดิม แม้แต่อาหารการกินของฉันก็ยังเหมือนเดิม

     

    ห้องเช่าคอนโดหรูรังรักของเราสองคนตอนนี้กลายเป็นห้องที่รกรุงรัง ข้าวของวางไม่เป้นระเบียบเรียบร้อยจากที่เมื่อก่อน กลิ่นหอม สะอาดสะอ้าน นึกย้อนไปถึงวันวาน วันที่เราสองคนตัดสินใจเช่าคอนโดอยู่ด้วยกันหลังจากที่เปิดใจคบหาเป็นแฟนได้เพียงแค่สองเดือนเท่านั้น

     

    ฉันรู้ว่ามันไวมากสำหรับการย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันของคนที่เพิ่งเริ่มต้นใช้คำว่า ‘แฟน’ แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อเราสองคนรักกัน และพี่เมสก็รับฉันได้ทุกอย่างแม้ฉันจะกำพร้าพ่อ มาจากต่างจังหวัด ไม่มีพื้นฐานทางบ้านที่มีฐานะร่ำรวยมั่นคง ในขณะที่แม่ก็แต่งงานใหม่ใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ รับผิดชอบหน้าที่เพียงแค่ส่งเงินมาให้ใช้รายเดือน แต่ไม่พอใช้จ่าย มีเพียงพี่เมสที่อยู่ช่วยเหลือและเคียงข้างฉันมาตลอด

     

    สุดท้ายหลังจากสองเดือนที่ทะเลาะกันแทบทุกวันเขาก็ทิ้งฉันไว้อยู่ที่ตรงนี้ ที่เดิมของเรา

    เหนื่อยจัง...

    ใครพอจะมีปุ่มลบความเหนื่อยออกจากความรู้สึกของฉันบ้างนะ

     

     

     

    ไลน์กลุ่ม [นิเทศศิลป์จอมเพี้ยน]

    ปุยฝ้าย: เสาร์นี้เตรียมลุยทะเล

    ปุยฝ้าย: 7.00 น. ล้อหมุนๆ

    ข้าวปุ้น: ไปด้วยสิ

    All: เฮ้ย!!

    ดูเหมือนทุกคนในกลุ่มจะตกใจพร้อมกันที่ฉันส่งข้อความขอไปเที่ยวด้วย จนไลน์เด้งไม่หยุดแทบจะระเบิดอยู่แล้ว อะไรกันยัยเพื่อนพวกนี้นี่! ฉันแค่ขอไปเที่ยวด้วยนะ ไม่ได้จะไปทำลายวันเที่ยวของพวกแกสักหน่อย

     

     


     

     

     

     

    error loaded


     


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×