คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Cp.7
นั่นไง...........นั่นไง
แหงอยู่แล้วว่าค่าแทกซี่วันนี้ฉันเก็บย้อนหลังไอ้เบื้อกนั่นอ่วมแน่ๆ ความจริงจากจุดที่ฉันอยู่กับที่ภัตตาคารไม่ได้ไกลกันมากนัก ทว่าด้วยความที่ฉันเองไม่ค่อยได้เข้ามาติดต่อตามห้างร้านประเภทนี้สักเท่าไหร่ นอกเสียจากบาร์เบียร์ก็มีแค่ผับที่รับงานกะกลางคืนยาวๆ
เพราะอย่างนี้กว่าจะถึงจุดหมายล่อเอาโชเฟอร์วนไปซอยนั้นซอยนี้อยู่หลายรอบ ร้านอาหารจีนในโซลมีน้อยๆเสียที่ไหนกัน
-0-
“ลุงลุง เอาตรงนี้ละ ไม่ต้องเข้าไปใกล้หน้าร้านมากนะ!! ขอบคุณมากนะลุง!”
ฉันยัดแบงค์วอนเข้ามืออุ่นของผู้ชายรุ่นราวคราวพ่อก่อนที่จะดีดผึงออกมาอย่างรีบร้อน มีคนใส่สูทรดูท่าทางเป็นพวกนักธุรกิจเดินวนสูบบุหรี่หน้าร้านจำนวนหนึ่ง สายตาของฉันพยายามปรับโฟกัสยามค่ำคืนผ่านทัศนะการมองเห็นอันย่ำแย่กระทั่งสังเกตเห็นไอ้มนุษย์ที่แต่งตัวพิลึกกว่าชาวบ้าน เสื้อเชิ้ตลายทางไร้เสื้อคลุมในวันที่อากาศ3องศา กางเกงขายาว หนาวจะตายชักยังมีหน้ามายืนแอคท่าใส่ไอ้ดำอยู่ได้
1—
2---
3
---
4
“รอนานรึปล่าว^^”
-*-*-*-*-*-*-*-*-*
Chapter 7
คงอย่างที่ใครๆเค้าว่ากัน
ไม่เคยมิตรสหายที่แท้จริง ---
ในการทำงาน
“ออกตัวสวยนี่ ...ไม่สนใจร่วมมือกับบริษัทฉันแถมยังไปซื่อสัตย์กับคนอื่น.....จะได้สักกี่น้ำ”
เสียงทุ้มเอ่ย ในขณะที่หันมาจ้องมองคู่สนทนาด้านข้างที่กระตุกยิ้มเล็กๆอย่างสบายอกสบายใจ
“ทำธุรกิจหวังผลกำไรที่เดียวไม่ได้หรอก นายเองน่าจะรู้ดีที่สุดไม่ใช่หรอ..” คำโต้เถียงอันแสนราบเรียบ
“หึ—อนาคตฉันก็มั่นใจเหมือนกันว่าวิธีการของฉันมันจะไปได้สวย พรุ่งนี้โปรเจ็คฉันคอมเฟิร์มเมื่อไหร่..ดีไม่ดีนายอาจจะอยากเปลี่ยนใจมาร่วมทุนกับฉันก็ได้ ใครจะไปรู้ “เสี้ยวใบหน้าเล็กของผู้ชายผิวสิก้มหลุบต่ำลงเพื่อปล่อยไอควันของสารนิโคตินให้ค่อยๆจางหาย
“ แล้วมายืนเซ่อแบบนี้ ..ไม่คิดจะตามไปรึไง...ลงทุนพามากินร้านหรูหรา แต่สุดท้ายโดนไอ้เด็กเตี้ยงาบไป ฉันว่ามันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ละมั้ง “
“ฉันไม่ได้มีรสนิยมทางนี้นักหรอกน่ะ---แผนของฉันมันดีกว่าการต้องไปวิ่งตามไอ้หมอนั่นเยอะ ยังไงซะฉันก็น่าจะดูดีในสายตาของโอเซฮุนมากกว่านายอยู่แล้ว----จริงมั้ยคิมจงอิน
หวังว่าจะได้ร่วมธุรกิจกันนะ—ฉันไปล่ะ”
แผ่นหลังกว้างก้าวย่างออกไปไกลเรื่อยๆ นิ้วมือยาวกำกุญแจรถในมือเสียงดังกรุกกรักตลอดทาง จื่อเทาไม่แปลกใจนักที่ไม่พบเซฮุนแล้วหลังจากเขารอเจ้านายของตัวเองมาได้สักพัก
ตามที่เซฮุนบอกเอาไว้ก่อนหน้า บริเวณด้านนอกของร้านปรากฏเพียงร่างของสหายเก่าอย่างจงอินยืนผ่อนคลายพร้อมๆกับบุหรี่ที่ไกล้มอดแล้วหนึ่งมวนในมือ ไม่มีใครรู้ว่าแวดวงการท่องเที่ยวและงานโรงโรงแรม ปีๆนึงเราจะมีเพื่อนเพิ่มมากขึ้นกี่คน เสียเพื่อนไปกี่คน ทุกอย่างทำได้แม้กระทั่งการแต่งงานเพื่อธุรกิจที่เติบโต...
ช่วงเวลาไม่กี่นาทีแสดงถึงบทสนทนาสั้นๆบ่งบอกบทบาทที่เปลี่ยนไปของเขาทั้งสอง นับจากการทำงานเรียนรู้ประสบการณ์เบื้องหลังพ่อแม่หรือบรรดาญาติๆ
เวลานี้คงไม่มีเพื่อนคนไหนที่จะยอมซื่อสัตย์กันโดยแท้จริงนอกเหนือเสียจากจะมีผลประโยชน์ร่วม
---มันเป็นสัจธรรมในโลกอันโหดร้ายในยุคทุนนิยมแบบนี้
....
ฮวางจื่อเทาไม่ได้ตัดสินใจตามหาหรือติดต่อเจ้านายเด็กที่คอยตามปรนนิบัติมาทั้งวัน
ก็แค่---ตอนนี้เขาได้เวลาเลิกงานแล้วเท่านั้น...
-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
โอเซฮุนเคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะด้วยแผ่นหลังที่โงนเงนอยู่ตรงหน้าฉันราวกับคนไร้จุดหมาย
มือข้างหนึ่งของเขาซุกเข้ากระเป๋ากางเกง.. อีกข้างนึงกำซองบุหรี่เอาไว้แน่น
โดยที่มีฉันคนตัวสั้นเดินตามอยู่ด้านหลังในระยะทางที่ไม่ห่างกันนัก-_-;;
ก่อนที่เราจะออกมาเมื่อครู่มันช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดสิ้นดี---ฉันได้พูดคุยตรงๆกับผู้ชายในฝันของเจ้ามะเขือครั้งแรก โดยมีพวกเราพร้อมหน้าพร้อมตา ความจริงความคิดของฉันเตรียมคำพูดเอาไว้มากมาย
แต่กลับถูกเบรกเอาไว้ด้วยประโยคเพียงไม่กี่ประโยคของเซฮุนที่แลดูจะตัดรอนทุกสิ่งอย่าง
อารมณ์โมโหแบบไร้เหตุผลรองรับของหลิวอี้ก็เลยจบลงดื้อๆ
“นี่.. ขึ้นแทกซี่เถอะ=_=นายรู้ทางในโซลดีแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทางมันจะสั้นลงปะวะ”
เร่งจ้ำเดินเพื่อดักเอาข้างหน้า ฉันพูดออกมาโดยที่ไม่รู้ว่าเขาจะสนใจจะฟังมันขนาดไหน
แม้ว่าเวลานี้เราจะเดินบนถนนที่เย็นเฉียบมากว่าครึ่งชั่วโมง มีเพียงแสงไฟ ผู้คนเตร็ดเตร่ที่ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง และท้องที่ร้องจ้อกๆ
“…..”
“เห้ย...อยู่มั้ย ฮัลโหลๆ =[]=นี่เป็นกิโลแล้วนะ จะไปไหนอะไรยังไงต่อ หรือ....อยากจะกลับไปหาไอ้จงอินนั่น...อ้อ หรือคงไม่พอใจที่ฉันมาขัดจังหวะสินะ หา!?”
ฉันได้แต่โบกมือผ่านใบหน้าที่เหมือนมะเขือซ้ำๆ แววตาของเขาตอนนี้บอกได้คำเดียวว่าแย่’ ม่านตาใสช่างหดหู่เกินบรรยายแถมเสื้อผ้าหน้าผมก็ไม่ได้เข้ากับภูมิประเทศเอาซะเลย
เซฮุนเริ่มขมวดคิ้วยาวๆทันที่ที่ฉันเริ่มใช่มือบีบที่ข้อแขนผอมแห้งของเขาเพื่อเหวี่ยงไปมาให้ได้สติ
“ทำไมเธอต้องออกมาหาฉัน-_-“
“เอ้า!!คนอุตส่าห์มาช่วย พูดงี้ก็สวยดิ”
นั่นดิ ทำไมชั้นต้องมา=_= ไม่รู้เว้ย เถียงไปก่อน!
“ฉันบอกเธอหรอว่า เห้ หลิวอี้ มาช่วยฉันหน่อย มาไวไวนะ~ แบบนี้หรอ ฉันจำได้ว่าปล่าว “
“สงสัยไม่หาเรื่องสักวันต้องตายแหงๆ ก็แล้วใครบอกอยากกลับบ้าน....---ฉันก็คิดว่าไอ้เบื้อกนั่นมันต้องหาเรื่องอะไรนายแน่ๆนี่หว่า ฉันผิดหรอเนี่ยะ สรุปที่ฉันถ่อหาร้าน ขึ้นแทกซี่มาฉันผิด!?.. "
“อย่ามาจับตัวฉันซี้ซั้วด้วย-*- ฉันไม่ชอบให้ผู้หญิงมาแตะฉันเข้าใจมั้ย”
“เออ!-*-“
ฉันปล่อยนิ้วทั้งสิบอัตโนมัติ….
ทว่าเซฮุนคนเรื่องยเอะ ยังคงกัดไม่ปล่อยๆทั้งๆที่ก็ทำตามทุกอย่าง,, แบบที่เขาต้องการ
ดวงตาอันเย่อหยิ่งของคนตัวโตค่อยๆหันมาไล่มองฉันตั้งแต่งหัวเหนียวๆจรดปลายเท้าเน่าๆ อย่างพิจารณา
“คิดว่าตัวเองเหมือนผู้ชายขนาดนั้น? มั่นใจขนาดนั้นจริงสินะ—สมองเธอต้องเพี้ยน อยากได้เงินจนเพี้ยน...เพราะเธอแท้ๆ...เธอทำให้ฉันต้องเผลอพูดออกไป...ถ้าจงอินไม่คิดเหมือนกับที่ฉันคิดละ ...เท่ากับว่าที่ฉันทำมาทั้งหมดมันก็ว่างปล่าว ที่ฉันอยู่กับเธอมามันก็ไม่มีความหมายอะไรเลย ...ไม่มีเลย..”
โอเซฮุนกำลังเอาเรื่องทั้งหมดเมื่อครู่แปะทับปะติดปะต่อด้วยการเอาฉันเป็นตัวเชื่อมและโยนความผิดพลาดมาให้ ....เขาเริ่มสะบัดสะบิ้ง หมุนตัวไปมากับที่ หายใจฟึดฟัดเหมือนเด็กผู้หญิง12ขวบที่อยากได้เซ็ทตุกตาบาร์บี้แต่ถูกหม่ามี๊ขัดใจ
มันไม่คิดจะถามฉันสักคำเลยรึไงว่าฉันจะเสียหายไหม? รู้สึกเซ็งขนาดไหน?จะดำเนินชีวิตต่อหน้าคนอื่นยังไงในเพศแม่ของตัวเองถ้าเราสองคนแยกกันไปแล้ว
คือทันทีที่ไอ้มืดนั่นกลับมา พารากราฟในสมองรอยหยักที่ประกอบไปด้วยเส้นเลือดและท่อน้ำเลี้ยงฝ่อๆของเซฮุนก็มีเซลล์ที่ชื่อว่าคิมจงอินไหลพล่านอีกครั้ง
ฉันเริ่มหยุดแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาบ่น รวบรวมสติ และกลับมาประจันหน้าด้วยสายตาแข็งกร้าว
“คิดว่าไอ้บ้านั่นได้ยินสิ่งที่นายตัดสินใจพูดออกไปปั้ป คงจะหึงนายจนขึ้นหูสินะ....
กะอีแค่เขาจำได้ว่านายเคยควงฉันไปไหนมาไหนด้วย มันก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะยังรู้สึกเหมือนเดิมสักหน่อย!!......รีบๆโทรหาจื่อเทาบอกเขาว่านายขอตัวกลับก่อนซะ ฉันไม่ได้มีเวลาเอาชีวิตตัวเองมายุ่งวุ่นวายกับนายไปมากกว่านี้แล้วโอเคนะ โทรตอนนี้เลย! ฉันจะไปหาแทกซี่รอ=_=ถ้าฉันได้นอนน้อยกว่า6ชั่วโมงฉันเอานายตายแน่”
ชี้หน้าตวาดด้วยความเซ็งระดับ8เต็ม10 นี่มันก็ดึกมากแล้ว แถมพรุ่งนี้ฉันก็ต้องออกต่างจังหวัด..ถึงแม้เซฮุนจะไม่รู้แผนกำหนดการเดินทางของฉันเลยแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีสิทธิ์มาก่อกวนให้มันพังพินาศ =_= –
เจ้าเด็กมะเขือเบิ่งดวงตากว้างด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก ดูก็รู้ว่าเขาโมโหที่ลูกจ้างอย่างฉันแสดงพฤติกรรมเหนือกว่า
เซฮุนก็เป็นแบบนี้ละ เขากำลังจะโวยวายเพื่อเอาชนะแบบโง่ๆเหมือนเคย-_-
“หยุดสั่งเหมือนเป็นแม่ฉันสักที! หยุดทำตัวรู้ไปซะทุกเรื่องได้ไหม ฉันไม่ชอบ ไม่ต้องมาทำเป็นรู้จักฉันไปซะทุกเรื่อง เธอแค่ใช้สองตามอง อย่ามาจุ้น จะไปฉลาดที่ไหนก็ไปเลย ฉันอยากใช้คอนโดของฉัน นอนคนเดียว!!”
ไม่แน่ใจว่าที่ได้ยินจะเป็นคำตะเพิด ตวาด หรือไล่ให้ไสหัวไป มันเป็นสักอย่างที่สื่อความหมายออกมาฟังแล้วรู้สึกไม่โอเคสักท่าไหร่ ทำไมฉันจะต้องโมโหเขา บ่นเขาน่ะหรอ...
ฉันรู้ว่าเขาไม่ชอบให้ใครมาสู่รู้ชีวิตตัวเอง แต่นั่นละ กลับกัน ฉันคิดว่ามันยิ่งต้องรู้ ...
ฉันจะบอกเทาหรือไม่บอกเรื่องของฉัน แยกกันตรงนี้ละ ฉันอยู่กับเธอมันก็ปวดหัวพอกัน—ฉันไม่น่าดีใจเลย มันเป็นแค่ความเคยชินเท่านั้น จะไปไหนก็ไปเลย ฉันจะไปหาที่นอนเอ...อะ................หะ.....เห้ย!!!”
พอดีกันกับแทกซี่1ในล้านที่สังเกตเห็นแขนสั้นๆของฉันที่โบกค้างเอาไว้ รถคันสีเทาชะลอเข้าจอดอย่างว่าง่าย ฉันจึงไม่รีรอที่จะเมินคำสบถงี่เง่าทั้งหมดของเจ้าโง่พลางกระชากแขนหนาๆของเขาให้พุ่งไปยังรถที่เปิดประตูต้อนรับอย่างพอดิบพอดี
“ลุง ไปที่คอนโด xxxx ฮะ” ฉันร้องตะโกนก่อนที่จะมือข้างขวาจะขว้าหมับพร้อมกับออกแรงเหวี่ยง
”ช่วยไม่ได้ นายขอฉันแต่งงานต่อหน้าไอ้ดำนั่นเองนี่ ทนหน่อยละกันนะ….”
-*-*-*-*-*-*-*-*-
อากาศตอนเช้าตรู่ด้วยทัศนียภาพการมองเห็นผ่านหมอกหนาทึบอันเป็นอุปสรรคต่อการขับรถ
แต่ดูเหมือนว่าคิมจงอินจะไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่นัก..
นาฬิกาดิจิตัลภายในรถบ่งบอกถึงเวลาเกือบเจ็ดโมงเช้าบนทางหลวงหมายเลข02
มุ่งสู่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในชานเมือง ..
แม้ว่าค่ำคืนที่ผ่านมาการเจรจาธุรกิจแทนครอบครัวที่ร้านอาหารแลดูจะไปได้สวย แต่ก็คงจะดีมากยิ่งขึ้นถ้าหากเขาได้มายื่นเอกสารโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดด้วยตัวเอง เพื่อความน่าเชื่อถือของหลักค้ำประกันที่หุ้นส่วนทั้งหมดจะยังคงความมั่นใจเอาไว้ จงอินรู้ดีว่า ผู้ถือหุ้นแต่ละรายนั้นกว่าจะได้มาก็ทำเอาพ่อของตนเสียเวลาไปไม่ใช่น้อย
แน่นอนว่านอกเหนือจากสัญญาที่ได้รับหน้าที่รับผิดชอบแล้ว ตัวเขาเองก็ได้เรียนรู้รูปแบบการการจัดการและการก่อสร้างโรงแรมสาขาในต่างประเทศจากเซฮุนมามากพอตัว ระหว่างที่ได้คบหากัน---
ซูจองแฟนสาวคนสวยจึงไม่เคยคิดระแคะระคายแม้ว่าบางครั้งคิมจงอินทายาทโรงแรมเกิดใหม่อย่างรอยัลเพรซซิเด้นท์ มักจะตกเป็นข่าวพาดหัวว่าเป็นอดีตคู่รักร่วมเพศกับลูกชายตระกูลโอผู้มั่งคั่ง
มันก็แค่ละคร’
ซูจองเริ่มวุ่นวายกับการทำเรื่องเอกสารกองโตหลังจากตัดสินใจโยกย้ายจากอเมริกามาอยู่ที่เกาหลีอย่างถาวร
เธอร่ายแมสเซสยาว1กระดาษเอสี่ได้ เพื่อแทนคำอธิบายสำหรับการไม่สามารถมาเป็นผู้ร่วมเดินทางเคียงข้างแฟนหนุ่มในวันสำคัญ จงอินไม่ลังเลนักถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีใครติดตามมาด้วย
งานก็คืองาน’
ฟากหนึ่งของถนนกว้างในตัวเมืองโซลที่แตกต่างจากต่างจังหวัอย่างสิ้นเชิง
ในวันที่หมอกลงจนน่าหงุดหงิด ฤดูที่สลับไปมาไม่ฝนตกก็หนาวจับใจจนน่าเบื่อ ถึงอย่างนั้นผู้คนก็ยังคงสรรหาเสื้อผ้าที่หนาพอจะป้องกันความเย็นแล้วย่างก้าวออกมาต่อสู้กับการงานเพื่ออิสระภาพอีกครั้งในช่วงต้นเดือน รอคอยเม็ดเงินจะกลับมาเพิ่มพูนภายในกระเป๋า ยกเว้นเสียแต่ลูกคนนายคนที่มีเวลาเหลือกินเหลือใช้
“โอเซฮุน” กำลังเริ่มหายใจทิ้งเล่นๆอีกครั้งทันทีที่เขาตื่นขึ้นมายามเช้าแล้วพบว่าข้าวของทุกอย่างที่เกี่ยวกับหลิวอี้หยุนได้หายไปโดยทั้งหมด แม้กระทั่งแปรงสีฟัน
โอเคว่าเมื่อคืนเซฮุนจำได้แค่ว่าเขาเจอจงอินที่ร้านอาหารจีน บางอย่างไม่เหมือนเดิมตั้งแต่ต้น
สิ่งเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกแปลกใจแต่มันสมควรจะเก็บมาคิดดีไหมนั่นคือปัญหาต่อมา..
ใบหน้าของจงอินไม่ได้ทำให้เขารู้สึกวูบวาบ หรือใจเต้นแรงแบบรักแรกแล้ว...หลงเหลือเพียงหัวใจที่กระตุกวูบเพราะบางอย่างที่อยู่ข้างในลึกๆ
ใบหน้าที่คุ้นเคย...น้ำเสียงที่ฟังดูเซ็กซี่มีผลต่อเซฮุนเพียงความรู้สึกเจ็บปวด? โหยหา? หรือดีใจที่คิมจงอินพูดถึงตนเองราวกับว่าเขาได้ติดตามเฝ้ามองโอเซฮุนอยู่ตลอดกันนะ ความคิดง่ายๆเวลานั้นราวกับท้าทายความรู้สึก
“นี่ไง....ฉันไม่ได้เลิกกับเขา--- แต่เราต้องได้แต่งงานกัน
ฉันจะทำให้คู่ของเราได้แต่งงานกันเร็วๆนี้ละจงอิน”
จะแต่งงานกับผู้ชายจริงๆเขาต้องหนีไปฝรั่งเศสมั้ย.....ที่ไหนดีที่ไม่ใช่ที่นี่...ความจริงมันดูงี่เง่าและตลกมากที่บอกกับคนผิวเข้มด้วยน้ำเสียงประชดประชันแบบนั้น
เพราะต้องการความหึงหวงที่คิดเอาเองว่ามันยังคงมีอยู่ในตัวของผู้ชายแซ่คิมสินะ....
ดวงตาโตของเด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่เคียงข้างเซฮุนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อด้วยความตกใจ
ภาพนั้นยังติดอยู่ในสมองจนจำได้แม่น ดวงตาอันน่าอิจฉานั่นไม่ละออกจากเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว
ความจริงเซฮุนยังไม่ได้ขอบคุณหลิวอี้ด้วยซ้ำที่โผล่มา.....ขัดจังหวะในช่วงเวลาที่แสนกระอักกระอ่วน
แต่ก็นั่นละ---พอได้สติก็พบว่าการแต่งงานอะไรนั่นที่เผลอโวยวายออกไปกำลังจะนำพาเรื่องซวยๆมาให้ในไม่ช้า—ทั้งเขาเอง และคนที่อยู่รอบข้าง
คำถามที่อยู่ในหัวในเวลานั้นหลงเหลือเพียงแค่
“ทำไมเธอต้องออกมาหาฉัน?“
ปล่อยให้ทรมานและเจ็บปวดแบบนั้นไปคนเดียว ปล่อยให้โอเซฮุนทำตัวไม่ถูก กระวนกระวาย และค่อยๆหลาบจำต่อความต้องการตัวเอง
บางทีเรื่องทั้งหมดอาจจะจบภายในค่ำคืนนั้นไปแล้วก็ได้
เด็กชายได้แต่สูดลมหายใจและผ่อนมันออกมา....ฟังเสียงการเต้นของมันที่กลับมาเป็นปรกติ...
....
ทว่า เจ้าเพื่อนสาวของเขาแลดูจะไม่มีทางเข้าใจ---การเริ่มต้นทะเลาะกัน..ซึ่งนั่นมันเป็นเรื่องปรกติ
แต่ที่แน่ๆ เขาหวังว่ามันคงไม่เกี่ยวอะไรกันกับที่ลูกจ้างหิวเงินอย่างหลิวอี้จะหายสาบสูญไปเสียดื้อๆ
เหมือนตอนนี้ ในเมื่อเมื่อคืนถึงแม้ว่าเซฮุนจะตะเพิดไล่ด้วยความโมโหออกไป แต่เธอก็ยังทำหูทวนลมถ่อสังขารกลับมาที่คอนโดด้วยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คงไม่เกี่ยวกับเขาแน่ๆ...
-_-
หรือเกี่ยว?...
=_=
ไม่หรอกน่า
ฮ่ายยย
ร่างสูงละทิ้งความคิดพลางเดินงกเงิ่นไปยังห้องครัวเพื่อหาแตงกวาจำนวนนึงในช่องแช่เย็นสำหรับหั่นเป็นแว่นๆสำหรับประคับประคองอาการดวงตาดำคล้ำจากอาการอดนอนและความเครียด
นับๆดูคนที่ทำให้เขาปวดหัวมากที่สุดรองมาจากคิมจงอินก็คือยัยทอมนี่ บางครั้งก็น่ารำคาญมากกว่าพ่อกับแม่เสียอีก ..
เซฮุนได้แต่จัดลำดับความคิดพลางยกแตงกวาชิ้นหนึ่งออกจากดวงตาข้างซ้าย
ผลุดลุกผลุดนั่งขึ้นมาพิมพ์แมสเซสให้กับคนสำคัญของเขาอีกคนในเวลาสั้นๆ
จื่อเทา วันนี้ฉันคงไม่ไปที่โรงแรม บอกพ่อแทนฉันที เหตุผลอะไรก็ได้
รู้สึกไม่ค่อยสบายท้อง สงสัยคงกินมากไปเมื่อวาน
ส่วนงานก็คงต้องฝากไว้ที่นายชั่วคราวนะ
ขอโทษด้วยที่เมื่อวานหนีออกมาก่อน พอดีมีธุระด่วน
วันจันทร์เจอกัน : )
010xxxxxxxxxx
-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
“หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้.......”
ถึงเสียงปลายสายจะยังคงไม่มีใครตอบรับอยู่แบบนั้นเป็นร้อยครั้งพันครั้งนับตั้งแต่อาทิตย์ก่อนที่ติดต่อไป
ทว่า เวลานี้หลิวอี้กลับไม่ได้สนใจมันอีกต่อไป
ในเมื่อมันคงไม่มีประโยชน์อะไรเท่ากับการที่เราจะมีโอกาสพูดคุยกันซึ่งๆหน้า
ดวงตาโตจ้องมองไปยังสนามเด็กเล่นที่มีหญ้าไกล้ตายปกคลุมไปทั่ว
อากาศหนาวเย็นมีลมพัดแรงยิ่งวังเวงขึ้นทวีคูณเมื่อสังเกตรอบๆตัวแล้วไม่น่าเชื่อว่าที่แห่งนี้เคยเป็นสวนสนุกขนาดย่อมของเธอแท้ๆเมื่อตอนยังเป็นเด็ก
ในเวลานี้กลับไม่เหมือนเดิมโดยสิ้นเชิงด้วยทัศนียภาพอันแสนทรุดโทรม
ไม่ไกลกันนัก ทางเขาของบ้านหลังขนาดย่อมที่มีรั้วไม้น่ารักๆกั้นพื้นที่ของสนามเด็กเล่นและตัวที่พักให้พอเป็นสัดส่วน ค่อยๆปรากฏขึ้น
“ถึงสักที ---ทำไมมันเงียบแบบนี้นะ..” เด็กสาวกระชับเป็นหลังพลางบ่นพึมพำกับภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ไม่สู้ดี...ตั้งแต่เธอเดินเข้ามา ไม่มีเด็กแม้แต่คนเดียวในละแวกนี้ ทั้งที่ความเป็นจริงสถานรับเลี้ยงคยองกีจะมีเจ้าตัวเล็กวิ่งพล่านไปหมด เสียงเจี้ยวจ๊าวทั้งวันถึงจะน่ารำคาญแต่ก็ไม่รู้สึกเหงาง่ายๆแม้ว่าจะไม่มีครอบครัวเหมือนเด็กภายนอกคนอื่นๆ
บ้านหลังขนาดย่อมแต่เดิมภายในด้วยขนาดที่กะทัดรัดตามเงินทุนชนบท ห้องเล็กๆแบ่งเอาไว้สำหรับเด็กเล็กและเด็กประถม...ประตูด้านหน้าเปิดระบายเอาไว้เผยให้เห็นร่างของหญิงวัยกลางคนที่เอาแต่ง่วน ก้มๆเงยกับการจัดข้าวของอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่ากำลังมีแขกคนสำคัญมาเยือน
“คุณป้าคะ!?? ป้าอารึมรึปล่าว!!?”
หลิวอี้ร้องออกไปด้วยความลังเล ป้าอารึม นางฟ้าของเด็กๆทุกคน ต่อให้มีอาสาสมัครผู้ใจบุญมาช่วยดูแลมากมายขนาดไหนคนสูงอายุก็ไม่เคยนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ
เด็กสาวยังคงจำได้แม่นกับกิจวัตรที่ผู้เลี้ยงดูได้ทำมาตลอดจนชินตา ไม่แปลกที่เพียงแค่แผ่นหลังหลิวอี้ก็ยังคงจดจำเธอได้ ชเวอารึม’ ผู้ที่อุทิศเวลาให้กับเด็กไม่มีพ่อมีแม่อย่างหลิวอี้ และคนอื่นๆมาตลอดหลายปี
“หลิวอี้....หลิวอี้รึปล่าวจ้ะ!! หลิวอี้ใช่ไหม!??”
หล่อนอุทานเสียงหลงเมื่อพบเห็นใครบางคนที่หอบหิ้วของเอาไว้เต็มไม้เต็มมือ เด็กสาวที่ครั้งนึงเคยมีผมยาวสลวยแต่กลับปล่อยให้กระเซอะกระเซิงรุงรังและไม่ยอมให้ใครถักเปียเลยสักครั้ง
เด็กจีนที่พูดภาเกาหลีได้คล่องปรื๋อเพียงไม่กี่เดือนหลังจากมีคนนำมาฝากไว้ตั้งแต่อายุ5ขวบ
ไม่แปลกอะไรที่หล่อนจะรู้สึกรักเด็กที่เลี้ยงมาเหมือนลูกแท้ๆ
แม้ว่าหลายคนจะเติบโตและออกไปทำงานด้วยตนเองแล้วก็ตามที
“คุณป้าอะ!! ทำไมหนูโทรมา ติดต่อยังไงก็ติดต่อไม่ได้ แถมน้องๆหายไปไหนกันหมด นี่หนูอุตส่าหืซื้อของมาตั้งเยอะตั้งแยะ ปวดขาก็ปวด-3- ไม่เห็นมีใครมาให้เล่นด้วยเลย ไม่กลับมาแค่สองสามปีก็ทำแบบนี้แล้วนะ แย่จริงเชียว ป้าเปลี่ยนเบอร์ยังไงก็ต้องโทรมาแจ้งหนูก่อนสักสองสามวันซี่ -3-“
หลิวอี้ร้องเอะอะก่อนที่จะค่อยๆใช้เวลาปลดสัมภาระบนหลังรวมทั้งมือทั้งสองข้าง ชเวอารึมได้แต่ยิ้มอยู่อย่างนั้นเพื่อพินิจพิจารณาเจ้าตัวแสบที่เคยดูแลมาเองกับมืออย่างภาคภูมิใจและอุ่นใจทุกครั้งที่เห็นเธอกลับมา แม้ว่าวันนี้ ทุกอย่างมันอาจจะไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ........
“แอมเบอร์จ้ะ---มาให้ป้ากอดน่อยสิ ไม่เห็นจะต้องทำแบบนี้เลยนี่นา—...หนักจะตายลูก...เห้อ..ดูท่าทางร่าเริงแบบนี้...ได้งานแล้วสิใช่มั้ยจ้ะเด้กดีของป้า...”ฝ่ามืออุ่นๆบรรจงลูบลงบนเส้นผมที่เย็นเฉียบด้วยความทนุถนอม
“เรียกชื่อนี้อีกแล้ว หนูไม่เคยบอกใครเลยนะว่าเคยมีชื่อภาษาอังกฤษ
หน้าก็จีน ตลกจะตายเวลาไปบอกใครน่ะ-3-“
หลิวอี้หยุน หรือ แอมเบอร์’ ที่ผู้คนที่นี่ต่างคุ้นหูร้องบอกคนในอ้อมกอดอย่างเขินอายเมื่อรำลึกถึงความหลัง
ความจริง แอมเบอร์’เป็นชื่อเรียกภาษาอังกฤษที่คนที่นี่ตั้งไว้ให้ ด้วยสาเหตุการออกเสียงภาษาจีนที่ยากต่อคนเกาหลีแท้ๆในอดีต แอมเบอร์เลยเป็นชื่อจริงๆที่ผุ้คนในคยองกีต่างรู้จักมากกว่าหลิวอี้’คนกระโปโลจอมถึก
พอโตขึ้นมาเลือดชาตินิยมมันรุนแรงก็งี้ หลิวอี้เลยไม่ค่อยบอกใครต่อใครให้รู้จักชื่อจริงๆชื่อนี้สักคนเดียว
“หนูมาที่นี่ก็ดีแล้ว....อีกสักพักป้าจะมีแขกสำคัญ....
ป้าไม่รู้จะติดต่อเรายังไง ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอกันอีกครั้งตอนที่พวกเรายังอยู่ด้วยกันที่นี่นะลูกนะ”
“ไม่เห้นเข้าใจเลย ป้ายังไม่ได้ตอบหนูเลยนะ ว่าน้องๆไปไหนหมด แล้วทำไมไม่มีใครอยู่เลย ทำความสะอาดประจำปีระ...”
“ป้าขายที่นี่แล้วแอมเบอร์....”
..
“คะ!!!!!????!!!”
“ป้าจำเป็นต้องขายที่นี้แล้วจ้ะ.....น้องๆที่อยู่ป้าก็ได้ติดต่อมูลนิธิอื่นๆที่เค้ารับอุปการะให้ช่วยดูแลไปแล้ว
หลังๆมาที่นี่มีปัญหาหลายอย่าง ไหนจะหนีสินช่วงที่เป็นโรคติดต่อสองปีก่อน ตอนนี้ป้าเลยต้องทำมันลงไป.....ปะ.ป้าเสียใจนะลูกนะ ฮะ...ฮึก”
เสียงสะอื้นและใบหน้าที่บูดเบี้ยวของคนสูงอายุดูเลวร้าย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเลวร้ายนักเท่ากับเรื่องราวที่ได้ยิน มือทั้งสองข้างของหลิวอี้เริ่มเย็นเฉียบราวกับไม่มีเลือดเลี้ยงถึงมานานแสนนาน
สมองฝ่อๆเริ่มปะติดปะต่อภาพที่เห็นและจุดประสงค์ที่เธอกลับมาที่นี่อีกครั้ง
“ใช่สิ..เป็นหนี้เท่าไหร่!!?คุณป้าเป็นหนี้มากเลยหรอ หนูมีตังค์นะ หนูเอาเงินมาด้วย !!”
ถ้อยคำละล่ำละลักออกมาราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังจะแตกออกไปเป็นเสี่ยงๆในอีกไม่กี่วินาที
“....ไม่ทันแล้วจ้ะ...ป้าเองตกลงทำเรื่องทุกอย่างหมดแล้ว...วันนี้เขาก็จะมาเอาโฉนดแล้วก็ทำสัญญาให้สมบูรณ์—ที่นี่อาจจะพัฒนา เขาบอกป้าว่าที่นี่จะกลายเป็นโรงแรมใหญ่โตเหมือนที่เดอะชิลลาอะไรนั่นเชียว... พวกเราชาวบ้านอาจะมีอาชีพเพิ่มละแวกนี้ด้วยไงจ้ะแอมเบอร์.......มันจบแล้วนะลูกนะ---ไม่ต้องห่วงทุกๆคน เข้าใจนะลูก... หนูเข้าใจป้าใช่ไหม”
The shilla...
“.....ป้าคิดว่าเดอะชิลลามันเป็นโรงแรมเล็กๆเท่ารูหนูหรอ คนจากโรงแรมนั่นส่งมาหลอกทุกคนใช่มั้ย หา!? ป้าเชื่อคำไอ้นายทุนพวกนั้นไปได้ยังไง!! หนูรู้จักที่นั่นดี..ทั้งพ่อทั้งลูกทั้งบ้านเขาไม่มีใครดีสักคนน่ะ!!!ทำไมคุณป้าต้องทำกับพวกเราแบบนี้....ทำไม..นี่มันบ้านของหนูนะ....”
คำตัดพ้อถ่ายทอดออกมาอย่างสับสน...เมื่อได้ยินชื่อสถานที่บางอย่าง
the shilla สินะ...
ถ้าเป็นโรงแรมของเซฮุนละก็ เธอมั่นใจได้ว่ารู้จักดีไม่แพ้ใครๆแน่นอน
และถ้าหากเซฮุนรู้เรื่องโครงการห่วยแตกชิ้นนี้แล้วละก็..
ไม่มีคำว่าเพื่อและการให้เกียรติต่อกันอีกนับจากนี้....ในเมื่อเขาเองก็รู้ดีว่าหลิวอี้มาจากไหน และใช้ชีวิตอย่างไรก่อนหน้าที่จะมาเจอกัน..
เขายังทำธุรกิจหักหลังกันแบบนี้ได้ลงคอ...หลิวอี้ไม่นับคนแบบนี้ว่าเคยรู้จักให้รกทามไลน์ชีวิตแน่ๆ..
“แอมเบอร์ ใจเย็นๆนะลูกนะ ....ป้ารู้ว่ามันหมายถึงความเสี่ยง แต่ป้าไม่มีทางเลือกที่จะต้องจัดการหนี้ทั้งหมดแล้ว ไหนจะน้องๆของเราที่ต้องกินต้องใช้ อีกอย่างหนูจำเชอีที่อยู่โรงพยาบาลได้มั้ยจ้ะ น้องก็ยังคงเดินไม่ได้มาหลายปี ค่าใช้จ่ายป้าแบกรับมันไม่ไหวแล้วจริงๆ..เข้าใจป้าสิลูก..”
นิ้วมือเหี่ยวย่นยกขึ้นประคองหัวไหล่อันแสนสั่นเทาของเด็กสาวตรงหน้า.หวั่งหว่าจะช่วยทุเลาสถาณการณทั้งหมดให้ดีขึ้น
ทว่า..เพียงเสี้ยววินาทีก็กลับถูกสะบัดทิ้งอย่างไม่มีเยื้อใย...
พร้อมกับเสียงที่ผ่อนออกราวกระซิบ
“หนูไม่มีทางเข้าใจ....”
บางครั้งหลิวอี้ก็เคยคิดว่า นี่เธอกำลังแบกโลกทั้งใบเอาไว้จริงๆ หรือแค่เป็นความรู้สึกเล่นๆที่คิดเองเออเองเพียงเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิต..
แต่มันคงจะเป็นเรื่องจริงซะแล้วล่ะ---อาจจะไม่ต่างอะไรกับเซฮุนนักเพียงแค่เราอยู่ในจุดที่ต่างกันเท่านั้น..
โชคดีกว่าหรอ
ไม่หรอก ไม่ได้มีใครดีไปกว่าใครทั้งนั้น...
ไม่มีสถานที่ความทรงจำอะไรเลยที่หลงเหลืออยู่ให้เส้นทางของเธออีก...
เด็กสาวลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระชับกระเป๋าใบโตที่ตั้งใจขนย้ายข้าวของมาเพื่อหาเวลาพักผ่อนยาวๆที่นี่สักอาทิตย์หรือสองอาทิตย์...
อยู่กับบรรยากาศเดิมๆ... ผู้คนที่คุ้นเคย.. พักสมองสักระยะแล้วค่อยกลับไปลุยต่อ
จบเรื่องราวบ้าๆกับโอเซฮุน หลังจากนั้นก็จะออกตามหาครอบครัวและทำในสิ่งที่สมควรทำต่อไป..
แต่ดูท่าจะไร้ความหมายเสียแล้ว
ไม่มีประโยชน์จะต้องทนรอนายทุนเข้ามาทำเรื่องทำราวขายบ้านกำพร้าที่เหมือนบ้านเกิดต่อหน้าต่อตาโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย
สองขาก้าวเดินออกมาทั้งๆที่มีสิ่งที่อยากทำเยอะแยะไปหมด อยากให้ทั้งหมดกลับมาเป็นเหมือนเดิม ที่นี่มีทั้งธรรมชาติและความอบอุ่นที่ในเมืองเทียบอะไรไม่ได้เลย
รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวไปทั่ว แม้กระทั่งใบหน้าที่รู้สึกวูบวาบด้วยความเสียใจ..
กลั้นเอาไว้หลิวอี้ เรื่องแค่นี้เอง ...อย่าร้องมันออกมานะ.....
ก็แค่โกรธ....โกรธที่ชเวอารึมตัดสินใจอะไรง่ายราวกับไม่ผูกพันธ์กับสถานที่แห่งนี้เลย
แค่โกรธ...โกรธที่โอเซฮุนไม่เคยบอกเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้เพื่อนอย่างหลิวอี้หยุนฟังเลยแม้แต่คำเดียว
อย่างน้อยก็เพื่อนร่วมงานไม่ใช่หรอ..
....
อีกด้านของทางเข้าอันแสนทรุดโทรมถูกเทียบท่าด้วยรถโดยสารคันหรูสีดำ
สองขายาวก้าวลงจากพาหนะด้วยความรีบเร่งพร้อมกับซองเอกสารสีน้ำตาลในมือ ใบหน้าคมเปื้อนรอยยิ้ม
เขาดูกำลังมีความสุขท่ามกลางอารมณ์ของเด็กสาวที่กำลังเดินในเส้นทางที่สวนกัน
เป้ใบญ่ดูเกะกะพร้อมๆกับใบหน้าที่ก้มงุด
ผลัก!!
O_O
“โอ้ย!!
...
=_=
....อะ..ไอ้คิมจงอิน!!!”
“O_O----แฟนเซฮุน??”
“อะ...คุณจงอิน....มะมาแล้วหรอคะ....”
เคยสงสัยเรื่องความบังเอิญรึปล่าว...
บางครั้งมันก็เข้าใจยากเพราะไม่มีตรรกะใดๆที่จะสามารถคาดคะเนมันได้อย่างชัดเจนนัก
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เรียกว่าความบังเอิญแน่ๆ..
ดูเหมือนนักธุรกิจที่ติดต่อซื้อขายสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ใครอื่นไกล...บุคคลที่ชเวอารึมภูมิใจและมั่นใจจะขายความทรงจำให้ก็คือผู้ชายที่หลิวอี้คุ้นเคยดีมากกว่าพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเองด้วยซ้ำนับตั้งแต่หลุดเข้าไปอยู่ในวงจรรักร่วมเพศของเซฮุนมากว่าหลายเดือน...ใบหน้าคมและเอกสารในมือของเขาชวนให้รู้สึกท้องใส้ปั่นป่วนเมื่อนึกถึงคำพูดที่คุณป้าได้พูดออกมาก่อนหน้านั้น
ไม่มีทางที่โรงแรมของเซฮุนจะวานให้จงอินมาทำเรื่องแทนอยู่แล้วร้อยล้านเปอร์เซ็นในเมื่อสถานะที่ดีที่สุดของเขาทั้งสองคือคู่ค้าและบริษัทที่เอื้อหนุนกันเพียงเท่านั้น
ร่างสูงจ้องมองเด็กสาวด้วยแววตาที่ยากจะหยั่งในความคิดก่อนที่จะจ้ำสองขาเข้าไปภายในด้วยความรีบร้อน..
ยิ่งเธอเฝ้ามองการต้อนรับของป้าอารึมที่ดูนอบน้อมแล้วเตรียมการยิ่งทำให้คำถามมากมายผุดขึ้นออกมาเป็นดอกเห็ด...คิมจงอินไม่ได้มาเพื่อติดต่อฝากเด็กให้ป้าเลี้ยงอยู่แล้วเพราะก็รู้กันอยู่ว่าสถานที่แห่งนี้ได้ปิดตัวลงมาสักพัก...
แค่ไกล้เข้าไปอีกนิดก็จะได้ยินเนื้อหาและเรื่องราวทั้งหมดระหว่างที่พวกเขาคุยกัน
แต่ก็เป็นไปไม่ได้เมื่อหลิวอี้ตัดสินใจก้าวเดินออกมาแล้ว....
มันคงจะไม่ใช่เรื่องดี...โครงการแบบไหนกันที่เอาธุรกิจของคนอื่นมาแอบอ้าง...
ผู้ชายคนนี้ ต้องมีบางอย่างที่ทั้งเธอและเซฮุนไม่รู้
ถ้ามันเป็นตามที่เธอได้คิดเอาไว้ มันคงจะแย่มากๆถ้าเขาเป็นแบบนั้น
สาบานว่าหลิวอี้จะเป็นเดวิลที่จะคอยทำให้พวกเขาไม่สามารถกลับคืนมารักกันได้อีกด้วยความสัตย์จริง
พระเจ้า...
คิมจงอินอาจจะไม่ได้มีค่าอะไรเลย.....
โอเซฮุนจะต้องตาสว่าง และไม่กลับมารักกับไอ้หมอนี่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด
ในเมื่อรักษาบ้านรับเลี้ยงที่เติบโตมาไม่ได้ อย่างน้อยๆเพื่อนร่วมโลกอย่างเซฮุนก็ต้องปลอดภัย..
....
“เด็กผู้ชายที่เดินสวนออกไป... คงไม่ทราบสินะครับว่าที่นี่ถูกขายไปแล้ว...^^
แย่จังป้ายที่ผมสั่งทำไว้แขวนแจ้งให้ก็ดันยังไม่มาส่ง...”
“ผู้ชายหรอคะ......ค่ะ เธอคงเป็นเด็กผู้หญิงที่เหมือนผู้ชายมากสินะคะ.....แอมเบอร์เป็นเด็กที่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน ...แต่เธอก็ยังไม่รู้จริงๆว่าที่นี่ถูกขายไป คงกำลังโมโห เมื่อกี้เธอไม่ได้พูดจาอะไรล่วงเกินใช่มั้ยคะ...?”
“ผู้หญิง??….อะ...แอมเบอร์..?"
“...เซ็นตรงนี้ก็หมดแล้วใช่มั้ยคะ.....คุณจะทำที่นี่ให้ดีขึ้นกว่าเก่าจริงๆนะคุณจงอิน ป้าเองก็รักที่นี่มาก คุณคงรู้...”
“ครับครับ.....ผมสัญญา ผมไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังหรอกนะ---ป้าเชื่อใจผมเถอะ
รับรองว่าเหมือนโรงแรมดังอย่างเดอะชิลลาแน่นอน ป้าเตรียมตัวพักฟรีสามวันสองคืนได้เลยนะ...^^”
TBC
ยืดยาวและน่าเบื่อ ไม่มีเวลามาแต่งเลยปั่นๆแบบรกๆซะงั้น
พล็อตที่คิดไว้ก็ลืมไปบ้างเพราะทำนั่นทำนี่เยอะแยะไปหมด ฮือออออออ ทำโปรเจ็คเรียนจบอยู่ค่ะวันนี้ตัดสินใจมาปั่นยามไกล้รุ่งด้วยความเบลอ พิมพ์ผิดพรึม สับสนงงงวยอย่าพึ่งตกใจน้า ชักมึนๆ55555
แต่พูดตรงๆเลยว่ามีคนเข้ามาอ่านฟิคกากๆของเราเยอะขนาดนี้ก็ดีใจจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว T^T
ขอบคุณนุ้งหมอนะที่อ่านฟิคเรายันเรื่องนี้ด้วย แงงงง ขอบคุณคอมเม้นทุกคอมเม้นเลยนะคะที่เข้ามาเป็นกำลังใจ
ฝากติดตามมันต่อไปด้วยนะ เพราะเราไม่ค่อยถนัดแต่งหวานแหววด้วยเลยออกมาน่าเบื่อนิดหน่อย
น่าเศร้าเลยT^T
แต่เอาเป็นว่าสองคนนี้เริ่มรู้สึกดีๆต่อกันแล้ว อิอิ
ตอนหน้าเป็นยังไงฝากติดตามด้วยนะคะ^^
รักรีดเดอร์ทุกคนเลยน้า>3<
ความคิดเห็น