คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : cp13
Chapter13
lose control'
“คุณยังจะหวังให้เขาไปอยู่จีนอีกรึปล่าว” เสียงทุ้มเอ่ย ความราบเรียบของมันไม่แสดงถึงอารมณ์ที่นอกเหนือจากความเฉยชา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของอีกฝ่ายก็เช่นกัน ต่างเต็มไปด้วยอาการขบคิด
“คิดว่าฉันจะพูดอะไร..? ”สองมีสีขาวคีบบุหรี่ที่ถูกวางบนจานทรงกลม มวนเล็กยกขึ้นมาสูดลมเข้าไปหนึ่งครั้งก่อนที่จะผ่อนออกเป็นควันสีขุ่น เด็กหนุ่มหลุดเสดวงตาลงไปยังมือถือสีดำสนิทก่อนที่จะติดสินใจเอ่ยคำถามที่ถูกเตรียมเอาไว้ สีหน้าของเขาประหม่าทว่าถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้ความดุดันที่เป็นเพียงเปลือกนอก
“ก็แค่เห็นคุณไม่เข้มงวดกับเซฮุนเท่าช่วงก่อนๆ ผมเองก็ทำได้แต่เก็บล้างเก็บเช็ดงานของเขาไปวันๆ
รู้สึกชีวิตไม่ไปข้างหน้ายังไงไม่รู้”
ชายหนุ่มกำลังรู้สึกว่าตัวเองโกหก
ความจริงคือการคลุกคลีอยู่กับสักคนนานๆโดยไร้จุดหมายแบบนี้ มันคงไม่ดีนัก..
“ฉันคิดอะไรไม่จำเป็นต้องบอกเธอไปซะทุกเรื่องหรอกนะ เอาเป็นว่าแผนงานทั้งหมดที่จีนก็ยังคงดำเนินต่อ ส่วนลูกชายฉัน ตอนนี้เขากำลังวางใจฉันแล้วก็ยอมทำงาน ดี ฉันชอบ แค่นั้นหน้าที่ของนาย ไม่ต้องถามอะไรมากให้น่ารำคาญ ฉันรับรองว่ามันจะต้องไปได้ด้วยดี บอกครอบครัวตัวเองไว้แค่นั้น”
โอจางอุคมีบุคลิกวางมาดแบบนี้ตลอดเวลาหรือปล่าว สิ่งที่คนภายนอกสงสัย และสิ่งที่คนภายในก็หาคำตอบไม่ได้ ฮวางจื่อเทาถอนลมหายใจอย่างเชื่องช้า เขาเดินทางกว่า1ชั่วโมงมายังบ้านพักของตระกูลโอด้วยความรู้สึกข้องใจ มีข่าวของตนปรากฏบนหน้าหนังเว็บไซต์ต่างๆหลังการไปร่วมงานเปิดตัวธุรกิจในเครือคิมจงอิน อีกทั้งโอเซฮุนก็ยังหายตัวไปเพราะธุระบางอย่างที่ไม่สามารถติดต่อได้หลังแยกทางกัน
แน่นอนว่าเขาเริ่มมีคำถาม และต้องการคำตอบ แม้ว่าการอยากรู้จะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดในเวลานี้สักเท่าไหร่
“แล้วเมื่อไหร่เขาจะถูกส่งไปที่จีนครับ”
ดวงตาที่เต็มไปด้วยกระเนื้อจ้องมองใบหน้าคมอีกครั้ง จางอุคมียิ้มเล็กๆที่ทำให้ดวงตาหรี่ ริมฝีปากบางคล้ายกับขบเคี้ยวอีกด้านของบุหรี่เอาไว้ เสียงแหบแทบกระซิบชวนให้ทุกอย่างแลดูจะเป็นความลับ แม้ว่าบริเวณหลังบ้านที่เงียบสงัดนี่จะไม่มีใครอยู่แล้วก็ตาม
“อันนั้นมื่อถึงเวลาฉันจะเป็นคนบอกเธอเองฮวางจื่อเทา หยุดถามไร้สาระแล้วช่วยฉันจัดการเรื่องข่าวปัญญาอ่อนนี่กับอิมซูดีกว่า รีบเคลียร์ๆทิ้งก่อนที่เซฮุนกลับ เอาเรื่องของบริษัทk-food ที่เคยเป็นหุ้นส่วนเราเมื่อปีที่แล้วไปปล่อยก็ได้ ฉันบอกอิมซูไว้แล้วเรื่องของรายละเอียด สารควบคุมกรดเซอบิกส์ที่เขาใช้เกินปริมาณกับเนื้อส่งออกน่ะ รับรอง ข่าวพวกนี้ใหญ่กว่าข่าวฉันแล้วก็ดาอึนแน่ๆ—ช่วงนี้รัฐบาลซีเรียสกับเรื่องมาตรฐานสินค้าส่งออก ฉันว่าน่าจะไม่เลว”
“ตะ...แต่พวกคุณกับK foodก็รู้จักกัน...ไม่กลัวผลกระทบที่จะตามมา หรือไม่ก็..”
“ฉันมีธุรกิจหลายอย่างมากกว่าการทำของกินส่งไปที่นั่นที่นี่ งานที่ฉันสร้างมาไม่ได้ทำเพื่อการกุศลสักหน่อย.. ทุกอย่างมันเป็นเกมส์ จื่อเทา ฉันก็ไม่ได้บอกให้นายใส่เสื้อติดเข็มกลัดโรงแรมเดินไปบอกนักข่าว ทุกคนถึงจะได้รู้ว่ามาจากเรา หรือถ้ากลัว อยากจะเปลี่ยนไปขนเนื้อแร่เนื้อกับK-foodแทนก็ได้นะ ฉันไม่ห้าม”
คำอธิบายดูไม่จบดีนัก เสียงกรอบแกรบจากปลายบุหรี่ที่ถูกจี้ให้ดับบนจานแก้วตรงหน้าดังขึ้น จางอุคคงไม่ชอบให้อะไรมาเป็นอุปสรรคเขาในยามที่ต้องพูดคุย เขาชอบคุยเรื่องธุรกิจเหนือสิ่งอื่นใดอยู่แล้ว นั่นคือสิ่งที่ทุกคนเข้าใจ
ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแม้ไม่แสดงอารมณ์ใดๆกำลังสร้างบรรยากาศชวนอึดอัดด้วยน้ำเสียงคุมเครือในลำคอ
“มีความลับหลายอย่างในโลกธุรกิจที่ฉันรู้ แค่เราจะเลือกใช้จุดอ่อนของพวกเขามาใช้เมื่อไหร่ก็เท่านั้น ทั้งนายและฉัน หรือหมายถึงทุกๆคนที่the shilla งานหลักของเราก็คือทำองค์กรของให้แข็งแรงมั่นคงพร้อมเดินหน้า มีอีกมากเหมือนกันที่รู้จุดอ่อนของthe shilla ซึ่งฉันเองถึงจำเป็นต้องเข้มงวดกับทุกๆคนอยู่ตลอด เมื่อไหร่ก็ตามที่มีปัญหา ธุรกิจเราจะหยัดอยู่ได้และไม่ล้มลงง่ายๆ”
สิ้นคำตอบ คนเป็นรองได้แต่พยักเพยิดเป็นเชิงเข้าใจด้วยใบหน้าเรียบเฉย
เขายังคงไม่รู้ชะตาชีวิตของตัวเองต่อไปจนกว่าเรื่องทั้งหมดจะจบ
ได้แต่หวังว่าเมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่าง ..ถึงเวลานั้น ฮวางจื่อเทาก็คงจะได้เวลากลับบ้านเช่นกัน...
-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
“ไอเดียของเธอถ้าหากเป็นตอนกลางวันฉันไม่บ้าทำด้วยแน่ๆ”
โอเซฮุนสบถ เขาย่ำเท้าไวๆขนาบข้างฉันที่กำลังฉีกยิ้มกว้างอย่างนึกตลก เด็กผู้ชายตัวสูงชะลูดอยู่ในชุดที่มีดสื้อโค้ทตัวหนาคลุม แน่นอน เราตกลงกันว่าจะสลับหน้าที่กันเล็กน้อยเพื่อเรื่องขำขันงี่เง่า เสื้อผ้าสตรีในไซส์ชาวต่างชาติจากลอบบี้ด้านร่างเคลื่อนย้ายมาอยู่บนตัวของโอเซฮุนเป็นที่เรียบร้อย กางเกงเดนิมสีเขียวอ่อนสดชื่น เสื้อไหมพรมสีครีมไหม้เสื้อโค้ทสีน้ำตาล ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นทรงของผู้หญิงทั้งสิ้น เว้นเสียแต่รองเท้าหนังนั่น
ไม่มีร้านที่ไหนเลยมีขนาดที่พอดีกับตีนตะพาบของเจ้ามะเขือ ฉันอลุ่มอล่วยเป็นกรณีพิเศษสำหรับจุดนั้นล่ะ
ศีรษะที่มีผมซอยสั้นถูกสวมด้วยหมวกไหมพรมน่ารักๆ
-_,-
พระเจ้า ฉันพยายามจะไม่ล้อเขา เจ้าตุ้ดแลดูจะเสียความมั่นใจ ผิดกับฉันขนัด หลิวอี้ยังคงอยู่ในเสื้อฮู้ท กางเกงยีนส์เข้ารูปปรกติและรองเท้าผ้าใบ ยังไงซะฉันก็มีลุคแบบนี้โดยธรรมชาติ บางทีฉันก็กำลังรู้สึกว่าตัวเองได้แก้แค้นอยู่ลึกๆ
อ่า..
การที่ฉันทำท่าลุกลี้ลุกลนเพราะกลั้นขำอาจจะทำให้หมอนี่เปลี่ยนใจไม่เล่นพิเรณฑ์กับฉันต่อ ถึงแม้ไม่เข้าใจอยู่ลึกๆว่าทำไม แต่วันนี้โอเซฮุนแลดูจะว่าง่ายมากกว่าปรกติ เหตุผลก็อาจจะเป็นเพราะเรากำลังจะจบมิชชั่นสำคัญนี้แล้ว นั่นล่ะ ฉันต้องแสร้งไม่สนใจโอเซฮุนมากนักตราบใดที่ความรู้สึกต้องการ..
เมื่อละสายตาจากเขาไปแล้วตอนนี้มีเพียงแสงไฟจากร้านที่เป็นซุ้มข้างทาง มองให้ลึกเข้าไปด้านใน โขดหินสูงๆต่ำๆริมชายหาดของเกาะหลงเหลือเพียงบรรดาแม่ค้าที่คงทนต่อความหนาว พวกหล่อนตั้งเก้าอี้อีกทั้งตะกร้าบรรจุหอยและปลิงทะเลขนาดเล็กกระจายไปรอบๆตัว เฝ้ารอผู้มาอุดหนุนด้วยการทักทายอย่างเป็นกันเอง
สำเนียงแบบเชจูเอาแต่ร้องบอกให้เข้ามาชิมอาการทะเลสดๆที่เพิ่งเก็บได้เมื่อหัวค่ำ
แน่นอนเซฮุนบอกฉันเองว่าเขามีร้านดื่มที่น่าสนใจ ถึงอย่างนั้นตามสัญฃาติญาณฉันก็ยังอยากกินอะไรแบบชาวบ้านๆแบบนี้อยู่ดี มันเป็นไสตล์ฉันใครๆก็รู้ กินอะไรก็ตามที่ทำง่ายๆ ดื่มเหล้าข้าวราคาถูก ฉันเอาแต่คิดโดยที่ไม่ปริปากบอก
เพราะมาเดทกับฝ่ายหญิง ฉันเลยยอมให้เขาเป็นคนเลือกเอาเองวันนึง
เซฮุนยกมือขึ้นปัดกระจุกผมที่หลุดรอดจากหมวกไหมพรมให้พ้นดวงตายาว สองขาของเขาหยุดกึกหลังการเดินทางด้วยเท้ากว่าครึ่งชั่วโมง สีข้างของฉันกระแทกแขนของโอเซฮุนเข้าอย่างจัง ฉันพยายามทำให้มันปรกติ ฉันทำแบบนั้นด้วยกระแสไฟฟ้าที่แล่นแว้บไปทั่วร่าง เวลาเราสัมผัสกันแบบบังเอิญสามารถทำให้ประสาทกินง่ายๆ ฉันเริ่มระมัดระวัง ดึงแขนเสื้อฮู้ทสองข้างเล่นทั้งๆที่มันก็ไม่ได้ยับอะไร
เซฮุนไม่สนใจฉันที่กำลังทำตัวพิลึกพิลั่น คิ้วยาวขมวดเข้าหากันเหมือนเด็กสายตาสั้นอ่านโจทย์เลขบนกระดานไม่ออก ผิดแค่เจ้ามะเขือกำลังหยุดยืนอยู่หน้าร้านอาหารอะไรสักอย่างแทนหน้าชั้นเรียน มันมีขนาดกว้างเพียงตู้คอนเทนเนอร์2โบกี้ติดกัน
เมนูและถ้อยคำเชื้อเชิญ แปะกระจายไปทั่วประตูเลื่อนสีขุ่น เงาวูบวาบหลังบานประตูมีเพียงผู้หญิงหนึ่งคนที่กำลังก้มๆเงยๆทำความสะอาดอย่างโดดเดี่ยว ป้ายแขวนบอกเวลาเปิดทำการตลอด24ชม ไม่มีประโยชน์อะไรนัก
ฉันค่อยๆขมวดคิ้วตามร่างสูงข้างๆอย่างลืมตัวและแปลกใจ
แปลกที่เซฮุนมาร้านธรรมดาแทนที่ผับบาร์ใหญ่โต
ราเมงทะเลรวมมิตร
ต็อคราเมง ชิเก
ชาชูราเมงทะเล
ฯลฯ
“มัวยืนทำอะไร ซุนซุน ” ฉันร้อง แหง เมนูแต่ละอย่างฉันกินได้สบายๆ ใครจะปล่อยให้ผ่านไปละ “เรื่องที่นายแพ้ปลาหมึก เราสั่งบอกเขาคงได้”
“ซุนซุน??” คนตัวสูงย้ำถึงชื่อเล่นที่ได้มาหมาดๆโดยไม่สนใจคำพูดอื่นอีก ฉันเพิ่งครีเอทสดๆล่ะ เขาจะชอบไม่ชอบก็ช่าง แต่เป็นสาวน้อยก็ต้องมีชื่อเล่นสิจริงมั้ย
บางทีหลังจากนี้ เวลาเซฮุนไปปาร์ตี้ชาวสีม่วง ไม่ก็หาหนุ่มๆคบหา เขาอาจจะใช้ชื่อที่ฉันอุตส่าห์ตั้งให้เป็นนามแฝงน่ารักๆยังได้เลย ฉันมั่นใจถึงประโยชน์ของมัน แต่ดูท่าว่าเขาจะไม่ค่อยปลื้มสักเท่าไหร่
“หยุดเรียกชื่อบ้านั่นซะ จะกินก็รีบเข้ามา ฉันทุเรศตัวเองเกินกว่าจะเข้าร้านดีๆแล้ว เห่อะ!!” เขาว่าถึงสาเหตุพลางกระชากหมวกไหมพรมสีหวานออก ขอบยางหลวมๆทำให้ผมของเขาหลุดลงมาปรกหน้าบ่อยครั้ง แขนยาวเอื้อมไปเลื่อนบานประตูเก่าๆให้เปิดอ้า หลอดไฟเหนือหัวส่องลงมาบนใบหน้ารูปตัววี ผิวสีซีดตัดกับผมสีเข้มราวกับผีดิบที่ออกหากินตอนกลางคืน
บนพื้นอาจจะมีเถาวัลย์เลื้อยขึ้นมาตรึงขาให้อยู่กับที่แหงๆ=_=
ฉันนึกประโยคที่อยากจะพูดอีกครั้ง ฉันต้องทำมันก่อนที่จะดูตลก เพราะเอาแต่ยืนแข็งจ้องหน้ากันไปจ้องหน้ากันมา=_=
“ฉันไม่มีปัญหากับเรื่องกินอยู่แล้วล่ะ อีกอย่างชื่อซุนซุน.. เวลานี้เธอเป็นผู้หญิงอยู่นะอย่าลืมสิ ขอฉันเล่นถึงเช้าหน่อยน่า เป็นไรไป หลังจากงานนี้จบ นายก็ฟรีแล้ว ตามเรื่อง เราแยกกันแบบที่ตกลงไง!^O^”
เซฮุนกลอกดวงตา เขาเริ่มถอนหายใจยาวๆเพื่อตั้งสติ
“ฉันแค่รู้สึกผิดที่ทำกับเธอก่อนหน้านี้หรอกนะจะบอกให้!! ถ้ามีคนมาเห็นฉันแต่งตัวสีน่าเกลียดๆแถมมีลายดอกไม้ยึ่บยับไปทั่วหัวแบบนี้ที่นี่จะเกิดอะไรขึ้นหา!? เซ้นท์แฟชั่นห่วยยังไม่พอยังไม่หน้ามาจู้จี้อีก ”
เขาเริ่มตะโกนผ่านไรฟันในระดับที่สร้างความน่ารำคาญแต่พอทนไหว ฉันไม่สนมันอีกด้วยเหตุผลภาคบังคับจากสภาวะแวดล้อมรอบตัว หลิวอี้จำเป็นจะต้องเอาแขนเข้าไปคล้องเจ้างั่งตัวโตอย่างรวดเร็ว ฉันกัดฟันลืมเรื่องไฟฟ้าที่แล่นแปล้บๆเมื่อครู่ ท่าทางคงคล้ายๆคุณพ่อยามส่งตัวเจ้าสาวเข้าประตูวิวาห์อะไรเทือกๆนั้น
ดวงตาและการยื้อยุด เสียงของเรามันดังกระทั่งทำให้พี่สาวเจ้าของร้านชะโงกออกมาดู สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย ร่องระหว่างคิ้วของหล่อนแสดงอารมณ์งุนงง ประตูร้านของเธอเปิดเอาไว้มาพักใหญ่แล้วทว่าลูกค้าอย่างเราสองคนกลับไม่เข้าไปซักที
“มาสองคนหรือคะ?” หล่อนเลื่อนโต้ะที่อยู่ไกล้ๆให้ดูเรียบร้อย ริมฝีปากแค่นเสียงถามโดยที่สายตายังคงจดจ้องไปที่ท่าทางพิลึกพิลั่นของชายหญิงคู่ตรงหน้า คนนึงเหมือนเด็กผู้หญิงแต่แต่งตัวทะมัดทะแมง คนนึงเสียงทุ้มแปร่ง สูงโปร่ง ทว่าแต่งตัวลายดอกและสวมเสื้อผ้าของสตรีตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ผมขอเมนูหน่อยครับ” ฉันนั่งลงร้องขอแบบแมนๆ ไม่แปลกใหม่อะไรนักกับการทำเรื่องแบบนี้ เพราะฉันก็ทำมันจนเป็นประติอยู่แล้วในความจริง เซฮุนผละออกจากฉันหลังจากนั้นไม่กี่วินาที มือหยาบยกเกาท้ายทอย ใบหน้าของเขายุ่งเหยิง แน่นอน บรรยากาศในร้านวังเวงราวกับเหมาจ่ายเป็นที่ส่วนตัว พี่สาวยังคงอ้ำอึ้งและดูแปลกใจ ฉันรู้ว่าเธอกำลังสับสนพวกเราทั้งสองคน นั่นล่ะ ฉันว่ามันสนุกตรงนี้ ^O^
เจ้ามะเขือพยายามซุกหมวกไหมพรมลายดอกไม้ไว้ใต้ก้น ร่างกายของเขาขยุกขยิกไปมา
เห็นแบบนี้แล้วยิ่งรู้สึกอยากแกล้งขึ้นมาเอาซะดื้อๆ
“เลือกอาหารเร็วเข้า เธอสั่งช้าได้กินช้านะ นี่มันดึกเกินที่จะกินอะไรหนักๆแล้วด้วย”
“โซจู1ลัง”
“เห!!O_O” บางทีเซฮุนก็เหมือนคนไม่ได้สติหน่อยๆ ตลอดเวลา “นายมีงานวันพรุ่งนี้นะ กินเป็นลังเดี๋ยวก็ตายหรอก”
“นี่ไง เธอมาด้วย แบกฉันกลับหน่อยก็แล้วกัน เธอเคยทำไม่ใช่หรอหลิวอี้ แฟนเขาก็ทำกันแบบนี้ละ” เซฮุนว่า เขาเบนหน้ายาวๆไปหาพี่สาวเจ้าของร้าน เสียงที่ทุ้มแปร่งแค่นเล็ดออกมาเหมือนคนเป็นหวัด “เอาโซจูมา1ลังเลย......ค่ะ”
อุ้..
OxO
“ ฮ่าฮ่าฮ่า”
ไม่แน่ใจว่าหัวเราะไปนานขนาดไหน ฉันว่าจะไม่ขำหรือล้อเลียนแต่ก็พลาดในสุด เสียงเอะอะคงจะดังออกไปข้างนอก เซฮุนนิ่วหน้าเมื่อรู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้ ความจริงเขาทำได้ แต่กลับเลือกที่จะไม่ทำมันออกมาต่อหน้าฉันในวันนี้ นึกประหลาดใจที่เจ้าเกย์ขวางโลกยอมบ้ายอทำตามฉันจริงๆนะกะอีเรื่องสลับเพศ มุกฝืดๆ ไม่รู้ว่าเขาอาจจะต้องการทำมันมานานแล้ว หรือเป็นเพราะหลิวอี้หยุน ที่แน่ๆฉันชอบที่เซฮุนเป็นแบบนี้
แก้มสีซีดๆเริ่มฝาดไปด้วยสีชมพู ใบหูของเขาก็เป็นสีชมพู
ในสมองของฉันกำลังตะโกนบอกว่า ฉันไม่อยากกลับไปที่โซลอีก
ขวดที่ห้าเขาก็เริ่มจอด กับข้าวมากมายเรียงรายเอาไว้ บางอย่างก็หน้าตาพิลึกพิลั่นโดยอ้างว่าเป็นเป็นเมนูแนะนำ ในขณะที่ฉันเป็นฝ่ายใช้ตะเกียบคอยคีบเอาอาหารทะเลทั้งหมดออกจากจานกับข้าวและราเมงของโอเซฮุนที่ถูกกินเส้นไปจนเกลี้ยง ถึงจะแพ้แค่ปลาหมึกยังไงซะอาหารทะเลอย่างแม้ไม่แพ้ก็อาจจะเป็นอันตรายกับคนที่ภูมิคุ้มกันทางด้านการกินบกพร่อง ฉันหวังว่าจะพอช่วยได้ถ้าหากเขาเริ่มขาดสติไปแล้วแค่นั้น จากประสบการณ์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าเกย์หนุ่มนี่เรามีอาการมึนเมา เขาจะดูเคร่งขรึมขึ้น ไม่ก็เหม่อลอยและพูดจาพร่ำเพ้อ และเวลานี้เซฮุนก็เริ่มจะเข้าข่ายอาการต้องสงสัย กว่าสิบนาทีที่เซฮุนเอาแต่จดจ้องอยู่แต่กับแอลกอฮอล์สีใสในมือ ดวงตาของเขาเหมือนคนไกล้หลับ
ฉันกินไปไม่ถึง2ขวดด้วยซ้ำ
ฉันเริ่มบุ้ยใบ้กับทางเจ้าของร้านว่าโซจูเท่าที่กินอยู่บนโต้ะเพียงพอแล้ว ส่วนที่เหลือขอคืนทางร้านคงจะดีเสียกว่า
“นี่ เมาแล้วรึยัง นายต้องออกงานพรุ่งนี้ ฉันเก็บที่เหลือแล้วนะ” ฉันพูดพลางตบลงบ่าของเขาเบาๆสามสี่ที ปฎิกริยาตอบรับของเจ้าเกย์เด็กเชื่องช้ากว่าที่คาดไว้ เขาจ้องมองฉันพร้อมกับขมวดคิ้วยาวๆเป็นปม
“ฉันไม่เมาง่ายๆหรอก แค่มีเรื่องให้คิดเยอะแยะไปหมด” เซฮุนว่า ร่างกายของเขาเริ่มหยัดตรงและเอนไปหาพนักพิงเก้าอี้ด้านหลังด้วยท่าทางผ่อนคลาย แววตาเรียวมองปลายตะเกียบของฉันที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในจานอาหารของเขา “ นี่กะจะกินส่วนของฉันให้หมดเลยรึไง ฉันเห็นเธอเอาแต่คีบกุ้งหอยปูปลาอยู่ได้ นั่น อันนั้นมันหม้อไฟทะเลนะ เธอเอาของทะเลออกจนเกลี้ยงแล้วงี้ฉันจะได้กินอะไรเล่า”
ฉันไม่ถนัดที่จะอธิบายว่าตัวเองทำยนู่นนั่นนี้ไปทำไมเพื่ออะไรสักเท่าไหร่ บางครั้งก็แค่ทำเพราะอยากทำ เหตุผลอาจจะดูขวานผ่าซาก แต่ก็นั่นละ ฉันคงไม่บอกเซฮุนแบบนั้นอย่างแน่นอน
ฉันจ้องเข้าไปในดวงตาสีมืดสนิทคู่นั้นกลับ มือเริ่มชื้นเหงื่ออกมาจนเฉอะแฉะ
“ฉันอยากกินส่วนที่คัดออกมามั้ง ---นายไม่เข้าใจเหตุผลของฉันหรอกน่ะ รีบดื่มแล้วไปกันเถอะ ก่อนที่ฉันจะเมาไม่ได้สติแล้วพากันกลับห้องไม่ถูก”
ฉันเป็นคนที่เดาระดับการดื่มของตัวเองได้เสมอ บางครั้ง5ขวดก็ยังไม่ส่งผลกระทบด้วยซ้ำ แต่วันนี้ฉันไม่ต้องการให้ตัวเองเมาจริงๆ เชจูไม่เหมือนที่โซล ไม่ได้มีรถหรือถนนหนทางที่เราคุ้นเคย ต้องมีใครสักคนที่ยังพอเหลือสติ
“อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้ไวไวนะสิ จะเป็นอิสระแล้วดีใจไหมละ” เขาพึมพำ เสียงทุ้มกังวานอยู่ในลำคอ คำถามแบบนั้นทำเอาไปไม่ถูก อยากจะบอกว่าฉันรู้สึกเสียใจซึ่งนั่นมันคงไม่สำคัญ
“อิสระอะไร ฉันก็อิสระมาตลอด ฉันไม่ได้เป็นลูกจ้างในโรงงานมืดนี่ โธ่ ขนลุกหน่า” ฉันเอ่ยทีเล่นทีจริงพลางแค่นเสียงหัวเราะ พยายามรักษาทุกอย่างให้เป็นปรกติ อาการประหม่ามักจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเวลาที่ต้องโกหก ฉันไม่ได้โกหก พูดความจริง แต่กลับรู้สึกขาดความเป็นตัวเองอย่างบอกไม่ถูก ฉันมั่นใจแล้วว่าเวลาที่เซฮุนเมา น่ากลัวกว่าที่ร่างตุ้ดอวตารเป็นไหนๆ เดาทิศทางไม่ได้ เขาจดจ้องด้วยสายตาแบบชวนขนพองสยองเกล้าไม่เลิก
“งั้นเราคงคิดเหมือนกัน....อย่างน้อยก็มีเรื่องที่เราคิดตรงกัน”
“....”
“ฉันกำลังรู้สึกเหมือนว่า พรุ่งนี้เธอจะเอาอิสระจากฉันไป ...พรุ่งนี้ฉันจะก้าวเข้าสู่การทำงานในโรงงานมืดแบบที่เธอว่า ฉันจะต้องทำงาน ฉันจะต้องมีครอบครัว ฉันจะต้องโต ภายในวันเดียว”
ไหล่ของเขาลู่ต่ำลงพร้อมๆกับลมหายใจเฮือกยาว
ความรู้สึกแบบนั้นมันกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ราวกับว่าฉันได้ยืนอยู่บนยอดของโซลทาวเวอร์แล้วกระโดดลงมาด้วยความรวดเร็ว วูบนึงไม่ค่อยดีนัก คำพูดที่กลายเป็นก้อนจุกอยู่ที่ลำคอ หรืออาจะเรียกได้ว่าเป็นความรู้สึกสงสาร ฉันคิดว่าเขาอาจจะมีความสุขที่ได้แต่งตัวเป็นเด็กผู้หญิงและได้ออกมาเดินเล่นโดยที่ใช้ชีวิตแบบที่อยากทำ ซึ่งผิดขนัด เขามักจะมีแววตาโศกเศร้าเวลาที่ดื่มกับฉันเสมอ
มันแย่เกินไป มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ
ฉันจะมอบอิสระคืนให้โอเซฮุน ทำไมเขาถึงพูดว่าฉันจะเอามันไป
“ใครๆก็ต้องทำงาน ใครๆก็ต้องมีครอบครัว มันเรื่องปรกติ แต่ไม่มีใครโตภายในวันเดียวหรอก ทำไมต้องทำท่าเสียดายอะไรขนาดนั้นเล่า ดูฉันซี่ ฉันก็ต้องทำงานเหมือนกัน ติดต่อไปตั้งสามสี่ที่ ไม่รู้จะได้เรื่องอะไรมั้ย ฉันอยากหาเงินเก็บอีกนิดหน่อย ยังไม่รู้ด้วยซ้ำวันข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ฉันก็จะค่อยๆโตเหมือนกัน นายก็เหมือนฉัน เข้าใจรึปล่าวล่ะ” ฉันอธิบาย มันคงยากถ้าหากฉันจะไปตั้งตัว หางานที่จีนใหม่
“---ถ้างั้น เรากลับไปโซลแล้ว ..เป็นอันว่าเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้นได้ไหม” สิ้นสุดคำขอร้องเราไม่ได้สบตากันอีก เขาเริ่มจ้องมองไปยังแก้วอีกครั้ง คำพูดแบบนั้นสร้างความรู้สึกเจ็บแปลบแปลกๆ ฉันพยายามไม่สนใจมัน แต่ก็กลับแย่ลงกว่าเก่า ฉันกำลังโกหกคำโต
“ ปรกติคนแบบนายก็ไม่ได้คิดคบหาคนระดับฉันอยู่แล้ว รู้หรอกน่า เรื่องเนียนฉันถนัด สบายใจได้”
“อืม” เซฮุนเอ่ย ฉันไม่หวังให้เขาตอบรับ แต่เขาก็ทำ “ เธอทำหน้าที่แฟนวันนี้ไม่ได้เรื่องเลย...“
“อะไรกัน! ก็มันมืดขนาดนี้ก็เที่ยวที่ไหนไม่ได้ เราดื่มด้วยกันก็เจ๋งแล้วน่า ชนหน่อยมั้ย ขวดสุดท้ายของนาย เพื่อมิตรภาพ!”
ฉันเร้งเร้าเขาในรูปแบบอื่นแทน ความจริงที่เสนอเรื่องคบกันหนึ่งคืนงี่เง่าไร้สาระก็แค่มุกฝืดๆ ฉันแค่อยากออกมาเที่ยว คงแบบนั้น แทบจะนึกไม่ออกเลยว่าตั้งแต่รู้จักกันมา มีครั้งไหนที่เราออกมาhangoutเพราะความต้องการจริงๆบ้าง สำหรับฉันคือถ้าไม่พ่วงด้วยคิมจงอิน ที่ผ่านมาแทบเรียกได้ว่าฉันไม่ได้ไปไหนมาไหนกับเซฮุนแบบเพื่อนเลย สองแขนยกเร่งรินโซจูลงใส่แก้วของตัวเองพร้อมกับชูมันขึ้น เจ้าเกย์เหลือตาขึ้นมามอง เขาดึงตัวเองกลับมาหยัดตรงพร้อมกับคว้าแถ้วของตัวเองบ้าง พวกเราชนกันหนึ่งครั้ง
แกร๊ง’
แอลกอฮล์ร้อนวาบไหลผ่านลำคอกระทั่งท้อง มันวูบไหวไปหมดสำหรับวันช็อท ฉันหลับตากซึมซาบความขมเฝื่อน มีลมคล้ายกับแกสในกระเพาตีขึ้นมาหลังจากนั้นนิดหน่อย ฉันทำท่าเหมือนสะอึก ในขณะที่โอเซฮุนเรอออกไปแล้วด้วยท่าทางเหมือนกบร้องในคืนฝนตก โดยไม่รู้ตัว มุมปากของฉันฉีกกว้างอีกครั้ง ฉันมักจะยิ้มเพราะเขาง่ายเกินไป นี่มันไม่ใช่ไสตล์สักหน่อย
ฉันรีบคีบกุ้งหางด้วนในจานเข้าปากอย่างลวกๆ ทำท่าว่าตั้งใจกินมันอย่างจริงจัง
บางครั้งฉันก็รู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่กับเซฮุนสองคน ......มันเริ่มที่จะอึดอัด
“คงอย่างที่เค้าว่า.....เวลาเที่ยวนี่ละช่วยให้ลืมสิ่งแย่ๆง่ายสุด อ่า...ใช่สิ มีอีกสิ่งนึงที่ฉันยังกังวล เธอคิดว่าพรุ่งนี้ผู้หญิงที่แม่ฉันนัดให้จะชอบฉันกลับรึปล่าว ฉันขอความคิดเห็นแบบผู้หญิงนะ ฉันไม่มีเพื่อนผู้หญิงเลยเธอรู้ใช่ไหม ฉันอยากให้ทุกอย่างมันจบภายในวันพรุ่งนี้ทีเดียว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด”
ฉันต้องขอบคุณที่เขาเปิดโอกาสให้ฉันได้แสดงความคิดเห็นไหม
“นี่นายอยากจะชนะขนาดนั้นจริงๆเลยหรอ..เพราะไอ้เบื้อกนั่นละสิ..หา...ถามจริง ตกลงเรื่องที่โรงแรมมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฉันกลั้นใจถามไปอีกครั้งหนึ่ง สาบานได้เลยว่าจงอินจะต้องหลอกหลอนพวกเราไปอีกสักพัก จงอินที่มีอำนาจพอที่ทำให้เซฮุนปิดปากเงียบ เขายังไม่ยอมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฉันฟังด้วยซ้ำตั้งแต่กลับมา จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังคงพยายามเลี่ยงที่จะตอบฉันตรงๆเหมือนเดิม
“ความลับมีมีในโลกไงล่ะ ...ฉันสตาร์ทช้าไปหน่อย ปล่อยให้คนอื่นวิ่งเหยียบหัวนำไปตั้งหลายก้าว ฉันจะเริ่มใหม่ นี่ ตกลงฉันถามเธอว่าฉันจะต้องว่างตัวยังไงดี เธอยังไม่ตอบฉันเลยนะ ทำไมชอบชวนออกนอกเรื่องเรื่อย”
“ก็แค่เป็นตัวเอง”
“เธอก็รู้ว่าถ้าฉันเป็นตัวฉันมันจะเป็นยังไง”
“ก็เป็นแบบนี้ไง ---ไม่เห็นมันจะเป็นยังไงเลย”
“ก็ฉันไม่ชอบผู้หญิง”
“ก็หัดชอบสิ!”
ฉันพูดว่าอะไรนะ พระเจ้า ฉันพูดว่าอะไร ฉันพูดว่าอะไรออกไป
ชอบผู้หญิงคืนอื่น ไม่ใช่ชอบฉัน แค่นั้น จบได้แล้วหลิวอี้หยุน
รู้ตัวอีกครั้งริมฝีปากก็เริ่มชาเสียแล้ว
เสียงของเขาหายไป ทิ้งให้ฉันกระพริบตาปริบๆเฝ้ารอคำโตเถียงที่สมควรออกมาเสียที อย่างน้อยฉันจะได้ไม่รู้สึกกระอักกระอ่วน ตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกเหมือนตัวเองมีคำว่า ‘ร้อนตัว’ แปะหน้าผากเอาไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไรก็เหมือนจะต้องหวาดระแวงอยู่เสมอ ฉันระแวงสิ่งที่อยู่ข้างในเมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องอยู่กับเจ้าเกย์เด็ก ฉันไม่มั่นใจที่จะสบตาเขา หรือพูดจาอะไรมากมายเท่าแต่ก่อน
มันคืออะไร เพราะมนต์ดำจากน้ำตาของเซฮุน หรือตั๋วเครื่องบินฟรีกันแน่!
ความคิดที่ฟุ้งซ่านนำพาจิตวิญญาณให้ออกไปเตร็ดเตร่ โอเซฮุนใช้ดวงตาอันว่างปล่าวจับจ้องใบหน้าลุกลนของฉันอย่างนิ่งเงียบ ฉันสมควรจะฟุ้งซ่านให้มากถ้าหากจะได้ลืมภาพที่เห็นตรงหน้า+_+
“อะ...จะเช่าบังกะโลมั้ยจ้ะ นี่ตีสองกว่าแล้ว ถ้าพวกเธอยังไม่มีที่พัก เดินไปอีก200เมตรจากตรงนี้ก็จะเจอ คู่รักชอบมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่นะ”
ขอบคุณพี่สาวที่ทำให้ฉันรอดตาย
“ว่าไงจ้ะ... พวกเธอสนใจไปดูพระอาทิตย์ขึ้นรึปล่าว??”
ผมคิดไปว่า การเป็นเพื่อนกันทุกครั้งก็อาจจะทำให้อึดอัดได้ถ้าหากเราเริ่มที่จะสนิทกันมากขึ้น
ไม่ใช่กับคนทั่วไป
มันเป็นตรรกะที่ค่อนข้างแปลกประหลาดมากทีเดียวสำหรับตัวของผมเองกับหลิวอี้ จนถึงเวลานี้ อะไรคือความมั่นใจที่มากมายกระทั่งทำให้กล้าตัดสินว่าตัวเองจะไม่มองย้อนกลับหลังมาอีก อะไรสักอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองพร้อมที่จะแต่งงาน มีครอบครัวแบบคนปรกติทั่วไป ทั้งๆที่ก่อนหน้า ผมแทบจะนึกถึงภาพของวันเหล่านั้นไม่ออกเลยสักครั้ง
ผมทิ้งให้ความสงสัยของตัวเองถูกละลายไปอย่างช้าๆ
ทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องราวที่ผ่าน. สิ่งที่ยังหลงเหลือ มีเพียงเรื่องเล็กๆน้อยที่ยังคงไม่สามารถทำได้สำเร็จเสียที การเอ่ยโทษหลิวอี้หยุนถึงเหตุการณ์หลายต่อหลายครั้งที่ผมมักจะก่อขึ้นเสมอๆโดยที่ไม่ฟังเสียงคัดค้านของเพื่อนตัวเตี้ย หลิวอี้ปากกวนประสาทแต่จิตใจของเธอไม่ได้เลวร้าย มันเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน ซึ่งผมยังไม่สามารถแยกทั้งสองอย่างออกจากกันได้
บางครั้งถ้าเรามีเวลารู้จักกันมากกว่านี้ก็คงดี…
ผมหมายถึงเธอสร้างมิติใหม่ให้กับทัศนคติของผมที่มีต่อเพศหญิงแค่นั้น
เพราะผมไม่ค่อยชอบแสดงพฤติกรรมผ่านทางคำพูดสักเท่าไหร่ การยอมออกมาเที่ยวด้วยชุดทุเรศๆเลยเป็นอีกหนทางหนึ่งที่เป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์ว่ากำลังรู้สึกผิด แค่กลั้นใจสวมๆไป ก็แค่ฝันร้าย หายนะครั้งใหญ่อย่างที่ผมไม่เคยคิดจะทำมาก่อน ตั้งแต่เกิด ทุกสิ่งที่จะมาอยู่บนตัวของโอเซฮุนได้จะต้องผ่านการคัดเลือกจากตัวผมเองก่อนโดยทั้งหมด
ผมไม่ได้ชอบชุดสีหวาน ไม่ได้ชอบสวมวิก บางครั้งพี่ๆที่บาร์ก็บอกว่าผมอยู่ในประเภทของเกย์ ระดับที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ทางกายภาพ...แค่มีรสนิยมในรักที่แปลกแยก ผมเชื่อมั่นในผลลัพธ์นั้นมาโดยตลอด
ผมไม่ได้บอกกับหลิวอี้เรื่องความเขย็ดขยาดเหล่านี้ เธอดูโอเคกับมัน ผมหมายถึงเธอคงสะใจ ส่วนผมเองก็ได้แต่ภาวนาว่าให้คนพบเจอเราน้อยที่สุด โชคดีที่มันเป็นช่วงเวลากลางคืน
บรรยากาศสำหรับร้านราคาถูกเลยเป็นสถานที่อันแสนมัศจรรย์ เงียบ ปลอดภัย และพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง
เวลาไม่ได้มีมากมายนัก ถึงจะมั่นใจว่าความโกรธที่ผมได้รับมันจะสุมอยู่จนแทบระเบิดก็ตามที ถึงอย่างนั้นความประหม่าก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนเลย โอเซฮุนยังคงกลัว ผมกลัวที่จะต้องไปเดทกับผู้หญิงแปลกหน้า ผมกลัวที่จะต้องออกงานโดยที่ไม่มีใครคอยบอกบทข้างๆ ผมกลัวผู้คนใหม่ๆที่ไม่เข้าใจในตัวตนของผมเอง แต่เธอไม่ได้รู้ เพราะผมก็คงจะไม่บอกออกไปให้รู้สึกเสียหน้า เป็นเวลานานที่ผมอาศัยแอลกอฮอล์ช่วยให้อะไรมันง่ายขึ้นเพื่อขอคำปรึกษา อย่างน้อยๆผมก็คงไม่รู้สึกอายที่จะต้องทำท่าทางเสมือนมีข้อด้อยกว่ายัยนี่ละนะ
ผมบ่นซะยืดยาว จำได้ว่ามันดูวกวนและงุนงงไม่ใช่น้อย
“คงอย่างที่เค้าว่า...........เวลาเที่ยวนี่ละช่วยให้ลืมสิ่งแย่ๆง่ายสุด อ่า...ใช่สิ มีอีกสิ่งนึงที่ฉันยังกังวล เธอคิดว่าพรุ่งนี้ผู้หญิงที่แม่ฉันนัดให้จะชอบฉันกลับรึปล่าว ฉันขอความคิดเห็นแบบผู้หญิงนะ ฉันไม่มีเพื่อนผู้หญิงเลยเธอรู้ใช่ไหม ฉันอยากให้ทุกอย่างมันจบภายในวันพรุ่งนี้ทีเดียว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด”
ผมทำสมาธิเลียบๆเคียงอยู่นาน สมองเริ่มหมุนติ้ว แต่ทุกอย่างยังโอเคดี หลิวอี้เม้มริมฝีปากอิ่มเป็นเส้นตรง ทว่าเธอสนใจของกินมากกว่าเพื่อนที่อยู่ตรงหน้าตั้งแต่เข้ามาแล้วให้ตายเถอะ
“นี่นายอยากจะชนะขนาดนั้นจริงๆเลยหรอ..เพราะไอ้เบื้อกนั่นละสิ..หา...ถามจริง ตกลงเรื่องที่โรงแรมมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
คิมจงอิน’งั้นสิ หลิวอี้จอมตื้อยังคงเสียนิสัย ยัยทอมมักจะเจ๋อเรื่องชาวบ้านไปทั่ว แต่ก่อนผมไม่ชอบมันนัก แต่จนถึงเวลานี้ผมกลับรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้แย่ หมายถึงอย่างน้อยผมก็ไม่ต้องคิดมุขเพื่อขอความช่วยเหลือจากใคร.. แค่รอเธอถามและเตรียมคำตอบไว้ก็แค่นั้น ถึงแม้ผมไม่ชอบบอกเล่าให้คนอื่นฟังก็ตาม หลิวอี้คงเป็นข้อยกเว้น จนถึงตอนนี้ความรักที่จงิอินมีให้กับผมตลอดมาก็ยังคงเป็นสิ่งที่แคลงอยู่ในหัวใจ ภาพใบหน้าของเขาที่โรงแรมนั่นราวกับว่ายังติดอยู่ในหัวสมอง ผมอาจจะกำจัดเขาออกไปได้ในไม่ช้า ได้แต่ภาวนาให้มันเป็นแบบนั้น ความรักที่เหมือน้ำผึ้งขมรสชาติเลวร้ายทำลายมโนภาพให้หลุดลอย ผมหลาบตาลงพยายามตั้งสติอีกรอบ นึกถึงคำพูดที่กำลังจะเอ่ย
ไม่รู้ทำไม ราวกับว่าแผ่นหลังเริ่มชุ่มเหงื่อจนเหนียวเหนอะหนะ
“ความลับมีมีในโลกไงล่ะ ...ฉันสตาร์ทช้าไปหน่อย ปล่อยให้คนอื่นวิ่งเหยียบหัวนำไปตั้งหลายก้าว ฉันจะเริ่มใหม่ นี่ ตกลงฉันถามเธอว่าฉันจะต้องว่างตัวยังไงดี เธอยังไม่ตอบฉันเลยนะ ทำไมชอบชวนออกนอกเรื่องเรื่อย”
“ก็แค่เป็นตัวเอง”
“เธอก็รู้ว่าถ้าฉันเป็นตัวฉันมันจะเป็นยังไง” ผมย้ำ เราคงไม่มีทางโกหกใครได้ โดยเฉพาะตัวเอง
“ก็เป็นแบบนี้ไง ---ไม่เห็นมันจะเป็นยังไงเลย” หลิวอี้ย้ำ ดวงตาของเธอเบิกโพลง
“ก็ฉันไม่ชอบผู้หญิง”
“ก็หัดชอบสิ!”
ความเงียบกลับมาได้ชัยชนะอีกหน เธอเป็นฝ่ายทำมันก่อน ราวกับว่าหลิวอี้เกร็งทั้งใบหน้าของเธอเอาไว้แบบนั้น ไม่กระดุกกระดิก มันน่าตลกดีแต่ผมดันไม่ขำ กลับเอาแต่จ้องเข้าไปม่านใสสีดำสนิท
คำว่าชอบมันเป็นยังไงนะ…
ผมสมควรจะเข้าใจสิ เพราะผมเคยมีความรักมาก่อน
แต่ทำไมตอนนี้กลับรู้สึกว่า...เหมือนมึคุ้นเคยกับมันมาก่อน..
“อะ...จะเช่าบังกะโลมั้ยจ้ะ นี่ตีสองกว่าแล้ว ถ้าพวกเธอยังไม่มีที่พัก เดินไปอีก200เมตรจากตรงนี้ก็จะเจอ คู่รักชอบมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่นะ ถูกๆ วิวสวยจริงๆ ฉันดูแลเอง”
“ว่าไงจ้ะ... สนใจไปดูพระอาทิตย์ขึ้นรึปล่าว??”
“หะ.....เห ครับ...เอ้ยค่ะ..อ๋อค่ะ!!.”
มารู้ตัวอีกที ผมก็ตอบตกลงว่าอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นไปเรียบร้อย ความเมาทำให้อะไรก็ง่ายไปซะหมด..การติดสินใจ ความเหน็ดเหนื่อย หรือลืมว่าพรุ่งนี้ต้องทำอะไรสำคัญๆอีกมากมาย ระยะทางห้อมล้อมความเงียบ สองขาที่สะเปะสะปาเหมือนถนนหนทางเลี้ยงโค้งไม่อยู่กับที่ ไม่ถึง25นาทีดี บ้านขนาดเล็กหลายเลข3ก็ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ชุมชนบังกะโลแถบนี้ไม่ได้เยอะอะไร พื้นที่ทั้งหมดติดชายหาด แต่เป็นหาดที่เล่นน้ำไม่ได้เพราะโขดหินที่สูงต่ำน่ากลัว มีเจ๋งแค่บรรยกาศ แถมโบนัสเป็นสายลมเย็นๆที่พาให้จิตใจผ่อนคลาย
เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งเป็นระยะ เหมือนดนตรีเพลงแจ้สง่ายๆ จังหวะเรื่อยเปื่อย เบาหวิว สงบ และอ่อนโยน
“นายพูดเองนะ ว่าอยากมาดู ... พวกเศรษฐีนี่เงินไหลออกกระเป๋าง่ายโคตรๆเลย”
เธอพูดระหว่างที่เราเดินเข้ามายังห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่กว้างมากนัก มีโฮมเสตย์คล้ายๆกันผุดขึ้นรอบๆ สี่ห้าหลัง ในขณะที่บ้านที่เราได้อยู่มีเพียงลูกฟูกบางเฉียบและเสื่อม้วน หัวกลมของเธอหันซ้ายหันขวาอย่างใคร่รู้ ผมก็เช่นกัน พวกเราสำรวจไปรอบๆโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ภายในห้องโล่งมีลมพัดทะลุแทบทุกซอกทุกมุมหากเปิดช่องให้อากาศวิ่งเข้า เมื่อเปิดบ้านเลื่อนด้านหน้าสุดก็จะพบระเบียงที่ทำเอาไว้สำหรับชมวิวด้านหน้า เก้าอี้หวายสองตัวตั้งอยู่มุมสุด
ผมมองแผนหลังแคบๆที่สะโหลสะเหล๋หยิบเสื่อมาปูกับพื้น หลิวอี้ทำท่าเหมือนกับอดนอนมาสักสิบปี ผมรู้ว่านี่มันตีสองตีสามแล้ว แต่นี่มันทริปเลี้ยงส่ง ผมหวังว่ามันจะพิเศษกว่าการที่มานั่งดูพระอาทิตย์ ไม่ใช่นั่งกินเบียร์คนเดียว โดยทิ้งยัยทอมนั่นนอนหลับอุตุไว้ด้านหลัง
“ สงสัยจะกินมาก ท้องฉันชักปวดตึ้บๆ=o= ขอนอนก่อนละ อยากฟูกเตียงก็เอานะ ฉันนอนเสื่อเอง บาย”
“เห้ย!!”
“อะไรอีก-_- นายอยากนอนรอให้พระอาทิตย์ขึ้นก็เนี่ยะ ระเบียง จะเปิดระเบียงไว้ก็ได้ หนาวหน่อยฉันทนได้”
“นี่เธอให้ฉันแต่งตัวพิลึกๆมาเพื่อดูเธอนอนงั้นหรอ เดี๋ยวสิ!”
ผมตะโกนร้องอย่างนึกหงุดหงิด แต่ไม่ทันเสียแล้ว หลิวอี้หยุนทิ้งดิ่งลงกับเสื่อตั้งแต่ประโยคแรก เธอหันหลังให้กับผม ซึ่งตอนนี้บรรยากาศภายในห้องเงียบชนิดที่ได้ยินเพียงเสียงลมหวืดหวือและลมหายใจ
“ฉันยิ่งไม่สบายท้อง หยุดบ่นได้แล้ว ขอโทษด้วยละกันที่เดทไม่สนุก..”
เสียงอู้อี้จากร่างเล็กๆที่กำลังตะแคงข้างดังขึ้น ไม่รู้ว่าสีหน้าแบบไหนกันที่กำลังทำอยู่ ผมอยากจะเถียงกลับไปจะแย่ว่า’ฉันก็ปวดหัวแทบระเบิดเหมือนกัน’ เธอคงลืมว่าผมดื่มไปเยอะแยะขนาดไหน แทนที่จะนั่งคุยกันสักพัก อย่างน้อยๆก็ให้รู้สึกง่วง นี่มันไม่เหมือนที่บ้าน ไม่ใช่ที่คอนโด ไม่ใช่ที่โรงแรม แต่คือสถานที่ราคาถูก น่ากลัวและวังเวงโคตรๆ
=_=
ผมอาจจะมองโลกในแง่ดีมากเกินไปถึงคิดว่ามันน่าจะหรูหรากว่านี้สักหน่อย
“ใช่ดิ ฉันไม่ได้เป็นนายจ้างเธอแล้วนี่” ผมแค่นเสียงพลางย่นจมูกใส่ไอ้ร่างกายสากกะเบือที่คงถอดจิตไปเที่ยวไหนต่อไหนเป็นที่เรียบร้อย ผมตัดสินใจเดินหาตู้เย็นและหยิบเอาเบียร์กระป๋องออกมา
มีสติกเกอร์สีเหลืองแปะเอาไว้บนชั้นแช่ระบุราคาที่ต้องจ่ายเพิ่มหากเปิดรับประทาน ผมมองผ่านๆก่อนที่จะเดินกลับมานั่งบนเก้าอี้หวายชุดเล็กมุมห้อง
เสียงฟู่..’จากแก็สที่ทุละผ่านออกมาดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงเดียวที่ผมได้ยินในเวลานี้ ความร้อนนำพารสนุ่มละมุนค่อยๆไหลลงคอที่เฝื่อนขม
ขวามือเป็นระเบียงที่ถูกปิดเอาไว้ ทะลุกระจกสี่ขุ่นเป็นเพียงทะเลที่มืดมิดและน่ากลัว มีแสงไปเป็นจุดเล็กๆที่สุดขอบฟ้า อาจจะเป็นเรือประมงที่เริ่มออกทำงาน ขวามือของผมเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเบื่อที่สุดในโลก เธอทิ้งผมไปด้วยการหนีไปอู้ด้วยเหตุผลเด็กประถม ผมเคยอ้างว่าปวดท้องเพื่อจะไปนอนเล่นในห้องพยาบาลตอนประถม ซึ่งมุกนี้มันก็เฉยมากๆสำหรับพวกขี้เกียจแต่ต้องการข้ออ้าง
บางอย่างบนตัวของเธอที่พองขึ้นพองลงด้วยแรงลมหายใจดูท่าจะดึงดูดสายตามของผมได้มากกว่าท้องทะเลที่ประดับประดาด้วยแสงไฟระยิบระยับด้านนอก ปรกติผมไม่เคยเห็นหลิวอี้เวลานอนบ่อยเท่าไหร่นัก เธอมักจะหลับในห้องเก็บของที่เยื้องออกไป ไม่ก็นอนบนพื้นด้านล่าง ..บนพื้นแบบเวลานี้
ยัยทอมอาจจะชินกับพื้นแข็งๆเลยหลับปุ๋ยโดยที่ไม่ต้องมานั่งคิดอะไรแบบผม
คิดว่า...ทำไมผมถึงไม่เคยรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิง
...
หลิวอี้มีเอวที่คอด.. มีไหล่ที่แคบ.. ต้นคอและผิวที่ขาว ...สัดส่วนทั้งหมดดูชัดเจนเมื่เธอตะแคงข้างแบบนั้น
......
=_=
พระเจ้า ผมต้องบอกให้เธอเปลี่ยนท่านอนซะ มันอาจจะทุเรศไปที่ผมต้องมาดูอะไรแบบนี้ ผมเกลียดผู้หญิงก็ตรงนี้นี่ละ มองเท่าไหร่ก็รู้สึกเขย็ดขยาด
คิดได้ก็รีบลุกลงไปนั่งกับพื้น ผมต้องทำให้เธอรู้สึกตัวและไปนอนในหลืบไหนก็ได้ ไม่ก็นอนคว่ำหน้าให้เหมือนศพยิ่งดี
“
เห้ย! นี่ ....เห้ย!!ตื่นเดี๋ยวนี้” ผมเขย่า แต่จับไหล่ของคนตรงหน้าได้ไม่ถึง10วิก็ต้องปล่อย
ทำไมต้องประหม่าวะ ไม่เข้าใจ
ไหล่แคบเหมือนรู้สึกตัวกระทั่งพลิกกลับมา มันไหวโคลงและช่วงเวลาที่ราวกับถูกหยุดเอาไว้ นาฬิกาของผมถูกถอดถ่าน เราสบตากันพอดิบพอดีกับที่เธอตื่น ไม่ใช่ว่าจงใจหรืออะไรทั้งนั้น เธอนอนหงายในระนาบตรงกับผมเป้ะ... ใบหน้าและคิ้วที่ขมวดยุ่งจากความรำคาญของเธอกำลังทำให้ผมประสาทกิน
หนึ่ง
สองและสาม......
ผมอาจจะเมา ฤทธิ์แอลกอล์ฮอล์ชักนำ ต้องทำยังไงก็ได้ ผมบอกตัวเองแบบนั้นทว่าดันไม่ลุกไปไหนสักที เอาแต่จับเจ่าไปที่กรอบหน้าคมไม่ชัดเจนในความมืด
ดวงตาของหลิวอี้เหมือนจะมีแค่ชั้นเดียว แต่พอมองไปนานๆจะรู้ว่ามันโตกว่าคนปรกติ โตกว่าผมเวลาที่โกรธ ซึ่งผมเคยอยากได้มัน...นั่นล่ะ ผมอยากได้ดวงตาของเธอ จะต้องทำยังไง
ความรู้สึกเบาโหวงและร่างกายที่ร้อนระอุ แผ่นหลังกำลังมีเหงื่อเพิ่มมากขึ้นจนชื้นแฉะ เสียงลมหายใจของตัวเองเหมือนกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่งสัก10กิโล บางครั้งเราอาจจะไมใช่เจ้าของตัวเองอย่างแม้จริง ผมเอาแต่คิดวกวนยู่อย่างนั้น
มีใครอีกคนที่อยู่ข้างในและเฝ้ารอที่จะออกมา ผมกำลังอนุญาตให้ความมืดมนเป็นเจ้าของ...เซฮุนคนเดิมกำลังจะไปไหน เขากับผมเป็นคนละคนกัน..และผมไม่ชอบร่างอวตารในเวลานี้สักเท่าไหร่
ใบหน้ายุ่งเหยิงของเธอกำลังเข้ามาใกล้ คิ้วขมวดเป็นปมเริ่มคลายออก เว้นเพียงม่านใสคู่สวยที่สะท้อนใบหน้าของผมในนั้น
ผมกลับอยากให้คิมจงอินออกมาเหมือนที่เขามักจะโผล่ในยามที่ผมเมามายและคิดถึง สมองของผมกลวงโล่งเกินกว่าที่จงอินจะเข้ามาแล้วหรือ..ผมร่ำร้อง ทว่าอะไรสักอย่างที่เข้ามาหยุดสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
แต่ไม่เลย......ผู้ชายคนนั้นคงไม่คิดจะกลับมาหาผมตลอดกาล...เขาจมดิ่งลงสู่ความมืดซึ่งไม่หวนกลับมาอีกแล้ว
กลิ่นโซจู...
ผมได้กลิ่นของเธอ...
ริมฝีปากที่แห้งผากสำผัสได้ถึงผิวละเอียดที่ร้อนผ่าว ปลายจมูกแตะลงไปพร้อมๆกัน ผมรับรู้ได้ถึงดวงตาที่ปิดลง ขาตายาวไล้ผ่านสันจมูกของผมไป เพราะเราใกล้กันจนแทบไม่เห็นช่องว่าง แม้ร่างกายส่วนล่างยังไม่ได้แตะต้องกันก็ตามที ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร
ทำไมเธอถึงไม่เป็นฝ่ายหยุดมันเสียที ผมกำลังสติแตก
หัวใจภายใต้เสื้อหนาเหมือนจะเร่งอุณภูมิให้สูงขึ้น เจ้าก้อนเนื้อนี่เอาแต่ตุ้นตุ้บตั่บไม่เลิก
มันเต้นไปพร้อมๆกับช่วงเวลาที่ริมฝีปากของเราแตะกันในที่สุด...มันเชื่องช้า...ผมตั้งใจให้มันค่อยๆเป็นค่อยไป หลิวอี้ไม่ใช่ผู้หญิงอย่างว่า ภายนอกเธอมีแต่ความหยาบกระด้าง ส่วนภายในก็คงไม่น่าทนุถนอมโดยสิ้นเชิงทว่ารสชาติในเวลานี้มันไม่เลวนัก เธอยังคงนุ่มนิ่มเหมือนผู้หญิงปรกติ ความนุ่มหยุ่นที่ปลายสำผัสไม่จบสิ้นเสียที ลิ้นอุ่นๆของเราสัมผัสกัน ผมรับรู้ได้ว่าเจ้ามารชั่วร้ายที่กำลังอาศัยร่างของโอเซฮุนไม่ได้ถูกปฎิเสธ...ลมหายใจของเธอเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ
ผมกับเธอเคยจูบกันแล้ว แต่น่าแปลกที่ครั้งนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง
ระดับที่1
รู้สึกตัวอีกทีมือที่เย็นเฉียบของผมไม่ได้เท้ากับพื้นอีกต่อไป ข้างหนึ่งค่อยๆช้อนเข้ากับศีรษะทุยของผู้หญิงตรงหน้า ส่วนอีกข้างกลับเลวร้ายมากกว่า มันถูกวางทาบบนหน้าท้องแบนราบ ติดแค่ว่ามีเสื้อหนาคั่นกลางเอาไว้ ....ผมจะทำแบบนั้นไม่ได้
ผมจะรุกล้ำไปถึงระดับสองไม่ได้ !!!
ทำแบบนั้นไม่ได้!!’ ผมสั่งเจ้าบ้าที่กำลังสิงสถิตอยู่ภายในร่างกายตัวเอง แต่ไม่เลย เขาไม่ฟังผมอีก
ปลายนิ้วที่สอดเข้าไปใต้นั้นสัมผัสได้ถึงเนื้อละเอียด หน้าท้องของเธอยกสูงขึ้นและลดลงแสดงถึงการหายใจที่ไม่เหมือนเดิม
....และทันใดนั้น
“ปล่อยฉัน!!!!.... ฉันเจ็บท้อง!!!”
ผมถูกผลักออกกระทั่งเซไปด้านหลัง
โอเซฮุนกลับมาแล้ว ....ขอบคุณพระเจ้า
หลิวอี้หยุนก็เช่นกัน..'
เธอกำลังนอนขดตัวเหมือนกุ้งทแล ใบหน้ากลับมาเหยเก พร้อมกับพูดประโยคเดิมซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
ผมได้แต่นั่งนิ่งด้วยดวงตาเบิกโพลง
“...ฉะ...ปวดท้องชะมัด.....ช่วยฉันที....”
แล้วผมก็เห็นเลือดเปรอะเปรื้อนเต็มพื้นเสื่อ
........
หรือจูบของผม ...ทำให้เธอเลือดออก...
-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*--
ตบท้ายด้วยรูปเซฮุนหล่อทำไม ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาเลย แค่ติ่ง แค่ชอบ แค่อยากแบ่งปัน -////- แฮ่ๆ
เข้าเรื่องเลยดีกว่า
ทิ้งเอาไว้ก่อนวันสิ้นดลกของเซฮุนยังนึกไม่ออกสำหรับช่วงเวลาดูตัวครั้งสุดท้ายของโอเซฮวนคนหล่อ แถมแต่งเพ้อเจ้อ55555555ฉากวาบวิบวิเหวงโหวงที่มากที่สุดเท่าที่เคยทำ เพราะไม่เคยแต่งซีนแบบนี้เลยให้ตาย ให้กลายเป็นหมัน บุดดิสช่วยกล้วยทอด โง้ยยยT///T ตอนนี้ยาวเนอะ อ่านหมดไหม ไม่รู้บ่นอะไรเยอะแยะ ว่าจะแบ่งเป็นสองตอน แต่ยังไงดี ขี้เกียจ ใส่มันไปเลยรวมกัน สร้างความมืดมึนให้กับรีดเดอร์ ช่างเป็นไรต์เตอร์เส็งเคร็ง55555 แง่มๆ
ไว้เจอกันตอนนะค้า ขอบพระคุณสำหรับเม้นทุกเม้น ดีใจที่มีคนอยากอ่านต่อนะ ผริ่มT-T
จะรีบเท่าที่มีเวลามาลงอีก
รัก รัก รัก รัก รัก
ความคิดเห็น