ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงชะตามีเกณฑ์จะได้รัก

    ลำดับตอนที่ #39 : รู้เท่าทัน

    • อัปเดตล่าสุด 7 เม.ย. 66


    จ้าวเวยหลงก้มหน้ามองข้อความที่ถูกส่งมาจากพันธมิตรคนสวยของเขา ซึ่งเป็นรูปขาของเธอและพื้นรถเกือบครึ่งรูป บอกว่าเธออยู่บนรถเรียบร้อยแล้วเมื่อเขาถามเธอว่าเธอออกไปแล้วหรือยัง แน่ล่ะว่าเขาได้รับขอความที่เหมือนฝันส่งมา  ‘แจ้ง’ ว่ามาสฟ้าต้องการไปซื้อของใช้ส่วนตัวก่อนหน้านี้ และทันทีที่เขาได้รับข้อความนั้นเขาก็ส่งลู่เหวิ่นให้ไปช่วยหวางเย่ดูแลเหมือนฝันและมาสฟ้าอีกแรง

    แม้ตอนนี้ทุกอย่างจะชวนให้เชื่อว่าอู่อี้เทียนไม่ได้เล่นตุกติก กลับมาที่เซี่ยงไฮ้โดยปราศจากทีมอารักขา แต่จ้าวเวยหลงก็ยังไม่คลายความระแวงของตนลง ดังนั้นเมื่อเหมือนฝันบอกว่าพี่สาวเธอต้องการออกไปด้านนอก จ้าวเวยหลงก็ไม่คิดจะขวางเธอแต่ถามว่าเขาจะปล่อยให้ผู้หญิงสองคนเดินท่อมๆด้านนอกเพียงสองคนไหม จ้าวเวยหลงก็ขอบอกเลยว่าไม่ทีทางที่เขาจะยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น

    หากพวกเธอยืนยันที่จะออกไปเที่ยวพวกเธอก็สามารถทำได้ แต่ก็ต่อเมื่อพวกเธอไปพร้อมกับทีมบอดีการ์ดที่ดีที่สุดของเขาเท่านั้น

    ‘เที่ยวให้สนุก’ 
     

    ปลายนิ้วหนากดพิมพ์ข้อความสั้นๆ ส่งตอบเหมือนฝันไป รู้ว่าคำพูดเท่านี้คงไม่ได้มีความพิเศษอะไรมากมาย แต่จ้าวเวยหลงก็รู้ดีเหมือนกัน ว่าเขาไม่สามารถอ่านข้อความของผู้หญิงแล้วไม่ตอบได้ ถึงจะเป็นเพียงพันธมิตรชั่วคราวของกันและกัน แต่จ้าวเวยหลงก็ไม่ได้มีความคิดที่อยากจะทำให้เหมือนฝันขุ่นเคืองตน

    ปิ๊ง!

    เสียงแจ้งเตือนว่ามีข้อความส่งเข้ามาทำให้จ้าวเวยหลงเปิดมือถือของตัวเองด้วยความรวดเร็ว ทำให้คนรอบ้างพร้อมใจกันมองมาที่เขาเป็นตาเดียวหากแต่ไม่มีใครทักท้าวงอะไรออกมา
     

    สติ๊กเกอร์แมวหน้าตาประหลาดที่ตะเบ๊ะท่ารับทราบตอบมา ทำให้จ้าวเวยหลงหลุดเผลอยิ้ม ด้วยคาดไม่ถึงว่าจะได้รับการตอบกลับเช่นนี้จากเหมือนฝัน อันที่จริงเขาไม่คาดหวังว่าจะได้รับการตอบรับแบบนี้จากใครทั้งนั้น แต่นั่นคงโทษคนอื่นทั้งหมดไม่ได้เสียทีเดียวเพราะส่วนตัวของเขาเอง จ้าวเวยหลงก็รู้ว่าเขานั้นไม่ใช่พวกที่ชอบส่งข้อความคุยกับใคร อันที่จริงเขาไม่ชอบคุยกับใครเลยไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม

    “นั่นแกคุยกับใครน่ะ” จ้าวลี่หยางที่เบื่อที่จะฟังลูกชายของเขาพ่นเรื่องไร้สาระ ชะโงกหน้ามามองจ้าวเวยหลงที่ก้มหน้ากับมือถือของตัวเอง ง่วนอยู่กับการส่งข้อความตอบโต้กับใครบางคนอยู่ กระทั่งหลุดยิ้มออกมาผิดกับทุกคนในห้องที่หน้าเครียดกันหมด “ทำไมยิ้ม”

    “กับเหมือนฝันน่ะครับ” จ้าวหลงตอบอย่างไม่ปิดบังด้วยรู้ว่ายังไงพวกเขาก็คงเดาได้ไม่ยาก “เรื่องไร้สาระ ไม่มีอะไรหรอก”

    “เด็กนั่นคุยกับแกเหรอ”  น้ำเสียงของจ้าวลี่หยางมีแววแปลกใจ ในตอนแรกเขาคิดว่าน้องสาวของมาสฟ้าจะโกรธจ้าวเวยหลงที่ลักพาตัวเธอมาขั้นที่ว่าผีไม่เผาเงาไม่เหยียบเสียอีก แต่หากเด็กนั่นส่งข้อความคุยกับจ้าวเวยหลงก็แสดงว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่นับว่าแย่อย่างที่เขานึกกลัว  “แล้วมาสฟ้าล่ะอยู่ด้วยไหม พักผ่อนหายเหนื่อยหรือยัง”

    “ไม่ทราบครับ เขาไม่ตอบมาแล้ว”

    “เอ้า แกก็ถามไปสิ” จ้าวลี่หยางชักสีหน้า หลุดผลุสวาทหลานชายคนเล็กของคนไปอย่างขัดใจ  “แกไม่ถามแล้วจะรู้เหรอ”

    “ปู่กลัวว่าจะทำให้มาสฟ้าเขาโกรธไม่ใช่เหรอครับ ไม่ปล่อยให้เขาพักเงียบๆ กันก่อนสักหน่อยล่ะ” จ้าวเวยหลงออกความเห็น ไม่คิดที่จะหลุดปากบอกเรื่องที่ว่าตอนนี้เหมือนฝันและมาสฟ้าออกไปด้านนอกกันแล้วให้คนในห้องได้รู้ ที่เขาทำอย่างนั้นก็ด้วยหลายเหตุผลประกอบกัน แต่เหตุผลหลักๆ นั่นก็คือจ้าวเวยหลงไม่ไว้ใจคนในครอบครัวเขา

    และใช่...เขาหมายถึงตระกูลจ้าวและครอบครัวของอู่อี้เทียน รวมไปถึงจ้าวลี่หยางเองก็ด้วย

    “อย่าเพิ่งไปรบกวนอะไรเขามากเลย”

    “แหม รู้จักกันไม่เท่าไหร่ก็คิดแทนเขาแล้วนะ” เป็นจ้าวเฟยหรงที่ค่อนแคะหลานชายโดยไม่นึกเกรงใจ พ่อของจ้าวเวยหลงที่นั่งหัวโด่อยู่ไม่ไกลจากเธอเท่าไหร่นัก  “น่าประทับใจจริงๆ เลยหลานป้า”

    “ผมแค่พูดตามที่รู้มา ปู่เกรงใจมาสฟ้าเขามากไม่ใช่หรือครับ” จ้าวเวยหลงรู้ตัวว่าเขาไม่มีทางเอาชนะผู้เป็นป้าได้ จึงเพียงแต่ชี้แจงไปตามข้อเท็จจริงโดยไม่กล่าวถึงเรื่องอะไรที่จะย้อนเข้าตัวเขาได้

    “คงไม่ใช่มีแต่ท่านหรอกที่กลัวมาสฟ้า แกเองก็คงเหมือนกันนั่นล่ะ”  อู่อี้เทียนเอ่ยอย่างอดไม่ ยิ่งเห็นท่าทางอ่อนน้อมของจ้าวเวยหลงมีต่อมาสฟ้าเขาก็ยิ่งหงุดหงิด เขามั่นใจว่าจ้าวเวยหลงไม่ใช่พวกงมงายแต่เหตุผลที่ทำให้เขาสงบปากสงบคำ ไม่เปิดศึกกับมาสฟ้าตั้งแต่แรกเห็นนั้นต้องเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาแน่ และเหตุผลปริศนาที่ว่านั่นแหละที่ทำให้อู่อี้เทียนนั่งไม่ติดเก้าอี้

    “มาสฟ้าเป็นคนสวย ใครๆ ก็ชอบคนสวยทั้งนั่นแหละครับ” จ้าวเวยหลงยักไหล่ ไม่สนใจว่าอู่อี้เทียนจะมองออกว่าคำพูดเมื่อกี้คือการโกหก อู่อี้เทียนรู้ว่าเขาโกหกแล้วอย่างไรล่ะ เต็มที่ก็ทำได้แต่มองเขาตาเขียวเหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้เท่านั่นแหละ “ผมเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ชื่นชมของสวยๆ งามๆหน่อยก็อย่ารีบเหมารวมว่าผมหงอสิครับ”

    “น้องสาวเขาหน้าตาเหมือนกัน แกไม่เห็นกลัว” อู่อี้เทียนดักคอลูกพี่ลูกน้องตนเองด้วยน้ำเสียงกระด้างหู ที่ทำให้สายตาทุกคู่ในห้องจับจ้องมาที่เขาและจ้าวเวยหลงเป็นตาเดียว แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา “คิดว่าฉันดูไม่ออกหรอว่าแกมีแผนจะทำอะไร”

    “ผมจะทำอะไรล่ะครับ” จ้าวเวยหลงเลิกคิ้วมองลูกผู้พี่ที่อาวุโสกว่าตนอย่างท้าทาย “หรือที่ระแวงเนี่ยเพราะตัวเองก็มีแผนการอยู่ในใจแล้วเหมือนกัน ติดแค่ว่ามาสฟ้าเขามานี่เสียก่อนเลยทำไม่สำเร็จ”

    “ฉันไม่จนตรอกจนต้องใช้แผนการเด็กๆ แบบแกหรอกนะ”

    “ก็ขอให้เป็นแบบนี้ไปนานๆ แล้วกันครับ” ผู้มีประสบการณ์การรับมือกับแฝดน้องเอ่ยอวยพร มั่นใจว่าการเผชิญหน้ากับเหมือนฝันก็ปวดเศียรเวียนเกล้ามากพอแล้ว การเผชิญหน้ากับมาสฟ้าพร้อมกันไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องง่ายไปได้หรอก

    “พอที!” เป็นจ้าวลี่หยางที่ทนกับเรื่องไร้สาระตรงหน้านี้ต่อไปไม่ได้ ที่ตวาดหลานชายทั้งสองของตนออกมา “พวกแกเสียสติไปแล้วจริงๆ หรือยังไง ถึงได้มาทะเลาะกันเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่อย่างนี้”

    เมื่อทั้งลูกและหลายยอมเงียบ สีหน้าของจ้าวลี่หยางจึงค่อยดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเรื่องที่เขาเห็นว่าสำคัญมากกว่าการเขม่นกันของลูกๆ ซึ่งต้นเหตุมาจากเรื่องในอดีต

    “แทนที่จะช่วยฉันคิดว่าจะดูแลแขกยังไง กลับมากัดกันเพราะเรื่องไม่เห็นเรื่อง ไร้ประโยชน์กันทั้งลูกทั้งหลาน”

    “ก็ไม่เห็นว่าแขกของพ่อต้องดูและเป็นพิเศษนี่นา” เป็นจ้าวเฟยหรงที่พึมพำเสียงค่อย แต่ก็ยังดังพอที่คนในโต๊ะจะได้ยินโดยเฉพาะจ้าวลี่หยาง ที่ถึงกับถลึงตาจ้องหน้าลูกสาวคนเดียวของตนราวกับจะพุ่งไปกินเลือดกินเนื้อ แต่สายตานั้นของชายชรากลับไม่สามารถข่มขวัญคุณหนูจ้าวคนเก่งได้ จ้าวเฟยหรงเพียงเลิกคิ้วแล้วย้อนถามพ่อของตนด้วยน้ำเสียงแดกดัน “อะไรเล่าก็มันจริงนี่...ตั้งแต่หนูมาสฟ้าล่ะ อยู่ง่ายกินง่ายจะตายไป ส่วนน้องสาวคงไม่ต้องห่วงมากหรอก ถ้าอยู่ดีทั้งที่โดนคนแปลกหน้าลักพาตัวมาก็คงดูแลง่ายพอกันนั่นแหละ”  ท้ายประโยคนั้นจ้าวเฟยหรงตวัดสายตามาหยุดที่ ‘คนแปลกหน้า’  ผู้ที่ลักพาตัวเหมือนฝันมา

    “ผมไม่ได้ลักพาตัวเหมือนฝันมาครับ” จ้าวเวยหลงพยายามแก้ไขความเข้าใจผิด เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วเขาก็ขี้เกียจจะนับ “อีกอย่างทั้มาสฟ้าและเหมือนฝันคงดูแลตัวเองได้ ตอนนี้เขาออกไปซื้อของกันอยู่ เราคงไม่ต้องห่วงมากหรอกครับ”

    “แล้วแกก็ปล่อยเขาไปงั้นเหรอ!” อู่อี้เทียนตวาดลูกพี่ลูกน้องของตน ความโกรธคุกรุ่นในอกเมื่อคิดว่าตอนนี้มาสฟ้ากำลังเดินท่อมๆ อยู่ข้างนอกนั่นกับน้องสาวของธอแค่สองคน  “แกบ้าไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม ถึงได้ปล่อยสองคนนั้นออกไปข้างนอกโดยที่ไม่บอกฉันก่อน”

    “ผมห้ามเขาไม่ได้หรอก ถ้าเขาอยากออกไปก็คงต้องตามนั้น” จ้าวเวยหลงอ้อมแอ้มตอบ เริ่มไม่เข้าใจท่าทางโกรธจริงจังของอี้เทียนแต่ก็พยายามอธิบาย “อีกอย่างก็ไม่ได้ปล่อยเขาไปแค่สองคนสักหน่อย หวางเย่กับลู่เหวิ่นก็ไปด้วย”

    “แล้วพวกมันไว้ใจได้ไหมล่ะ” อู่อี้เทียนตะคอกถามจ้าวเวยหลง ทำให้คนในห้องมองพวกเขาอย่างสนใจสนใจ โดยเฉพาะจ้าวซ่งเหยี่ยนที่กล้ำกลืนความโกรธไว้ในลำคอ ห้ามตัวเองไม่ให้อาละวาดออกมาเพราะสิ่งที่พ่อของเขาทำ จ้าวซ่งเหยี่ยนเตือนตัวเองให้รีบคลายความโกรธเพื่อที่จะมองเรื่องต่างๆ ตรงหน้าให้ชัดเจนขึ้น

    “แล้วเรื่องนั้นมันเกี่ยวกับพี่ตรงไหนล่ะ” จ้าวเวยหลงย้อนถามอู่อี้เทียน “เหมือนฝันเขาส่งข้อความมาบอกผมก่อนแล้ว ว่าพี่สาวเขาอยากออกไปซื้อของ...ต่อให้ผมบอกพี่ก่อนหรือไม่จะไม่บอก พี่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีเพราะคนที่ตัดสินใจว่าจะออกไปข้างนอกมันคือมาสฟ้า ผมก็แค่มีหน้าที่ดูและความปลอดภัยกับอำนวยความสะดวกในฐานะเจ้าบ้าน”

    “อย่างแกคงไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแค่เจ้าบ้านล่ะมั้ง” อู่อี้เทียนแดกดัน ไม่สนใจฐานะของจ้าวเวยหลง หรือว่าสถานทีที่เขาอยุ่ตอนนี้ว่ามันคือบ้านของคนที่เขากำลังตั้งท่าจะวางมวยด้วย สิ่งเดียวที่อู่อี้เทียนสนใจคือเรื่องที่จ้าวเวยหลงถือสิทธิ์ ว่าตัวเองสามารถอนุญาตให้มาสฟ้าของเขาออกไปไหนต่อไหนได้ตามใจชอบ โดยไม่ถามความเห็นของเขาก่อน

    “นั่นพูดถึงผมหรือตัวเองล่ะ ที่ว่าไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแค่เจ้าบ้านน่ะ”

    “เรื่องนั้นมึงไม่ต้องเสือก”

     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×