ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงชะตามีเกณฑ์จะได้รัก

    ลำดับตอนที่ #3 : ความขัดแย้งในตระกูลจ้าว

    • อัปเดตล่าสุด 9 ส.ค. 64


        

    คิดถึงปัญหาต่างๆ แล้วจ้าวเวยหลงก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที พลันสงสัยว่าเขาทำบาปกรรมอะไรเอาไว้กับพวกหมอดู ทำไมทั้งชีวิตของเขาจึงต้องมาเดือดร้อนเพราะคนพวกนี้ไม่จบไม่สิ้น ตั้งแต่คราวของครอบครัวของป้าใหญ่จนกระทั่งตอนนี้ เมื่อไหร่ที่ตระกูลของเขาจะสามารถก้าวข้ามความงมงายพวกนี้ไปได้เสียที

    หลังจากที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลแทนจ้าวลี่หยาง แม้ว่าจ้าวเวยหลงจะพยายามอย่างหนักแต่เขาก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนความคิด ความเชื่อนี้ออกไปจากการบริหารงานอย่างสิ้นเชิงอย่างที่เขาวางแผนไว้ในตอนแรก นี่มันยุคไหนกันแล้วทำไมบรรดาผู้อาวุโสในตระกูลถึงได้ยึดติดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้นัก...

    สำหรับจ้าวเวยหลงแล้วเขาไม่ต้องการให้มีเรื่องพวกนี้มาเกี่ยวข้องในการทำงาน ภายใต้การบริหารของเขา ชายหนุ่มนั้นไม่เหมือนปู่ของเขาที่เชื่อเรื่องพวกนี้มาก ชนิดที่ว่าที่ต้องตรวจเช็กตั้งแต่ฮวงจุ้ยมาจนถึงสีของป้ายบริษัท ทำแบบนั้นมันเสียเวลาและเสียทรัพยากรโดยใช่เหตุในสายตาของจ้าวเวยหลง เขาต้องการให้การทำงานมันเป็นไปอย่างรวดเร็วและทันสมัย ยิ่งในช่วงหลังที่เขามีการติดต่อกับบริษัทชาวตะวันตก...เรื่องความเชื่อพวกนี้ควรจะหมดไปได้แล้ว

    นอกจากจะเสียเงินและเวลาโดยใช่เหตุแล้วยังยากที่จะอธิบายให้พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจเข้าใจอีก...การจะบอกว่าต้องเว้นทางเดินไว้ให้เทพเจ้าเดิน แค่คิดเขาก็อับอายจนอยากจะเอาหัวมุดคอนกรีตแล้ว

    สิ่งที่จ้าวเวยหลงอยากได้มันก็เรื่องหนึ่งแต่สิ่งที่เขาสามารถทำได้ ภายใต้การมีอยู่ของจ้าวลี่หยางนั้นมันก็เรื่องหนึ่ง แม้ว่าจ้าวลี่หยางจะพูดว่าเขาลงจากตำแหน่งผู้นำตระกูลและยกตำแหน่งนั้นให้จ้าวเวยหลงผู้เป็นหลานชายแล้วก็ตาม แต่ในทางปฏิบัตินั้นอำนาจที่จ้าวลี่หยางเคยมี ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถมองข้ามไปได้เลยเสียทีเดียว...

    หลายคนในตระกูล โดยเฉพาะรุ่นพ่อของจ้าวเวยหลง ยังเกรงกลัวจ้าวหลี่หยางอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเพราะจ้าวหลี่หยางเป็นพ่อของพวกเขาหรือเพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกลดความโปรดปรานลง แล้วถูกขับออกจากตระกูลเหมือนลูกสาวคนโตครอบครัว ไม่ว่าจะเพราะด้วยเหตุผลอะไรนั้น ทุกเหตุผลที่ว่ามาก็เป็นเรื่องที่น่ารำคาญพอแล้วสำหรับผู้นำตระกูลคนใหม่อย่างจ้าวเวยหลง

    โดยส่วนตัวแล้วจ้าวเวยหลงไม่ได้มีความคิดที่จะยกตนเป็นใหญ่เหนือจ้าวลี่หยาง เขาไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้นอยู่แล้ว...ขอแค่ตอนที่เขาและปู่มีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องไร้สาระพวกนี้ หรือเรื่องที่หมอดูทักท้วงให้มีการปรับเปลี่ยนบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับบริษัท เขาก็คาดหวังให้คนใต้บังคับบัญชาของเขาสนับสนุนความเห็นของเขา ไม่ใช่นอบน้อมพยักหน้าเห็นด้วยกับจ้าวลี่หยางไปเสียหมด

    บางครั้งจ้าวเวยหลงก็อดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า ที่บรรดาคนในตระกูลสนับสนุนความเห็นของจ้าวลี่หยางนั้น เพราะแท้จริงแล้วทุกคนในบ้านก็มีความเชื่อแบบเดียวกับปู่ของเขา ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวบารมีของชายชราอย่างที่อ้างกับเขา

    ก่อนที่จ้าวเวยหลงจะได้เสียเวลากับเรื่องที่ผ่านมาแล้วไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มก็รู้ตัวว่าตอนนี้รถของพวกเขาได้เคลื่อนเข้ามาในอาณาจักรจ้าวที่ยิ่งใหญ่เรียบร้อย เฉวียนจิ้นเอ็นเตอร์ไพรส์เป็นหนึ่งในหลายธุรกิจของตระกูลจ้าว แต่ก็เรียกได้ว่าเฉวียนจิ้นเอ็นเตอร์ไพร์สนั้นเป็นธุรกิจหลัก ที่ผลักดันให้ตระกูลที่น่าเกรงขามในวงการธุรกิจเลยทีเดียว จากที่ก่อนหน้านี้ชื่อเสียงเดียวของตระกูลจ้าวนั้นมีเพียงความเก่าแก่ให้คนเขาเล่าลือกัน ผิดกับตอนนี้ที่เฉวียนจิ้นเอ็นเตอร์ไพร์สกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในกล่มอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รับผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ให้แก่สองบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกา เพียงไม่กี่ปีพวกเขาก็ผงาดขึ้นมากลายเป็นหนึ่งในองค์กรที่ไม่มีใครกล้ามองข้ามไป

    และเพราะเหตุนั้นตำแหน่งผู้บริหารเฉวียนจิ้นเอ็นเตอร์ไพรส์เป็นที่หมายปองของใครหลายคนในตระกูลจ้าว ต่างมีความคิดไปว่าการที่ลูกหลานของใครขึ้นมารับตำแหน่งนี้ได้ก็ไม่ต่างจากการได้ขึ้นไปควบคุมตระกูลจ้าวทั้งหมดไว้ในกำมือ...ซึ่งความคิดนั้นก็ไม่ได้ผิดไปจากความจริงมากเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะถูกไปทั้งหมดเสียทีเดียว

    ในความรู้สึกของจ้าวเวยหลงหลังจากที่ขึ้นมาทำหน้าที่นี้ต่อจากผู้เป็นปู่ได้เพียงไม่นาน จ้าวเวยหลงก็ได้เรียนรู้ว่าตำแหน่งและอำนาจที่เขามีในมือ ไม่ได้มาพร้อมความสวยหรูและสุขสบายอย่างที่ใครๆ จินตนาการ กลับกันเสียอีก...อำนาจที่หลายคนอยากได้นั้น มาพร้อมความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ และความคาดหวังที่จ้าวเวยหลงต้องแบกรับ

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เขาไม่สามารถไม่ตัดสินใจผิดพลาดได้ เพราะความผิดพลาดครั้งหนึ่งของเขาอาจจะทำให้ลูกจ้างตัวเล็กๆ หลายคนต้องลำบาก เป็นภาระที่หนักอึ้งเต็มสองบ่าของจ้าวเวยหลง จนบางครั้งเขาก็นึกอย่างจะโยนทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งแล้วกลับไปใช้ชีวิตอย่างที่คนในวัยสามสิบสามปีเขาทำกัน

    แต่นั่นก็คงเป็นได้เพียงความฝันนั่นแหละ...จ้าวเวยหลงรู้ดีว่าตั้งแต่ที่เขาขึ้นรับตำแหน่งนี้ต่อจากจ้าวลี่หยาง เรื่องการกลับไปเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่กินเที่ยว ใช้ชีวิตธรรมดาก็ได้ลอยหายไปตามสายลมเรียบร้อย ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วจ้าวเวยหลงก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์ชีวิตแบบเดิมของตนเท่าไหร่หรอก แต่มันก็มีแวบหนึ่งที่เขาอดคิดถึงช่วงเวลาแสนอิสระแบบนั้นขึ้นมาเท่านั้นเอง

    “คุณซ่งเหยียนรออยู่บนออฟฟิศแล้วครับประธาน”

    จ้าวเวยหลงเหลือบตามองหน้ามือขวาของตนหลังได้ยินคำนั้น สายตาคมกริบของเขานั้นล้ำลึกยากที่จะคาดเดาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ทำให้เจ้าของคำพูดเมื่อครู่หน้าซีดคิดว่าเขาพูดอะไรผิดไปแน่ จึงถูกจ้าวเวยหลงมองด้วยสายตาเช่นนี้ ทว่าเขาก็รู้ดีว่าตนไม่มีทางให้เลือกมากนัก หากเขาไม่บอกจ้าวเวยหลงว่าตอนนี้มีแขกที่ชายหนุ่มไม่ได้เชิญมานั่งรออยู่ด้านบนก่อนแล้ว และปล่อยให้ผู้เป็นนายขึ้นไปพบเจอเองโดยไม่แจ้งล่วงหน้า แบบนั้นจ้าวเวยหลงก็เอาเขาก็ตายเหมือนกัน

    “อืม” จ้าวเวยหลงรับคำในลำคอก่อนถอนหายใจ จากนั้นจึงผลักประตูรถและก้าวลงไป ตรงดิ่งไปที่ลิฟต์ส่วนตัวสำหรับผู้บริหารโดยไม่หยุดทักทายใคร

    ร่างสูงในชุดสูทราคาแพงพร้อมดวงหน้าดุดันนั้นเป็นภาพที่ชินตาของคนที่ทำงานในเฉวียนจิ้นเอ็นเตอร์ไพรส์ แต่ไม่มีทางที่พวกเขาจะรู้สึกชินชากับรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากร่างสูงของผู้เป็นเจ้านาย ครั้งแรกที่พบจ้าวเวยหลงเคยหวาดกลัวและอึดอัดอย่างไร ตอนนี้ก็รู้สึกเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งบริษัทมีเพียงพนักงานไม่กี่คนเท่านั้นที่มีความกล้ามากพอที่จะพูดคุยกับจ้าวเวยหลง ทุกคนต่างคิดว่าหากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่มีใครอยากเอาหัวขึ้นไปวางบนเขียงหรอก...

    แม้จะผ่านมาหลายปีแล้วแต่ก็ไม่มีใครลืมว่าจ้าวเวยหลงทำเช่นไรกับอดีตพนักงานสาวใจกล้า ที่บ้าบิ่นพอที่จะทอดสะพานให้เขาอย่างโจ่งครึ้ม หลังจากที่จ้องหล่อยด้วยสายตาเย็นชาคมกริบคู่นั้นแล้ว จ้าวเวยหลงก็ประกาศไล่หล่อนออก พร้อมกับให้ผู้ช่วยของเขานำชื่อของหล่อนขึ้นประกาศอย่างเป็นทางการของบริษัท ว่าหลังจากนี้บุคคลคนนี้จะไม่ถูกว่าจ้างจากบริษัทในเครือตระกูลจ้าวตลอดระยะเวลาที่จ้าวเวยหลงนั่งตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด

    เพียงแค่ลงประกาศนั้นไปจ้าวเวยหลงก็สร้างความสั่นสะเทือนและสร้างหวาดกลัวให้พนักงานผู้หญิงทุกคนที่เคยมีความคิดจะหว่านเสน่ห์ใส่เขา ดับฝันของสาวๆ พวกนั้นก่อนจะโยนความเพ้อฝันไร้สาระของพวกหล่อนลงไปในหลุม ปิดท้ายด้วยการเอาดินกลบปากหลุมดังกล่าว ไม่ปล่อยให้ความคิดจำพวกนี้ได้ผุดขึ้นมาจากหลุมอีก

    นับว่าเป็นการกระทำที่โหดร้ายแต่ก็ตัดปัญหาไปได้อย่างหมดจด เพราะตั้งแต่นั้นไม่ว่าใครก็ไม่กล้าตอแยกับจ้าวเวยหลงอีกเลย ตั้งแต่พนักงานสาวๆ ในองค์กรของเขา ลามไปถึงตระกูลต่างๆ ที่เคยคิดจะจับคู่ลูกสาวของพวกเขากับจ้าวเวยหลง ทุกคนที่เห็นประกาศนั้นต่างล้มเลิกแผนการและเปลี่ยนเป้าหมายจากจ้าวเวยหลง ไปหาหนุ่มๆ คนอื่นในตระกูลจ้าวแทน

    สำหรับพวกเขานั้นแม้ว่าจะไม่ได้จ้าวเวยหลงมาเป็นเขย แต่ขอให้เป็นคนตระกูลจ้าวก็นับว่าใช้ได้ แค่ได้เกี่ยวดองกับตระกูลจ้าว ไม่ว่าจะดองกับใครก็นับเป็นเรื่องดีทั้งนั้นแหละ

    “โผล่หัวมาได้สักทีนะแก” เสียงจิกกัดโพล่งขึ้นทันทีที่เห็นหน้าคมคายของจ้าวเวยหลง สายตาคมกริบของคนสองคนเผชิญหน้ากัน คู่หนึ่งเป็นของจ้าวเวยหลงโดยไม่ต้องสงสัย ส่วนอีกคู่หนึ่งนั้นเป็นของชายผู้มีเค้าหน้าคมคาย คล้ายจ้าวเวยหลงอยู่หลายส่วนทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่า ซ่งเหยียนที่เลขาของจ้าวเวยหลงพูดถึงเมื่อครู่นี้ก็เป็นหนึ่งในตระกูลจ้าวเช่นเดียวกัน

    “สวัสดีครับพ่อ” จ้าเวยหลงเอ่ยทักทายจ้าวซ่งเหยียนก่อน ทว่าสีหน้าเบื่อหน่ายของเขากลับไร้แววยินดีที่ได้พบผู้เป็นพ่อ บรรยากาศของการพบกันระหว่าพ่อลูกนั้นเย็นยะเยือกยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากันของคู่แค้น ชวนให้สงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่อย่างมาก

    “ยังจำได้ด้วยหรือไงว่ามีฉันเป็นพ่อ” จ้าวซ่งเหยียนเองก็มีแววหงุดหงิดไม่น้อยไปกว่าลูกชาย ใบหน้าของเขาแม้ว่าจะดุดันไม่เท่าจ้าวเวยหลง แต่ก็สามารถทำให้พนักงานหน้าห้องตัวน้อยๆ หวาดกลัวได้ “ฉันรอแกนานแค่ไหนแกรู้ไหม”

    “ถ้าพ่อบอกผมก่อนว่าจะมา ก็คงไม่ต้องรออย่างนี้” น้ำเสียงราบเรียบของจ้าวเวยหลงบอกให้อีกคนรู้ว่าเขาไม่สนใจเรื่องที่จ้าวซ่งเหยียนมานั่งรอเขาเลยสักนิด ชายหนุ่มเดินผ่านร่างสูงของผู้เป็นบิดาไปนั่งหลังโต๊ะเตรียมเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเริ่มทำงาน การที่จ้าวเวยหลงไม่แยแสทำให้จ้าวซ่งเหยียนหนวดกระตุก ก้าวไปปิดคอมพิวเตอร์ของจ้าวเวยหลงลงเสียงดัง

    การกระทำนั้นของจ้าวซ่งเหยียนทำให้เลขาหน้าห้องที่เข้ามาดูแลแขกหลงตาโต แม้จ้าวซ่งเหยียนจะเป็นพ่อแต่เธอก็เชื่อว่าจ้าวเวยหลงไม่มีทางจะยอมให้เขามากดขี่ถึงถิ่นแบบนี้ ความหยิ่งยโสของจ้าวเวยหลงเป็นที่เลื่องลือต่อให้คนคนนั้นจะเป็นพ่อ ก็อย่าคิดว่าจะมาลบหลู่ศักดิ์ศรีของผู้นำตระกูลจ้าวได้

    “มองฉันแบบนั้นหมายความว่ายังไง แกจะสั่งให้คนโยนฉันออกไปงั้นเหรอ?” ไม่รู้ว่าจ้าวซ่งเหยียนกินอะไรเข้าไป วันนี้เข้าจึงกล้าบ้าบิ่นขนาดที่ท้าทายจ้าวเวยหลงเช่นนี้

    “ไม่ต้องเสียเวลาเรียกคนหรอก ถ้าพ่อจะยังบ้าไม่เลิกแบบนี้ผมจะเป็นคนโยนพ่อออกไปเอง” จ้าวเวยหลงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ประกาศชัดว่าเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เพียงคำขู่แต่เป็นการเตือนขั้นสุดท้ายจากเขา ซึ่งนั่นไม่ต่างจากการราดน้ำเย็นจัดใส่ศีรษะของจ้าวซ่งเหยียนซักเท่าใด ทันใดนั้นก็เหมือนว่าเขาจะได้สติขึ้นมาและตระหนักได้ว่าตนเพิ่งทำอะไรลงไป

    จ้าวซ่งเหยียนลอบกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ หลุบตามองหลังมือของตนที่กดแน่นบนคอมพิวเตอร์ของลูกชายอยู่ ก่อนจะรีบดึงมือกลับมาไว้ข้างตัว สีหน้าของเขามีแววความเสียใจกับสิ่งที่เพิ่งทำลงไป นั่นทำให้จ้าเวยหลงอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย คิดว่าอย่างน้อยจ้าวซ่งเหยียนก็ยังไม่ได้เสียสติไปซะทีเดียว...แต่มันก็ทำให้จ้าวเวยหลงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น...เล็กน้อยจริงๆ

    “แกรู้เรื่องที่ปู่ของแกจะไปสิงคโปร์หรือยัง” จ้าวซ่งเหยียนเปลี่ยนประเด็นทันที เรื่องที่จะทำให้เขามาหาจ้าวเวยหลงได้นั้นมีเพียงไม่กี่เรื่อง แม้ว่าจะเป็นพ่อลูกกันแต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับไม่ต่างจากคนแปลกหน้า ปีหนึ่งพบกันเพียงไม่กี่หนเท่านั้นซึ่งแต่ละครั้งล้วนเป็นวันรวมญาติที่ทุกคนในตระกูล ‘ต้อง’ เข้าร่วมทั้งสิ้น

    “รู้แล้วครับ”

    “รู้แล้ว!” แววตาของจ้าวซ่งเหยียดนจ้องมองบุตรชายด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ นึกสงสัยว่าหากจ้าวเวยหลงรู้เรื่องแล้วทำไมถึงได้วางเฉยอยู่ได้ “รู้แล้วทำไมยังไม่ทำอะไร แกเสียสติไปแล้วหรือยังไงเวยหลง...ทำไมถึงไม่รีบไปห้ามปู่ของแก”

    “พ่อห้ามปู่แล้วได้ผลหรือเปล่าล่ะครับ” จ้าวเวยหลงเลิกคิ้ว แม้จะรู้อยู่แล้วว่าหากจ้าวซ่งเหยียนหยุดปู่ของเขาได้ ตอนนี้จ้าวซ่งเหยียนก็คงไม่มาอยู่ตรงนี้ แต่จ้าวเวยหลงก็อดยอกย้อนพ่อของตัวเองไม่ได้จริงๆ จึงย้อนถามท่านไปอย่างกวนประสาท

    “นี่แก...”

    “ในเมื่อพ่อห้ามท่านไม่ได้ เรื่องอะไรผมต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วย ผมไม่ได้มีเวลาว่างมากพอที่จะไปนั่งให้ใครด่าหรอกนะครับ ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นปู่ก็เถอะ”

    “แล้วแกจะปล่อยให้ปู่แกไปสิงคโปร์อย่างนั้นเหรอ” จ้าวซ่งเหยียนเดือดหนัก “แกคงไม่คิดว่าปู่แกไปที่นั่นเพราะอยากพักสมองอย่างที่บอกจริงๆ หรอกใช่ไหม แกรู้หรือเปล่าว่าปู่ของแกนัดเจอกับใครที่นั่น”

    “รู้สิครับ ผมไม่ได้โง่นะ” จ้าวเวยหลงตอบพลางถอนหายใจออกมายาวเหยียด เรื่องแค่นี้ทำไมเขาจะไม่รู้ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาชี้นิ้วบอกเขาก็เดาได้แล้ว ว่าการเดินทางไปพบป้าใหญ่ครั้งนี้ของปู่ย่อมมีเจตนาแอบแฝง “แต่จะให้ผมทำยังไง ผมขวางปู่ไม่ให้ไปที่นั่นครั้งนี้ได้แต่ต้องแลกมาด้วยการโดนปู่คาดโทษ นับผมรวมกับพวก ‘ลูกหลาน’ จอมละโมบของท่าน ที่วันๆ จ้องแต่จะหาทางฉวยโอกาสถีบผมจากตำแหน่งแล้วปีนขึ้นมาแทนที่ผม อย่าพูดให้ขำหน่อยเลยครับ ผมไม่ได้โง่เหมือนอย่างที่พ่ออยากให้ผมเป็นหรอก”

    คำพูดเมื่อครู่ของจ้าวเวยหลงทำให้จ้าวซ่งเหยียนนิ่งขึงไป ไอ้คำว่า ‘ลูกหลาน’ เมื่อครู่นี้มันหมายความว่ายังไง เขาเองก็เป็นหนึ่งในลูกของจ้าวลี่หยางเหมือนกัน คำพูดที่เพิ่งพูดมานั้นจ้าวเวยหลงตั้งใจพูดกระทบเขาชัดๆ

    ไอ้ลูกอกตัญญู!

    “พ่อคิดว่าผมควรเอาสิ่งที่ผมมีตอนนี้ไปเสี่ยง เพื่อความสบายใจของคนอื่นอย่างนั้นเหรอ?”

    “ถ้าแกปล่อยปู่แกไปเจอป้าใหญ่ แกคิดว่าแกจะกอดไอ้ตำแหน่งนี้ไปได้อีกสักกี่นานกัน!” จ้าวซ่งเหยียนตวาดออกไปด้วยความรู้สึกอัดอั้น เขารู้ดีว่าสิ่งที่จ้าวเวยหลงพูดนั้นหมายความว่าอะไร

    ไหนจะสายตาที่มันใช้มองเขา เหมือนเขาเป็นเศษขยะชิ้นหนึ่งทำให้จ้าวซ่งเหยียนเผลอระเบิดโทสะออกมา เขาไม่ได้อยากจะแย่งตำแหน่งผู้นำตระกูลจ้าวมาจากจ้าวเวยหลงเสียหน่อย...ความจริงแล้วตำแหน่งนี้มันเป็นของเขามาตั้งแต่ต้นแล้วต่างหาก และหากว่าจ้าวลี่หยางรักเขาให้ได้ครึ่งหนึ่งที่ท่านรักพี่สาวของเขา ตอนนี้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้นจะไม่มีทางเป็นจ้าวเวยหลงแน่ เขาแค่อยากได้ในสิ่งที่มันควรจะเป็นของเขาคืนมา เขาผิดหรือยังไง...

    แต่ตอนนี้มันไม่ได้มีแค่เขาที่จ้องเก้าอี้ตัวนี้อย่างที่จ้าวเวยหลงพูดมานั่นแหละ การที่ทำให้จ้าวเวยหลงหลุดจากตำแหน่งไปก็ไม่ได้การันตีว่าเขาจะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลจ้าวแทนมัน ทุกคำที่จ้าวเวยหลงเอ่ยมาล้วนถูกต้อง ทุกคนในตระกูลล้วนกระหาย อยากให้คนของตัวเองขึ้นมารับตำแหน่งนี้กันทั้งนั้น ฉะนั้นการเคลื่อนไหวครั้งนี้ของจ้าวลี่หยางจึงทำให้ทุกคนร้อนเป็นไฟ...

    เพราะนอกจากคนในตระกูลจ้าวสายหลักที่มีสิทธิ์ขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลแล้ว ก็ยังมีหลานชายคนแรกของตระกูลจ้าวที่เกิดจากลูกสาวคนโตของจ้าวลี่หยางอีกคนหนึ่ง ที่มีสิทธิ์ในการขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลจ้าว ซึ่งอย่าคิดฝันหวังจ้าวซ่งเหยียนคนนี้จะยอมให้มันผงาดขึ้นมาอยู่เหนือเขาได้ง่ายๆ หากจะให้ไอ้เด็กกาลกิณีคนนั้นมาเป็นผู้นำตระกูลจ้าวแทนจ้าวเวยหลง ก็สู้ให้จ้าวเวยหลงนั่งตำแหน่งนี้ต่อไปจะยังดีกว่า

    แม้ว่าจ้าวเวยหลงจะหยิ่งยโสและทำเหมือนเขาเป็นเพียงก้อนกรวดก้อนหนึ่ง แต่การที่เขาได้รับการเคารพจากคนอื่นในฐานะพ่อของผู้นำตระกูลจ้าวย่อมดีกว่าการให้ไอ้พวกชั้นต่ำสกุลอู่มาชุบมือเปิบ

    “แล้วถ้าปู่อยากจะยกทุกอย่างให้ป้าใหญ่เขาอย่างที่พ่อกลัวจริงๆ พ่อคิดหรือครับว่าพ่อจะขวางปู่เขาได้” จ้าวเวยหลงผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด เหลือบมองหน้าจ้าวซ่งเหยียนด้วยสายตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึก

    “ฉันขวางปู่สุดที่รักแกได้ที่ไหน”

    จ้าวซ่งเหยียนเอ่ยเสียงหยันผ่านจมูก คำนินทาที่ใครๆ ต่างพูดกันสนุกปากว่าเขาเป็นลูกชังของจ้าวลี่หยางใช่ว่าจ้าวซ่งเหยียนจะไม่รู้ กลับกันเสียอีกเขารู้ดีเลยทีเดียวว่าตัวเองนั้นไม่เป็นที่รักของพ่อตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แม้ว่าจ้าวลี่หยางจะไม่ยอมรับ แต่การกระทำของเขาก็แสดงออกชัดเจนว่าเขารักลูกสาวคนโตมากที่สุดในบรรดาลูกๆ ดูจากสินเดิมที่ยกให้พี่สาวของเขาตอนแต่งออกไปก็พอแล้ว สินเดิมพวกนั้นเรียกว่าแทบจะเป็นทุกอย่างที่ตระกูลจ้าวมีในตอนนั้นเลยก็ว่าได้ แต่จ้าวลี่หยางก็ยกให้พี่สาวของเขาไปจนหมด แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขากลัวอย่างไรไหว...นี่หากว่าหลานชายของเขาไม่ได้มีดวงกาลกิณี จ้าวซ่งเหยียนมั่นใจว่าหลานชายคนโปรดของจ้าวลี่หยางไม่มีทางจะเป็นจ้าวเวยหลงแน่

    ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตระกูลจ้าวมีอยู่ตอนนี้ก็ไม่มีทางหลุดมาถึงมือของจ้าวเวยหลงหรือเขาได้เลย ดังนั้นจ้าวซ่งเหยียนไม่มีทางอยู่เฉย เขาจะทำทุกอย่างจนกว่าจะมั่นใจว่าคนที่จะเป็นผู้นำตระกูลจ้าวจะไม่ถูกเปลี่ยนตัว แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นผู้นำตระกูลก็ไม่เป็นไร ขอแค่อย่าให้คนอื่นมาฉกฉวยสิ่งที่ควรจะเป็นของตระกูลจ้าวสายหลักไปเป็นของตัวเองก็พอ

    “พ่อก็รู้อยู่แล้วนี่ ยังต้องให้ผมพูดอะไรอีก”

    “แกไม่กลัวว่าไอ้เด็กสกุลอู่นั่นจะมาชุบมือเปิบ แย่งตำแหน่งผู้นำตระกูลไปหรือยังไง!” มาถึงขนาดนี้แล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องมาคิดถึงมารยาท ปั้นแต่งคำพูดสวยหรูกันอีกต่อไป “ลืมไปแล้วหรือยังว่าไอ้เด็กนั่นมีเลือกตระกูลจ้าวอยู่ครึ่งหนึ่งเหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นเลือดชั่วก็เถอะ”

    “ถ้าตำแหน่งผู้นำตระกูลมันแย่งง่ายขนาดนั้น พ่อก็คงได้เป็นผู้นำตระกูลจ้าวไปนานแล้วล่ะครับ” ใบหน้าของจ้าวเวยหลงยังคงเย็นชา ไม่ได้กังวลว่าคำพูดของตนจะทำให้ผู้เป็นพ่อโกรธเคืองแต่อย่างใด จ้าวซ่งเหยียนโกรธเขาแล้วมันยังไงล่ะ ในเมื่อเขาไม่สนใจความคิดของคนอื่นอยู่แล้ว...แน่นอนสำหรับจ้าวเวยหลงจ้าวซ่งเหยียนก็นับว่าเป็นคนอื่น ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร “หรือต่อให้ปู่อยากจะยกตำแหน่งนี้ให้อี้เทียนจริงๆ คิดหรือครับว่าป้าใหญ่จะยอม”

    “อี้เทียน?” สีหน้าของจ้าวซ่งเหยียนงงงวยเพราะชื่อที่ไม่คุ้นหู ต้องใช้เวลาประมวณอู่ครู่หนึ่งกว่าจะปะติดปะต่อได้ว่า ‘อี้เทียน’ ที่จ้าวเวยหลงพูดเมื่อครู่นี้หมายถึงใคร “แกไปรู้จักมักจี่กับลูกของป้าใหญ่แกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปสนิทสนมกับพวกมัน”

    “ถ้าผมเชื่อแล้วทำอย่างที่พ่อบอก ป่านนี้ผมก็คงไม่รู้ว่าอี้เทียนเป็นคนเก่งขนาดไหน” จ้าวเวยหลงเล่าสิ่งที่เขารู้มาตลอดระยะเวลาหลายปีแก่ผู้เป็นพ่อจอมมืดบอดของเขา น้ำเสียงที่เขาใช้แม้ว่าใจเย็นเยียบแต่สายตาคมกริบนั้นมีแววรำคาญอยู่ไม่น้อยเลย “พ่อคิดว่าอะไรที่ทำให้ปู่เขาต้องบินไปง้อป้าใหญ่ด้วยตัวเองถ้าไม่ใช่เพราะอี้เทียน พ่อรู้ไหมครับว่าตอนนี้ป้าใหญ่กับลุงเมิ่งวันๆ เขาทำอะไรกันบ้าง เขาไปเที่ยวรอบโลกกันสองคน ปล่อยให้ลูกชายของเขาทำงานคนเดียว

    ตอนนี้ชีวิตป้าใหญ่ดีกว่าทุกคนในตระกูลจ้าวสายหลักเสียอีก ดีจนปู่ต้องรีบบินไปง้องอนท่าน เผื่อจะได้หลานชายคนโตของท่านกลับคืนมาตระกูลจ้าวเลย อี้เทียนเขาเก่งขนาดไหนพ่อก็ควรจะรีบเปิดหูเปิดตาตัวเองได้แล้ว เพราะถ้าวันหนึ่งอี้เทียนยอมทิ้งทุกอย่างที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองแล้วกลับมาทำงานรับใช้ตระกูลจ้าวเหมือนเบี้ยตัวหนึ่ง พ่อจะได้ปรับตัวได้ทัน”

    “เวยหลง!”

    “แล้วก็เลิกหลงระเริงกับไอ้คำว่าตระกูลจ้าวสายหลักบ้าบอนี่สักที เพราะไม่แน่ว่าอีกไม่นานเราอาจจะแพ้ตระกูลอู่ของป้าใหญ่ แล้วถูกคนอื่นเขาเรียกว่าเป็นพวกไร้ประโยชน์เสียเอง!”


     


     

     คือน้องน่ะไม่เคยคิดที่จะทำร้ายพี่เลยนะคะ น้องรักพี่พี่ก็น่าจะดูออก ที่ทำลงไปเพราะหน้าที่ทั้งนั้นนะคะพี่หลงคนดี อย่าเกลียดศรีเลยนะคะทูนหัว เพราะหายนะแท้จริงๆน่ะยังไม่ได้เริ่มเลย // กระซิกๆ
     


     


     


     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×