ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงชะตามีเกณฑ์จะได้รัก

    ลำดับตอนที่ #29 : เพื่อความแน่ใจ

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.พ. 66


    การตกลงเป็นพันธมิตรกันระหว่างจ้าวเวยหลงและเหมือนฝันซึ่งเกิดขึ้นที่เซี่ยงไฮ้นั้นไม่ได้ล่วงรู้มาถึงคนที่อยู่ในสิงคโปร์ เว้นแต่มาสฟ้าที่รู้เรื่องนี้จากนิมิตเมื่อหลายเดือนก่อน

    หญิงสาวนั่งมองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าด้วยสีหน้าเฉยเมยอีกทั้งเววตาของเธอก็ว่างเปล่า ผิดกับคนอื่นๆ ในโต๊ะที่ต่างจ้องมองกันและกันไปมาด้วยสายตาสับสน ว่ามันเกิดอะไรขึ้น...เรียกว่าเป็นความโกลาหลเล็กๆ ก็ไม่ผิดนักในสายตาของมาสฟ้า

    เห็นได้ชัดว่าครอบครัวของอู่อี้เทียนนั้นซับซ้อนและแตกต่างจากครอบครัวที่มาสฟ้าเติบโตมา ถึงจะพูดอย่างเต็มปากเต็มคำไม่ได้ว่าครอบครัวของตัวเองปกติ แต่อย่างน้อยหญิงสาวก็มั่นใจว่าครอบครัวของเธอมีความปกติมากกว่าครอบครัวของอู๋อี้เทียนแน่ เพราะตั้งแต่จำความได้มาสฟ้าไม่เคยเห็นเหมือนฝันปาเช็ดปากใส่หน้าคุณพ่อ อย่างที่คุณนายอู่คนสวยเพิ่งท่านกับพ่อของท่าน

    “นี่มันเรื่องบ้าอะไร พ่อคิดจะทำอะไรกับแฟนของอี้เทียน!”

    “แฟน?” เป็นจ้าวลี่หยางที่เป็นฝ่ายตกลงใจบ้าง ชายชรามองหน้ามาสฟ้าสลับกับหลานชายซึ่งเกลียดท่าน  และท่านก็ไม่ชอบหน้ามันพอกัน  ความตั้งใจในการเดินทางมาสิงคโปร์ในครั้งนี้  เพียงเพื่อต้องการพบกับสาวน้อยที่มอบคำทำนายที่แม่นยิ่งกว่าตาเห็นให้แก่เขาเมื่อปีก่อน
     

    ครั้งสุดท้ายที่เขาและเธอบังเอิญพบกัน มาสฟ้าบอกกับเขาว่าพวกเขาจะได้พบกันอีกครั้งปีหน้า...ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่เธอบอก เพราะหลังจากคำทำนายที่เธอมอบให้เขาเป็นจริงถึงสามครั้งสามครา จ้าวลี่หยางก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อนัดพบกับเด็กสาว ถึงขั้นยอมลดตัวเสนอว่าเขาจะเป็นฝ่ายไปหาเธอก็ได้ขอ เพียงมาสฟ้ายอมรับนัดแต่เธอก็ปฏิเสธคำขอนัดพบของเขา...อันที่จริงเธอปฏิเสธคำเชิญของพวกเศรษฐีทุกคนที่พยายามของพบเธอ ไม่ว่าคนนั้นจะรวยหรือมีอำนาจยิ่งกว่าจ้าวลี่หยางก็ไม่ได้รับข้อยกเว้น ซึ่งนั่นทำให้จ้าวลี่หยางต้องยอมรับชะตากรรมและนับวันรอเวลา ให้ถึงกำหนดหนึ่งปีที่มาสฟ้าเคยบอกกับเขาไว้

    และทุกอย่างก็เป็นจริง...เขาได้เจอเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าหลานชายของเขาอีกครั้งอย่างที่มาสฟ้าบอกไว้จริงๆ อย่างไม่คาดคิดเสียด้วย...แถมตอนนี้ยังมีเรื่องให้เขาประหลาดใจอีกอย่างนั่นคือ ฐานะของเธอที่เปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่เขาพบเธอ

    วันนั้นเธอเป็นเพียงนักทำนายตัวน้อยๆ แสนลึกลับ จนใครๆ ลือกันให้เซดว่าเธอเป็นแม่มดแต่วันนี้มาสฟ้ากลับหวนมาพบหน้าเขาอีกครั้ง ในฐานะคนรักของอู่อี้เทียน หลานชายนอกคอกของเขา!

    “ไม่ต้องมางงเลยค่ะ หนูสิต้องงง...พ่อไปรู้จักแฟนอี้เทียนตอนไหน อย่าบอกนะว่าพ่อคิดจะมาขวาง...”
     

    “ฉันจะไปขวางเรื่องลูกของแกทำไมเล่า” จ้าวลี่หยางเหลืออดกับลูกสาวคนโตของตัวเอง จึงตัดบทด้วยนั้นห้วนจัดแบบเดียวกันที่จ้าวเฟยหรงใช้กับเขา ในใจก็คิดว่าไม่ได้เจอหน้ากันตั้งกี่ปี แทนที่จะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับว่าเป็นอย่างไร แต่จ้าวเฟยหรงกลับปาผ้าเช็ดหน้าใส่เขาแถมกล่าวหาเขา ว่าเขาตั้งใจจะขัดขวางเรื่องของเด็กๆ โดยไม่คิดจะถามความเป็นมา เรื่องที่เขาและมาสฟ้ารู้จักกันอย่างไรสักแต่จะปรักปรำ...เหมือนไม่เห็นว่าเขาเป็นพ่อของมันแล้วยังไงอย่างนั้น  “คิดว่าลูกแกสำคัญขนาดนั้นเลยหรือยังไง”

    “อย่างนั้นแล้วพ่อรู้จักหนูมาสเขาตอนไหนล่ะค่ะ” จ้าวเฟยหรงได้แต่มองค้อนผู้เป็นพ่อ เมื่อตระหนักได้ว่าตนผลีผลามไปหน่อยในการปาผ้าเช็ดปากใส่พ่อตัวเอง แต่ใช่ว่าเธอจะรู้สึกผิดที่ทำอย่างนั้นหรอกนะ “หรือว่าบังเอิญรู้จักกันก่อนหน้านี้เหมือนในละคร คิดว่าหนูจะเชื่อหรือยังไง”

    “ฉันกับหนูมาสรู้จักกันก่อนหน้านี้จริง ส่วนเรื่องแกจะเชื่อไหมน่ะมันเรื่องของแกแล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ได้ดูละคร ไม่รู้หรอกว่าการที่ฉันรู้จักใครสักคนมันจะเหมือนหรือต่างจากละครที่แกว่ายังไง” จ้าวลี่หยางตอบเสียงซังกะตาย สายตาที่ใช้มองหน้าลูกสาวเพียงคนเดียวของตนเองก็เย็นชามาก หากเป็นคนอื่นคงสะเทือนใจที่ถูกพ่อตัวเองมองด้วยสายตาเช่นนี้ แต่ไม่ใช่คุณหนูตระกูลจ้าวคนสวย เพราะเธอยังคงลอยหน้าลอยตาสู้สายตาพ่อตัวเองไม่มีหลบเป็นอู่เมิ่งหลิว...สามีของเธอที่เห็นว่าท่าจะไม่ดีนั้นต้องแสร้งกระแอมเบาๆ หวังช่วยแก้สถานการณ์บรรยากาศมาคุตรงหน้า

    “เอ่อ...นั่งก่อนดีไหมครับคุณพ่อ ยืนคุยกันแบบนี้คงเมื่อแย่”

    “ผมจะพามาสฟ้ากลับ”  ไม่รอให้ผู้ใหญ่ได้ตัดสินใ0 อู่อี้เทียนถือวิสาสะฉวยข้อมือของมาสฟ้า รั้งร่างบอบบางของหญิงสาวให้มายืนซ้อนหลังตัวเอง ใช้ร่างกายอันใหญ่โตของตัวเองซ่อนมาสฟ้าจากสายตาของตาเฒ่าลี่หยาง...ตาของตัวเอง  “ไว้เจอกันคราวหน้าแล้วกันครับ”

    “มาสฟ้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ” จ้าวลี่หยางตวัดสายตาคมกริบไปยังหลานชายคนโตของตน ผู้ที่เขาพบหน้าเพียงไม่กี่ครั้งอย่างไม่สบอารมณ์ เตือนอู่อี้เทียนด้วยน้ำเสียงดุดันแสนอันตราย  “อย่าทึกทักเข้าข้างตัวเองเหมือนแม่แก มาสฟ้าเป็นแขกของฉัน”

    “ผมว่าคนที่ทึกทักเข้าข้างตัวเองน่าจะไม่ใช่ผมนะครับ” แต่มีหรือที่อู่อี้เทียนจะยอมแพ้ผู้เป็นตาของตน สำหรับเขาแล้วไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องทำเช่นนั้นเลย แม้ว่าจ้าวลี่หยางจะเป็นคุณตาทางสายเลือดของเขา แต่ก็ไม่ได้มีความผูกพันธ์หรือความเคารพจริงจังอะไร ในสายตาของอู่อี้เทียนจ้าวลี่หยางก็เป็นเพียงคนแก่คนหนึ่ง ไม่ได้สลักสำคัญหรือน่ากลัวอะไร

    “อี้เทียน” อู่เมิ่งหลิวรีบเอ่ยแทรกลูกชายตัวดีของเขาอีกหน รู้สึกท้อแท้ใจตั้งแต่แต่งงานเป็นเขยตระกูลจ้าวก็ตอนนี้แหละ คนบ้านนี้เหมือนกันอย่างหนึ่งคือไม่มีใครยอมใคร...ถ้าได้มีปากมีเสียงกันเมื่อไหร่ มีแต่จะแตกหักกันไปข้างไม่มีหรอกที่จะตกลงกันเงียบหรือหาทางออกร่วมกันได้ ตอนนี้เองก็เหมือนกัน  “อย่าพูดกับคุณตาแบบนั้น”

    “ไม่ว่ากับใครผมก็จะพูดแบบนี้แหละ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องฟัง” สำหรับอู่อี้เทียนที่เติบโตอย่างห่างไกลอำนาจของตระกูลจ้าวและจ้าวลี่หยางนั้น สำหรับเขานั้นอำนาจของตระกูลจ้าวที่มีค้ำฟ้าเป็นเพียงเรื่องเล่าปรำปรา ไม่ต่างจากนิทานบทหนึ่งที่อู่อี้เทียนก็ไม่เคยจะสัมผัสจริงๆ ทำให้เขาไม่รู้สึกระย่อต่อชายชราตรงหน้าสักเท่าไหร่ อีกอย่างตอนนี้เขาเองก็ใช่ว่าจะสิ้นไร้ไม้ตอกเสียทีเดียว ที่นี่เป็นบ้านของเขา...ถิ่นของเขา

    “ฉันเองก็ไม่คิดจะเสวนากับแกนานหรอกนะอี้เทียน แต่บอกแล้วไงว่ามาสฟ้าเป็นแขกของฉัน” จ้าวลี่หยางเองก็ไม่มีแผนที่จะรามือจากนักทำนายตัวน้อยเขาง่ายๆ เช่นเดียวกัน แม้ว่าคนที่บ้าบิ่นพอที่จะเปิดหน้าชิงตัวมาสฟ้ากับเขาจะเป็นอู่อี้เทียนหลานชายของเขาจ้าวลี่หยางก็ไม่มีความคิดที่จะยอมลงให้เด็กหนุ่มก่อน  “ถ้าคิดเกรงใจแขกก็รีบปล่อยมาสฟ้า อย่าให้ฉันต้องลงไม้ลงมือกับแกต่อหน้าแขก”

    “ทำไมครับ? คิดจะเล่นบทตา-หลานกับผมตอนนี้หรือยังไง”  อู่อี้เทียนย้อนถามเสียงยียวน ทั้งที่มือก็ไม่ยอมปล่อยจากข้อมือเล็กของมาสฟ้า “รอตั้งสามสิบหกปี คิดจะมานับตา-หลานกันตอนนี้ไม่ช้าไปหน่อยหรือครับ”

    “ฉันไม่อยากมาต่อล้อต่อเถียงกันแก ปล่อยมาสฟ้าสักที” จ้าวลี่หยางเอ่ยลอดไรฟัน จ้องหน้าคมของอู่อี้เทียนเขม็งอย่างหมดความอดทน  “แขกของฉัน ฉันดูแลเอง”

    “ฝันไป...”
     

    “อี้เทียนคะ...” เสียงเล็กของคนท่ีถูกตาและหลานเยื้อแย่งกัน ประหนึ่งว่าเธอนั้นเป็นสิ่งของชิ้นหนึ่งอยู่นาน ในที่สุดมาสฟ้าก็ตัดสินใจเอ่ยแทรกขึ้นมา “ฉันไม่เป็นไรค่ะ ฉันเคยเจอกับคุณตาของคุณมาก่อนจริงๆ”

    “ถึงจะเคยเจอแต่ก็ไม่เห็นจะต้องเจออีกเลยนี่ครับ” น้ำเสียงของอู่อี้เทียนยามที่พูดกับหญิงสาวข้างกายเขานั้นนั้นอ่อนโยนผิดกับน้ำเสียงที่เพิ่งใช้กับผู้เป็นตาลิบลับ สายตาที่เขาใช้มองเธอเองก็อ่อนโยนไม่แพ้กัน  “เราไปร้านอื่นดีกว่า ร้านนี้คนเยอะเกินไป คุณบอกว่าไม่ชอบคนเยอะใช่ไหมครับ”

    “ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะอี้เทียน”  มาสฟ้ายืนยันเสียงหนักแน่ ทำให้ร่างสูงที่ตั้งใจจะลากตัวเธอออกไปนั้นชะงักการกระทำแล้วมองดวงหน้างามด้วยสายตามีคำถาม รอคอยคำอธิบายจากมาสฟ้าว่าทำไมเธอจึงยื้- ไม่ยอมคล้อยตามเขา  “แล้วฉันก็มีเรื่องต้องคุยกับคุณตาของคุณด้วย เราอยู่นี่เถอะค่ะ”

    “เรื่องอะไรครับ” อี้เทียนหน้าตึง มั่นใจว่าไม่ว่าเรื่องที่มาสฟ้าต้องการคุยกับจ้าวลี่หยางนั้นเป็นเรื่องอะไรเธอก็สามารถบอกเขาได้ เพราะไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ที่จ้าวลี่หยางทำให้เธอได้แล้วเขาทำไม่ได้ “คุณบอกผมได้นะ อย่าไปกวนคนอื่นเลย”

    “คุณช่วยฉันไม่ได้หรอกค่ะ มีแค่คุณตาของเขาเท่านั้นที่ช่วยฉันได้” มาสฟ้าสั่นศีรษะเบาๆ ส่งยิ้มแสนอ่อนล้าให้ร่างสูงเมื่อเงยหน้ามองอู่อี้เทียน สายตาของเธอนั้นมีประกายแห่งความท้อแท้ใจ ปรากฏอยู่จนพลอยทำให้อู่อี้เทียนรู้สึกไม่สบายใจ “มันเป็นเรื่องน้องสาวของฉัน...ที่โดนจ้าวเวยหลงลักพาตัวไป”

    “อะไรนะ!” ทุกคนตรงนั้นต่างอุทานเป็นเสียงเดียวกัน สีหน้าของพวกเขาก็ตะลึงงันเหมือนเพิ่งเห็นคนตายลุดขึ้นมาจากหลุมศพ โดยเฉพาะจ้าวหลี่หยางดูเหมือนจะตกใจกับข้อมูลที่มาสฟ้าโยนลงมาบนหันมากกว่าลูกหลานของเขา

    ชายชราอ้าปากงับอากาศ อย่างไม่รู้จำพูดอะไรหรือตอบโต้อย่างไรกับสิ่งที่มาสฟ้าเพิ่งบอกเขาดี สมองของจ้าวลี่หยางเหมือนหยุดทำงานไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะได้สติ สายตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกตาเหี่ยวย่นนั้นจ้องหน้างามหยดของเด็กสาว ที่อายุน้อยกว่าบรรดาหลานชายของเขา คล้ายกำลังเสาะหาเบาะแสบางอย่างจากเหมือนฝัน

    “จ้าวเวยหลงน่ะหรือ...ที่ลักพาตัวน้องสาวของหนูไป”  เสียงแหบห้าวนั้นเอ่ยถาม หวังว่าเมื่อกี้นี้เขาได้ยินผิดไป เรื่องที่จ้าวเวยหลงจะลักพาตัวน้องสาวของมาสฟ้าไปนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เหตุผลอะไรที่จ้าวเวยหลงต้องทำเช่นนั้นด้วย...

    “หนูเชื่อว่าการที่คุณและหนูเจอกันที่นี่คงเป็นต้นเหตุค่ะ”  มาสฟ้าไม่จำเป็นต้องรอให้ชายชราเอ่ยสิ่งที่อยู่ในหัวของเขาออกมา หญิงสาวก็ชิงเอ่ยข้อสันนิษฐานของเธอให้เขาฟังเสียก่อน- มาสฟ้าหยุดเพียงเพื่อที่จะกวาดตามองคนอื่นๆ ในวงสนทนาแล้วว่าต่อ “หรือไม่ก็หลานชายของคุณก็คิดว่าเหมือนฝันเป็นหนู หนูคิดว่าเขาคงไม่อยากให้เราสองคนเจอกัน”

    “หรือไม่อยากให้หนูเจอกับพวกเรา” คราวนี้เป็นจ้าวเฟยหรงที่พึมพำข้อสังเกตุที่เธอคิดได้ขึ้นมา การพบกันของจ้าวลี่หยางและครอบคัวของเธอนั้นย่อมทำให้จ้าวเวยหลงรู้สึกหวาดกลัว เรื่องนี้เดาได้ไม่ยากแต่การที่เขาลงทุนลักพาตัวผู้หญิงคนนหนึ่งไปนั้นย่อมต้องมีอะไรมากกว่าที่เธอรู้  “แต่ทำไมเขาถึงไม่อยากให้หนูเจอเราด้วย มีอะไรที่หนูยังไม่รู้อีกเหรือเปล่าคะพ่อ”

    “ไม่มี” จ้าวลี่หยางตัดบทเสียงห้วน ประกาศชัดว่าเขาไม่อยากที่จะพูดเรื่องนี้ต่อแล้ว มือเหี่ยวย่นนั้นกวักเรียกเลขาของตนก่อนจะโน้มตัวไปกระซิบกระซาบสั่งให้คนสนิทต่อสายหาจ้าวเวยหลงอย่างด่วนที่สุด เรียบร้อยแล้วเขาก็หันมาเผชิญหน้ากับมาสฟ้า...ผู้ที่ดูเหมือนจะโชคร้ายที่สุดในสถานการณ์ตอนนี้

    “น้องสาวของหนูจะปลอดภัย- ฉันสาบาน”
     

    “มันก็ควรจะต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วค่ะ”  หญิงสาวกระตุกมุมปาก ทำให้มันทำให้เธอนั้นเหมือนกำลังยิ้มอยู่ แต่ก็ไม่เชิงกับยิ้มเสีบที่เดียวเพราะสายตาที่เธอจ้องมองจ้าวลี่หยางนั้นสงบนิ่งทว่าแฝงอันตราย ที่ทำให้ขนด้านหลังคอของพยัคฆ์เฒ่าอย่างจ้าวลี่หยางลุกชัน “เพราะถ้าน้องสาวหนูเป็นอะไรไป เรื่องมันก็คงจะยิ่งไปกันใหญ่”
     


     


     

    ฮัดชิ้ว!

    เสียงจามของเหมือนฝันนั้นดังลั่นไปทั่วห้องแขก...ที่ซึ่งตอนนี้หญิงสาวได้ยอมรับกับตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปจนกว่ามาสฟ้าจะมาถึงที่นี่ ห้องนี้และบ้านหลังนี้จะเป็นที่พำนักของเธออย่างเป็นทางการกึ่งถาวร แทนที่โรงแรมห้าดาวที่พี่สาวของเธอจองล่วงหน้าเอาไว้หลายวัน โดยเดาเอาจากท่าทีของจ้าวเวยลงที่เพิ่งแยกจากเธอเมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมา ที่เขาเองก็ไม่มีวี่แววว่าจะย้ายเธอไปพักที่อื่นเร็วๆ นี้
     

    ดูจากความเงียบสงัดภายในบ้านที่เงียบจนเหมือนฝันได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศ กระทั่งความเคลื่อนไหวด้านนอกก็ยังแทบไม่รับรู้ทั้งที่จ้าวเวยหลงบอกกับเธอเองว่า มีทีมความรักษาความปลอดภัยคอยดูแลบ้านหลังนี้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่เหมือนฝันก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนสักคน หากจ้าวเวยหลงไม่ได้หลอกเธอ...ซึ่งเหมือนฝันไม่คิดว่าเขาจะหลอกเธอเรื่องนี้ เหมือนฝันก็เชื่อว่าหากไม่ใช่ว่าทีมบอดี้การ์ดของของจ้าวเวยหลงทำงานรักกุมและเป็นมืออาชีพมาก บ้านของเขาก็คงจะหลังใหญ่จนเธอไม่ได้ยินเสียงมนุษย์คนอื่น แต่เมื่อรู้ว่าตราบใดที่เธออยุ่ภายใต้ชายคาหลังนี้เธอจะปลอดภัย เหมือนฝันก็หมดความสงสัยเรื่องขนาดบ้านของจ้าวเวยหลงไป

    ก๊อกๆ

    เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำให้ร่างบอบบางที่อยู่ในเสื้อยืนตัวใหญ่กับกางเกงขายาวนั้นหันขวับ วางมือถือลงไว้ที่เดิมขณะย่องไปยังประตูห้อง โดยที่ปากก็ร้องถามผู้ที่อยู่อีกฟากของบานประตูไปพร้อมกัน

    “เวยหลงหรือคะ?”

    “หวางเย่ครับคุณผู้หญิง” คำตอบที่เอ่ยตอบมานั้นเหนือความคาดหมายของเหมือนฝันพอสมควร แต่กระนั้นหญิงสาวก็ยอมเปิดประตูห้องนอนของตนเอง ทันทีที่เปิดประตูร่างสูงที่อยู่ในชุดลำลอง แต่ก็ดูทะมัดทะแมงกว่าเธอมากของหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยของจ้าวเวยหลง ยืนเต็มความสูงที่หน้าประตูห้องของเธอแล้ว  “ขอโทษที่รบกวนเวลานี้นะครับ แต่ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะคุยกับคุณได้ตอนไหนอีก ถ้าไม่ใช่ตอนนี้”

    “คุย?” เหมือนฝันทวนคำพูดของหวางเย่อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เธอจำไม่ได้ว่าเธอคิดค้างอะไรกับเขาสักหน่อย “กับฉันเหรอคะ เรื่องอะไรหรือ”

    “เรื่องที่เราคุยกันตอนอยู่ในรถ แล้วก็เรื่องที่คุณคุยกับท่านประธาน...ที่ว่าผมไม่กลัวตายน่ะครับ ผมแค่อยากรู้ว่าคุณรู้เรื่องนั้นจากที่ไหน”

    “อ้อ เรื่องนั้นเอง” เหมือนฝันถึงบางอ้อ มองสีหน้าเคร่งครึมของหวางเย่ที่แสดงออกมาเพราะความเครียดกึ่งกังวลแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะมองเลยไปยังร่างโปร่งใสของดวงวิญญาณผู้หญิงที่ซ้อนอยู่ด้านหลังของเขา ผีตนนี้ก็ทอดสายตาอาลัยมองเสี้ยวหน้าของหวางเย่ด้วยสายตาเศร้าสร้อยพอกัน ทำให้เหมือนฝันลังเลขึ้นมานิดๆ ว่าเธอควรจะบอกความจริงหวางเย่ดีหรือไม่

    บางครั้งการที่คนเป็นรู้ว่ามีหนหางในการติดต่อกับคนที่อยู่ในโลกหลังความตายได้ ก็ไม่ได้ส่งผลดีกับพวกเขาเสมอไปหลายต่อหลายครั้งที่เหมือนฝันเห็นผู้คนหมกมุ่นกับการพยายามติดต่อกับคนที่ตายไปแล้ว พอสำเร็จครั้งหนึ่งและรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถทำเช่นนี้ตลอดไปได้ คนพวกนั้นก็กลับมาโศกเศร้าเพราะการสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้จบ บางคนก็ถึงขั้นกับเสียศูนย์ไปเลยก็มี...หวางเย่น่าจะรู้จักความรู้สึกนั้นดีกว่าใครเพื่อนเพราะว่าครั้งหนึ่งหวางเย่เองเขาก็เคยเป็น

    ‘อย่าบอกเขานะคะ ฉันไม่อยากเห็นเขาเศร้า’

    ดวงวิญญาณของหญิงสาวอ้อนวอนเหมือนฝัน ทำให้เธออดย้อนถามในใจไม่ได้ว่า แล้วตอนนี้หวางเย่ไม่ได้เศร้าอยู่หรือไง...คนหน้าตายที่เธอเจอเมื่อกลางวันนี้ ไม่มีทางเป็นคนเดียวกับผู้ชายนัยตาเศร้าตรงหน้าเธออย่างแน่นอน เห็นอย่างนี้แล้วเหมือนฝันก็อดรู้สึกหดหู่ตามไปด้วยไม่ได้

    “เดาไม่อยากไม่ใช่หรือคะ อีกอย่างคุณก็เป็นคนไร้ชีวิตชีวาที่สุดคนหนึ่งที่ฉันเคยเจอมาเลย” เหมือนฝันยิ้มแฉ่ง โกหกหน้าตายโดยไม่สนว่าหวางเย่จะเชื่อคำโกหกนี้ของเธอหรือไม่ เขาเชื่อแล้วยังไง ไม่เชื่อแล้วยังไงเขาจะทำอะไรเธอได้ จะเค้นคอให้เธอคายความจริงที่ว่าเธอเห็นดวงวิญญาณของอดีตคนรักเขาออกอย่างนั้นหรือ

    หึ ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดูสิ

    “ผมรู้ว่าคุณเห็นอะไรใช่ไหม” หวางเย่สั่นศีรษะเบาๆ ปฏิเสธที่จะเชื่อคำกล่าวนั้นของเหมือนฝัน “คุณเห็นเขาใช่ไหม เขายังอยู่ใช่ไหม ที่ผมยังเห็นเขาอยู่ทุกคืนมันเป็นเขาจริงๆ ใช่หรือเปล่า”

    “ไม่รู้สิคะ ฉันเพิ่งมาที่นี่” เหมือนฝันบอกปัด แต่สายตาที่เธอใช้มองเขานั้นทำให้หวางเย่สะท้านเฮือกในอก จู่ๆ ก็พลันรู้สึกหนาวเข้ากระดูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขารู้แล้วว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลและเหมือนฝันจะต้องรู้บางอย่าง- เพียงแต่เธอไม่ยอมพูดออกมาก็เท่านั้น

    “คุณรู้” น้ำเสียงของชายหนุ่มซึ่งอาวุโสกว่าเหมือนฝันหลายปีนั้นกระด้างขึ้นอย่างกล่าวหาคนตัวเล็ก ไม่ปักใจเชื่อคำพูดเมื่อครู่นี้ของเหมือนฝันแม้แต่นิดเดียว “ผมรู้นะว่าคุณเห็น”

    “ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ”  เหมือนฝันไม่สะทกสะท้านกับน้ำเสียงและกริยาดุดันของหวางเย่ หญิงสาวยังรักษาสีหน้ายิ้มแย้มอันจอมปลอมของตนไว้ได้อย่างดีเยี่ยมตลอดการสนทนา และก่อนที่สถานะการณ์ระหว่างทั้งคู่จะตึงเครียดไปกว่านี้ เสียงห้าวและดุดันกว่าของจ้าวเวยหลงก็แทรกแหวกอากาศเข้ามา ทำให้ทั้งเหมือนฝันและหวางเย่เองต้องยุติบทสนทนาระหว่างพวกเขาลงเพียงเท่านั้น

    “ผมคิดว่าคุณเข้านอนแล้วเสียอีกเหมือนฝัน”

    “ทีแรกก็ตั้งใจอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ แต่ฉันมีแขกเสียก่อน” หญิงสาวเพียงคนเดียวยิ้มพรายก่อนผายมือไปยังร่างสูงตรงหน้าเชิงบอกว่าใครคือแขกที่เธอพูดถึง ก่อนจะละสายตาจากหว่างเย่แล้วเบือนหน้ากลับไปมองเจ้าของบ้าน ที่ตอนนี้เขาเองก็อยู่ในชุดนอนที่พร้อมจะเข้านอนไม่ต่างจากเธอ แต่สีหน้าของจ้าวเวยยหลงกลับดูหงุดหงิดมากกว่าหว่างเย่ที่เพิ่งขึ้นเสียงใส่เธอเสียอีก และนั่นทำให้คิ้วงามของเหมือนฝันอดที่จะขมวดเข้าหากันนิดๆ ด้วยความสงสัยไม่ได้ “ทำไมคะ เกิดอะไรข้ึนอย่างนั้นเหรอ”

    “มีเรื่องนิดหน่อย” จ้าวเวยหลงตอบสั้นๆ ขณะสาวเท้าเข้าไปใกล้เหมือนฝันและหวางเย่ เมื่อเขาใกล้เหมือนฝันพอแล้วจ้าวเวยหลงก็หันไปมองคำสั่งกับหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยของตัวเองด้วยน้ำเสียงที่ทั้งกระด้างและเย็นชา  “ไปรอฉันที่ห้องทำงาน ฉันคุยกับฝันเสร็จแล้วจะตามไป”

    “ครับ ท่านประธาน” หวางเย่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากยอมผละไป ถึงอย่างนั้นสายตาที่เขามองเหมือนฝันก็ยังมีความสงสัยและคาใจอยู่ เหมือนกับว่าเธอยังติดค้างบางอย่างกับเขาอยู่ และเขาจะไม่รามือจากเรื่องนี้ไปง่ายๆ ซึ่งทุกการกระทำของหวางเย่ตกอยู่ในสายตาคมกริบของจ้าวเวยหลงทั้งหมด ทว่าชายหนุ่มกลับรอจนแน่ใจว่าคนของเขาเดินพ้นไปแล้วจริงๆ ก่อนจะเอ่ย ซึ่งต้องบอกคล้ายบ่นกับตัวเองก็ไม่ใช่ประชดประชันอีกคนเสียมากกว่า

    “ครั้งแรกเลยนะที่ผมเห็นเขาเป็นแบบนี้ คุณร่ายมนต์อะไรใส่เขาอย่างนั้นเหรือ”
     

    “มนต์อะไรก็ไม่ได้ผลกับเขาหรอกค่ะ” เหมือนฝันเอ่ยเสียงหยันขึ้นจมูก สายตายังตรึงอยู่ที่แผ่นหลังกว้างของหวางเย่ไม่ขยับไปไหน พลางคิดว่าต่อให้เธอไม่รู้อนาคตเหมือนมาสฟ้า แต่การคุยกับดวงวิญญาณได้นั้นก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าเธอนั้นถือไพ่คนอื่นๆ อยู่นิดๆ ดูอย่าตอนนี้สิขนาดเธอเพิ่งเผชิญหน้ากับผู้ชายร่างยักษ์อย่างหวางเย่มาหยกเหมือนฝันกลับไม่รู้สึกระย่อแม้แต่น้อย แถมยังรู้สึกดีมากต่างหากที่เธอกุมความลับที่เขาอยากรู้อย่างสุดหัวใจไว้ในกำมือ เพราะมันคือเครื่องมือการันตรีสำหรับเธอว่าหลังจากนี้ต่อไป ไม่ว่าเธอต้องการอะไรหวางเย่ก็จะยอมทำตามเธอทุกอย่างเพื่อแลกกับความลับที่เธอรู้

    “ลูกน้องของคุณเขาเป็นพวกเดนตาย ต่อให้ฉันร่ายมนต์ดำใส่เขา มันก็ไม่ได้ผลหรอกค่ะ เขามีความเป็นอาวุธสังหารชั้นดีมากกความเป็นคนเสียอีก”

     

     

    แหะแน่นอนว่าโผล่หัวมาได้ทีหนึ่งก็ต้องมีเรื่องอย่าแน่นอน  ฮิๆ และคราวนี้ก็คือ...ใช่ค่ะ เราต้องเปลี่ยนชื่อเรื่องกันอีกครั้ง 555 ซึ่งเอาจริงๆจากที่พูดเล่นๆว่านังแฝดเขามีอาถรรพ์เล่นๆตั้งแต่เปิดชื่อเรื่อง แต่ตอนนี้เริ่มจะเชื่อจริงแล้วว่าของเขาแรง เพราะเกิดเรื่องราวมากหมายเหลือเกินในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ แต่ถามว่าหนูจะหยุดไหม...ก็ไม่ เจอกันในรูปแบบรูปเล่มเร็วๆนี้ กับทาง สถาพร เหมือนเดิมจ้าาาาาา 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×