ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงชะตามีเกณฑ์จะได้รัก

    ลำดับตอนที่ #11 : อู่อี้เทียน

    • อัปเดตล่าสุด 15 เม.ย. 65


     

    ความสับสนปรากฎอยู่เต็มใบหน้าของอู่อี้เทียนหลังจากที่รับรู้เรื่องราวจากปากของผู้เป็นมารดา สายตาคมกริบที่จะอ่อนโยนเสมอในยามอยู่กับครอบครัวนั้นแปรเปลี่ยนเป็นคมกริบแสนอันตราย

    คิ้วเข้มที่ขมวดเป็นปมเหนือดวงตาคู่นั้นบอกชัดว่าเขาต้องการคำอธิบายมากกว่านี้ แต่เมื่อรอคอยอย่างใจเย็นอยู่ครู่ใหญ่ แต่แม่ของเขาก็ยังทานอาหารต่อไปราวกับไม่มีอะไรจะบอกเขาอีกแล้ว อู่อี้เทียนจึงต้องหันไปมองพ่อของเขาที่นั่งถัดไปจากแม่เพื่อขอคำอธิบาย หลังเป็นลูกชายของพวกท่านมาสามสิบหกปีเต็ม อู่อี้เทียนรู้ดีว่าพ่อแม่ของเขาไม่เคยมีความลับระหว่างกัน

    หากคนหนึ่งไม่ยากพูดก็เพียงแค่ต้องไปถามอีกคนเท่านั้น และเวลานี้คนที่สามารถไขข้อข้องใจของเขาได้ก็คือพ่อของเขานั่นเอง ซึ่งท่านก็ยอมเอ่ยปากอย่างไม่อิดออด อู่เมิ่งหลิวพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยนใจผิดสีหน้าของของผู้เป็นภรรยาที่นั่งอยู่ข้างกายลิบลับ

    “ปู่เขาก็แค่มาเยี่ยม ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่นา...ก็แค่เจอกัน ทานข้าว ไม่มีอะไรหรอกน่า”

    “ถ้าไม่มีอะไรคนพวกนั้นคงไม่มาหาเราหรอกครับ”

    อู่อี้เทียนเอ่ยแย้งผู้เป็นพ่ออย่างตรงไปตรงมาเช่นทุกครั้งที่เขาเห็นต่างกับท่าน ทั้งหมดของบรรดาสมาชิกตระกูลจ้าวอันแสนยิ่งใหญ่นั้น คนเดียวที่อู่อี้เทียนไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะรู้จักนั่นก็คือจ้าวเวยหลง เพราะชายหนุ่มนั้นเป็นนักธุรกิจที่น่าจับตามองในช่วงสองสามปีหลังนี้ ส่วนคนอื่น...เขาไม่อยากข้องเกี่ยวด้วยไม่ว่าจะทางใดก็ตาม ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นอดีตผู้นำตระกูลจ้าวและเป็นปู่ของเขาจ้าวเวยหลงก็ไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายกับการมาเยือนอันเหนือความคาดหมายนี้

    “อย่าพูดอย่างนั้น อย่างไรเสียก็ยังเป็นญาติกัน” อู่เมิ่งหลิวนิ่วหน้ายามปรามบุตรชายก่อนที่อู่อี้เทียนจะใช้คำพูดร้ายกาจไปกว่านี้

    “พ่อของลูกอยู่ห่างจากพวกสกุลจ้าวมานานเกินไป ถึงได้ลืมพิษสงของพวกนั้นไปจนหมด” กลายเป็นผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยใช้นามสกุลจ้าวกลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงประชดประชัน จิกกัดไปถึงผู้ที่ใช้นามสกุลจ้าวทุกผู้ทุกคนอย่างเสมอหน้า แล้วว่าต่อด้วยน้ำเสียงหนักบอกถึงความจริงจังในสิ่งที่พูด “ลูกคิดถูกแล้ว ต้องมีเกิดอะไรขึ้นที่ตระกูลจ้าวแน่ ไม่อย่างนั้นปู่ของลูกคงไม่ถ่อมาถึงที่นี่...เตรียมตัวรับมือกับเขาไว้แต่เนินๆ ล่ะ เพราะพ่อของลูกชิงรับนัดของเขาไปแล้ว ไม่ถามแม่ก่อนด้วยซ้ำ”

    “ถึงคุณพ่อจะกว้างขวางในแผ่นดินใหญ่ แต่ที่ไม่เหมือนกันหรอกนะคุณ...อย่ามองโลกในแง่ร้ายนักเลย ไม่แน่ว่าท่านอาจจะมาเพราะอยากเจอคุณเฉยๆ ก็ได้”

    สิ่งที่อู่เมิ่งหลิวพูดนั้นไม่ผิดแต่ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว สำหรับความรู้สึกของคนฟังทั้งสอง แต่กลับไม่มีใครกล้าที่จะแย้งเขาอีกเพราะรู้ดีว่าการที่ยังสามารถมองโลกในแง่ดีได้แบบเขาในวัยเท่านี้ไม่ใช่เรื่องที่อู่เมิ่งหลิวเสี่ยงโชคได้มา

    เขาเป็นคนเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร และเพราะว่าเขาเป็นคนจิตใจดีแบบนี้เขาจึงได้สามารถเอาชนะใจคุณหนูใหญ่ของตระกูลจ้าวได้ แม้ว่าตอนนั้นเขาจะเป็นเพียงนักศึกษาที่มาจากมณฑลเล็กๆ ที่ห่างไกลความเจริญ

    ฐานะเด็กกำพร้าที่ติดตัวเขามานั้นทำให้เขาไร้ครอบครัวหนุนหลัง แต่ความเป็นคนซื่อๆ ที่มักจะถูกคนอื่นใช้ประโยชน์เสมอกลับไปต้องตาคุณหนูจ้าวเฟยหรงเข้า ตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้จะผ่านมานานร่วมสี่สิบปีแต่เรื่องราวความรักระหว่างพวกเขายังเป็นที่โจษจันในเซี่ยงไฮ้อยู่เนื่องๆ ยามพูดถึงเรื่องรักต้องห้าม

    เรื่องความรักต่างชนชั้นของทั้งคู่ ที่ว่าถึงความยากลำบากกว่าจะได้ครองรักกันของคุณหนูผู้เพรียบพร้อมที่มาจากตระกูลที่ทรงอิทธิพลกับชายธรรมดาหน้าซื่อยังเป็นเรื่องเล่าคลาสสิคในร้านน้ำชาเสมอ

    และตอนนี้อดีตคุณหนูจ้าวคนสวยก็ได้นั่งหน้าซังกะตายเพราะคำพูดของสามีอยู่ อู่เฟยหรงรักสามีเพราะเขาเป็นคนซื่อก็จริงอยู่ แต่หลายๆ ครั้งสามีของเธอก็ซื่อจนแทบจะเรียกได้ว่าโง่ บ่อยครั้งที่เขาทำให้เธออยากจะหวดเขาแรงๆ สักครั้งเพื่อเรียกสติเหมือนอย่างตอนนี้เป็นต้น

    ไอ้เรื่องอิทธิพลของตระกูลจ้าวนั้นจะมีใครรู้ดีไปกว่าเธออีก...มีคนเดียวเท่านั้นแหละที่หลับหูหลับตา มักจะบอกว่าเธออคติกับตระกูลจ้าว มองคนพวกนั้นในแง่ร้ายเพราะเรื่องบาดหมางในอดีตนั่นก็คือสามีเธอ แต่อู่เฟยหรงมั่นใจว่าเธอรู้จักคนพวกนั้นดีและต่อให้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เธอก็จะไม่มีทางลืมพิษสงของคนพวกนั้น

    ถึงจะบอกว่าจ้าวลี่หยางนั้นเป็นที่นับหน้าถือตาและกว้างขวางในเซี่ยงไฮ้แต่ที่นี่เขาเป็นเพียงชายแก่ไร้พรรคพวกจะเป็นความจริง แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถนับจ้าวลี่หยางเป็นคนแก่ดาษเดื่อนที่สามารถเห็นได้ทั่วไปตามถนน เขาเป็นผู้นำตระกูลจ้าวมาตั้งกี่สิบปีมีหรือที่จะทิ้งเขี้ยวเล็บไปหลังก้าวลงจากตำแหน่ง ไม่มีทางเสียล่ะคนแบบนี้ต่อให้จะใกล้ตายก็ต้องซ่อนกรงเล็บคมกริบเอาไว้ เพราะเขาทำเช่นนั้นมานานมันจนกลายเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว

    แต่ความคิดของอู่เมิ่งหลิวนั้นเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนเหมือนกับผู้เป็นภรรยา เขาคิดว่าที่นี่เป็นบ้านของเขา เป็นที่ที่อู่อี้เทียน ลูกชายของเขาใช้เวลาหลายปีในการวางรากฐานจนสามาถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้บารมีในพื้นที่ แม้ว่าจะยังต้องแบ่งอำนาจกับพวกกลุ่มมีอำนาจเก่า และยังต้องมีข้อตกลงหลายอย่างในการอยู่ร่วมกัน แต่อู่อี้เทียนของเขาก็เพิ่งจะอายุสามสิบหกเท่านั้น...เส้นทางของชายหนุ่มยังอีกยาวไกล และเป้าหมายที่จะเป็นยักษ์ใหญ่เพียงคนเดียวที่นี่ก็ไม่ไกลเกินเอื้อมสำหรับอู่อี้เทียนในความคิดของผู้เป็นพ่อ

    “ลูกต้องไม่ประมาทคนตระกูลจ้าว พวกนั้นอยู่มาได้จนถึงตอนนี้เขี้ยวเล็บของเขาย่อมต้องไม่ธรรมดา โดยเฉพาะกับจ้าวเวยหลงนั่น...ระวังเขาไว้ให้ดี”

    อู่เฟยหรงเตือนบุตรชายด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เฉียบขาด แสดงออกถึงความจริงจังในเรื่องที่เธอเพิ่งพูดไป ยิ่งพูดหล่อนก็ยิ่งไม่เหมือนคนที่ครั้งหนึ่งเคยครองตำแหน่งคุณหนูใหญ่ของตระกูลจ้าว หากบอกว่าเป็นศัตรูคู่แค้นของตระกูลจ้าวคงน่าเชื่อมากกว่า

    “เวยหลงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร” อู่อี้เทียนอ้อมแอ้มตอบมารดาก่อนจะคีบเนื้อหมูเข้าปาก ก้มหน้าเคี้ยวหยับๆ เพื่อเลี่ยงการสบสายตาคมกริบของผู้เป็นแม่

    “เขาโตมาในตระกูลจ้าว เขาก็คงบิดเบี้ยวเหมือนตระกูลจ้าวคนอื่นๆ นั่นแหละ ลูกอย่าชะล่าใจแค่เพราะว่าหมอนั่นพูดดีกับลูกเลย”

    “จ้าวเวยหลงเก่งมากจริงๆ” อู่เมิ่งหลิวเหลือบมองหน้าภรรยาและลูกชายสลับกัน สำหรับคนที่ไม่มีเลือดตระกูลจ้าวอยู่ในตัวเช่นอู่เหมิ่งหลงนั้น เขานับว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ยังสามารถมองตระกูลจ้าวในแง่ดีได้ “เขาอายุน้อยกว่าอี้เทียนของเราตั้งหลายปี แต่ขึ้นมาเป็นประธานเฉวียนเจิ้นได้...ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้หรอกนะ”

    “มันก็เพราะว่าเขาพิษสงเยอะกว่าคนอื่นน่ะสิ” อดีตคุณหนูจ้าวแยกเขี้ยวใส่สามีแสนจิตใจของเธอ อย่างที่บอกไปว่าเธอรักที่เขาเป็นแบบนี้แต่หลายครั้งเธอก็อยากจะทุบเขาแรงๆ เพราะเขาเอาแต่เป็นแบบนี้เหมือนกัน “อยู่ห่างๆ เขาไว้นะอี้เทียน คนตระกูลจ้าวน่ะไว้ใจไม่ได้หรอก”

    “ทำไมคุณเอาแต่พูดเรื่องแย่ๆ ให้ลูกฟังนะ” นั่นเป็นถ้อยคำตำหนิภรรยาที่รุนแรงที่สุดแล้วสำหรับอู่เมิ่งหลิว “ไม่ดีเลยนะ”

    “ใช่ บอกแล้วไงว่าตระกูลจ้าวไม่มีใครดี” คนที่มาจากตระกูลจ้าวหันขวับไปเผชิญหน้ากับสามี ยิ้มรับคำตำหนินั้นอย่างไม่สะทกสะท้าน “แล้วอี้เทียนก็เป็นคนตระกูลจ้าว เขาก็แย่พอๆ กับฉันนั่นแหละ”

    “แค่ครึ่งเดียว” เสียงห้าวของผู้เป็นลูกนั้นเอ่ยขึ้นคล้ายต้องการทวงความเป็นธรรมให้ตัวเอง ดึงสายตาของพ่อกับแม่ของเขาให้มาอยู่ที่ตัวก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้ความยี่หระใดๆ “ผมเป็นคนตระกูลจ้าวจริงแต่ก็แค่ครึ่งเดียว...”

    “โชคดีของลูก” อู่เฟยหรงพึมพำ จากคนที่มีเลือดตระกูลจ้าวไหลเวียนอยู่เต็มตัวอย่างเธอยินดีกับลูกชายของตัวเองอย่างมาก

    “ตอนนี้คุณเป็นคนบ้านอู่แล้ว” อู่เมิ่งหลิวเอื้อมมือไปบีบมือเล็กที่เขากอบกุมมาตลอดหลายสิบปี บีบมือของภรรยาเบาอย่างปลอบขวัญไม่อยากให้เธอคิดถึงเรื่องเก่าๆ อีก “เป็นภรรยาของผม”

    “ค่ะ” อู่เฟยหรงคลี่ยิ้มอ่อนหวานส่งให้คู่ชีวิตของเธอ ดีใจที่วันนั้นเธอตัดสินใจเลือกทิ้งฐานะคุณหนูใหญาตระกูลจ้าวเพื่อมาแต่งงานกับเขา

    ภาพของพ่อแม่แสดงความรักต่อกันนั้นเป็นเรื่องน่ายินดีก็จริงแต่สำหรับอู่อี้เทียนทีเห็นมันบ่อย ความยินดีที่ว่าก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเอือมระอา...ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีการแสดงความรักอย่างหวานเลี่ยนตรงหน้า พยายามทุ่มเทความสนใจของตัวเองไปที่อาหาร ขณะปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปถึงแขกที่ไม่ได้รับเชิญ พร้อมกับเตรียมวิธีรับมือจ้าวหลีหยางเอาไว้ในใจ

    แม้ว่าเขาและแม่จะมีหลายเรื่องที่เห็นไม่ตรงกัน แต่เรื่องหนึ่งที่เขาจะไม่มองข้ามก็คือคำเตือนของแม่เกี่ยวกับคนตระกูลจ้าว สำหรับอู่อี้เทียนแล้วมีใครรักจักคนตระกูลจ้าวดีไปกว่าแม่ของเขาอีก...อู่อี้เทียนคิดไม่ออก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×