ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงชะตามีเกณฑ์จะได้รัก

    ลำดับตอนที่ #41 : เตือนแล้วนะ

    • อัปเดตล่าสุด 9 เม.ย. 66


    “ฉันเดาว่าแขกที่มาใหม่คนนี้คงสำคัญมากจริงๆ”

    จ้าวเวยหลงเงยหน้าไปมองจ้าวซ่งเหยี่ยมที่ยืนกอดอกอยู่เกือบอีกฟากของห้อง หลังจากส่งข้อความบอกเหมือนฝัน ด้วยตอนนี้เขายังไม่สามารถจัดการความวุ่นวายในบ้านได้ หรือจะพูดให้ชัดเจนก็คือเขายังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าคืนนี้จะให้เหมือนฝันและมาสฟ้าพักอยู่ที่ไหน
     

    แน่นอนว่าจ้าวลี่หยางนั้นยืนยันที่จะให้มาสฟ้าไปพักที่บ้านใหญ่ของตระกูลจ้าวที่ตั้งอยู่ชานเมือง ซึ่งหมายความหมายเหมือนฝันก็ไม่มีทางเลือกอื่นเว้นแต่ต้องติดสอยห้อยตามพี่สาวของเธอไปด้วย แต่จ้าวเฟยหรงกลับมีความคิดอีกอย่าง...ป้าใหญ่ยืนยันที่จะให้มาสฟ้าและเหมือนฝันเป็นคนเลือกเองว่าพวกเธอต้องการจะพักที่ไหน จ้าวเวยหลงพอจะเดาได้ว่าท่านคงคิดว่าสาวๆ เลือกที่จะพักอยู่ในโรงแรมกลางเมือง ที่สะดวกสะบายกับพวกเธอมากกว่า และแน่นอนว่าหากมาสฟ้าและเหมือนฝันเลือกตามป้าใหญ่คิดมันก็จะยิ่งง่ายกับคนบ้านอู่ ที่จะฉวยโอกาสนี้เข้าใกล้มาสฟ้าและเหมือนฝัน

    แต่จ้าวเวยหลงไม่ห่างหรอกว่ามาสฟ้าจะเลือกไปพักที่โรงแรมในเมือง เขามั่นใจว่าเหมือนฝันไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้นได้เพราะทำอย่างนั้นจะยิ่งเข้าทางอู่อี้เทียนไปกันใหญ่ แต่การจะเอาชะจ้าวลี่หยางและจ้าวเฟยหรงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้แต่กับผู้นำตระกูลจ้าวอย่างเขา

    “ถ้าพ่อหมายถึงมาสฟ้าล่ะก็ใช่ครับ” จ้าวเวยหลงถอนหายใจ สีหน้าและน้ำเสียงที่เอ่ยตอบจ้าวซางเหยี่ยนนั้นซังกะตายประกาศชัดถึงความเบื่อหน่าย “เธอเป็นแขกของปู่...ก็คงสำคัญมากล่ะครับ”

    “มากกว่าคนที่อยู่กับแกก่อนหน้านี้อีกเหรอ?”

    “ผมดูแลเหมือนฝันเท่าที่ผมจะทำได้” คราวนี้น้ำเสียงของจ้าวเวยหลงกระด้างหูและดุดันขึ้นเพราะสิ่งที่จ้าวซ่งเหยี่ยนเพิ่งเอ่ย “แล้วเหมือนฝันก็ไม่ได้อยู่กับผม พ่ออย่าพูดแบบนั้น ถือว่าผมเตือนด้วยความหวังดีแล้วกัน”

    “แล้วคนไหนสำคัญกว่ากันล่ะ” จ้าวซ่งเหยี่ยนไม่ด้ใส่ใจสิ่งที่ลูกชายของเขาพูด สำหรับเขาแล้วมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า “คนที่อยู่กับแกหรือคนที่อยู่กับอี้เทียน คนไหนกันแน่ที่ปู่แกดิ้นรนไปเจอให้ได้”

    “พ่ออยากจะพูดอะไร”

    “แค่ตอบคำถามฉันมาก็พอ” จ้าวซ่งเหยี่ยนแยกเขี้ยว ไม่เข้าใจว่าคำถามของเขามีอะไรซับซ้อนตรงไหนทำไมจ้าวเวยหลงถึงสับสนได้ “คนไหนที่ปู่ของแกตั้งใจจะเอามาเป็นหลานสะไภ้”

    “พ่อพูดบ้าอะไรน่ะ” จ้าวเวยหลงย้อนถามพ่อของตัวเองเสียงหลงอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง คิดว่าจ้าวซ่งเหยี่ยนคงเพ้ยนไปแล้วแน่ๆ ถึงได้พูดเช่นนั้นออกมา “มาสฟ้าเขาก็แค่เป็นหมอดู เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่พ่อคิด”

    “งั้นก็เป็นคนที่อยู่กับอี้เทียนสินะ” จ้าวซ่งเหยี่ยนได้คำตอบที่ตัวเองต้องการแล้วก็หมุนตัว เตรียมจะก้าวออกไปจากห้องแต่ก็ชะงักเท้าแล้วหันกลับมามองหน้าลูกชายของตัวเองเสียก่อน ความเงียบที่เกิดจาดความลังเลของจ้าวซ่งเหยี่ยนนั้นยาวนานอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วเขาก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้...อย่างที่เขาได้ยินมาจนเบื่อนั่นแหละที่ว่าสุดท้ายแล้วจ้าวเวยหลงก็คือลูกของเขาอยู่วันยังค่ำ “แกช้ากว่ามันก้าวหนึ่งอีกแล้วเวยหลง -แล้วถ้าแกไม่อยากเสียท่ามันกับป้าใหญ่ของแกไม่มากกว่านี้ ก็รีบเปลี่ยนผู้หญิงที่แกคั่วอยู่ซะ ยังไงสองคนก็หน้าตาเหมือนกันอยู่แล้ว แกคงไม่เสียเวลาทำใจมากหรอก”

    “พ่อพูดบ้าอะไรออกมา!” จ้าวเวยหลงตวาดผู้เป็นพ่อเสียงดังลั่นห้อง เสียงของเขาดังจนทุกคนบริเวรนั้นได้ยินกันเต็มสองหู แต่จ้าวเวยหลงไม่ได้สนใจว่าใครจะมาได้ยินหรือเห็นว่าเขาทะเลาะกับจ้าวซ่งเหยี่ยน ตอนนี้เขาโกรธจนได้ยินเสียงวิ้งๆ ในหูโกรธหน้ามืดก็ว่าได้  “เหมือนฝันเขาเป็นแขกของผม -อย่ามาพูดอะไรพล่อยๆ อย่างนี้อีก ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน”

    “ฉันต่างหากที่ต้องพูดคำนั้น” จ้าวซ่งเหยี่ยนยิ้มมุมปาก เมื่อเตือนแล้วจ้าวเวยหลงไม่ใส่ใจฟังเขาก็เพยงยักไหล่เบาะอย่างไม่ใส่ใจ ถือเสียว่าเขาเตือนแล้วเรื่องต่อจากนี้ก็สุดแต่เวรแต่กรรม “ถ้าอี้เทียนมันฮุบแม่สาวนั่นไปได้ก่อนแก อย่ามาหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน”

    “คำเตือนไร้สาระของพ่อ- พ่อเก็บไว้เตือนตัวเองเถอะครับ” จ้าวเวยหลงข่มกราม เรื่องที่จ้าวซ่งเหยี่ยนพูดมาเขาจะถือเสียว่าไม่เคยได้ยินก็แล้วกัน “ผมเป็นผู้นำตระกูลจ้าว ไม่จำเป็นต้องลงไปยื้อแย่งผู้หญิงกับใคร”

    “ขอให้มันจริงก็แล้วกัน” 
     

     

    กว่าที่เหมือนฝันและพี่สาวจะซื้อของเสร็จเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบเย็นแล้ว กลายเป็นจ้าวเวยหลงเองที่ต้องโทร.ตามทั้งคู่ ให้พวกเธอกลับมาบ้านก่อนมื้อค่ำ...ซึ่งก็หมายถึงในอีกยี่สิบนาทีข้างหน้านี้แล้ว

    เพราะว่าที่จะกลับจากห้างสรรพสินค้า มาถึงแล้วก็ยังต้องอาบน้ำแต่งตัวจึงทำให้สองพี่น้องเกือบจะสาย ซึ่งแน่นอนว่าเหมือนฝันเป็นคนเดียวที่ร้อนรน เพราะมาสฟ้านั้นแต่งหน้าแต่งตัวเพียงไม่นานเธอก็พร้อมที่จะไปทานข้าวแล้ว

    แม้ว่าจะเป็นการทานข้าวในครอบครัวโดยมีแค่พวกเธอทั้งสองคนเป็นแขก แต่เหมือนฝันก็แน่ใจว่าอาหารค่ำมื้อนี้คงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่จะไม่ธรรมดาอย่างไรนั้นตอนนี้คงเร็วเกินกว่าที่จะบอก

    “คุณท่านให้ดิฉันมานำพวกคุณไปยังห้องอาหารค่ะ” เสียงแหบของซูเจินเป็นอย่างแรกที่ทั้งเหมือนฝันและมาสฟ้าได้ยิน คนแรกนั้นสะดุ้งตกใจเพราะยังแต่งตัวไม่เสร็จดีเหลือใส่ต่างหูที่เธอทำด้วยตัวเองไม่ได้เพราะเฝือกเจ้ากรรม ผิดกับมาสฟ้าที่ยังขมักเขม้นกับการช่วยเหลือน้อง นิ่งเหมือนไม่ได้ยินซูเจินพูด “ที่นี่เราทานมื้อเย็นกันหนึ่งทุ่ม ถ้าช้ากว่านี้พวกคุณจะสาย”

    “ถ้ากลัวสายก็ควรแจ้งวลาล่วงหน้านะคะ ไม่ใช่มาบอกตอนที่พวกเรากลับมาถึง” เป็นมาสฟ้าที่หมุนตัวมาเผชิญหน้ากับแม่บ้านอาวุโสของตระกูลจ้าว เธอจ้องตาหญิงสูงวัยไม่มีหลบ ไม่เกรงกลัวแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิสูงกว่าเธอมาก“แล้วยังมาเร่งกันแบบนี้อีก ไม่เสียมารยาทเกินไปหน่อยหรือคะ”

    “เรื่องแจ้งกำหนดเวลาดิฉันผิดเองค่ะ”

    “ซูเจินมาเร่งแขกอีกล่ะสิท่า” เสียงแหลมๆ อันแสนคุ้นเคยในความรู้สึกของมาสฟ้านั้นดังมาก่อนเจ้าตัว เสียงที่ทำให้คิ้วงามของเหมือนฝันเลิกสูงขึ้นอย่างสนอกสนใจ หากจำไม่ผิดเสียงนี้น่าจะเป็นเสียงของจ้าวเฟยหรง คุณป้าของจ้าวเวยหลงและเหมือนฝันก็รู้ว่าเธอคิดถูก...เมื่อใบหน้างามสมวัยปรากฏขึ้นตรงบานประตู มาพร้อมกับสามีและลูกชายของท่าน อู่อี้เทียน

    “คุณหนู”  ซูเจินรีบค่อมศีรษะแล้วหลีกทางให้จ้าวเฟยหรง ท่าทางลนลานของหญิงแกนั้นเหมือนฝันเห็นเป็นครั้งแรกเลย “ดิฉันแค่มานำทางแขกของนายท่านตามคำสั่งเท่านั้นค่ะ”

    “อย่าเถียงสิ ฉันได้ยินหรอกที่ว่าอาหารตั้งโต๊ะตอนทุ่มหนึ่ง” จ้าวเฟยหรงค้อนคนสนิทของแม่ผู้ล่วงลับของตนพอเป็นพิธี ก่อนจะหันมายิ้มกว้างส่งให้มาสฟ้าโดยที่เผื่อแผ่รอยยิ้มเป็นมิตรมาให้เหมือนฝันที่ยืนเงียบด้วยอย่างใจดี “นี่น้องสาวฝาแฝดที่หนูเคยบอกฉันสินะ”

    “ค่ะ นี่เหมือนฝันค่ะ”  มาสฟ้าพยักหน้ารับก่อนจะแนะนำน้องสาวให้อีกฝ่ายรู้จักอย่างเป็นทางการ  “ฝันจ้ะ นี่คุณป้าเฟยหรง”

    “สวัสดีค่ะ”

    “สวัสดีๆ เมื่อเช้านี้ไม่ทันได้ทักกันเลย สวยเหมือนพี่นะเรา” จ้าวเฟยหรงทักทายเหมือนฝันอย่างสนิทสนม ไม่ไว้ตัวอย่างที่เหมือนฝันคิดเอาไว้ “พวกเราเป็นห่วงหนูกันแทบแย่ กลัวว่าเวยหลงเขาจะทำร้ายหนู”

    “เอ้อ ไม่เลยค่ะไม่เลย” เหมือนฝันรีบโบกมือพัลวัน ไม่สามารถปล่อยให้การเข้าใจผิดนี้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ได้ “เวยหลงเขาดูแลหนูดีมากค่ะ พาหนูไปหาหมอด้วย” ว่าแล้วเหมือนฝันก็ยกมือข้างที่ใส่เฝือกอ่อนให้ทุกคนดู แต่ทุกคนกลับมองเผือกที่แขนของเธอด้วยสายตาซับซ้อน ไม่เชิงว่าเชื่อคำอ้างนั้นของเหมือนฝันแต่ก็ไม่อยากจะทำลายหัวใจน้อยๆ ของเหยื่อที่ (พวกเขาคิดว่า) โดนลักพาตัวมา เดือดร้อนเหมือนฝันที่ต้องสำทับยืนยัน หวังเปลี่ยนความคิดของทุกคน “หนูพูดจริงๆ นะคะ เวยหลงเขาดูแลหนูดีจริงๆ ค่ะ เราเป็นเพื่อนกัน”

    “อ้อหรือจ๊ะ” จ้าวเฟยหรงยิ้มแห้ง เหลือบมองหน้าทุกคนในห้องหนึ่งรอบถ้วนเพื่อถามความเห็นก่อนจะมาหยุดที่เหมือนฝันแล้วว่า “อย่างนั้นก็ดีเลยจ้ะ ดีแล้วเป็นเพื่อนกับเวยหลง...ดีมากๆ เลย”

    “เราไปห้องอาหารเถอะครับ พวกนั้นคงมองทางเราแย่แล้ว” เสียงทุ้มดุๆ ของอู่อี้เทียนดึงความสนใจของทุกคนไปจากเหมือนฝัน กระทั่งมาสฟ้าเองก็ยังต้องละสายตาจากน้องของเธอไปที่ร่างสูง ที่อยู่ในเสื้อเชิ๊ตสีดพกับกางเกงเสล็คสีเดียวกัน กึ่งจะทางการกึ่งจะลำลองบอกไม่ถูก

    “คุณชายใหญ่พูดถูกค่ะ ตอนนี้เราสายกันแล้ว” ซูเจินสนับสนุนอู่อี้เทียน รู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยๆ ตรงนี้ ยังมีคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับเวลาตั้งโต๊ะของตระกูลจ้าว

    “ช้าแค่ห้านาทีสิบนาทีมันจะเป็นไรไป” คุณหนูตระกูลจ้าวบ่นอุบ แต่ก็ยอมนำทุกคนออกมาจากห้อง ขบวนน้อยๆ นี้มีจ้าวเฟยหรงและอู่เมิ่งหลิ่วเดินนำหน้า ตามด้วยเหมือนฝันและมาสฟ้า โดยมีอู่อี้เทียนและแม่บ้านรั้งท้ายสุด เป็นการรวมตัวที่แปลกตาแปลกใจอย่างไม่ต้องสงสัย

    พวกเขามาถึงห้องอาหารขนาดใหญ่ของจ้าวเวยหลง ที่ไม่เคยต้อนรับแขกเลยโดยช้าไปกว่าเวลาตั้งโตะอาหารเกือบห้านาที ดังนั้นเมื่อพวกเขามาถึงอาหารทุกอย่างก็ถูกจัดขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้ว

    เป็นโต๊ะกลมแบบร้านอาหารจีนที่เหมือนฝันเคยไปทานอยู่บ่อยๆ เพียงแต่โต๊ะตรงหน้านี้ใหญ่พอสำหรับคนสิบสองคน ไม่ใช่ขนาดโต๊ะจีนที่เหมือนฝันคิดว่าจะตั้งอยู่ในบ้านคน

    โดยบนโต๊ะทั้งมีจ้าวลี่หยาง จ้าวเวยหลงและจ้าวซ่งเหยี่ยน นั่งรอพวกเขาด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป สีหน้าของจ้าวลี่หยางนั้นดูสดใสยิ่งเมื่อเห็นมาสฟ้า แววตาของเขาก็ยิ่งฉายแววความสุขออกมา ขณะที่จ้าวเวยหลงนั้นมีสีหน้าเฉยเมยกระทั่งเขามองเห็นเหมือนฝัน สีหน้าของเขาจึงค่อยอ่อนโยนลง ผิดกัยจ้าวซ่งเหยี่ยนที่ไม่ว่าก่อนหรือหลังที่พวกเขาจะเข้ามาในห้องสีหน้าของเขาก็เย็นชา...มีแต่สายตาสอดรู้สอดเห็นของเขาที่ทำให้เหมือนฝันรู้สึกปั่นป่วนในท้องแปลกๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

    “นี่เหรอ หมอดูที่พ่อพูดถึงน่ะ”

    คำถามของจ้าวซ่งเหยี่ยนหยุดความเคลื่อนไหวทุกอย่างภายในห้อง เว้นแต่มาสฟ้าที่กำลังทรุดตัวนั่งตรงข้ามกับเขา แม้จะมีโตะขนาดใหญ่ขวางทั้งคู่เอาไว้แต่ก็ไม่สามารถกัดขวางสายตาที่พวกเขาใช้มองกันและกันได้ ก่อนเป็นมาสฟ้าที่ย้อนถามอีกฝ่ายกลับด้วยคำพูดและน้ำเสียงท้าทายไม่เกรงกลัว

    “ก็ถ้าใช่แล้วมันทำไมเหรอคะ คุณชายรอง”

     

     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×