ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงชะตามีเกณฑ์จะได้รัก

    ลำดับตอนที่ #33 : 7 ปี

    • อัปเดตล่าสุด 31 มี.ค. 66


    “คุณต้องใช้วีซ่า” น้ำเสียงกระด้างที่อู่อี้เทียนใช้กับมาสฟ้านั้นไร้ความรู้สึกเสน่หา  ผิดกับก่อนหน้านี้ที่เขาจะรู้ว่าเธอเป็นหมอดู การกระทำของเขาเองก็แตกต่างไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นเดียวกัน  ซึ่งมาสฟ้ามั่นใจว่าเธอนั้นไม่ได้คิดไปเอง และเธอก็ไม่โทษหรือคิดถือโทษอีกฝ่ายด้วยที่เขาทำกริยาเช่นนี้กับเธอ

    “ฉันมีแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  ตั้งแต่แรกเริ่มจนกระทั่งตอนนี้มาสฟ้าไม่ได้วางตัวเปลี่ยนไปเลย  แม้ว่าอู่อี้เทียนจะมองเธอด้วยสายตาขุ่นขวางอย่างเป็นอริชัดเจน  เธอยังคงสุภาพแต่ก็ไม่ได้ทำตัวสนิทสนมกับอู่อี้เทียนจนเหมาะสม ซึ่งการกระทำนี้ของมาสฟ้าทำให้อู่อี้เทียนรู้สึกคันยุบยิบในอก

    แค่รู้แล้วว่ามาสฟ้านั้นเป็นหมอดู...พวกคนเขาเกลียดเข้าไส้ อู่อี้เทียนก็ตั้งใจว่าเขาจะไม่ได้ยินดียินร้าย ไม่สนใจว่าเธอจะเกลียดเขาหรือพิศวาสเขาอีกต่อไป เพราะตอนนี้ความรู้สึกท่วมท้นที่เอ่อล้นอยู่ในอกของอี้เทียน เหลืออยู่เพียงคือความรู้สึกผิดหวังและโกรธแค้นเหมือนคนที่โดนหักหลังทุกคนคงรู้สึก

    ความรู้สึกคับแค้นที่เขาไม่สามารถระบายหรือเอาไปลงกับใครได้  แม้แต่กับผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ อู่อี้เทียนก็ไม่สามารถโทษมาสฟ้าได้  เขาโกรธ...โกรธทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเขา  ทว่าปีศาจอีกตัวในใจของเขาก็ไม่ยอมแพ้...มันยังพยายามเขาชนะเขา คอยแต่กระซิบบอกให้เขารีบยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้เพื่อที่เขาและมันจะได้ครอบครองมาสฟ้าโดยเร็ว

    “เตรียมพร้อมดีนี่”

    พูดเท่านั้นร่างสูงก็หมุนตัวเดินจากไป ไม่ลืมที่แย่งกระเป๋าเดินทางใบเขื่องในมือของมาสฟ้าอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะเดินดุ่มๆ ขึ้นบันไดเครื่องบินส่วนตัวของผู้เป็นตาไปทั้งที่หน้าบูดบึ้ง ปล่อยให้มาสฟ้ามองตามแผ่นหลังกว้างด้วยสายตาอ่อนใจเงียบๆ คนเดียว เพราะมาสฟ้าก็ทันได้ยินน้ำเสียงติดการจิกกัดและประชดประชันของเขาเต็มสองหู

    “อี้เทียนเขาก็เป็นของเขาแบบนี้แหละ โมโหร้ายเหมือนแม่” เสียงพูดของอู่เมิ่งหลิ่วดังมาก่อนตัว ทำให้มาสฟ้าต้องหมุนคอกลับไปมองร่างสูงพอๆ กับลูกชายของเขา แล้วส่งยิ้มเบาบางไปให้ชายรุ่นพ่อ  “อย่าถือสาเลยนะ โกรธเดี๋ยวเดียวมันก็หาย”

    “หนูไม่โกรธเขาค่ะ” มาสฟ้าตอบอย่างสัตย์จริง เธอไม่ถือโทษโกรธอู่อี้เทียนเลย ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนเธอก็ไม่คิดที่จะโกรธเขาเลย “ที่บ้านหนูก็มีแบบนี้สองคนคนค่ะคุณลุงไม่ต้องห่วงหรอก”

    “บ้านฉันก็มีสองคนเหมือนกัน” ว่าแล้วอู่เมิ่งหลิ่วก็พยักเพยิดไปด้านหลังของเขา เมื่อมาสฟ้ามองตามก็เห็นจ้าวเฟยหรงกำลังเดินตรงมา พร้อมกับจ้าวลี่หยางและตอนนี้ทั้งคู่ก็เหมือนกำลังมีปากเสียงกัน ด้วยเรื่องบางอย่างอยู่ “ส่วนคุณพ่อ...ไม่ออกความเห็นแล้วกัน”

    “อย่าออกความเห็นเลยค่ะ” มาสฟ้าได้ยินแล้วก็ได้แต่ยิ้มละมัย ก่อนก้าวเท้าตรงไปยังบันไดเครื่องบิน โดยทีคราวนี้เปลี่ยนเป็นอู่เมิ่งหลิ่วร่วมทางแทนลูกชายเอาแต่ใจของเขา  “หนูได้ยินว่านี่เป็นครั้งแรกที่คุณกลับไปเซี่ยงไฮ้ในรอบหลายปี...”

    “ครั้งแรกที่เฟยหรงเขายอมกลับ” อู่เมิ่งหลิ่วกระซิบตอบ ท่าทางขี้เล่นและเป็นมิตรของเขาทำให้มาสฟ้าพลอยรู้ลึกผ่อนคลายไปด้วย หญิงสาวนิ่งแล้วรอให้อู่เมิ่งหลิ่วเล่าต่ออย่างรู้งาน “เรื่องบ้านเราหนูก็คงพอรู้อยู่ ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก...ตามที่เขาลือกันนั่นแหละ แค่ไม่ได้นองเลือดเท่าที่เขาลือกันแค่นั้นเอง”

    “ข่าวลือก็เป็นแค่ข่าวลือค่ะ”  มาสฟ้าบอก แม้ว่าหญิงสาวจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่หากอู่เมิ่งหลิ่วกลับสัมผัสได้ถึงความหนักแน่น และจริงจังจากเสียงหวานเพราะหูนั่นได้

    “นั่นก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นหนูก็ควรจะฟังข่าวลือไว้บ้างนะ...ในข่าวลือก็มีความจริงอยู่ ถึงแม้ว่าจะจริงแค่เล็กน้อยแต่ก็ยังนับว่าเป็นความจริง ไม่แน่ว่ามันอาจจะช่วยหนูได้”

    “ได้ค่ะ หนูจะตั้งใจฟัง” มาสฟ้ารู้ดีว่านั่นคืดคำเตือน และเธอก็รู้ดีว่าภายใต้สีหน้าและท่าทางใจดีของอู่เมิ่งหลิว เขากำลังขู่เธออยู่กลายๆ เตือนให้เธอรู้ว่าการเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือคิดจะแตะต้องครอบครัวของเขาไม่ใช่สิ่งที่ใครจะทำได้ตามใจชอบ ข่าวลือต่างๆ ที่มีอยู่ไม่ว่ามาสจะเคยได้ยินหรือไม่เคยได้ยิน อาจจะเป็นจริงขึ้นมา...ซึ่งมาสฟ้าก็ไม่โทษที่เขาข่มขู่เธอ

    เพราะหากเธอเป็นเขามาสฟ้าก็คงทำแบบเดียวกัน กับใครก็ตามที่มาแตะต้องเหมือนฝันหรือคนในครอบครัวของเธอ

    “ขอบคุณนะคะ หนูจะจำเอาไว้”

    สีหน้าเรียบเฉยของมาสฟ้านั้นทำให้อู่เมิ่งหลิ่งนิงขึงไปอย่างคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าหญิงสาวจะสามารถรับมือกับการข่มขู่ซึ่งหน้าจากเขาด้วยท่าทีสงบ ไม่สะท้านสะเทือนหรือว่าคำขู่เมื่อครู่นี้ของเขาน่ากลัวไม่เท่าจ้าวเฟยหรง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น...แม้ว่าในครอบครัวเขาจะนับตัวเองเป็นผู้ที่เป็นมิตรที่สุด แต่อู่เมิ่งหลิ่วเองก็รู้ตัวดีว่าเขาไม่นักบุญ หากเข้าตาจนขึ้นมาเขาเองก็พร้อมที่จะลุกขึ้นมาปกป้องครอบครัวของเขาไม่แพ้ใคร

    ผ่านไปอึดใจใหญ่ อู่เมิ่งหลิ่วจึงยิ้มพรายออกมา เป็นรอยยิ้มกว้างแสนจริงใจส่งให้แก่เด็กสาวคราวลูก ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรแบบเดียวกับสายตาที่เขาใช้มองมาสฟ้า

    “ฉันถูกชะตากับหนูมากนะ แล้วก็ไม่ได้พูดเพราะว่าอี้เทียนมันชอบหนูด้วย”

    “เอ่อ ขอบคุณมากค่ะ” มาสฟ้าอึ้งไปอย่างคาดไม่ถึง และไม่รู้จะตอบอู่เมิ่งหลิ่วอย่างไรจึงจะเหมาะสม โดยที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายนั้นเข้าใจผิดไปไกลหรือเข้าใจผิดว่าเธอเองก็สนใจอู่อี้เทียน สุดท้ายหญิงสาวก็จึงเพียงเอ่ยขอบคุณเก้อๆ ตอบไป

    “ดีจริงๆ ที่เราได้เจอกัน” พูดจบอู่เมิ่งก็เดินนำหน้าเธอไปสมทบกับอี้เทียนที่ล่วงหน้าไปก่อนพวกเขาพักใหญ่แล้ว ทำให้มาสฟ้าไม่มีทางเลือกอื่นเว้นแต่ไต่บันไดเครื่องบิน ตามผู้ชายตระกูลอู่ทั้งสองตามไปติดๆ โดยด้านหลังของมาสฟ้านั้นเป็นจ้าวลี่หยางและจ้าวเฟยหรงที่เดินหน้าเครียดเคียงกันมาติดๆ

    เพื่อขึ้นเครื่องบินส่วนตัวของตระกูลจ้าว มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางเดียวกันนั่นคือเซี่ยงไฮ้ ที่พำนักของตระกูลจ้าวสายหลักที่ตอนนี้ปกครองโดยจ้าวเวยหลง ที่ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าหายนะเกินที่เขาจินตนาการกำลังเดินทางไปหาเขา

     

    “เราจะไม่ไปรับพวกนั้นที่สนามบินเหรอคะ เผื่อเกิดเรื่องกลางทางจะทำยังไง” เหมือนฝันหันไปกระซิบถามจ้าวเวยหลง ที่สีหน้าของชายหนุ่มนั้นก็ย่ำแย่และเครียดไม่ต่างจากเธอมากนัก

    หลังจากที่ได้ทราบข่าวว่าการเดินทางกลับมาของจ้าวลี่หยางและมาสฟ้าในครั้งนี้  มีอู่อี้เทียนและครอบครัวของเขาติดสอยห้อยตามมาด้วย ทั้งเหมือนฝันและจ้าวเวยหลงต่างพากันนั่งไม่ติด ซึ่งสิ่งที่กวนใจทั้งคู่ที่สุดก็คงไม่พ้นความสงสัย ว่าทำไมอู่อี้เทียนต้องมาที่นี่ด้วย เจตนาที่แท้จริงของเขาคืออะไรกันแน่

    “คนของผมไปรอรับพวกเขาจากสนามบินแล้ว” จ้าวเวยหลงให้ความมั่นใจแก่เหมือนฝัน คิดว่าถ้าอู้อี้เทียนไม่นำทีมบอดีการ์ดของเขามาด้วยตามรายงาน อย่างไรจ้าวเวยหลงก็รับมือไหว

    แม้ว่าเซี่ยงไฮ้จะไม่ใช่เมืองเล็กๆ แต่การที่มีทีมบอดีการ์ดจำนวนมากของสองครอบครัวในช่วงวลาเดียวกัน ก็ทำให้เขาพลอยจัดการอะไรๆ ได้ยากขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องพูดถึงทีมที่มีเรื่องเขม่นกันมาก่อนอย่างคนตระกูลจ้าวและบ้านสกุลอู่ของอี้เทียน ถ้าอู่อี้เทียนขนของเขามาจริงๆ เรื่องคงวุ่นวายแน่ นี่ยังไม่พูดถึงคนในตระกูลสายหลักที่จะต้องพากันร้อนรนขนานหนักกับการกลับมาของป้าใหญ่อีก

    “ถ้าอี้เทียนไม่ได้ตั้งใจมาป่วน ก็คงไม่เป็นไร”

    “แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าหมอนั่นจะไม่ป่วนเรา” เหมือนฝันยังคงกังขา เธอไม่เชื่อหรอกว่าอีตาอี้เทียนอะไรนั่น จะมาที่นี่แค่เพราะอยากจะกลับมาเจอญาติๆ ที่แย่งตำแหน่งผู้นำตระกูลไปจากเขา

    จากที่เหมือนฝันใช้เวลาพูดคุยกับบรรดาผีๆ รอบตัว หญิงสาวก็สามารถรวบรวมข้อมูลวงในของครอบครัวจ้าวเวยหลงได้พอสมควร โดยเรื่องที่เหมือนฝันคิดว่าจะมีประโยชน์ต่อเธอที่สุดนั่นก็คือ การที่ครอบครัวตระกูลจ้าวสายหลักนั้นรวมหัวกัน แย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลจ้าวที่ควรจะเป็นของอู่อี้เทียน ที่เป็นหลานชายคนแรกของตระกูลมาให้จ้าวเวยหลง โดยใช้ข้ออ้างแค่เพราะว่าอู่อี้เทียนนั้นเกิดจากลูกสาวของตระกูลจ้าวและไม่ได้ใช้นามสกุลจ้าว เขาจึงไม่ถือว่ามีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะขึ้นมาครองตำแหน่งผู้นำ อีกทั้งครอบครัวของเขายังย้ายถิ่นฐานไปอยู่สิงคโปร์ ไหนจะเรื่องคำทำนายท่ีว่าเขาจะตายตั้งแต่ยังหนุ่มนั่นอีก...ซึ่งข้อหลังนี้เหมือนฝันไม่แน่ใจว่ามีส่วนมากน้อยแค่ไหน

    จากทุกสิ่งทุกอย่างที่เอ่ยมากทำให้จ้าวเวยหลง ซึ่งเป็นหลานชายคนที่สองของครอบครัว ได้รับสิทธิ์การขึ้นเป็นผู้นำ...ซึ่งตรงนี้เหมือนฝันไม่รู้ว่าพี่สาวของเธอนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องแค่ไหนก่อนที่จ้าวเวยหลงจะขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลจ้าว เพราะถ้านับจากช่วงเวลาที่จ้าวลี่หยาง...ปู่ของจ้าวเวยหลงพบกับมาสฟ้ามันค่อนข้างจะคาบเกี่ยวกันอยู่พอสมควร

    เหมือนฝันจึงอยากรอให้พี่สาวของตนมาถึงที่นี่แล้วถามทุกอย่างให้กระจ่าง ทว่ายังไม่ทันได้เห็นแม้แต่เงาของพี่สาว เธอก็ได้รับข่าวว่าอู่อี้เทียนและครอบครัวของเขาก็เดินทางมาพร้อมกัน

    แล้วจากที่ดูในละคร...เหมือนฝันไม่คิดว่าการรียูเนี่ยนของตระกูลจ้าวและครอบครัวของอู่อี้เทียน ในครั้งนี้จะดำเนินไปด้วยดีหรอก...ไม่รู้ว่าจะทำให้เธอและมาสฟ้าวดหัวเพิ่มแค่ไหน

    “คิดว่าถ้าพี่สาวฉันมาถึงที่นี่แล้ว เราจะหมดเรื่องปวดหัวแท้ๆ เชียว หมอนั่นจะตามมาทำไมก็ไม่รู้”

    “ผมเองก็ไม่รู้จะตอบคุณว่ายังไงเหมือนกัน” จ้าวเวยหลงสบตากับเหมือนฝันแล้วได้แต่ถอนหายใจอย่าจนปัญญา เขาเองก็ไม่อยากให้อู่อี้เทียนมาที่นี่นักหรอก...ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนตัวผู้นำตระกูลไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในวันสองวัน แต่เขามั่นใจว่าการมาเยือนของอู่อี้เทียนในครั้งนยี้ต้องสร้างปัญหาให้เขาไม่มากก็น้อย

    “โอ๊ย!  จะบ้าตาย”

     

    ทันทีบานประตูอัตโนมัติหน้าบ้านของจ้าวเวยหลงเลื่อนขยับ เหมือนฝันที่นั่งมองทางพี่สาวอยู่ตั้งแต่เช้า  ก็เด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาแล้วพุ่งตัวไปยังประตูบ้าน ยืนลุกลี้ลุกลนโดยที่ตาก็มองตามรถสีดำคันใหญ่หลายคัน ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาภายในอาณาเขตบ้านของจ้าวเวยหลง

    “พี่สาวฉันอยู่คันไหน”

    “น่าจะคันแรกนั่นแหละ” เสียงห้าวนั้นดังมาจากเบื้องหลังของเหมือนฝัน เหนือใบหูด้านขวาของเธอคือใบหน้าของจ้าวเวยหลง ร่างสูงยืนซ้อนหลังหญิงสาวมองรถยนต์หลายคันที่ค่อยๆ ผ่านประตูบ้านของเขาด้วยสายตาราบเรียบ หากมองจากสีหน้าของชายหนุ่มไม่ทีทางที่จะรู้ได้เลยว่า ตอนนี้หัวใจของจ้าวเวยหลงนั้นกำลังเต้นแรงด้วยความรู้สึกประหม่า

    ไอ้เรื่องที่จะโดนปู่ของเขาเล่นงานนั้นมันย่อมต้องเกิดขึ้นแน่ จ้าวเวยหลงไม่นึกห่วง เรื่องการปะทะกับอู่อี้เทียนหรือป้าใหญ่เองก็คงยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ เขาทำใจยอมรับได้ไม่ยาก แต่การเผชิญหน้ากับมาสฟ้าต่างหากที่ทำจ้าวเวยหลงรู้สึกระส่ำระส่ายด้วยไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเขากำลังจะเจอเข้ากับอะไร

    มาสฟ้าที่เป็นหมอดูคนที่เห็นอนาคตในสายตาของปู่เขา หรือมาสฟ้าที่แสนบอบบางต้องกาการปกป้องคุมครองในสายตาของเหมือนฝัน จ้าวเวยหลงคาดเดาไม่ได้จริงๆ และนั่นแหละที่ทำให้เขากังวล

    แต่เขาก็ไม่ต้องรู้สึกกังวลนานเลยเพราะไม่กี่อึดใจต่อมา ทันทีที่รถคันใหญ่เคลื่อนมาจอดนิ่งที่เชิงบันไดทางเข้าหน้าบ้าน สิ่งแรกที่จ้าวเวยหลงได้สัมผัสหลังจากที่หวางเย่ก้าวไปเปิดประตูรถ ก็คือสายตาคมกริบประกาศความเป็นศัตรูจากผู้หญิงที่มีใบหน้างามหมดจดแบบเดียวกับเหมือนฝัน!

    เพียงแว้บเดียวที่จ้าวเวยหลงสบตาเข้าสายตาคมกริบยิ่งกว่าใบมีดโกนของมาสฟ้า ขนบนร่างกายของเขาก็พร้อมใจกันลุกชันอย่างไม่มีสาเหตุ โดยเฉพาะขนด้านหลังต้นคอของเขา -ทำให้จ้าวเวยหลงผลันรู้สึกสะบั้นร้อนสะบั้นหนาวขึ้นมาแปลกๆ สัญชาตญาณของเขากระซิบเตือนว่าเขานั้นกำลังเจอเรื่องร้ายเข้าให้แล้ว และก็ไม่เรื่องยากเกินคาดเดาสำหรับจ้าวเวยหลงเลย เพราะเรื่องร้ายที่ว่านั้นเพิ่งก้าวลงจากรถ แล้วยืนสง่าต่อหน้าเขาอยู่ตอนนี้

    และไอ้คำเรียก ‘เรื่องร้าย’ ก็ฟังดูเบาไปหากจะใช้นิยามกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของจ้าวเวยหลง หากก่อนหนานี้เขาเคยคิดว่าการที่เขาเจอกับเหมือนฝันนั้น เป็นเรื่องหงุดหงิดที่ชวนให้เขารำคาญใจ การได้เจอพี่สาวของเธอก็คือหายนะที่แท้จริงในชีวิตของเขาแล้ว มาสฟ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เพียงแค่สบตาจ้าวเวยหลงก็รู้ได้ว่าไม่ว่าจะทำอย่างไร  หนทางข้างหน้าที่รอเขาอยู่ก็แต่ต้องพ่ายให้แก่ผู้หญิงคนนี้

    หากคำทำนายของซินแซที่ว่าเขานั้นมีเทพคุ้มครองอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็จะประสบความสำเร็จใจชีวิตเป็นเรื่องจริง ตอนนี้จ้าวเวยหลงก็กำลังเผชิญหน้ากับเทพีที่คุ้มครองเหมือนฝัน  เทพีผู้ไม่เคยพ่ายให้แก่สงครามครั้งไหนๆ และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน...เห็นได้ชัดว่ามาสฟ้าปรากฏตัวที่นี่ก็มาเพื่อที่จะกุมชัยชนะ ซึ่งจ้าวเวยหลงไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้นเลย เพราะชัยชนะของมาสฟ้ามันหมายถึงความพ่ายแพ้ของเขา

    “พี่ฟ้า!” น้ำเสียงสดใจของเหมือนฝันนั้นทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ตรงนั้นกลับมาหายใจได้เต็มปอดอีกครั้ง หลังจากเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่คล้ายหลุดออกมาจากอีกโลกหนึ่งเช่นมาสฟ้า  ซึ่งเจ้าของชื่อเองก็เผยรอยยิ้มละมัย ยามที่ทอดสายตามองน้องสาวฝาแฝดของตนเองขณะอ้าแขน รอรับร่างบอบบางที่พุ่งตัวเข้าไปหาเธอเต็มรัก “ฝันรอตั้งนานแหนะ”

    “พี่มาแล้วนี่ไงเล่า” มาสฟ้าเอ่ยกับน้องสาวของเธอด้วยภาษาไทย ทำให้ทุกคนตรงนั้นทำอะไรไม่ได้มากกว่ามองหน้ากัน แล้วรอคอยให้สองพี่น้องกอดทักทายกันให้สมคิดถึง แม้ว่าจ้าวเวยหลงจะไม่เข้าใจว่าแค่ไม่กี่วันทำไมทั้งคู่จึงดูคิดถึงกันได้มากขนาดนี้ก็ตาม

    กระทั่งเหมือนฝันยอมผละออกจากอ้อมกอดของมาสฟ้า สายตาเย็นชาไร้ความรู้สึกที่คล้ายจะสามารถมองทุลุไปถึงจิตวิญญารคู่นั้นของหญิงสาว จึงละจากดวงหน้าของผู้ที่ใบหน้าพิมพ์เดียวกับเธอไปยังผู้ชายอีกคนที่อยู่ไม่ไกล...คนที่เพิ่งเปิดประตูรถให้เธออย่างหวางเย่

    ศีรษะทุยของหญิงสาวค่อยๆ เอียงไปด้านข้างขณะที่ตามองหน้าหวางเย่นิ่ง คล้ายกับว่าเจ้าตัวนั้นกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่อึดใจหนึ่งหลังจากเม้มปากแน่นอย่างลังเล มาสฟ้าก็พูดคำหนึ่งออกมาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ คำพูดที่ทำให้แม้กระทั่งเหมือนฝันก็ยังต้องเบิกตามองพี่สาวของตนด้วยความคาดไม่ถึง

    “เจ็ดปี”

    “ครับ?” หวางเย่ไม่มั่นใจว่าเมื่อครู่นี้มาสฟ้าได้พูดกับเขาอย่างที่เขาเข้าใจหรือไม่ ถึงจะรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นแขกคนสำคัญที่ตนไม่อาจเสียมารยาทด้วยได้ แต่หากมาสฟ้าพูดกับเขาจริงๆ หวางเย่ก็คิดว่าเขาก็น่าจะสามารถพูดตอบโต้กับเธอได้

    แต่กับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก แถมยังพูดเรื่องที่เขาไม่เข้าใจออกมาอีก-แม้อยากจะตอบแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย แต่ไม่รู้จะต้องจัดการกับเรื่องตรงหน้าอย่างไร หวางเย่จึงเหลือบมองหน้าผู้เป็นนายและเหมือนฝันที่เขาคุ้นเคยกว่าสลับกันเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่แล้วมาสฟ้าก็เป็นฝ่ายพูดก่อนอีกครั้ง ครั้งนี้แม้ว่าจะเป็นประโยคที่สั้นพอกันแต่เขาเข้าใจทุกอย่างได้ทุลุปรุโปร่ง

    “วันตายที่คุณอยากรู้ไง”

     

    เพียงเท่านั้นทุกคนที่ได้ยินก็พากันตะลึงงัน  มองหน้ากันและกันอย่างไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไง กระทั่งหวางเย่ที่ภาวนารอความตายมาตลอดก็ไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้ อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาควรจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ดี รู้แค่ว่าแม้คนที่อยากตายแต่เมื่อได้ยินว่าตัวเองเหลือเวลาเพียงเจ็ดปี ก็ยังอดที่จะรู้สึกวูบโหว่งแปลกๆ ในอกไม่ได้ บางทีความตายก็น่ากลัวกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก

    “นั่นเป็นของขวัญที่คนของผมไม่มีทางลืมลงไปตลอดชีวิตเลย” จ้าวเวยหลงที่ตั้งสติได้คนแรกเอ่ยแทรก พร้อมกับที่ก้าวเข้าไปหามาสฟ้า  “ขอบคุณมากเลยครับ”

    “ยินดีค่ะ”  มาสฟ้าฉีกยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นของเธอกลับเลยไปไม่ถึงดวงตา สายตาของเธอยังเย็นเยียบเมื่อสบตากับจ้าวเวยหลงเป็นการเตือนว่าเธอไม่ได้มาเพื่อผูกมิตรกับเขา ดีไม่ดีเผ้าหมายที่แท้จริงของมาสฟ้าอาจจะเป็นการบ่อนทำลายเขาและทุกอย่างที่เขามีก็ได้ ไม่ว่าจะแบบไหนก็ไม่ใช่เรื่องดีสพหรับจ้าวเวยหลงทั้งนั้น  “แค่ตอบเรื่องที่คนสงสัยไม่นับว่าเป็นของขวัญอะไรหรอกค่ะ แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ใช่หมอดูหรือว่านักตุ้มตุ๋นอะไรด้วย”

    “…”

    “บางทีฉันก็บอกเรื่องที่คุณไม่อยากรู้ อันนี้ก็ไม่นับว่าเป็นของขวัญเหมือนกัน”

     

     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×