ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงชะตามีเกณฑ์จะได้รัก

    ลำดับตอนที่ #28 : พันธมิตร

    • อัปเดตล่าสุด 21 ธ.ค. 65


     

    อาการปวดเนื้อปวดตัวที่เหมือนฝันเผชิญอยู่ตอนนี้ หนักหนาจนทำให้หญิงสาวถึงกับหลุดเสียงครางออกมา ก็เพราะเผลอไปสื่อสารกับดวงวิญญาณเข้าน่ะสิ...พอมีวิญญาณดวงหนึ่งรู้ว่าเธอสื่อสารกับพวกเขาได้ ก็จะมีกองทัพคนตายถาโถมเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเธอไม่หยุด สูบเรี่ยวแรงของเหมือนฝันเอาเรื่องชนิดที่ว่าหลับพักผ่อนก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น ไม่ต้องมีผีมีคอยราวีแค่อยู่ต่างที่แบบนี้เธอก็ยิ่งนอนแทบไม่หลับอยู่แล้ว

    ยังไม่พ้นประตูห้องนอนร่างสูงที่อยู่ในชุดลำลองไม่ต่างจากเธอก็ปรากฎสู่ครรลองสายตาของเหมือนฝัน จ้าวเวยหลงยืนก้มหน้ากับหน้าจอมือถือตาของเขาจ้องจอมือถืออย่างเอาจริงเอาจัง อีกมือถือแก้วกาแฟนับว่าเป็นภาพที่แปลกตาแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหล่อน้อยลงแต่อย่าใด ซึ่งนั่นทำให้เหมือนฝันอดไม่ได้ที่จะย่นจมูกด้วยความหมั่นไส้ อีกฝ่ายเองก็สังเกตเห็นเธอเช่นเดียวกันเพราะคิ้วเข้มของจ้าวเวยหลงขยับเลิกสูงขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อละสายตาจากหน้าจอแล้วเห็นสภาพอิดโรย ราวกับหญิงสาวนั้นเพิ่งวิ่งฝ่านรกมา

    เหมือนฝันดู...งัวเงียและกระเซอะกระเซิง ที่ทำให้จ้าวเวยหลงทั้งแปลกใจและสงสัยในขณะเดียวกัน แต่ก็ยังแฝงความรู้สึกอ่อนนุ่มที่อธิบายไม่ได้มาด้วยอีกอย่าง ซึ่งไอ้ความรู้สึกที่ว่าทำให้มุมปากของจ้าวเวยหลงขยับยกเป็นรอยยิ้มเอื้อเอ็นดู สายตาที่เขามองเหมือนฝันก็อ่อนโยนลงโดยที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่ทักฉุกใจ

    “นอนไม่หลับหรือครับ?” เสียงห้าวเอ่ยถาม ปิดล็อกหน้าจอมือถือในมือลงแล้วเงยหน้ามองหน้าเหมือนฝันเต็มตา เสียงของเขาทำลายความรู้สึกเก้อกระดากอันบางเบาระหว่างทั้งคู่ลง บังคับให้เหมือนฝันต้องรีบปรับสีหน้าของตัวเองแล้วลากเท้าเข้าไปในเขตห้องนั่งเล่นที่เชื่อมต่อกับส่วนครัว

    “หลับแล้ว...ตื่นแล้วค่ะ” คนตัวเล็กตอบทั้งที่ยังง่วง ขณะเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้สตูลที่อยู่คนละฟากของเค้าท์เตอร์ครัว ทำให้เธอและจ้าวเวยต้องจ้องหน้ากันและกันอย่างไม่มีทางเลี่ยง “แล้วคุณอ่านอะไรอยู่ หน้าเครียดเชียว”

    “เรื่องพี่สาวคุณ” จ้าวเวยหลงไม่มีแผนที่จะปิดเรื่องพี่สาวของเธอจากเหมือนฝันอยู่แล้ว ด้วยไม่เห็นประโยชน์อะไรในการซ่อนเรื่องนี้จากหญิงสาว “แต่เรื่องนี้รอก่อนได้ คุณหิวหรือยัง?”

    “คิดว่าฉันจะมีอารมณ์กินอะไรหรือไง” เหมือนฝันถลึงตามองร่างสูงของเจ้าของบ้าน หงุดหงิดเขาที่ยังทำตัวลีลาไม่เลิก “มีอะไรก็พูดมาเร็วๆ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว”

    “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก พี่สาวของคุณปลอดภัยดี” ครั้งนี้จ้าวเวยหลงไม่ทะเลาะกับคนตัวเล็ก เขาหมุมตัวกลับไปยกถุงอาหารจำนวนมากมาจากด้านหลังก่อนจะวางมันลงตรงหน้าของเหมือนฝันแล้วบอกเสียงเข้ม ทำให้เหมือนฝันไม่กล้าเถียงทำได้เพียงฮึดฮัดพอเป็นพิธี “กินก่อนเถอะ วันนี้คุณไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากขนม เดี๋ยวจะตายเสียก่อน”

    “ก็ถ้าคุณไม่จับฉันมา ฉันก็คงนอนพุงหลามอยู่โรงแรมแล้ว” เหมือนฝันงึมงำเถียง แต่เมื่อจ้าวเวยหลงจ้องเธอนิ่ง หญิงสาวก็รีบเสหลบตาแล้วเอื้อมมือไปดึงถุงอาหารมาวางตรงหน้าของตัวเอง แล้วลงมือสำรวจกล่องอาหารต่างๆ อย่างตื่นเต้น “คุณทานอะไรหรือยังคะ?”

    “ยังครับ จะทานพร้อมคุณ” คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งที่เหมือนฝันคาดหวังว่าจะได้ยิน มือเล็กที่กำลังหยิบกล่องอาหารจากถุงออกมาชะงักกึก ก่อนเธอจะเงยหน้ามองจ้าวเวยหลงราวกับจะถามว่าเขาพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่

    “คุณคงไม่คิดว่าโจรลักพาตัวจะใจดีเลี้ยงอาหารคุณชุดใหญ่หรอกนะ”

    “แหม...” เมื่อโดนจิกกัดคืนคนตัวแสบก็ทำได้แต่ส่งเสียงน้อยๆ แก้เก้อพอเป็นพิธี ระหว่างนั้นก็คิดหาคำพูดหวังกู้หน้าอันแตกยับของตัวเอง “อาหารตั้งเยอะตั้งแยะ ฉันก็คิดอยู่แล้วว่าคุณคงส่ังมาเผื่อเราทั้งสองคนนั่นแหละ ที่ถามก็แค่อยากให้แน่ใจ”

    “ให้ผมเปิดให้เถอะ ขืนให้คุณเปิดคงไม่เหลืออะไรให้กิน”

    “มือฉันยังใช้การได้อยู่ย่ะ ไม่ได้พิการสักหน่อย” เหมือนฝันย่นจมูกแล้วมองค้อนร่างสูงที่เดินอ้อม มาแย่งเธอเปิดกล่องอาหารตรงหน้า แต่เมื่อกลิ่นหอมกรุ่มของบรรดาอาหารตรงหน้าลอยขึ้นมาแตะจมูกเหมือนฝันก็ลืมโกรธไปสนิท พอจ้าวเวยหลงส่งช้อนมาให้เหมือนฝันก็ลงมือจ้วงอาหารที่ควันกรุ่นเข้าปากโดยไม่เป่าให้เสียเวลา ก่อนจะเผยใบหน้าอิ่มเอมราวกับว่าเธอนั้นเพิ่งกินสิ่งที่อร่อยที่สุดในโลกเข้าไป

    “เป็นไง อร่อยไหม?”

    “อื้อฮึ” คนตัวเล็กส่งเสียงในลำคอพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ ก่อนจะลงมือจ้วงอาหารคำต่อไปทันที แม้ว่าความจริงเหมือนฝันเองก็ยังไม่แน่ใจว่าที่เธอรู้สึกว่าอาหารมันอร่อยขนาดนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอหิวหรือเปล่า

    มื้ออาหารระหว่างทั้งคู่ดำเนินต่อไปอีกครู่หนึ่ง จนเหมือนฝันกินโน่นกินนี่ไปพอสมควรกระทั่งไม่รู้สึกว่าตัวเองหิวโซอีกต่อไปสมองของเธอจึงกลับมาทำงานอย่างเต็มที่อีกครั้ง เริ่มจากที่เธอนั้นเหลียวมองรอบตัวอย่างอยากรู้อยากเห็น ทั้งที่เธอมาถึงที่นี่ตั้งหลายชั่วโมงและนอนหลับในห้องนอนแขกไปเรียบร้อยแล้ว

    “นี่คุณอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอ?” ถึงจะค่อนข้างแน่ใจว่าในอาคารหลังนี้ไม่ได้มีใครอีกนอกจากพวกเขาสองคนเหมือนฝันก็ยังอยากถามให้แน่ใจ

    “อื้อ” จ้าวเวยหลงพยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ ก่อนจะเหลี่ยวมองรอบตัวตามคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ มารู้ตัวว่าบ้านของเขานั้นเงียบมากก็เมื่อเหมือนฝันถามขึ้นมานี่แหละ ก่อนหน้านี้เขาไม่ยักจะได้สังเกตุ รู้สึกชอบอีกต่างหากว่าบ้านของเขาเงียบแบบนี้ก็ดี “ที่นี่มีแค่ผมกับพวกบอดี้การ์ด แต่พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาตึกนี้...ผมมีอาคารพักให้พวกเขาต่างหาก อยู่ทางด้านหลัง”

    “ถึงว่าล่ะตั้งแต่มาถึงไม่เห็นได้ยินเสียงใครเลย” เหมือนฝันพึมพำเบาๆ เมื่อจ้าวเวยหลงไขข้อสงสัยของเธอ ใบหน้างามก็พลันสดใสขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้จ้าวเวยหลงเผลอมองหน้าเธอนานกว่าที่ตั้งใจเอาไว้ “คุณอยู่คนเดียวแบบนี้ตลอดเลยเหรอ”

    “ส่วนใหญ่ผมจะอยู่คนเดียว” จ้าวเวยหลงตอบขณะบังคับให้ตัวเองละสายตาจากใบหน้าของเหมือนฝัน “แต่ปกติผมจะอยู่บ้านในเมืองมากกว่า นานๆ ทีถึงจะมาที่นี่”

    “บ้านที่คุณลักพาตัวฉันไปตอนแรกน่ะเหรอ?”

    “ผมไม่ได้ลักพาตัวคุณสักหน่อย” จ้าวเวยหลงแย้งเสียงกระด้างด้วยความรู้สึอ่อนใจกึ่งรำคาญ ที่เธอชอบยกตำแหน่ง ‘โจรลักพาตัว’ มาให้เขาอยู่เรื่อย ไม่เข้าใจว่าเหมือนฝันกล้ากล่าวหาเขาว่าลักพาตัวเธอมาหน้าตาเฉยโดยไม่กระดากปากได้อย่างไร ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเธอเลย “ผมน่ะช่วยคุณไว้ด้วยซ้ำนะเผื่อลืม ยังจะเรียกผมว่าโจรลักพาตัวอยู่อีก”

    “พวกโจรลักพาตัวส่วนใหญ่ก็พูดงี้แหละ”

    “ก็คือจะทะเลาะกันให้ได้เลยหรือไง” จ้าวเวยหลงถามเสี้ยงห้วน เหมือนฝันเกือบแน่ใจว่าเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายหาเรื่องเธออยู่แต่เพราะว่าเธอยังกินไม่อิ่มเหมือนฝันจึงเลือกที่จะไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับอีกฝ่าย เพียงยักไหลเบาไอย่างไม่ใส่ใจแต่ในตอนที่เธอเลือกว่าจะไม่สนใจ หน้าจอมือถือของจ้าวเวยหลงก็พลันสว่างวาบ พร้อมกับมีเสียงแจ้งเตือนว่ามีข้อความถูกส่งมา

    “น่าเรื่องพี่คุณสาวคุณนั่นแหละ” จ้าวเวยหลงเอ่ยทั้งที่ยังไม่เปิดข้อความอ่าน ซึ่งเขาก็เดาไม่ผิดเพราะข้อความที่คนของเขาส่งมานั้นเป็นความคืบหน้าหลังจากที่จ้าวลี่หยางและมาสฟ้าพบกันจริงๆ

    “พี่สาวฉันทำไม?”

    “ดูเอาเถอะ” จ้าวเวยหลงถอนหายใจพลางส่งมือถือต่อให้คนตัวเล็ก ทำให้เหมือนฝันไม่มีทางเลือกนอกจากวางช้อนในมือของตัวเองลง เพื่อรับมือถือของจ้าวเวยหลงมาถือไว้ ด้วยมือข้างเดียวที่ยังเป็นปกตินั้นทำให้การเลื่อนหน้าจอมือถือเพื่อดูรูปจำนวนมากทุลักทุเล จนจ้าวเวยหลงที่ตั้งใจจะดูอยู่ห่างนั้นอดที่จะรู้สึกสมเพชคนเจ็บไม่ได้

    เขาถอนหายใจเสียงดังราวกับว่าเขานั้นเหนื่อยหน่ายใจกับผู้หญิงข้างตัวเต็มกลืน ก่อนชิงมือถือของตัวเองกลับมา วางมันลงกับเค้าท์เตอร์ครัวตริงหน้าเหมือนฝัน แล้วว่าเสียงห้วน

    “วางเถอะ ขืนคุณถือไว้มือถือผมได้ร่วงลงไปในชามซุปพอดี”

    “ก็วางแล้วนี่ไง จะบ่นอะไรนักหนาเล่า” เหมือนฝันค้อนจ้าวเวยหลงปะหลับปะเหลือก ทว่าชายหนุ่มเองก็รู้ดีว่าตอนนี้เหมือนฝันไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่เธอพูดหรือกระทั่งการมองค้อนเมื่อดี้เลยสักนิด เพราะตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของเธอนั้นถูกทุ่มเทให้กับบรรดารูปถ่าย ของผู้ชายและผู้หญิงที่มีใบหน้าเหมือนกับเธอราวกับโขกกันออกมาในมือถือของเขาต่างหาก “ขอเหล้าแรงๆ สักแก้วได้ไหม?”

    จ้าวเวยหลงหัวเราะพรืดกับคำขออันเหนือความคาดหมายของเหมือนฝัน แต่เขาก็ยอมลุกไปหาเครื่องดื่มตามที่หญิงสาวร้องขอแต่โดยดี พอเหล้ามาวางตรงหน้ามือเรียวก็ยกแก้วขึ้นกระดกลงคออึกใหญ่ทันที

    “เอาเลย ฉันพร้อมแล้ว”

    “ฮะ?”

    “เริ่มเลย” เหมือนยังพูดคำเดิม เพิ่มเติมคือครั้งนี้เธอใช้ปลายเล็บที่เคลือบไปด้วยสีชมพูทึบเคาะไปที่หน้าจอมือถือ ปรากฎหน้าผู้ชายซึ่งควงแขนกับพี่สาวของเธออยู่ “ไอ้หมอนี่มันเป็นใคร”

    ถึงจะแน่ใจว่าหญิงสาวคงไม่พอใจกับเรื่องที่เขาเพิ่งบอกเธอไป ซึ่งเหมือนฝันก็ไม่พอใจอย่างที่เขาคาดเอาไว้จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นปฏิกิริยาของเหมือนฝันก็ทำให้จ้าวเวยหลงแปลกใจอยู่ดี เขาคิดว่าเธอจะโวยวายแล้วต่อสายหามาสฟ้าเพื่อหาคำตอบเสียอีกว่าผู้ชายที่อยู่กับเจ้าหล่อนเป็นใคร แต่เหมือนฝันกับร้องขอเพียงเหล้าแก้วเดียวแล้วเธอก็สามารถสะกดความไม่พอใจของตัวเองเอาไว้ได้ นับว่าเหมือความคาดหมายอย่างมาก...

    แต่มาคิดดูอีกทีคนที่อยู่ข้างๆ เขาตอนนี้คือเหมือนฝัน ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันจนกระทั่งตอนนี้เธอก็มีเรื่องให้เขาแปลกใจเสมออยู่แล้ว ทางที่ดีเขาควรจะรีบปรับตัวให้ชินกับเรื่องเชอร์ไพรซ์พวกนี้เสียแต่เนิ่นๆ หากไม่อยากหัวใจวายตายก่อนวัยอันควร

    “ไอ้หมอนี่ใคร?” เหมือนฝันถามย้ำ คราวนี้น้ำเสียงที่เธอใช้นั้นทั้งห้วนและคาดคั้นอยู่ในที พร้อมเงยหน้ามองใบหน้าคมคายของจ้าวเวยหลงด้วยสายตาคมกริบ ตามความเคยชินเวลาที่ต้องการขู่ให้ใครสักคนยอมสารภาพผิด ซึ่งก็ได้ผลทุกครั้งเว้นแต่หนนี้ เพราะถามก็แล้วจ้องหน้าก็แล้วจ้าวเวยหลงก็ยังวางเฉย

    ราวกับว่าการข่มขู่เล็กๆ ของหญิงสาวนั้นไม่ได้มีผลอะไรต่อเขาเลยสักนิด สีหน้าราบเรียบไม่สะทกสะท้านของเขายิ่งสุมไฟให้เหมือนฝันทวีความหงุดหงิดให้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จนสุดท้ายเหมือนฝันก็แหวเสียงแหลมออกมาอย่างอดไม่อยู่ “นี่คุณ ตกลงว่ารู้ไหมว่าไอ้หมอนี่เป็นใคร?”

    “เป็นตัวอันตราย” ในที่สุดจ้าวเวยหลงก็ยอมตอบคำถามของเหมือนฝันเสียที แต่ก็ยังเป็นคำตอบที่ทำให้คนฟังนั้นแยกเขี้ยวใส่เขาออกมาด้วยความขัดใจ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดแรงเพื่อสะกดความโกรธของตัวเอง แล้วถามเขาลอดไรฟัน

    “สรุปว่าคุณรู้จักไอ้หมอนี่?”

    “เคยเจอกันครั้งหนึ่งตอนงานศพคุณย่าผม”

    “คุณเป็นญาติกับไอ้หมอนี่?” คราวนี้น้ำเสียงของเหมือนฝันนั้นกล่าวหาจ้าวเวยหลงเต็มที่ ประกอบกับสายตามุ่งร้ายของเธอที่มองมาทำให้คนโดนจ้องนั้นพลันรู้สึกอึดอัดขึ้นมาแปลกๆ

    “เป็นลูกพี่ลูกน้อง ฟังก่อน อย่าเพิ่งด่า” มือหนายกขึ้นห้ามก่อนที่เหมือนฝันจะหลุดคำผลุสวาทออกมาเพราะความโมโห หลังจากที่อยู่กับหญิงสาวมาหลายสิบชั่วโมงทำให้จ้าวเวยหลงพอจะเดาทางนิสัยของคนตัวเล็กได้เลาๆ “ฟังเสร็จแล้วถ้ายังจะด่าก็ค่อยด่า ตกลงไหม?”

    “เอางั้นก็ได้ เล่ามาสิ” เหมือนฝันยักไหล่ กลืนคำด่าของตัวเองลงคอพร้อมกับคาดโทษชายหนุ่มในใจว่าหากเขาพูดอะไรผิดหูเธออีกนิดล่ะก็ ได้เจอดีแน่ จากนั้นเธอก็ยื่นมือไปหยิบแก้วเครื่องดื่มที่จ้าวเวยหลงจัดเตรียมให้ขึ้นมาจิบอีกอึก รสชาตบาดคอที่เธอสัมผัสได้ในครั้งนี้ทำให้เธอหน้าเบ้เล็กน้อย เดือดร้อนจ้าวเวยหลงต้องจัดกาน้ำเปล่ามาล้างปากให้เธออีกอย่าง แต่กระนั้นเขาก็ยังมิวายโดนแขกกิติมาศักดิ์ของเข่าบ่นอุบ มองเขาด้วยสายตาขุ่นขวางอย่างไม่ชอบใจ “เหล้าแรงแล้วทำไมไม่รีบบอกล่ะ"

    “อ้าว คุณขอเหล้าแรงๆเองไม่ใช่หรือไง ผมก็นึกว่าชอบ”

    “ไม่ได้ชอบย่ะ เมื่อกี้โมโหไปหน่อยเลยไปทันได้ฉุกใจว่าเหล้ามันแรง”

    “หมายถึงว่าถ้าโกรธต๋อมรับรสของคุณจะหยุดทำงานงั้นเหรอ?” จ้าวเวยหลงไม่แน่ใจว่าเขาควรจะตกใจเรื่องไหนก่อนดี ตอนนี้สมองของเขากำลังถูกจู่โจมรอบด้านจากผู้หญิงที่ชื่อเหมือนฝัน

    “พูดอะไร” เหมือนผันหันมองหน้าจ้าเวยหลงด้วยสายตาที่เหมือนว่าคนที่แปลกตอนนี้เป็นชายหนุ่มไม่ใช่เธอ ไม่พอเท่าน้ันเธอยังกลอกตาแรงใส่เขาแล้วกระแทกลทหายใจแรงๆ ใส่เขาอีกต่างหาก “เมื่อไหร่จะเล่าเรื่องญาติตัวดีของคุณสักที แล้วทำไมมันถึงได้ไปความแขนพี่สาวฉันกระหนุงกระหนิงแบบนี้ได้ ตกลงมันเป็นใครกันแน่”

    “ผมสิต้องถามคุณว่าพี่สาวของคุณมีแผนอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้ไปยุ่งกับอี้เทียน” จ้าวเวยหลงไม่ได้มีแผนที่จะเล่าทุกอย่างในชีวิตของเขาแก่หญิงสาวโดยไม่ได้สิ่งแลกเปลี่ยน พ่อค้าอย่างเขาทำอะไรย่อมหวังกำไรเสมอ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาคนอื่นๆ หากจ้าวเวยหลงไม่เห็นว่ามันจะสร้างประโยชน์ให้เขา ไม่มีทางที่เขาจะยอมเสียเวลาด้วยเด็ดขาด

    “มันชื่ออี้เทียนเหรอ” เหมือนฝันไม่สนใจแผนการของจ้าวเวยหลงในเมื่อตอนนี้เธอรู้ชื่อของไอ้ผู้ชายโชคร้าย ที่กล้าดีมาเกาะแกะกับมาสฟ้าของเธอแล้ว การกำจัดเขาหลังจากนี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แค่ทำแบบที่เคยทำกับผู้ชายคนก่อนๆ ของมาสฟ้าก็น่าจะทำให้เขาวิ่งหนีหางจุกก้นได้ล่ะ เหมือนฝันไม่เชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะแตกแตกต่างไอ้ผู้ชายพวกนั้นตรงไหน ก็แค่อยากใช้ประโยชน์จากพี่สาวของเธอไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนั่นแหละ ถงจะฟังดูใจร้ายไปหน่อยแต่หญิงสาวมั่นใจว่าตนคิดไม่ผิด

    “คุณยังไม่ตอบคำถามผม” เสียงทุ้มนั้นท้วง น้ำเสียงของเขานั้นเข้มขึ้นทำให้เหมือนฝันเงยหน้ามองเขาอย่างระแวดระวังพร้อมกับประเมินชายหนุ่มไปพร้อมกัน คล้ายกับว่าเหมือนฝันกำลังประเมินว่าจ้าวเวยหลงนั้นเป็นคู่แข่งที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับจนหรือเปล่า

    เรื่องฝีปากนั้นเหมือนฝันค่อนข้างแน่ใจว่าชายหนุ่มนั้นไม่เป็นรองเธอเท่าไหร่ ส่วนเรื่องอื่น...คงต้องดูกันต่อไปยาวๆ

    “คุณต้องการอะไรกันแน่ ฉันรู้ว่าพ่อค้าอย่างคุณไม่มีทางทำอะไรฟรีๆ ให้ใคร” ในที่สุดเหมือนฝันก็เข้าเรื่อง หลังจากจับทางได้ว่าบทสนทนานี้จะดำเนินไปในทิศทางใด “คุณมีข้อเสนอใช่ไหม คุณจ้าวเวยหลง”

    “คุณเป็นคนฉลาด” จ้าวเวยหลงยิ้มพราย คิดว่าต้องใช้เวลามากกว่านี้ในการชักจูงเหมือนฝันเสียอีก โชคดีที่หญิงสาวนั้นเป็นคนที่เข้าใจอะไรเร็ว “ผมชอบทำธุรกิจกับคนฉลาด”

    “ฉันไม่คิดว่าเราจะได้ทำธุระกิจกันหรอก” เหมือนฝันกลอกตา แม้ว่าเธอจะมีอาชีพเกาะพี่สาวกิน แต่เรื่องการเลือกพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจนั้น หญิงสาวก็พอจะจำสิ่งที่พ่อของเธอสอนไว้ได้อยู่บ้าน “ฉันไม่ทำงานกับคนที่เชื่อใจไม่ได้"

    “คุณกำลังจะบอกว่าผมไว้ใจไม่ได้...ในบ้านของผมเนี่ยะนะ คุณที่กล้ามากนะคุณผู้หญิง”
    “คุณคงเจอคนประจบประแจงมามากพอแล้วล่ะ อีกอย่างฉันเองก็เหนื่อยแล้วก็กำลังหงุดหงิดมากด้วย ไม่มีอารมณ์จะมาปั้นหน้าเอาอกเอาใจคุณตอนนี้”

    “ตรงดีนี่” เป็นจ้าวเวยหลงที่ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ในเมื่อเหมือนฝันพูดชัดเจนว่าเธอไม่ได้สนใจเรื่องที่จะมาปั้นหน้าเสแสร้งกับเขา กระทั่งรักษามารยาทที่พึงจะมีจ้าวเวยหลงเองก็จะไม่กระดากใจที่จะพูดกับเธออย่างตรงไปตรงมาเช่นเดียวกัน “สรุปว่าคุณจะไม่บอกว่าพี่สาวคุณมีแผนอะไรใช่ไหม”

    “ฉันไม่คิดว่าพี่สาวฉันมีแผนการอะไรซับซ้อนหรอก” เหมือนฝันเบ้หน้า พยายามคิดหาชื่อของอี้เทียนในสารระบบมาอึดใจใหญ่แล้ว แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่ามาสฟ้าไปรู้จักมักจี๋ผู้ชายคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ “อย่างน้อยก็ไม่ได้มีไอ้หมอนี่อยู่ในแผนด้วยแน่ๆอย่าว่ากันนะแต่พี่สาวฉันไม่ชอบยุ่งกับตัวปัญหา”

    “อะไรคุณถึงพูดอย่างนั้น” น้ำเสียงของคนตัวเล็กนั้นราบเรียบเกินกว่าที่จ้าวเวยหลงจะคิดว่าเหมือนฝันเรียกอู่อี้เทียนเช่นนั้นด้วยอคติ น้ำเสียงของหญิงสาวนั้นฟังดูเฉยเมยเหมือนกำลังใคร่ครวญบางอย่างอยู่มากกว่าคนที่กำลังโกรธ

    “มองปราดเดียวก็รู้แล้ว” เหมือนฝันเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ และไม่อธิบายอะไรไปมากกว่านั้น “พี่สาวฉันไม่ใช่คนที่ชอบสุงสิงกับใคร โดยเฉพาะผู้ชาย”

    “ทำไม?”

    “ก็เพราะพวกคุณเป็นตัวอันตรายที่เชื่อใจไม่ได้ไงล่ะ”

    ข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงนี้ทำให้คิ้วหนาของจ้าวเวยหลงกระตุก ถึงเขาจะรู้ตัวว่าเขานั้นไม่ใช่นักบุญแต่คำเรียกที่ว่า ‘ตัวอันตรายท่ีเชื่อใจไม่ได้’ ก็ทำให้จ้าวเวยหลงอดที่จะคิดไม่ได้ว่าเหมือนฝันคงมีอคติกับผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ชายที่มาข้องเกี่ยวกับพี่สาวของเธอ และคงจะมีอะไรมากกว่าแค่การหวงพี่สาวอย่างที่เขาคิดในตอนแรก หรือว่าเคยมีใครทำร้ายยายแม่มดอนั่นย่างนั้นหรือ...แต่จะโง่พอที่จะทำอย่างนั้นกันล่ะ

    จากประสบการณ์จ้าวเวยหลงสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่าระบบรักษาความปลอดภัยของมาสฟ้านั้นค่อนข้างจะรัดกุมมาก ชนิดที่ว่าเขาเองก็ยังไม่สามารถล่วงเข้าไปถึงข้อมูลส่วนตัวของพวกเธอได้ ไม่ได้อยากจะยกยออะไรตัวเองหรอกแต่สิ่งหนึ่งที่จ้าวเวยหงมั่นใจว่าเขามีไม่แพ้ใครคือเงินและบุคลากรที่เก่งยิ่งกว่าปีศาจ

    “ถ้าผมเป็นคุณผมก็ไม่เชื่อใจเขาเหมือนกัน อี้เทียนเจ้าเล่ห์เกินกว่าที่จะเชื่อใจง่ายๆ”

    “ฉันไม่ได้จะเชื่อใจอะไรหมอนั่นอยู่แล้ว” เหมือนฝันถอนหายใจ ยกแก้วเครื่องดื่มที่เหลือเพียงก้นแก้วกระดกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ ก่อนจะพูดต่อ “แต่ประเด็นไม่ใช่ตรงนั้น ประเด็นมันอยู่ที่ว่าทำไมญาติของคุณถึงได้ตามที่สาวฉันต้อยๆ แบบนั้น อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องบังเอิญ”

    “ผมเองก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังอิญหรอก” ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญก็คงดี แต่สำหรับจ้าวเวยหลงนั้นเขาไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้อยู่แล้ว บังเอิญงั้นเหรอ...ตลกเกินไปล่ะ “ผมเองก็ติดใจแค่ตรงที่ว่าทำไมพี่สาวคุณถึงได้ไปโผล่ที่นั่น กับอี้เทียนทั้งที่เขาจะอยู่กับใครก็ได้ในโลกใบนี้แต่ทำไมต้องเป็นพี่สาวคุณ”

    “อาจจะเป็นญาติคุณก็ได้ที่ตามตื้อพี่สาวฉัน” นิสัยของคนหวงพี่นั้นมันฝังลึกอยู่ในไขกระดูกของเหมือนฝัน เมื่อได้ยินจ้าวเวยหลงกล่าวหามาสฟ้าบ้างเหมือนฝันก็กางปีกปกป้องพี่สาวของเธอทันที “คุณบอกเองนี่ว่าหมอนั่นมันเป็นคนอันตราย”

    “ผมจะไม่ทะเลาะกับคุณเรื่องนี้หรอกนะครับเหมือนฝัน” เป็นจ้าวเวยหลงที่ยอมยกธงขาวในศึกครั้งนี้ แต่นั่นเพราะว่าเขามีสิ่งอื่นที่ต้องการและสิ่งนั้นก็สำคัญมากกว่าชัยชนะไร้สาระครั้งนี้ “ผมกำลังจะบอกข้อเสนอของผม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของคุณ”

    “นั่นมันของแน่อยู่แล้ว” เหมือนฝันกลอกตา เรื่องนี้เธอรู้อยู่แล้ว จะพูดอะไรซ้ำไปซ้ำมา “ก็มีแค่ฉันที่อยู่ตรงนี้นี่นา”

    “ผมอยากให้คุณพาพี่สาวคุณกลับมาที่นี่ มาหาคุณ”

    “เพื่อที่คุณจะได้ขังพวกเราไว้ที่นี่งั้นเหรอ ไม่มีทาง” หญิงสาวบอกปัดในเสี้ยววินาทีซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกสำหรับจ้าวเวยหลงเขาคิดไว้อยู่แล้วว่ายังไงเหมือนฝันก็ไม่มีถามโอนอ่อนถามเขาง่ายๆ หากเธอยอมเห็นด้วยกับเขาโดยไม่มีการโต้แย้งนั่นสิถึงจะแปลก

    “ยังไงพี่สาวของคุณก็ไม่มีทางทิ้งคุณไว้นี่อยู่แล้วนี่ คุณรู้ ผมเองก็รู้ แล้วทำไมต้องทำให้เรื่องมันยากด้วยล่ะ” จ้าวเวยหลงดักทาง ไม่มีทางหลุดปากเด็ดขาดว่าเขารู้เรื่องนี้จากการแอบฟังแล้วให้คนของเขาแปลให้ฟังอีกทอดหนึ่ง “ผมก็แค่อยากให้พี่สาวคุณอยู่ห่างๆ อี้เทียน คุณเองก็อยากได้แบบเดียวกันไม่ใช่เหรอ?”

    “ตกลงไอ้หมอนี่เป็นแค่ญาติจริงเหรอ ทำไมคุณถึงได้กลัวเขาขนาดนั้น” เหมือนฝันหรี่ตามองหน้าคมคาย จับผิดจ้าวเวยหลงอย่างออกนอกหน้าซึ่งอีกฝ่ายก็ดูไม่เดือดร้อนที่โนเธอจับผิดแต่อย่างใด เขาเผยความไม่พอใจออกาอย่างชัดเจนเช่นเดียวกันซึ่งเธอเองก็ไม่ได้หัวช้ามองออกว่าสีหน้าและการข่มกรามเข้ากันของจ้าวเวยหลงนั้นยืนยันว่าเธอคิดถูก “เขาเป็นศัตรูของคุณเหรอ?”

    “คุณมีเรื่องที่ไม่อยากพูด ผมเองก็ต้องมีเรื่องที่อยากเก็บเอาไว้เหมือนกัน” จ้าวเวยหลงเอ่ยลอดไรฟันอย่างคนที่กำลังพยายามสงบอารมณ์

    “เขาเป็นหลานชายคนแรกของตระกูลคุณสินะ”

    เหมือนฝันพึมพำ ละสายตาจากร่างโปรงใสในชุดกี่เพ้าที่ยืนแยู่มุมห้องมามองหน้าคมคายของคนข้างตัว ในเมื่อจ้าวเวยหลงไม่ยอมบอกเธอว่าผู้ชายที่อู่อี้เทียนมีความสำคัญอย่างไรกันแน่ เธอก็ต้องหาคำตอบเอาเองแม้ว่านั่นหมายถึงเธอจะต้องคุยกับผีในบ้านของเขาก็ตาม

    “เขาควรจะได้เป็นผู้นำตระกูลมากกว่าคุณใช่ไหมคะ”

    “ผมเป็นผู้นำตระกูลจ้าว” จ้าวเวยหลงแก้เสียงเข้ม สายตาที่เขามองเหมือนฝันก็คบกริบแฝงอันตราย เตือนให้หญิงสาวรู้ว่าเธอกำลังท้าทายเขาอยู่และตอนนี้เธอก็ใกล้จะก้าวผ่านเส้นความอดทนของเขาแล้ว “ใครก็เปลี่ยนเรื่องนั้นไม่ได้”

    “พี่สาวฉันทำได้” เหมือนฝันว่าเสียงค่อยไม่ได้เจตนข่มคู่ชายหนุ่มใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่เสียงพึมพำเบากับตัวเองเหมือนกำลังทวนคำพูดของผีตนน้ันให้ตัวเองฟัง แต่เสียงของเธอก็ดังพอที่จ้าวเวยหลงจะได้ยินทุกคำพูด “เพราะแบบนี้คุณถึงอยากให้ฉันล่อพี่สาวฉันมาที่นี่ เพื่อที่ตำแหน่งผู้นำตระกูลของคุณจะได้มั่นคงต่อไป"

    “คุณอยากไปจากที่นี่และก็ต้องมีใครสักคนมารับคุณ” จ้าวเวยหลงพูดเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่หญิงสาวเพิ่งเอ่ยมา การประติดประต่อเรื่องของหญิงสาวนั้นถือว่าไม่เป็นรองใคร ใช้เวลาเพียงไม่นานและข้อมูลเพียงไม่กี่อย่างเหมือนฝันก็สามารถคาดเดาเรื่องราวได้แทบจะถูกต้องทั้งหมด ถึงมันจะทำให้เขารู้สึกขนลุกแปลกแต่จ้าวเวยหลงก็ยอมรับว่าเขาค่อนข้างประทับใจในความสามารถนี้ของหญิงสาว “และผมก็คาดหวังว่าคนคนนั้นจะเป็นพี่สาวของคุณ เพราะผมยังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องคุยกับเขา”

    “คุณเชื่อจริงๆ เหรอว่าการที่ดึงพี่สาวฉันมาที่นี่จะเปลี่ยนอะไรได้”

    “ผมไม่ได้อยากจะให้อะไรเปลี่ยนไป” เขาว่าเสียงเฉียบ ประกาศชัดในสิ่งที่เขาต้องการ “คุณต่างหากที่ต้องถามตัวเอง ว่าแน่ใจเหรอว่าอยากจะให้พี่สาวของคุณอยู่ที่นั่นนานกว่านี้ ห่างหูห่างตาคุณแถมยังใกล้ชิดผู้ชายคนอื่นแบบนี้ คุณอาจจะคิดว่าพี่สาวคุณไม่ชอบสุงสิงกับผู้ชาย แต่เชื่อผมเถอะว่าอี้เทียนมีความสามารถพอที่จะทำให้พี่สาวของคุณคล้อยตามเขาได้ง่ายๆ”

    “ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหมอนั่นจะแน่สักแค่ไหน”

    “เลิกพยายามปั้นหน้าว่าคุณไม่เดือดร้อนกับเรื่องนี้สักทีเถอะเหมือนฝัน” จ้าวเวยหลงว่าเสียงเข้ม บังคับให้คนตัวเล็กเผลอฉายความกังวลในแววตาออกมาให้เขาเห็น “คุณห่วงพี่สาวคุณจะแย่ ผมเองก็อยากให้เขาสองคนอยู่ห่างกัน แค่คุณรับข้อเสนอของผม เราก็วิน-วินทั้งคู่ โทรหาพี่สาวคุณ...แกล้งร้องไห้สักหน่อยให้เขามารับคุณที่นี่ ที่เหลือผมจะจัดการเอง”

    “คิดอะไรง่ายดีนี่คุณน่ะ” เหมือนฝันหลุดหัวเราะ คิดว่าจ้าวเวยหลงคงได้ทุกอย่างตามใจเขาจนเคยชิน จึงลืมไปว่าในโลกใบนี้ยังมีคำว่า ‘เรื่องที่ไม่คาดคิด’ อยู่ “ถ้าฉันโทรไปบอกให้พี่ฟ้ามาที่นี่ แล้วพี่สาวฉันก็ยอมหลงเชื่อง่ายๆ แล้วไม่คิดเหรอว่าญาติตัวดีของคุณอาจจะไม่ยอม หมอนั่นอาจจะขังพี่สาวฉันไว้ที่นั่นเหมือนที่คุณขังฉันไว้ที่นี่ก็ได้ หรือบางทีหมอนั่นอาจจะบังคับให้พี่สาวฉันโทรมานี่แล้วใช้พี่สาวฉันเป็นเครื่องมือ ขู่ให้ฉันบินไปที่นั่นก่อนที่ฉันจะได้หยิบมือถือด้วยซ้ำ”

    “ถ้าพี่สาวคุณต้องการจะมาที่นี่ พี่คุณก็จะได้มา...ต่อให้เป็นร้อยอี้เทียนก็จะขวางพี่คุณไม่ได้ ผมจะจัดการกับเขาเอง” เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับจ้าวเวยหลง ต่อให้มาสฟ้าจะอยู่ในพื้นที่ที่ครอบครัวอู่ดูแลอยู่แต่เขาเองก็ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกเสียทีเดียว แค่การดูแลผู้หญิงคนเดียวทำไมเขาจะพาเธอมาที่นี่ไม่ได้ “อี้เทียนขวางเราไม่ได้หรอก อีกอย่างผมก็ไม่เห็นเหตุผลที่เขาต้องลงทุนลงแรงขังพี่สาวคุณไว้ที่นั่นด้วย...เว้นแต่ว่าเขาจะมีข้อตกลงกับพี่สาวของคุณ”

    “พี่สาวฉันสวยขนาดนี้ยังต้องหาเหตุผลอะไรอีก” เหมือนฝันค้อนขวับใส่คนตัวโตที่นั่งอยู่ข้างกัน ก่อนจะเคาะนิ้วบนหน้าจอซึ่งมีรูปภาพของมาสฟ้าและชายหนุ่มคนนั้นปรากฏอยู่ เชิงบอกว่านี่เป็นหลักฐานชัดเจนเพียงพอแล้ว “ถ้าคุณไม่ตาบอดก็คงเห็นว่าสายตาที่ไอ้หมอนี่มองพี่สาวฉันน่ะ มันคิดไม่ซื่อ”

    “คุณคิดว่าอี้เทียนชอบพี่สาวคุณ?”

    “คุณน่ะคิดอะไรซับซ้อนเกินไป” เหมือนฝันว่าก่อนถอนหายใจยาวเหยียด ไม่คิดซ่อนความรู้สึกระอาใจที่เธอมีต่อจ้าวเวยหลงแม้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ระหว่างการเจรจาในการเป็นพันธมิตรกัน “เรื่องข้อตกลงบ้าบออะไรเทือกนั้นน่ะฉันว่าไม่มีหรอกอย่างน้อยก็ไม่ใช่กับญาติของคุณ”

    “ทำไมคุณถึงมั่นใจนัก”

    “ก็เพราะว่าหมอนี่เป็นตัวอันตรายไงล่ะ” เหมือนฝันเน้นเสียงหนัก ทวนคำพูดของเขาให้เจ้าตัวฟังอีกครั้ง น้ำเสียงที่เธอใช้ก็บอกความจริงจังเป็นการเป็นงานกับสิ่งที่พูดไปทำให้จ้าวเวยหลงเกือบเชื่อแล้วว่าเธอเชื่อเช่นนั้นจริงๆ ทว่าสุดท้ายจ้าวเวยหลงกลับต้องกลอกตากับคำพูดต่อมาของคนตัวเล็ก “หล่อบัดซบแบบนี้ แถมยังขายาวเป็นเมตรๆ พี่สาวฉันไม่เข้าใกล้เขาหรอก ดูท่าไม่ได้หลอกง่ายด้วย...พี่สาวฉันไม่ใช่คนที่ชอบเปลืองเนื้อเปลืองตัวเท่าไหร่ ดูสิๆ ญาติคุณนี่มีสิบมือหรือยังไง ถึงได้เกาะพี่สาวฉันไม่ปล่อยแบบนี้ ไม่คิดจะกยับจับอะไรเลยหรือยังไง”

    “รู้ไหม...ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณพูดมาทั้งหมด ฟังเหมือนคุณเองก็ถูกใจอี้เทียนมากกว่าที่จะเกลียดเขา”

    “ก็หมอนี่หล่อจริงๆ นี่หรือว่าคุณจะเถียง”

    จ้าวเวยหลงเงียบเพราะเขาไม่อาจโต้แย้งได้ ความหล่อเหลาของอู๋อี้เทียนครึ่งหนึ่งมาจากตระกูลจ้าว ซึ่งจ้าวเวยหลงเองก็มั่นใจว่าเขาเองก็ได้รับยีนส์เด่นส่วนนี้มาไม่แพ้กัน แต่ยีนส์อีกครึ่งหนึ่งที่อู้อี้เทียนได้รับจากพ่อของเขา

    ผู้ชายซึ่งทำให้ป้าใหญ่กล้าทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพื่อที่จะได้แต่งงานกับเขา...หน้าตาของผู้ชายคนนั้นย่อมต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว

    “เขาหล่อจริง” จ้าวเวยหลงยอมจำนนกับความจริงข้อนี้

    “เห็นไหม...คุณเองก็ยังคิดว่าเขาหล่อเลย” แล้วเหมือนฝันก็ได้แต่จิ๊ปากอย่างขัดใจ ที่เธอกังวลที่สุดก็เพราะว่าไอ้อี้เทียนอะไรนี่หล่อมากๆ นี่แหละ ยิ่งมาสฟ้าไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่ด้วย หากอยู่ใกล้เขานานๆ แล้วเกิดหวั่นไหวเพราะความหล่อขั้นทำคนเสียสติได้ของเขาแล้วเธอจะทำยังไง “ฮึ้ย! ไม่น่าเสียรู้พี่ฟ้าเลย ไม่งั้นฉันซัดหมอนี่อ่วมไปแล้ว”

    “คุณไม่อยากยุ่งกับเขาหรอก เชื่อผม” จ้าวเวยหลงเอ่ยเตือด้วยความหวังดีอบ่างคนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน อู๋อี้เทียนนั้นแม้ว่าจะไม่มีอำนาจของตระกูลจ้าวหนุนหลังอย่างเขา แต่หมอนั่นก็คนบ้าดีๆ คนหนึ่งเวลาที่เขาโกรธจัด...แถมยังเป็นคนบ้าที่ฉลาดเป็นกรดอีกด้วย

    “อยากอยู่แล้วย่ะ ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ดีกว่าฉัน” เหมือนฝันหันขวับเรื่องนี้เธอยอมไม่ได้จริงๆ ใครจะรู้จักเธอดีไปกว่าตัวเองกันหมอนี่เพิ่งรู้จักเธอแท้ๆ ทำมาเป็นอวดภูมิคิดว่าตัวเองรู้ดีไปกว่าทุกคน ขวางหูขวางตา!

    “คุณชอบเขาเหรอ?”

    “ป่าว ถามทำไม”

    “เปล่า แค่ใครๆ ก็ชอบเขากันทั้งนั้น” จ้าวเวยหลงยักไหล่ ก่อนจะหลุบตามองโต๊ะตรงหน้าก่อนจะแก้เก้อด้วยการดึงแก้วเปล่าอีกใบมาริยเครื่องดื่มให้ตัวเอง “ก็แค่อยากรู้ เกิดคุณชอบเขาอีกคนขึ้นมาผมจะได้เตรียมแผนรับมือไว้ตั้งแต่เนินๆ”

    “ถึงฉันบ้าไปหล่อยแต่ฉันไม่ได้โง่นะ” เหมือนฝันขึงตามองจ้าวเวยหลงราวกับจะพุ่งตัวเข้าไปกินเลือดกินเนื้อ “มองปราดเดียวก็รู้ว่าหมอนี่มันเสือผู้หญิง จะอยากได้มาทำไม เหนื่อยตาย”

    “อ้อ แบบนั้นก็ดี” จ้าวเวยหลงพยักหน้าเบาๆ พึมพำกับตัวเองด้วยโล่งใจออกมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกโชคดีที่เขาไม่ต้องมีเรื่องปวดหัวเพิ่มอีกเรื่อง เมื่อมีคำถามผุดขึ้นมาว่า ‘แล้วทำไมเขาต้องโล่งใจที่เหมือนฝันหลงเสน่ห์อู่อี้เทียนด้วยวะ?’

    “สรุปว่าเรา...เป็นพันธมิตรกันแล้ว?”

    คำถามนั้นทำให้เหมือนฝันนิ่งขึงไปเพราะลังเลอยู่เสี้ยวอึดใจ ก่อนมือเรียวจะยกแก้วเปล่าของตัวเองขึ้นมาถือ ทำให้จ้าวเวยหลงต้องรินเหล้าให้เธอ มีความเงียบระหว่างทั้งคู่เมื่อจ้าวเวยหลงรอคอยคำตอบจากหญิงสาวด้วยความคิดหวัง

    “ชั่วคราว” เหมือนฝันเม้มปากแน่นแม้ว่าจะเพิ่งเอ่ยปากตกลง ยอมเป็นพันธมิตรกับคนที่ครั้งหนึ่งเธอเคยกล่าวหาเขาว่าเป็นโ๗รลักพาตัว และแน่นอนว่าข้อตกลงนี้ย่อมมีเงื่อนไขพ่วงมาด้วย “แค่แยกสองคนนี้ออกห่างกัน คุณจะได้เป็นผู้นำตระกูลของคุณต่อไป อย่างมั่นคงไม่ต้องเสียวสันหลังว่าจะถูกสอยร่วงเมื่อไหร่ ส่วนฉัน...ก็ได้พี่สาวฉันกลับคืนมาปลอดภัย ไม่บุบสบาย”

    “คุณจะได้พี่สาวคุณกลับมาอย่างปลอดภัย” ส่วนเรื่องไม่บุบสลายนั้น...จ้าวเวยหลงไม่กล้ารับประกันกับเธอจริงๆ

    “ดีล” เหมือนฝันยิ้มแฉ่งพอใจในข้อตกลงอย่างยิ่ง

    “ดีล!”

     

    มาเจอกันยาวๆ จุกๆเพราะไม่รู้ว่าจะเข็นคุณคนงามมาส่งอีกได้เมื่อไหร่ แต่ยังไงก็รักๆๆๆๆ ทูนหัวคนดีเหมือนเดิมนะคะ // ม๊วฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×