ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงชะตามีเกณฑ์จะได้รัก

    ลำดับตอนที่ #15 : ใต้การคุ้มครองของจ้าวเวยหลง

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.ย. 65


    เหมือนฝันมองคนทั้งคู่ตลอดเวลาที่จ้าวซ่งเหยี่ยนปะทะคารมกับหวางเย่ สายตาของเธอมองพวกเขาสลับไปมาแต่กลับไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา ซึ่งทำให้หวางเย่นั้นแทบจะลืมไปว่าเขามีเธออยู่ตรงนี้ด้วย สีหน้าราบเรียบของหญิงสาวไม่แสดงออกว่าตกใจกับการมีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นนั้น ทำให้หวางเย่แอบชื่นชมเธออยู่ในใจ รอกระทั่งกลุ่มของพวกเขาเดินพ้นจากจ้าวซ่งเหยี่ยนและคนของเขาเรียบร้อยแล้ว ระหว่างรอให้รถมาถึงหวางเย่จึงเอ่ยชื่นชมเหมือนฝันจากใจจริง

    “คุณรับมือได้ดีมากนะครับ ไม่ใช่ทุกคนที่จะไม่ตกใจเวลาเจอคุณเยี่ยน...แต่คุณดูไม่ตกใจเลย ถ้าผมไม่รู้มามาก่อนผมคงคิดว่าพวกคุณเคยเจอเขามาก่อน”

    “คนแบบเขาฉันเจอบ่อยค่ะ” เหมือนฝันยักไหล่ ยังไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้นรถคันใหญ่สีดำก็เคลื่อนมาหยุดที่ด้านหน้า หวางเย่จัดการเปิดประตูให้หญิงสาว เช่นเคยกดดันให้เหมือนฝันก้าวขึ้นไปนั่งด้านในอย่างไม่มีทางเลือก เมื่อทุกคนเข้ามาอยู่ในรถเรียบร้อยแล้วเขาก็ออกคำสั่งให้คนขับรถออกรถ มุ่งหน้าไปยังที่หมายแต่เขาก็ยังมิวายต่อบทสนทนาที่ค้างคาเอาไว้กับเหมือนฝัน ราวกับว่าเขาลืมว่าตัวเองเคยเป็นคนเย็นชา ทำตัวเข้าถึงยากเหมือนตอนที่เจอเธอทีแรก

    “คุณบอกว่าเจอบ่อยหรือครับ ผมไม่ยักรู้ว่าคุณแบบคุณเยี่ยนเยอะขนาดนั้น ชีวิตของคุณคงลำบากไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ”

    “ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ” เหมือนฝันตอบพลางถอนหายใจ พร้อมคิดทบทวนกับตัวเองว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เธอไม่รู้สึกตระหนกกับเรื่องที่เกิดขึ้น “ฉันเจอเรื่องทำนองนี้ค่อนข้างบ่อย แต่ไม่ได้เจอคนแบบคุณเยี่ยนบ่อยขนาดนั้น”

    “หมายถึงยังไงนะครับ?”

    “อธิบายลำบากน่ะค่ะ” เหมือนฝันไม่มีอารมณ์จะเล่าเรื่องชีวิตของเธอตอนนี้ และก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องมาเที่ยวเล่าเรื่องของตัวเองให้ศัตรูฟังสักหน่อย “เอาเป็นว่าฉันเจอเรื่องทำนองนี้มาพอสมควร อาจจะมีตกใจบ้าง...แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่จนต้องตกอกตกใจเหมือนไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน”

    “ถึงว่า...ถ้าไม่บอกผมคงคิดว่าคุณรู้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้น ถึงได้ไม่ตกใจ” เขาว่าพร้อมปรายตามองเหมือนฝันด้วยสายตาจับผิดเล็กน้อย ตามความเคยชินมากกว่าคิดจับผิดหญิงสาวจริงจัง

    “ไม่รู้ว่าฉันควรดีใจหรือเปล่า เหมือนว่าใครๆ ก็คิดแบบเดียวกับคุณกันหมด” เหมือนฝันเหยียดยิ้ม รู้สึกไปเองนิดๆ ว่าคำพูดเมื่อครู่นี้มีควายหมายกระทบกระเทียบเธอแปลกๆ หรือเปล่า ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้ใส่ใจเก็บมาคิดให้เสียเวลา ก็อย่างที่เธอบอกไปนั่นแหละว่าเรื่องแบบนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอเป็นครั้งแรกเสียหน่อย “แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่คะ ฉันเลือกไม่ได้นี่นา...เผอิญฉันมีพี่สาวที่ค่อนข้างเอ่อ...พิเศษกว่าชาวบ้านชาวช่องเขา คนจะพากันคิดแบบคุณก็ไม่แปลกหรอก”

    “พี่สาวคุณมองเห็นอนาคตจริงหรือครับ อนาคตแบบไหนเหรอ?”

    พอคำถามนี้เปล่งออกมาทุกคนในรถก็พร้อมใจเงียบลงอย่างจดจ่อกับคำตอบของหญิงสาว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เชื่อเต็มร้อยในเรื่องนี้หญิงสาวนั้นมีความสามารถพิเศษ แต่เรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้ก็ยั่วยวนใจ ใครบ้างล่ะจะไม่อยากรู้อยากเห็น

    “แบบว่า...พี่สาวคุณเห็นหรือเปล่าว่าผมจะตายตอนไหน พี่สาวของคุณบอกได้ไหม” หวางเย่ยังกังขาและถามต่ออย่างใคร่รู้ เขาไม่ใช่คนหัวสมัยใหม่อย่างจ้าวเวยหลงที่ไม่เชื่อเรื่องทำนองนี้เลย พูดตามจริงแล้วหวางเย่เองก็พอมีความเชื่อเรื่องทำนองนี้อยู่บ้างเพียงแต่เขาไม่เคยมีประสบการณ์ พบเจอเรื่องลี้ลับด้วยตัวเองก็เท่านั้นจึงไม่อาจพูดได้ว่าเขาเชื่อเรื่องพวกนี้ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ จะพูดให้ถูกก็คือเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอย่างที่ใครๆ เขาพูดกันติดปากนั่นแหละ

    “ไม่รู้สิคะ พี่ฟ้าไม่เคยทำนายเรื่องความตายให้ใคร” เหมือนฝันถอนหายใจ เหม่อมองออกไปนอกกระจกรถ

    พลันหวนคิดถึงเรื่องคราวคุณทวดของเธอล้มป่วยเพราะโรคชราภาพ ท่านเฝ้าถามมาสฟ้าอยู่ทุกวันท่านจะตายวันไหน จะอยู่ได้นานเท่าไหร่ แต่มาสฟ้ากลับไม่เคยหลุดปากบอกท่านเลย

    มาสฟ้าเพียงยิ้มและใช้เวลาอยู่กับท่านมากเป็นพิเศษ จนแทบจะเรียกว่าตัวติดกันตลอดเวลา มาสฟ้าดูแลท่านเหมือนอย่างที่เคยทำตลอดมาจนกระทั่งวาระสุดท้ายของท่าน

    คุณทวดจากไปพร้อมความรักโดยมีลูกๆ หลานๆ ห้อมล้อมโดยปราศจากคำทำนายจากผู้เป็นหลานสาว แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าเหี่ยวแห้งของหญิงชราก็ยัประดับด้วยรอยยิ้มอิ่มเอมที่พอจะบอกได้ว่าท่านจากไปอย่างสงบ ไม่มีห่วงใดๆ เหลืออยู่บนโลกใบนี้แล้ว

    “ไม่รู้ว่าไม่เห็นหรือแค่ไม่อยากบอก...”

    “ถ้ารู้แล้วไม่บอกจะมีประโยชน์อะไรครับ คนเราก็อยากรู้ว่าจะตายตอนไหนที่สุดไม่ใช่เหรอ?” หวางเย่ขมวดคิ้ว เอ่ยแทรกไปอย่างตรงไปตรงมาก่อนที่หญิงสาวจะทันได้พูดจบประโยค ทำให้เหมือนฝันหันกลับมามองหน้าเขาด้วยสายตาที่อธิบายไม่ได้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับประโยคเมื่อครู่นี้ของเขา

    “ฉันว่ามันก็ขึ้นอยู่กับว่าคนถามเป็นใครนะคะ ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่อยากรู้ว่าตัวเองจะตายตอนไหน แล้วก็ไม่ใช่ว่าทุกคนควรจะรู้ว่าตัวเองจะตายตอนไหนด้วย...” หญิงสาวเพียงคนเดียวตอบไม่คล้ายตอบ เชิงว่าพึมพำกับตัวเองเวลาคิดถึงเรื่องเก่าๆ มากกว่า “ไม่รู้ก็เป็นทุกข์ รู้ก็เป็นทุกข์ สู้ไม่รู้อะไรเลยเหมือนกับคนอื่นไม่ดีกว่าหรือคะ” เหมือนฝันหยุดพูดก่อนจะหันกลับไปมองวิวด้านนอกที่คลาคล่ำไปด้วยขบวนรถยนต์จำนวนมหาศาล ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปด้านหน้าช้าๆ ชวนให้เหมือนฝันคิดถึงท้องถนนของกรุงเทพในชั่วโมงเร่งด่วนขึ้นมาร่ำไร

    “ทำไมไม่ลองไปถามเจ้านายของคุณดูล่ะค่ะ ว่าเขาอยากรู้อนาคตแบบไหน ทำไมถึงกับต้องลักพาตัวฉันมาแบบนี้”

    “ท่านประธานไม่ใช่คนงมงายครับ เรื่องนี้ผมยืนยันกับคุณตรงนี้ได้เลย” หวางเย่นิ่วหน้าใส่หญิงสาว เขาพอจะเดาได้เลาๆ ว่าเธอกล้ากว่าผู้หญิงคนอื่นที่เขาพบเจอมา

    แต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะกล้าถึงขนาดพูดถึงจ้าวเวยหลงด้วยคำพูดมักง่ายเหมือนอย่างที่พูดมาแบบเมื่อครู่นี้ หล่อนพูดประหนึ่งจ้าวเวยหลงเป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งที่จ้าวเวยหลงนั้นอาวุโสกว่าเธออยู่พอสมควร อีกทั้งตำแหน่งผู้นำตระกูลและกิตติศัพท์ของความโหดร้ายของจ้าวเวยหลงก็ไม่ใช่สิ่งที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะสามารถลบลู่ได้ง่ายๆ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับ...

    หรือถ้าจะบอกว่าเธอเป็นคนต่างบ้านต่างเมือง เธอเพิ่งมาถึงที่นี่อาจจะไม่รู้เรื่องความน่ากลัวของจ้าวเวยหลงก็พอเข้าใจได้ แต่อย่างน้อยๆ เธอก็น่าจะเคารพเขากว่านี้สักหน่อยไม่ใช่หรือไง หรือว่าบ้านเมืองของเธอเขาไม่นับถือคนอาวุโสกว่ากันกว่าแล้ว

    “ท่านประธานเขาเป็นพวกหัวสมัยใหม่ ตั้งแต่ที่ท่านขึ้นมารับตำแหน่งผู้นำตระกูล เรื่องพิธีการเก่าๆ ก็ถูกงดเว้นไปจนแทบไม่เหลือแล้ว” น้ำเสียงของหวางเย่นั้นติดแววตักเตือนแขกคนสวยให้ระวังปากระวังคออยู่นิดๆ แต่เสียดายที่เหมือนฝันไม่สามารถรับรู้ถึงความพยายามของในการเตือนของเขาได้ เธอหันหน้ากลับมามองเขาด้วยดวงตาประกายกล้า พร้อมมุมปากที่กดลึกลงเป็นรอยยิ้มหยัน

    “จริงเหรอคะที่ว่าเขาไม่ใช่งมงายน่ะ” เหมือนฝันไม่ปักใจเชื่อหวางเย่ เธอเลื่อนสายตาคากริบเย็นชามาที่ใบหน้าไม่พอใจของเขา ก่อนจะยกยิ้มมุมปากนิดๆ เมื่อเอ่ย “ถ้าไม่เชื่อจริงแล้วอะไรที่ทำเจ้านายคุณถึงได้กลัวพี่สาวฉันมากขนาดนี้ ถึงกับต้องขนาดลักพาตัวฉันมาเลยทีเดียว ถ้าไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อย่าที่ปากว่าจนพานกลัวพี่สาวฉันกันหัวหด คงไม่เตรียมเอาฉันไว้ต่อรองกับพี่สาวของฉันแบบนี้หรอก หรือไม่จริงคะ?”

    “ในเมื่อคุณคิดว่าตัวเองถูกลักพาตัวทำไมคุณถึงไม่ตกใจเลยล่ะครับ?” หวางเย่ไม่สามารถรักษาสีหน้าเฉยเมยของตัวเองไว้ได้อีกต่อไป ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อมองหน้าหญิงสาวเพียงคนเดียวในรถคันใหญ่

    ด้วยคิดไม่ถึงว่าเหมือนฝันจะสามารถคาดเดาแผนการของจ้าวเวยหลงได้ง่ายดายเพียงนี้ ความรู้สึกแปลกใจที่ว่านั้นแฝงมาด้วยความรู้สึกขนลุกที่อธิบายไม่ได้ ว่าทำไมจู่เขาถึงได้รู้สึกหวาดหวั่นหญิงสาวตรงหน้าขึ้นมาเฉยๆ เสียอย่างนั้น ทั้งที่ตลอดการร่วมทางกันเหมือนฝันไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากการพูดคุยเรื่องสรรพเพเหระอันแสนธรรมดา แต่ถึงอย่างนั้นหวางเย่ก็สัมผัสได้ว่าผู้หญิงคนนี้ห่างไกลคำว่า ‘ธรรมดา’ ที่เขาเคยพบเจอมาอยู่มากทีเดียว

    “คงเพราะว่าฉันรู้ว่าคุณจะเก็บฉันไว้ได้ไม่นานยังไงล่ะคะ” เหมือนฝันหลับตาขณะพูด น้ำเสียงของเธอนั้นทั้งเบื่อหน่ายและระอาในคราเดียวกัน แสดงออกว่าเรื่องที่เธอถูกลักพาตัวโดยขาใหญ่ของเซี่ยงไฮ้อย่างจ้าวเวยหลงนั้นไม่ได้ทำให้เธอเดือดร้อนเลยแม้แต่นิด ยิ่งฟังคำพูดต่อมาของหญิงสาวหวางเย่และคนอื่นที่อยู่ในรถต่างพากันขมวดคิ้ว มองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความกังวล “เดี๋ยวพี่สาวฉันก็มารับแล้ว...ถ้าตอนนั้นคุณเจอพี่ฟ้า คุณก็ถามพี่สาวของฉันเองแล้วกันนะคะ ว่าอนาคตที่พี่ฟ้าเห็นเป็นยังไงกันแน่ ไม่แน่ว่าคุณจะได้รู้ว่าตัวเองตายเมื่อไหร่ก็ได้”

    “ถ้าผมเจอพี่สาวคุณ ผมคงถามเรื่องที่มันเป็นประโยชน์มากกว่านั้น” หวางเย่พยายามรวบรวมสติของตัวเอง กลับมาอยู่กับร่องกับรอยให้ได้มากที่สุดเพราะคิดว่านี่เป็นแผนการปั่นหัวศัตรูของหญิงสาว ซึ่งต้องชื่นชมว่าเธอเกือบทำสำเร็จแล้ว นับว่าฝีมือไม่เลวทีเดียวที่สามารถทำให้ลูกน้องของเขาเสียท่า เสียสมาธิกันได้ถึงขนาดนี้แค่เพราะคำพูดไม่กี่คำ

    “คุณนี่ชอบโกหกจริงๆ เลยนะคะ” เหมือนฝันหลุดหัวเราะ ลืมตามองหน้าหวางเย่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้สายตาและสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจนหวางเย่ต้องเปลี่ยนท่าที จับตามองหญิงสาวด้วยสายตาระแวดระวังมากกว่าเดิม

    “ผมน่ะหรือครับที่ชอบโกหก ไม่ยักรู้แฮะ”

    “คุณอยากตายมากไม่ใช่หรือคะ” เหมือนฝันไม่ได้ถาม เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เธอรู้อยู่แล้ว ศีรษะทุยที่ปรกไปด้วยเรือนผมยาวนั้นเอียงไปด้านซ้ายเล็กน้อย กวาดตามองหวางเย่อย่างสำรวจและประเมินอยู่ในที “คุณอยากตายมาตลอดนี่นา อย่าโกหกเลยค่ะ มองก็รู้แล้ว”

    “ผมเหมือนคนอยากตายมากขนาดน้ันเลยสินะครับ” หวางเย่พึมพำพร้อมกับเสียงกลั้วหัวเราะ ก้มหน้าลงเพื่อซ่อนแววตาซับซ้อนของตัวเองด้วยการทำทีเป็นแสร้งขำ “แย่จัง”

    “ก็ไม่ถึงกับแย่หรอกค่ะ ถ้าฉันเป็นคุณฉันก็คงอยากตายเหมือนกัน” หญิงสาวพึมพำพร้อมกับถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความสิ้นหวัง สายตาของเหมือนฝันเคลื่อนไปยังที่นั่งว่างเปล่าที่อยู่ถัดไปจากหวางเย่แล้วพูดเสียงเบาแสนเบา “การเสียคนที่รักเรามากขนาดนี้ไป ฉันเองก็คงใจสลายแล้วก็อยากจะตายๆ ไปซะไม่ต่างจากคุณหรอก”

    “…”

    “เห็นไหมล่ะค่ะ ว่าเรื่องบางเรื่องรู้แล้วมันทุกข์ยิ่งกว่าตอนไม่รู้เสียอีก” เสียงอ่อนหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ผิดกับสีหน้าของคนฟังที่ตกตะลึงก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสับสันและผุดความรู้สึกหวาดกลัวหญิงสาวขึ้นมาเป็นความรู้สึกสุดท้าย

    หวางเย่มือเย็นเฉียบ เหลือบมองหน้าเหมือนฝันด้วยสายตาซับซ้อน...ปากหนาเม้มเข้าหากันแน่นอย่างคนที่พยายามสะกดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ ความสับสนและความรู้สึกท้วมท้นเช่นนี้หวางเย่ไม่ได้รู้สึกมานานแสนนาน และไม่คิดว่าจะต้องกลับมารู้สึกอีกครั้งเพราะเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่เขาคิดว่าเธอไม่มีพิษมีภัยเพียงแค่เพราะเธอพูดเพียงไม่กี่คำ ความหวาดกลัวแบบนี้หวางเย่ไม่เคยรู้จักมากก่อน

    ตอนนี้ความคิดเดียวในหัวของเขาก็คือ...น่ากลัวเกินไปแล้ว

    sds

     

    มุ๊ๆๆ หวางเย่นะคะ ชอบจังเลยผู้ชายแบ้ดๆ ถ้าข้างกายพี่ยังว่างที่คนดีขอจับจองก่อนใครเพื่อนเลยนะเจ้าค่ะ เพราะดูท่าแล้วศรคงสู้กับคุณๆ เขาไม่ไหวกันแน่ แม้ผู้ชายของท่านทั้งสองจะหล่อเร้าใจแต่บ่าวก็รักตัวกลัวตาย ของเป็นกำลังใจให้ทูนหัวคนดีอยู่ห่างๆ จากนี้นี้แล้วกันนะเค้ออออออ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×