ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงชะตามีเกณฑ์จะได้รัก

    ลำดับตอนที่ #13 : หวางเย่

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ย. 65


     

    เหมือนฝันรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจผิดแล้วจริงๆ ที่มาที่นี่ล่วงหน้าโดยไม่มีมาสฟ้ามาด้วย ยิ่งเจอแผงยาแก้ปวดที่เธอค้นเจอจากกระเป๋าเดินทาง ซึ่งน่าจะเป็นมาสฟ้านั่นแหละที่เตรียมเอาไว้ให้ เหมือนฝันก็ยิ่งรู้สึกหดหู่กว่าเดิม

    มาสฟ้าต้องรู้แน่เลยว่าเธอจะเจ็บตัวถึงได้เตรียมยาแก้ปวดเอาไว้ให้ คิดแบบนั้นเหมือนฝันหน้าม่อยลงด้วยความเซ็ง ในใจก็หวังให้มาสฟ้ามาที่นี่เร็วๆ ครั้งล่าสุดที่เธอติดต่อมาสฟ้าได้ก็คือเมื่อตอนเช้ามืด มาสฟ้าส่งข้อความมาบอกว่าตอนนี้ยุ่งมากยังไม่สะดวกคุย แต่จะรีบโทรหาทันทีที่ทำได้และยังบอกอีกว่ามาหาเธอให้เร็วที่สุดหลังเสร็จธุระ

    และเพราะว่าไอ้คำว่ายุ่งมากของพี่สาวนั่นแหละ ทำให้เหมือนฝันไม่กล้าโทร. หามาสฟ้าเหมือนอย่างที่ใจอยาก ทำเพียงส่งข้อความตอบไปว่าเธอสบายดี เพราะไม่อยากให้มาสฟ้าต้องเป็นห่วง ลืมเรื่องมากมายที่อยากจะเล่าให้มาสฟ้าไปจนหมด บอกตัวเองว่ารอให้มาสฟ้ามาที่นี่แล้วค่อยเล่าให้ฟังก็ได้ ยังไงพี่สาวของเธอก็มานี่อยู่แล้วจะบอกตอนไหนก็คงไม่ต่างกันหรอก

    เหมือนฝันคุยกับตัวเองจนหาข้อสรุปได้แล้ว จึงแกะยาแก้ปวดในแผงออกมาสองเม็ดแล้วจัดการโยนเข้าปาก ก่อนจะดื่มน้ำตามอีกหลายอึกเมื่อจัดการกินยาเรียบร้อยแล้วเหมือนฝันก็หยิบม้วนผ้าก๊อตสีน้ำตาลเข้มออกมาพันข้อมือของตัวเอง ถึงแม้ว่ามันจะช่วยอะไรไม่ได้มากแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยล่ะนะ

    ทำไปพร้อมกับฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี...วันนี้ได้คุยกับมาสฟ้าแล้ว ไม่มีอะไรที่เธอต้องว้าวุ่นใจเหมือนอย่างเมื่อวานอีก ขณะเดียวกันเหมือนฝันก็วางแผนที่จะหาร้านอาหารอร่อยๆ แถวนี้สำหรับมื้อเที่ยงของตัวเอง

    เสียงโทรศัพท์ในห้องดังขึ้นทำลายการวางแผนในหัวของเหมือนฝัน แต่หญิงสาวก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เธอปล่อยผ้าก๊อตลงแล้วเอื้อมมือไปยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู ยกไหล่มนของตัวเองขึ้นเพื่อประคองหูโทรศัพท์ไว้แล้วกลับไปผันพ้าก๊อตต่ออย่างทุลักลุเล

    “โทรจากรีเซฟชั่นค่ะ” เสียงปลายสายนั้นอ่อนน้อมเป็นพิเศษแล้วว่าต่อ “พอดีมีคนแจ้งว่านัดคุณผู้หญิงไว้ คุณผู้หญิงได้นัดหมายใครไว้หรือเปล่าคะ?”

    “นัดหรือคะ?” เหมือนฝันนิ่วหน้า รีบคว้าหูโทรศัพท์เอาไว้แน่นทันทีที่ หลังจากกลัดหมุดตัวสุดท้ายลงบนผ้าก็อตเรียบร้อย “ไม่นะคะ ฉันมาที่นี่คนเดียวค่ะไม่ได้นัดใคร”

    “เอ่อ...แต่ว่าแขกของคุณแจ้งว่าเขาเป็นคนตระกูลจ้าว คุณผู้หญิงรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นใครค่ะ” ความลำบากใจที่ส่งผ่านมาในน้ำเสียงนั้นทำให้เหมือนฝันขมวดคิ้วยุ่ง คิดว่าตระกูลจ้าวที่ไหนกันอีกล่ะ เธออยู่นี่คนเดียวจะไปรู้จักใครที่ไหนจนถึงขั้นนัดให้มาเจอที่โรงแรมกัน

    เอ๊ะ...ตระกูลจ้าวอย่างหรือ ว่าจะเป็นหมอนั่นอีก ไหนบอกว่าไม่ให้มาเจอกันอีกแล้วยังไงล่ะ ทำไมถึงได้โผล่มาอีก

    เหมือนฝันเดาว่าคนที่มารรอเธออยู่ด้านล่างคงไม่พ้นเป็นผู้ชายคนเดิมที่มาข่มขู่เธอในวันนั้น หญิงสาวจึงไม่คิดอะไรมากอีก...ยังไงเธอก็จะออกไปข้างนอกอยู่เล้ว แวะคุยกับเขาสักหน่อยคงไม่เสียเวลามากหรอก

    “อ้อ อย่างนั้นให้เขารอฉันอยู่ข้างล่างนะคะ ฉันกำลังลงไปค่ะ”

    “ได้ค่ะ” คราวนี้เสียงเล็กๆ นั้นสดใสมาก เหมือนโล่งใจกับคำตอบที่ได้รับจากเธอจนเหมือนฝันแอบย่นคิ้วเข้าหากัน ในใจก็ค่อนแคะอีกฝ่ายไปด้วยว่าที่โทร.ขึ้นมาแจ้งเธอก่อน นี่คงเพราะกลัวว่าจะโดนหมอนั่นเล่นงานแหงๆ

    ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก เพราะจากที่เธอเจออีตาเวยหลงอะไรนั่นในวันนั้น เธอก็เดาได้ไม่ยากว่าเขาน่าจะเป็นคนใหญ่คนโตหรือไม่ก็เป็นพวกมาเฟียเหมือนในละครอะไรทำนองนั้น การที่พนักงานต้อนรับจะกลัวเขาหัวหดก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือทั้งๆ ที่หมอนั่นสั่งและกำชับเธอแล้วว่าอย่าได้มาเจอกันอีก แล้วทำไมวันนี้เขาถึงได้เป็นฝ่ายโผล่มาหาเธอก่อนเสียเอง เพิ่งเจอกันไปไม่กี่วันแท้ๆ หรือว่าหมอนี่จะความจำสั้นกันนะ...แต่ช่างเถอะ จะเพราะเขาความจำสั้นหรืออะไรก็แล้วแต่ เจอเขาสักหน่อยก็ไม่เสียหายยังไงเสียมันก็เป็นทางผ่านของเธออยู่แล้ว

    หญิงสาวบอกตัวเองเช่นนั้นแล้วก็ยักไหล่ คว้ามือถือกระเป๋าสตางค์และพาสปอร์ตใส่กระเป๋าถือ ถอดคีย์การ์ดในห้องติดมือมาเป็นอย่างสุดท้ายแล้วร่างระหงก็เดินตัวปลิวออกมา ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเพราะเธอปะทะเข้ากับร่างสูงในชุดซาฟารีที่รออยู่หน้าห้อง

    “อุ๊ย!”

    “คุณผู้หญิงครับ...” เสียงห้าวนั้นเอ่ยทักชายอยากสุภาพแต่ห่างเหิน เหมือนกับว่าเขาไม่ได้เพิ่งทำให้เธอตกใจจนขวัญหนีดีฟ่อไปหยกๆ

    เหมือนฝันกวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า...ก่อนจะเลื่อนสายตากลับขึ้นมาที่ใบหน้าของเขาอีกรอบหนึ่งเพื่อความแน่ใจ เมื่อมั่นใจว่าผู้ชายตรงหน้านี้ก็เป็นหนึ่งในคนของจ้าวเวยหลงที่เธอเคยเจอเมื่อวันนั้น เหมือนฝันจึงอดไม่ได้ที่จะชักสีหน้าหงุดหงิดแล้วแหวออกมา

    “ฉันจะลงไปอยู่แล้ว เจ้านายของคุณไม่รู้จักคำว่าความอดทนหรือยังไง แค่นี้ก็ต้องให้คนมาตาม...แขนฉันเดี้ยงขนาดนี้ฉันคงหนีไปไหนได้หรอก”

    “ครับ?”

    หวางเย่กระพริบตาปริบๆ เพราะคำพูดนั้นของหญิงสาว ใช้เวลาทบทวนสิ่งที่เหมือนฝันพูดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่สีหน้าของเขาจะค่อยๆ เปลี่ยนไป จากงุนงงในตอนแรกเปลี่ยนเป็นเย็นชาและมุ่งร้ายอย่างอันตรายในที่สุด ก่อนจะเอ่ยถามหญิงสาวคนเดียว ณ ที่นั้นเสียงเข้ม

    “คุณเวยหลงบอกว่าจะมาเจอคุณหรือครับคุณผู้หญิง?”

    “ใช่สิ ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครได้เล่า” เหมือนฝันตอบทั้งที่ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก เธอรู้จักคนตระกูลจ้าวเพียงคนเดียวนั่นก็คือจ้าวเวยหลง เธอจึงคิดไปเองว่าคนที่มารอเธออยู่ข้างล่างต้องเป็นเขา สุดท้ายหญิงสาวจึงอ้อมแอ้มอธิบายเชิงหาทางรอดให้ตัวเองเผื่อเอาไว้หากเธอคิดผิด “ก็ฉันรู้จักคนตระกูลจ้าวคนเดียวนี่ เขาไม่ได้ให้คุณมาตามฉันหรือ?”

    “ผมถูกสั่งให้มาดูแลความปลอดภัยของคุณครับ” หวางเย่รายงานหน้าเครียด ขณะหันไปสั่งคนของเขาที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นให้ตรวจสอบ ว่าตอนนี้จ้าวเวยหลงรออยู่ด้านล่างอย่างที่หญิงสาวกล่าวอ้างจริงหรือไม่ “รบกวนคุณผู้หญิงรอก่อนสักครู่ครับ ผมให้คนตรวจสอบดูก่อน จากที่ผมได้รับแจ้งล่าสุดตอนนี้ท่านประธานน่าจะยังอยู่ในห้องประชุมครับ”

    ได้ยินแบบนั้นเหมือนฝันก็นิ่งไป...ความคิดแล่นปรู้ดปร้าด คิดว่าหากคนที่รอเธออยู่ข้างล่างที่เธอคิดไปเองว่าคือจ้าวเวยหลงแต่แท้จริงเป็นคนอื่น ถ้าหากตอนนี้เธอคงอยู่ข้างล่างแล้วไม่เจอคนของจ้าวเวยหลงเข้าก่อนมันจะเป็นยังไง

    ความคิดร้อยแปดโผล่เข้ามาในหัวของเหมือนฝันในระยะเวลาเสี้ยววินาที ความคิดสุดท้ายที่โผล่มานั่นก็คือ อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้จ้าวเวยหลงถึงกับต้องส่งคนมามาเฝ้าเธอถึงหน้าห้องด้วย ยังมีอะไรที่เธอยังไม่รู้อีกหรือเปล่า

    การที่เหมือนฝันเติบโตมากับการมีพี่สาวอย่างมาสฟ้า ทำให้เหมือนฝันได้เห็นว่าคนเราทำเรื่องเลวร้ายได้แค่ไหนเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ และไม่มีใครทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทน ทุกคนล้วนมีเหตุผลอยู่เบื้องหลังการกระทำของตัวเองเสมอ แม้ว่าจะเป็นคนที่แสนดีหรือดูเหมือนว่ามีพร้อมไปเสียทุกอย่าง...ก็ยังมีสิ่งที่พวกเขาต้องการอยู่วันยังค่ำ จ้าวเวยหลงเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นสำหรับความจริงข้อนี้

    เขาต้องมีเหตุผลที่ให้คนมาเฝ้าเธอแน่ๆ ต่อให้จะบอกว่าส่งมาดูแลความปลอดภัยก็เถอะ

    “ทำไมเจ้านายคุณต้องให้คุณมาเฝ้าฉันด้วย” เหมือนฝันถามพร้อมหรี่ตามองชายในชุดซาฟารีอย่างจับผิด

    “เพื่อดูแลความปลอดภัยของคุณครับ” หวางเย่ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาอันแสนห่างเหินแต่ก็ยังสุภาพมาก จนเหมือนฝันไม่สามารถโกรธเขาได้ “เราอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันที่ท่านประธานพบกับคุณ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็ต้องพูดว่าดูแลความปลอดภัยของคุณมาตลอด ตั้งแต่คุณเข้าพักที่นี่”

    “จับตามองฉันสิไม่ว่า” เหมือนฝันเป็นคนหัวไว และเหตุผลเดียวที่เธอนึกได้ว่าทำไมจ้าวเวยหลงต้องส่งให้คนมาเฝ้าเธอก็คือเพื่อการจับตามองเธอ ส่วนเรื่องความปลอดภัยมันก็แค่เป็นผลพลอยได้เท่านั้น

    ซึ่งแววตาของหวางเย่ที่พราวระยับอย่างพึงพอใจกับข้อสันนิษฐานอันชาญฉลาดของหญิงสาว พร้อมกันมุมปากที่กดลึกนั่นอีก...ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เหมือนฝันจะสังเกตุ เท่านั้นเธอก็รู้ว่าเธอน่าจะคาดเดาเรื่องได้ถูกต้อง

    “นั่นก็ด้วยครับ” ไม่มีเหตุผลอะไรที่หวางเย่ต้องดื้อดึงปฏิเสธ ในเมื่อเขาไม่ได้เป็นคนบอกหญิงสาวด้วยตัวเอง เขาก็คงไม่เดือดร้อนนักที่เธอคาดเดาเรื่องได้ด้วยตัวเอง “ซึ่งดูเหมือนว่าท่านประธานจะคิดถูก แค่ไม่กี่วันคุณก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาพบแล้ว”

    “จริง ตลกร้ายชะมัด”

    เหมือนฝันสบถออกมาเบาๆ เธอไม่โทษใครที่เกิดเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น อันที่จริงเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นกับเธอบ่อยจนเหมือนฝันไม่รู้สึกกังวลกับมันแล้ว หากถามว่าเธอรู้สึกยังไงก็คงต้องบอกว่าชินชา เบื่อหน่ายและรำคาญ จะรู้ตัวอีกทีร่างสูงในชุดซาฟารีก็เงยหน้าจากมือถือของตัวเอง จ้องหน้าเหมือนฝันด้วยสายตาซับซ้อนและเป็นกังวลจนทำให้เหมือนฝันต้องพลอยนิ่วหน้าตามเขาไปด้วย

    “อะไร มองฉันแบบนั้นหมายความว่ายังไงไม่ทราบ” คนตัวเล็กเท้าเอวมองเขาอย่างขัดใจ “มีอะไรก็รีบพูดมา ฉันไม่ได้รู้อนาคตเหมือนพี่สาวฉันนะ บอกให้”

    “คนที่รอคุณอยู่ไม่ใช่ท่านประธานครับ เราต้องรีบพาคุณออกไปจากนี่ที่” หวางเย่บอกเสียงเครียด ก่อนจะหันไปปรึกษาหารือว่าจะพาหญิงสาวออกไปอย่างไรโดยไม่ให้บุคคลปริศนาด้านล่างรู้ดี

    “ไปจากที่นี่ แล้วไปไหน” เหมือนฝันไม่รู้ว่าเธอกำลังจะหนีอะไรจึงยังรู้สึกลังเล อีกทั้งเธอไม่ได้รู้จักกับจ้าวเวยหลงมากพอที่จะไว้ใจคนของเขาได้ จะให้ยอมทำตามคำสั่งของเขาโดยไม่ตั้งคำถามเลยมันก็ไม่ใช่เรื่อง “แล้วทำไมต้องไปด้วย ไอ้คนที่รออยู่ข้างล่างมันน่ากลัวมากเหรอ?”

    “เป็นคำสั่งของท่านประธานครับ” หวางเย่ว่าเสียงเข้ม ก่อนจะโยนความรับผิดชอบทุกอย่างไปให้ผู้เป็นเจ้านายอย่างไม่รู้สึกละอาย พร้อมบอก “ไว้คุณผู้หญิงเจอท่านประธานก็ถามเขาด้วยตัวเองนะครับ ตอนนี้เราต้องรีบไปแล้ว”

    เหมือนฝันอยากจะขืนตัวด้วยการปักเท้าเอาไว้กับพื้น แล้วถามเรื่องที่เธอสงสัยให้กระจางเสียก่อนที่จะตามผู้ชายพวกนี้ไปอย่างเชื่องๆ ทว่าพวกเขากลับไม่ให้ทางเลือกนั้นแก่เธอเลย แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้บังคับเธอด้วยการใช้กำลังแต่การที่พวกเขาห้องล้อมเธอ กดดันเธอด้วยการกระทำและสีหน้าเคร่งเครียดนั้นก็ไม่ต่างจากการบังคับให้เธอยอมโอนอ่อนตามในความรู้สึกของเหมือนฝัน

    ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความขัดใจ เมื่อคิดว่าตั้งแต่เกิดและโตมาจนอายุเท่านี้ คนที่สามารถบังคับให้เหมือนฝันทำตามได้ นอกจากแม่และมาสฟ้าแล้วก็มีแค่คนพวกนี้แหละที่ใจกล้ามาบังคับเธอ อ้อ...แล้วก็เจ้านายของคนพวกนี้อีกคนเพราะว่าเขาเป็นคนออกคำสั่ง

    “พวกคุณจะพาฉันไปที่ไหนไม่ทราบ” หญิงสาวทำลายความเงียบหลังจากที่เขาเข้ามาในลิฟต์โดยสารเรียบร้อยแล้ว

    “ที่ที่ปลอดภัย” คำตอบนี้ของเขาทำให้เหมือนฝันเริ่มมีความคิดว่าเธอคงไม่มีทางได้คำตอบที่ยาวไปว่าสามพยางค์จากผู้ชายหน้าเดียวคนนี้ แต่น้ำเสียงหนักแน่นที่ทำให้เหมือนฝันถึงกับกลอกตาด้วยควมขัดใจแต่ก็ยอมจำนนแต่โดยดี ก็เธอจะทำอะไรได้อีกนอกจากยอม

    “คุณอยู่ใต้การคุ้มครองของท่านประธาน ผมรับรองว่าจะไม่มีใครทำอะไรคุณได้ครับคุณผู้หญิง”

    “ไอ้คำที่ว่าใครก็ไม่มีทางทำอะไรฉันได้ นับรวมท่านประธานคุณด้วยหรือเปล่า” เหมืนฝันดักคอ เธอไม่ใช่เด็กอมมือทำไมจะไม่รู้ว่าไอ้คำพูดเมื่อกี้น่ะไม่ต่างจากคำพูดที่เอาไว้หลอกเด็ก ยิ่งเห็นสายตากระอักกระอ่วนของชายหนุ่มก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เหมือนฝันมั่นใจว่าเธอคิดถูกต้องแล้ว

    ว่านอกจากจ้าวเวยหลงจะไม่มีใครทอะไรเธอได้ ถ้าเขาไม่อนุญาต...ซึ่งสำหรับตอนนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องดีล่ะนะ

    “แล้วก็เลิกเรียกฉันว่าคุณผู้หญิงสักที แค่เหมือนฝันก็พอ”

    “เอ่อ...มะ...เหมือน อะไรนะครับ” หวางเย่มีสีหน้าลำบากใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินชื่อของหญิงสาว เขาเงียบไปอึดใจหนึ่งเพราะความลังเลก่อนจะเหลือบมองหน้าของหญิงสาว ผู้ที่เขารับหน้าที่ดูแลความปลอดภัยพร้อมจับตามองเธอมาตลอดระยะเวลาสองสามวันนี้ “ถ้าคุณไม่ว่าอะไรผมอยากเรียกคุณว่าคุณผู้หญิง ชื่อของคุณค่อนข้างออกเสียงยากสำหรับผม”

    “โทษที ฉันลืมไป” เหมือนฝันยิ้มแหยอย่างรู้สึกผิดนิดๆ ไม่ได้ติดใจเรื่องคำเรียกของเขาต่อเพราะเขาไม่ใช่คนแรกที่มีปัญหาในการเรียกชื่อเธอ “แล้วคุณชื่ออะไร ฉันยังไม่รู้เลย”

    “หวางเย่ครับ”

    “ชื่อเหมือนพวกนักเลงเลยนะคะ”

    ความเห็นที่ตรงไปตรงมาของเหมือนฝันทำให้ลูกน้องที่ติดตามหวางเย่ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา เจ้าของชื่อเองก็ไม่น้อยหน้า แม้ว่าเขาไม่ได้หัวเราะแต่รอยยิ้มที่มุมปากและแววตาที่พราวระยับขึ้นมาในเสี้ยววินาที นั้นก็แสดงให้เหมือนฝันรับรู้ได้ว่าเขาเองก็ขบขันกับคำพูดของเธออยู่ไม่น้อยทีเดียว

    “ผมจะคิดเสียว่านั่นเป็นคำชมแล้วกันนะครับ” อดีตของหวางเย่นั้นไม่อาจเรียกได้ว่าขาวสะอาด เขาก็เป็นอย่างทุกคนที่ทำงานให้ตระกูลจ้าวมานานหลายปีทุกคนเป็น ที่มักมีอดีตที่ตัวเองไม่อยากพูดถึงซ่อนเอาไว้ข้างหลัง...ยิ่งก้าวมาทำงานใกล้ชิดจ้าวเวยหลงได้มากเท่าไหร่ ขนาดของความลับที่ว่าก็จะยิ่งขยายใหญ่และหนักอึ้งขึ้นไปเรื่อยๆ

    ครั้งหนึ่งจ้าวเวยหลงเคยพูดกับพวกเขาว่าการทำงานและอยู่ใกล้ชิดคนตระกูลจ้าวนั้นเป็นโชคดีและโชคร้ายในขณะเดียวกัน

    โชคดีคือพวกเขาจะได้รับการปกป้องและคุ้มครองด้วยชื่อของสกุลจ้าว และโชคร้ายที่ไม่สามารถถอนตัวออกไปได้แม้ว่าจะต้องการ ดังนั้นก่อนที่จะก้าวเท้าลงมาบนถนนสายนี้พวกเขาจำต้องคิดไตร่ตรองให้ดี เพราะเมื่อก้าวเข้ามาแล้วพวกเขาจะไม่มีทางให้ถอยหลังได้อีก แต่สำหรับหวางเย่นั้นเขาแทบไม่ลังเลเมื่อได้รับข้อเสนอของจ้าวเวยหลง เพราะว่าที่ที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ก็แทบจะเป็นเรียกว่านรกอยู่แล้ว มาทำงานให้ตระกูลจ้าวแม้ว่าจะเลวร้ายแต่ก็ยังมีอำนาจใหญ่โตของตระกูลนี้คุ้มหัว

    ดังนั้นคำว่านักเลงที่หญิงสาวใช้เมื่อครู่นี้...นับว่าดีมากทีเดียวสำหรับอดีตของหวางเย่และที่ที่เขาจากมา

     

     

     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×