ชายและหญิงกับความเท่าเทียมทางเพศ ทำไมผู้ชายถึงมีอำนาจ ? - ชายและหญิงกับความเท่าเทียมทางเพศ ทำไมผู้ชายถึงมีอำนาจ ? นิยาย ชายและหญิงกับความเท่าเทียมทางเพศ ทำไมผู้ชายถึงมีอำนาจ ? : Dek-D.com - Writer

    ชายและหญิงกับความเท่าเทียมทางเพศ ทำไมผู้ชายถึงมีอำนาจ ?

    ผู้ชายกับผู้หญิง สองเพศในโลกใบเดียวกันแต่ไม่เคยเท่าเทียมกัน

    ผู้เข้าชมรวม

    7,409

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    7.4K

    ความคิดเห็น


    14

    คนติดตาม


    5
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 ก.ย. 51 / 15:23 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      หญิงและชายกับความเท่าเทียมทางเพศ  ทำไมผู้ชายถึงมีอำนาจ ?

      ความเท่าเทียมทางเพศระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย

      ทำไม  ผู้ชายถึงมีอำนาจมากกว่า ?
       


                      ปัจจุบันจะสังเกตได้ว่าสังคมไทยได้เปิดโอกาสให้ผู้ชายมีอิสระและมีโอกาสทางเพศมากเกินไปจนกระทั่งกลายเป็นความเห็นแก่ตัวที่อยู่ในจิตสำนึกของผู้ชายไปเสียแล้ว จากจุดนี้ทำให้ผู้หญิงเสียเปรียบอย่างมาก ถูกมองในแง่ลบเมื่อประพฤติตัวหรือมีพฤติกรรมแบบเดียวกันกับผู้ชาย จะถูกสังคมมองว่าเป็นผู้หญิงสำส่อน และ
      ไม่มีค่า หรือ หมดคุณค่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใช้อะไรมาเป็นเกณฑ์ในการวัดคุณค่าที่เหลืออยู่หรือคุณค่าที่หมดไปของผู้หญิง

                     

        คุณเคยคงเคยได้ยินกันในเรื่องของความเท่าเทียมของชายและหญิง ที่ได้มีการกล่าวถึงกันอย่างมากมายในเรื่องต่างๆ

                     

        และปัจจุบัน หลายๆเรื่อง ผู้หญิงก็ได้รับความเท่าเทียมมากขึ้นจริง ตัวอย่างเช่น

      -ได้รับการยอมรับในอาชีพมากขึ้น

      -ได้รับการยอมรับใน ความรู้ ความสามารถและการศึกษา

      -ได้รับความเท่าเทียมในด้านกฎหมาย เช่น คำนำหน้า ตัวอย่างเช่น เวลาที่เราหย่าขาดจากสามี สามารถ   กลับมาใช้ นางสาวได้เหมือนเดิม

      เหล่านี้ เป็นตัวอย่างบางประการในความเท่าเทียมที่ผู้หญิงได้รับ

       

      แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ผู้หญิงได้ถูก  บังคับ  ถูก   กด   หรือถูกสร้างมาตรฐานมาตลอด นั่นก็คือเรื่องของ เพศแม้จะเคยได้ยินวลีที่ว่า ความเท่าเทียมทางเพศ แต่ในความเป็นจริงของสังคมไทยแล้วทุกคนทราบกันดีว่าความเท่าเทียมทางเพศที่ว่านี้ เป็นอย่างไร?

       

       หากความเท่าเทียมมีจริงในทุกๆเรื่องแล้ว ก็ไม่ควรที่จะมองข้ามเรื่องนี้ไป ถึงแท้ว่า ผู้หญิงจะทำตัวเหมือนผู้ชายที่มีเสรีเรื่องเพศ ก็ไม่ควรจะเอาระบบวัฒนธรรมมากำหนดและลดคุณค่าของผู้หญิง จนหมดโอกาสดีๆในชีวิตไป

                     

       การที่ผู้หญิงจะทำตัวมีเสรีทางเพศบ้าง ก็ไม่น่าจะเป็นความผิดร้ายแรง แต่กลับถูกประณาม ถูกด่าว่าอย่างรุนแรง จนกระทั่งถูกบั่นทอนความมั่นใจ รวมทั้งความเป็นตัวของตัวเองไปเพราะต้องทำตัวให้อยู่ในกรอบ และถูกคาดหวังให้เป็นคนที่ดีมีคุณค่า  ทั้งๆที่ผู้ชายเองก็ประพฤติปฏิบัติและมีพฤติกรรมดังกล่าวมากกว่าผู้หญิง แต่ทำไมผู้หญิงต้องได้รับการลงโทษจากสังคม  ต้องโดนอยู่ฝ่ายเดียว

                     

       

      ถ้าผู้หญิงมีความเท่าเทียมเท่าเทียมกับผู้ชายจริงๆก็ไม่ควรที่จะยกเว้นในประเด็นของความเท่าเทียม     ทางเพศ

       สิ่งสำคัญที่มากำหนดความเป็นไปของผู้หญิงในส่วนนี้คืออะไร

       อะไรที่ทำให้ผู้ชายมีอำนาจมากกว่าผู้หญิง

                           สิ่งนั้นคือ ?     >>>> วัฒนธรรม นั่นเอง

       

      กล่าวคือ การที่มาตรฐานของผู้หญิงถูกสร้างขึ้นมาบีบบังคับความเป็นไปในชีวิตนั้น มีสาเหตุมาจาก ความเชื่อ ค่านิยม และวัฒนธรรมไทย

                     

       วัฒนธรรม ได้สร้างความเป็นเพศ และความเป็นหญิงชายขึ้นในสังคมไทย วัฒนธรรมเป็นผู้สร้างความเป็นเพศ และเป็นเครื่องบอกกล่าวบอกว่า ในความเป็นผู้หญิงและผู้ชาย เราควรปฏิบัติตัวอย่างไร ควรคิดอย่างไร ควรจะคาดหวังอะไรและควรจะถูกคาดหวังให้เป็นอย่างไรจากผู้อื่น  เช่น

       

      -                     ในวัฒนธรรมไทย ผู้หญิงต้องรักนวล สงวนตัว ไม่พูดเสียงดัง ไม่สบถ ในขณะที่ผู้ชายไม่ถูกคาดหวังให้เป็นเช่นนั้น

       

      -                     ภรรยาต้องเชื่อฟังสามี สามีต้องเป็นช้างเท้าหน้า เป็นผู้นำในครอบครัว ผู้หญิงต้องให้ความสำคัญกับหน้าที่ของภรรยา และ แม่ มากกว่า การประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ขณะที่ผู้ชาย ต้องทำงานให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

       

       

      ในยุคของหาของป่าล่าสัตว์ และยุคเพาะปลูก การศึกษาดังกล่าวมีข้อสรุปว่า ผู้ชายสามารถหาทรัพย์สินส่วนเกินมากกว่าผู้หญิง หรือมีการสะสมทุน จนทำให้ผู้ชายมีอำนาจในการสร้างพื้นที่สาธารณะได้มากกว่า จนทำให้ผู้หญิงต้องจัดการแต่เรื่องภายในที่ไม่ใช่พื้นที่สาธารณะ ผู้ชายจึงมีฐานะในด้านการปกครอง การเมือง เศรษฐกิจภายนอก ซึ่งผู้หญิงก็จะถูกจำกัดอยู่เพียงเรื่องการจัดการภายในบ้านเป็นหลักโครงสร้างดังกล่าวจึงสามารถมองเห็นภาพความไม่เท่าเทียมระหว่างพื้นที่ส่วนตัว และพื้นที่สาธารณะ


                      นี่คือความชอบธรรมที่อ้างมาจากการสร้างวิธีคิดผ่านมิติทางประวัติศาสตร์นั่นเอง ทำให้เกิดเป็นอำนาจ ที่ผู้ชายใช้อำนาจกดทับเพศหญิงมาหลายยุคหลายสมัยสังคมไทย สร้างกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆให้ผู้หญิงมีชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของตนเองจากความได้เปรียบในเรื่องของกายภาพ ความแข็งแรงของร่างกายและพละกำลัง ทำให้ผู้ชายสามารถสร้างความเกรงกลัวแก่ผู้หญิงได้


                    เมื่อมีอำนาจและสร้างความเกรงกลัวได้แล้ว ผู้ชายจึงถือบทบาทของผู้นำเสมอ ผู้ชายเท่านั้นที่เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำ เป็นนักรบ หรือแม้แต่เป็นกษัตริย์ ทำให้ผู้ชายสร้างมาตรฐานในสิ่งที่ตนเองต้องการอย่าง เห็นแก่ตัวและไร้ซึ่งความยุติธรรม ยกตัวอย่างเช่น ค่านิยมของสังคมไทย เรื่อง
      ความบริสุทธิ์ของผู้หญิง


                     แนวคิดว่าผู้หญิงควรบริสุทธิ์ก่อนแต่งงานนั้นเป็นสิ่งที่ผู้หญิงถูกลดทอนคุณค่าของความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับชายลงไป ซึ่งขณะที่ผู้ชายทำอะไรลงไปในเรื่องเพศก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ผู้ชายสามารถหาความสุขให้ตนเองได้อย่างไม่เดือดร้อน ไม่ถูกลงโทษลงทัณฑ์จากสังคม สามารถมีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศตลอดจนมีภรรยาหลายคนได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต่อต้านผู้หญิงไม่ให้มีประสบการณ์ในเรื่องเพศก่อนแต่งงาน และควรมีสามีเพียงคนเดียวห้ามนอกใจเพราะในกรณีที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายมีสามีหลายคนบ้าง ก็จะถูกสังคมประณามและตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงสำส่อน  


                       ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วสังคมไทยควรจะส่งเสริมให้ทั้งหญิงและชายควรบริสุทธิ์ก่อนแต่งงานเนื่องจากผู้หญิงและผู้ชายจะได้มีความเท่าเทียมกันและโรคจากเพศสัมพันธ์ก็จะลดปริมาณลง รวมทั้งสังคมไทยก็ถูกยกระดับและมีคุณภาพมากกว่า
      นี้  ผู้หญิงที่ยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจทางความคิดเหล่านี้น่าสงสาร เพระทนกับความทุกข์ที่กลัวว่าผู้ชายจะไม่รัก ผู้ชายจะทอดทิ้ง นี่คือกระบวนการให้ผู้หญิงอ่อนแอในบริบทสังคมชายเป็นใหญ่ ทั้งๆที่ต้นเหตุไม่ได้มาจากผู้หญิงเลย  ในขณะที่ผู้ชายคาดหวังให้ผู้หญิงที่ตนเองแต่งงานเป็นสาวบริสุทธิ์ แต่ตนเองกับเคยมีอะไรกับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยามากมายในระดับหนึ่ง

       เพราะโครงสร้างทางวัฒนธรรมกับความไม่เท่าเทียมในสังคมไทย  ที่เป็นสาเหตุให้ผู้หญิงจึงถูกตีกรอบให้อยู่ภายใต้ประเพณี จารีต ค่านิยม ที่ผู้ชายขีดขึ้นสร้างมาตรฐานให้เดินตามใจที่ถวิลหาต้องการ             ผู้หญิงไทยจึงถูกโครงสร้างทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องกำหนดความเป็นไปภายในกรอบ ที่ต้องดูเรียบร้อย สุภาพ ไม่แสดงกิริยาแห่งความต้องการอยากได้ หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า ออกจริตจนเกินงาม

       

      ผู้หญิงที่แสดงออกว่ามีอารมณ์และความต้องการทางเพศนั้นจะได้รับการดูถูกและประณามอย่างรุนแรงว่าไม่เหมาะสม ดูไม่มียางอายขึ้นมา ในขณะที่ผู้ชายสามารถชื่นมื่นยอมรับตนเองได้อย่างออกนอกหน้า นี่คือผลผลิตจากวัฒนธรรมที่สร้างความเป็นเพศ สร้างอำนาจให้ผู้ชาย และสร้างหน้าที่ ตีกรอบชีวิตและกำหนดความเป็นไปให้กับผู้หญิงว่าควรเป็นอย่างไรในสังคมไทย

       

       ผู้มีอำนาจมักจะใช้อำนาจของตนเพื่อกำหนดสิ่งต่างๆ  ในแบบที่ตนเองต้องการเพื่อควบคุมกลุ่มคนที่ด้อยกว่าเสมอ

       

      การที่สังคมกำหนดความเป็นเพศขึ้น โดยให้ผู้หญิงมีคุณลักษณะบางอย่าง และผู้ชายมีคุณลักษณะบางอย่างและเชื่อว่าเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นำไปสู่การกำหนดบทบาทหน้าที่ รวมทั้งสถานะสูงต่ำที่แตกต่างกันของคนสองเพศ ผู้หญิงอยู่ในสภาพเป็นผู้ที่ด้อยกว่า เป็นผู้ตาม เป็นผู้ถูกกำหนด ในขณะที่ผู้ชายอยู่ในฐานะที่เหนือกว่า เป็นผู้นำ เป็นผู้กำหนด  ตัวอย่างเช่น การเชื่อว่าผู้หญิงมีหน้าที่หลักในการเลี้ยงลูกและดูแลครอบครัว นำไปสู่การที่ครอบครัวไม่สนับสนุนให้เด็กผู้หญิงได้รับการศึกษา โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีฐานะไม่ดีนัก แต่เด็กผู้ชายจะได้รับการศึกษาเพราะเชื่อว่าผู้ชายมีหน้าที่ในการเป็นผู้นำของครอบครัว

       

      ความเชื่อเช่นว่านี้ ทำให้ผู้หญิงในโลกนี้มีสัดส่วนของการไม่รู้หนังสือจำนวนมากกว่าผู้ชาย และเนื่องจากด้อยทางการศึกษารวมทั้งความเชื่อที่ว่าผู้หญิงไม่มีทักษะทางเครื่องยนต์กลไก ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่ในโลกนี้เช่นกันที่มีสัดส่วนที่ต้องทำงานไร้ทักษะและได้รับการจ้างแรงงานต่ำมากกว่าชาย นำไปสู่การที่ผู้หญิงอยู่ในกลุ่มของผู้ยากจนในสัดส่วนที่มากกว่าชาย

       

      การเชื่อว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ไม่มีเหตุผล ไม่สามารถคิดอะไรที่ซับซ้อน ไม่สามารถคิดอะไรในระดับที่นอกเหนือจากประสบการณ์ได้ ไม่สามารถตัดสินใจในปัญหาที่สำคัญ ทำให้ผู้หญิงไม่ได้รับการสนับสนุนให้สนใจและไม่ได้รับการยอมรับในการเป็นผู้นำไม่ว่าในระดับใด จึงทำให้ในโลกนี้มีผู้หญิงจำนวนน้อยมากที่อยู่ในระดับนำ ที่มีโอกาสในการตัดสินใจในเรื่องที่มีผลต่อชีวิตของคนจำนวนมาก ทั้งๆ ที่ผู้หญิงมีอยู่ครึ่งหนึ่ง

       

      การเชื่อว่าในเรื่องเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ ผู้หญิงเป็นผู้รองรับ ไม่สามารถเป็นผู้แสดง (passive) และต้องเป็นสาวบริสุทธิ์ ในขณะที่ผู้ชายเป็นผู้ที่ต้องแสดง ทำให้ผู้หญิงไม่กล้าเสนอหรือต่อรองในการใช้เครื่องมือคุมกำเนิด เพราะกลัวถูกมองว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีหรือมีประสบการณ์ ในเรื่องเพศมาก่อน ผลที่ตามมา คือผู้หญิงต้องแบกรับภาระการตั้งท้องและรับผิดชอบต่อเด็กที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด หรือติดโรคทางเพศอื่นๆ

       

      ในทางจิตวิญญาณ ผู้หญิงถูกเชื่อว่าอยู่ในสถานะที่ด้อยกว่าชาย ผู้หญิงไม่สามารถพัฒนาความคิดในระดับนามธรรมได้ นักปรัชญาตะวันตกตั้งแต่อริสโตเติลจนถึงเฮเกลได้อ้างมาตลอดว่า ผู้หญิงไม่สามารถเป็นเพื่อนกับผู้ชายได้เพราะผู้หญิงปราศจากความสามารถทางศีลธรรมในการมีความสัมพันธ์เชิงมิตรภาพในรูปแบบสูงสุดได้ (Shanley 1995) ความเชื่อเช่นนี้ส่งผลให้ผู้นำทางศาสนาในศาสนาสำคัญ ๆ ของโลกล้วนเป็นเพศชายทั้งสิ้น ในหมู่นักบวชด้วยกัน นักบวชหญิงก็มีสถานะที่เป็นรองนักบวชชาย

       

      กรณีพระพุทธศาสนาแม้พระพุทธเจ้าทรงยอมรับว่าผู้หญิงสามารถบรรลุนิพพานได้เช่นเดียวกับผู้ชาย และในสมัยพุทธกาลได้มีพระภิกษุณีที่เป็นพระอรหันต์จำนวนมาก แต่สังคมไทยในส่วนของมหาเถรสมาคมยังคงปฏิเสธการบวชเป็นภิกษุณีของผู้หญิงจนถึงปัจจุบันนี้ สะท้อนถึงการไม่ยอมรับความเท่าเทียมทางจิตวิญญาณของหญิงและชายที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยอย่างเหนียวแน่น ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงให้เห็นว่าความเชื่อต่าง ๆ ที่ควบคู่มากับความเป็นเพศ ได้ผลักหรือกันให้ผู้หญิงออกจากศูนย์กลางของอำนาจ ไม่ว่าทางเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรม ทำให้ผู้หญิงมีสภาพไม่ต่างจากกลุ่มคนชายขอบที่ไร้อำนาจ อยู่ในสถานะของผู้ที่ถูกกำหนด ไม่สามารถเป็นผู้กำหนดหรือผู้ตัดสินใจได้

       

      เหล่านี้คือสาเหตุที่ทำให้ผู้ชายมีอำนาจมากกว่าผู้หญิง และทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมทางเพศระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงขึ้น

       

      ซึ่งในความเป็นจริงนั้นผู้หญิงกับผู้ชาย ทั้งสองเพศเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนกัน ดังนั้นจึงเป็นการควรอย่างยิ่งที่จะมีความเท่าเทียมกันในทุกเรื่อง โดยไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้นจึงเป็นการควรอย่างยิ่งที่จะมีสิทธิ์ในการดำรงชีวิตที่เหมือนๆกัน ได้รับการปฏิบัติในเรื่องต่างๆอย่างเท่าเทียมกัน มีอิสระทางความคิดความต้องการและเสรีภาพได้เท่าๆกัน ควรมีความเท่าเทียมกัน และเป็นความเท่าเทียมที่มีอยู่จริงๆ ปฏิบัติจริงๆ ไม่ใช่มีแค่ในนามอย่าง ความเท่าเทียมทางเพศ

       

      หากความเท่าเทียมมีจริงในทุกๆเรื่องแล้ว ก็ไม่ควรที่จะมองข้ามเรื่องนี้ไป ถึงแม้ว่า ผู้หญิงจะทำตัวเหมือนผู้ชายที่มีเสรีเรื่องเพศ ก็ไม่ควรจะเอาระบบวัฒนธรรมมากำหนดและลดคุณค่าของผู้หญิง จนหมดโอกาสดีดีในชีวิตไป  และการที่ผู้หญิงจะทำตัวมีเสรีทางเพศบ้าง ก็ไม่น่าจะเป็นความผิดร้ายแรง ถึงขนาดต้องถูกประณาม ถูกด่าว่าอย่างรุนแรง จนแทบจะบั่นทอนความมั่นใจ ความเป็นตัวของตัวเองไป

                     

        ผู้หญิงยังสามารถดำรงชีวิตอยู่เป็นมนุษย์ต่อไปได้ ไม่ได้มีอะไรที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเลย ถึงแม้จะไม่เหลือความบริสุทธิ์ ตามที่สังคมและวัฒนธรรมและความต้องการของผู้ชายมาบีบบังคับ กำหนดให้เราต้องเป็น

       

      ในเมื่อมีความเท่าเทียมระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงในเรื่องอื่นๆเกิดขึ้นและได้รับการยอมรับในสังคมไทย สืบเนื่องมาจากการที่ผู้หญิงได้รับการยอมรับมากขึ้น  ฉะนั้นเรื่องของ ความเท่าเทียมทางเพศระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ก็ควรที่จะเปิดกว้างและยอมรับกันในสังคม เพราะเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันไม่ใช่ยุคสมัยที่ผู้หญิงจะตกเป็นทาสหรือเป็นสมบัติของผู้ชายอีกต่อไปแล้ว

      ผู้หญิงไม่ตายถ้าไม่ได้แต่งงาน ไม่ถูกประณามถ้าไม่ได้ออกเรือนมีสามี การมีชีวิตและความเป็นอยู่รวมทั้งการได้รับการยอมรับจากสังคมของผู้หญิงไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ชายอีกต่อไป ดังนั้นความกลัวที่จะไม่ได้รับการยอมรับ (กลัวไม่มีสามี) ต้องหมดสิ้นไปเพราะผู้หญิงสามารถทำให้ตนเองได้รับการยอมรับได้ด้วยความรู้ความสามารถและศักยภาพในตนเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณค่าในความเป็นแม่ การมีตั้งครรภ์ การมีบุตร การให้กำเนิด การดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์ ที่ผู้ชายไม่สามารถทำได้

       

      ซึ่งนั่นหมายความว่าผู้หญิงเราได้สร้างคุณค่าในตนเองให้เกิดขึ้นได้แล้วด้วยตนเอง ไม่ต้องอาศัยผู้ชายอีกต่อไป ดังนั้นเราจึงมีอำนาจที่จะกำหนดบทบาทและความเป็นไปของตนเองได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการขัดเกลาของสังคมและการถูกคาดหวังจากผู้ชายจนสูญเสียความมั่นใจและความเป็นตัวเองไป

       

      และถึงเวลาที่เราจะต้องใช้คุณค่าที่แท้จริงที่มีอยู่นั้น เพื่อให้การถูกคาดหวัง ถูกสร้างมาตรฐาน ถูกกดด้วยระบบวัฒนธรรมและอำนาจของผู้ชายหมดไป

       

      ผู้หญิง-ผู้ชาย ควรมีความเท่าเทียมกันในทุกๆเรื่อง

           รวมทั้งความเท่าเทียมทางเพศระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง

       

                               หยุดการนำเอาระบบวัฒนธรรมที่ทำให้ผู้ชายมีอำนาจ

                                มากำหนด  ความเป็นไป  และลดคุณค่าของผู้หญิง”

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×