คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เสน่ห์จันทร์
ยามเย็นวันนี้ขุนเทพโอสถมิได้นั่งเขียนเอกสารอยู่ชานเรือนดังเช่นเคย แต่กลับมุ่งไปเรือนอาบน้ำและแต่งกายราวกับจักมีธุระออกนอกเรือนเมื่อย่ำค่ำ ชายหนุ่มเลือกสวมเสื้อคอกลมแขนกรอมศอกสีเปลือกไม้ และนุ่งจงกระเบนด้วยผ้าเนื้อดีสีลูกหว้า มีผ้าผูกเอวลวดลายประณีตสมฐานะ
คืนนี้เขามีธุระที่เรือนเจ้ากรมท่าบูรพา เหตุเพราะหมื่นภาสกรวาณิชและขุนเมืองบริรักษ์ผู้เป็นสหายชวนไปร่ำสุราชมจันทร์ แม้จักบอกกล่าวว่าเป็นการพบปะสังสรรค์ตามประสา แต่เขาก็รู้ดีว่าเหตุผลที่แท้จริงคือการมาปรึกษาเรื่องสมุนไพรที่กำลังเน่าเสียอย่างผิดปกติเท่านั้น
เขาเริ่มสงสัยมาสักพักแล้วว่าสมุนไพรมักถูกน้ำฝนสาดเข้ามาจนเสียหายมากกว่าที่เคยเป็น ยิ่งนึกทบทวนยิ่งเห็นว่ามิใช่การเน่าเสียโดยธรรมชาติ และหมื่นภาสกรวาณิชก็มีส่วนรับผิดชอบโดยตรงเรื่องการซื้อขายสมุนไพรเหล่านี้ เมื่อพบเห็นสิ่งผิดปกติจึงต้องร่วมกันหาทางแก้ไข
จนกระทั่งเมื่อตะวันเริ่มลับแสงขุนเทพโอสถจึงลงเรือพายมากับบ่าวคนสนิท เรือลำน้อยล่องไปตามลำน้ำมุ่งสู่เรือนเจ้ากรมท่าบูรพาตามที่ได้นัดหมาย และเมื่อมาถึงเรือนใหญ่ก็มีนางบ่าวรอต้อนรับชายหนุ่มทันที
บนเรือนนั้นบ่าวไพร่กำลังจุดตะเกียงส่องสว่าง เสียงมโหรีดังแว่วมาตามลม เมื่อมองขึ้นไปเห็นสหายทั้งสองคนนั่งรออยู่แล้ว เขาจึงเดินขึ้นเรือนไปพร้อมพันเดชพิภพที่เพิ่งมาถึงพร้อมกันพอดี บนเรือนรับรองแขกจึงมีชายหนุ่มสี่คนอยู่กันพร้อมหน้า
“มาแล้วรึพ่อโมกข์ เหตุใดจึงช้านักเล่า”
ขุนเมืองบริรักษ์เอ่ยถามพลางนั่งลงข้างกายหมื่นภาสรวาณิช ชายหนุ่มยังมิได้เอ่ยตอบสหายด้วยคำใด แต่เมื่อกวาดสายตาเห็นตั่งนั่งยังเหลือว่างอยู่ก็พลันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“มีผู้อื่นมาด้วยหรือพ่อภาส”
ขุนเทพโอสถเอ่ยถามท่าทางงุนงง แต่ชายหนุ่มยังมิทันได้ฟังคำตอบ สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นแม่หญิงผู้หนึ่งกำลังเดินออกมาจากครัวด้านหลัง...
แม่หญิงร่างบางอรชร ดวงหน้าหวานละมุน เรือนผมงามนั้นรวบเป็นมวยปักปิ่นทองเล่มเล็ก ห่มสไบจีบสีม่วงอ่อนทิ้งชายด้านหลัง ส่วนผ้านุ่งนั้นจีบหน้านางด้วยผ้าพิมพ์ลายงดงามดุจกุลสตรีมีฐานะ
แม้เครื่องประดับมีเพียงเล็กน้อย... แต่ความงามของเรือนกาย บวกกับกิริยาอ่อนช้อยนั้นก็สะกดสายตาผู้มองได้ไม่ยาก
ขุนเทพโอสถยังคงจ้องมองแม่หญิงตรงหน้าอยู่มิวางตา เธอเรียกให้บ่าวนำขนมไปจัดวางให้เรียบร้อยแล้วจึงมานั่งบนตั่งข้างๆ เขา กลิ่นน้ำอบจากชายสไบแม่หญิงเมื่อลอยมาตามลมก็ยิ่งทำให้เขาใจสั่น...
หญิงสาวหันไปไหว้ทักทายพันเดชพิภพเพราะรู้จักกันมาก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนจะหันมองชายหนุ่มอีกสองคนที่นั่งอยู่ข้างหมื่นภาสกรวาณิชผู้เป็นญาติของตน
"ข้าไหว้เจ้าค่ะ ท่าน...”
“ขุนเมืองบริรักษ์ และขุนเทพโอสถ” หมื่นภาสกรวาณิชเอ่ยบอกน้องสาวแล้วกลับมาสบตาขุนเทพโอสถอย่างคนรู้ทัน “นางคือแม่มณีจันทร์... บิดาของนางเป็นน้องชายของเจ้าคุณพ่อข้า เป็นนางข้าหลวงอยู่ในวัง นานทีปีหนจักได้รับอนุญาตให้กลับเรือนเช่นนี้”
ขุนเทพโอสถได้ฟังเช่นนั้นก็ทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆ สายตายังคงจ้องมองหญิงสาวราวกับถูกต้องมนต์สะกด และยังลอบมองเสียจนแม่หญิงต้องก้มหน้าหลบตาด้วยความเอียงอาย “ข้า...ข้าทำขนมเสน่ห์จันทน์มาเพิ่มให้เจ้าค่ะ”
“ดีจริง รสมือหญิงชาววังอย่างแม่มณีจันทร์นั้นหาใครเทียมได้ยากนัก พ่อโมกข์เจ้าลองชิมดูเถิด” หมื่นภาสกรวาณิชเอ่ยพลางยกสุราขึ้นดื่มจอกหนึ่ง
ขุนเทพโอสถได้ยินดังนั้นจึงหยิบเอาขนมสีเหลืองนวลคล้ายลูกจันขึ้นมาชิมโดยดี รสขนมเนื้อเนียนละเอียด รสหวานหอมจากกะทิและน้ำตาลโตนด... แต่เธอคงใส่ผลลูกจันเข้าไปด้วยกระมัง ขนมจึงได้มีกลิ่นหอมละมุนมากกว่าที่เคยได้ชิมถึงเพียงนี้
นอกจากแม่หญิงมณีจันทร์ที่ร่วมนั่งชมจันทร์ในคืนนี้ ยังมีแม่หญิงมาสมทบอีกคนหนึ่งด้วย ดูจากการแต่งกายแล้วไม่เหมือนแม่หญิงเมืองศรีสุวรรณ เมื่อเจ้าตัวบอกกล่าวจึงได้รู้ว่านางชื่อแม่ไข่มุก เป็นชาวเวียงเชียงผา
ดูจากสายตาพ่อภาสผู้เป็นเจ้าของเรือนแล้ว... แม่ไข่มุกผู้นี้คงมิใช่ผู้มาอาศัยทั่วไปกระมัง
“มาเถิด นานๆ พ่อภาสจักเลี้ยงสุราสหายสักครา เรามาแต่งกลอนชมจันทร์ให้สำราญกันเถิด” ขุนเมืองบริรักษ์เอ่ยท่าทางอารมณ์ดี มือหนึ่งรินเหล้าใส่จอกตนเองก่อนจะยกขึ้นดื่มจนหมด
“พ่อโมกข์ เจ้าเริ่มก่อนเป็นอย่างไร”
ขุนเทพโอสถได้ยินถ้อยคำสหายก็พลันส่งยิ้มละมุน มือหนารับเอากระดานชนวนจากนางบ่าวมาถือไว้ สายตาทอดมองจันทร์บนแผ่นฟ้า ก่อนจะหันกลับมาสบตาแม่หญิงตรงหน้า... แล้วก้มลงเขียนกลอนเงียบๆ
“ณ ราตรีเจ้าจันทร์สาดแสงส่อง
ทรงกลดทองสุกสว่างกลางแผ่นฟ้า
โอ้จันทร์เอ๋ยนวลเจ้าช่างงามตา
งามยิ่งกว่าดาราดวงอื่นใด
แต่เมื่อพบพิศพักตร์ประจักษ์หน้า
เดือนดาราว่าแรงฤทธิ์พิสมัย
แต่นวลเจ้ากลับงามยิ่งกว่าเดือนใด
งามจับจิตตรึงใจไม่รางเลือน...”
ขุนเทพโอสถทอดสายตามองแม่หญิงข้างกาย เธอกำลังก้มหน้าหลบสายตาเขาเพราะรู้ตัวว่าตนเองถูกเกี้ยวเข้าเสียแล้ว ดวงหน้าหวานนั้นก็พลันแดงระเรื่อ
อันที่จริงเขาเองก็หัวใจเต้นแรงไม่ต่างกันนัก เดือนดาราบนแผ่นฟ้านั้นงามจริงอยู่... แต่จักงามสู้แม่หญิงตรงหน้าได้อย่างไร
“เป็นกลอนที่ดียิ่งขอรับ”
พันเดชพิภพเอ่ยยกยอทันทีที่ได้ยินกลอนจบ ก่อนจะหันกลับมาหาหมื่นภาสกรวาณิชและแม่ไข่มุกพร้อมส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“พี่โมกข์ร่ายกลอนให้แม่หญิงมณีจันทร์แล้ว เยี่ยงนั้นพี่ภาสร่ายกลอนให้แม่ไข่มุกสักบทดีไหมขอรับ”
-------------
ระหว่างที่รอหมื่นภาสกรวาณิชแต่งกลอนให้แม่ไข่มุก เขาเองก็ก้มหน้าเขียนกลอนต่อเงียบๆ ก่อนจะวางดินสอหินไว้แล้วยื่นกระดานชนวนของตนเองให้หญิงสาว ใบหน้าคมที่เคยสุขุม บัดนี้กลับมีเลือดฝาดขึ้นมาอย่างช่วยมิได้
"พี่ไม่มีน้ำลูบกระดานชนวน วานแม่หญิงช่วยลบให้ทีเถิด”
แม่มณีจันทร์รับเอากระดานชนวนจากมือเขามาด้วยความงุนงง นางบ่าวก็นั่งอยู่ใต้ตั่งข้างกายเขา แล้วเหตุใดจึงไม่เรียกใช้ กลับมาให้เธอลบกระดานให้เสียได้...
แต่เธอก็มิได้เอ่ยถามเขาด้วยคำใด มือบางหยิบเอาผ้าชุบน้ำหมายจักลบกระดานให้ชายหนุ่ม แต่ก็ต้องชะงักไปเพราะข้อความข้างในนั้น...
“เสน่ห์จันทน์หรือจักสู่เสน่ห์เจ้า...
มิอาจเอาสิ่งใดเทียบเปรียบเสมือน
ดวงมณีที่งามกว่าดวงเดือน
นวลสว่างกลางเรือนนภาลัย
จันทร์เจ้าเอ๋ยขอเจ้าพันผูกจิต
ให้ได้ชมเชยชิดพิสมัย
ดารานี้ขอร่วมเรียงเคียงหทัย
ให้เจ้าจันทร์ส่องใจไม่ร้างลา...”
----------------
"ท่านขุน..."
แม่มณีจันทร์พลันใบหน้าแดงระเรื่อยิ่งกว่าเก่า เห็นเขาดูนิ่งๆ เช่นนี้เหตุใดจึงเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก นี่คงเกี้ยวสาวมามากมายจนเคยชินแล้วกระมัง จึงรู้วิธีทำให้เธอใจสั่นเช่นนี้ได้
เมื่อเห็นหญิงสาวมองค้อนมาเช่นนั้นขุนเทพโอสถก็พลันส่งยิ้มกว้าง... เขาได้ยินเสียงหมื่นภาสกรวาณิชร่ายกลอนให้แม่หญิงไข่มุก แต่ตนเองกลับไม่มีสมาธิฟังเนื้อหาในกลอนนั้นเลย เพราะมัวแต่จดจ้องความงามของแม่มณีจันทร์อยู่อย่างนั้น
เขาเองก็อายุมากถึงสามสิบปีแล้ว แล้วคงใกล้ถึงเวลาได้ออกเรือนแล้วกระมัง...
--------------
ความคิดเห็น