ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เนตรสิเน่หา

    ลำดับตอนที่ #3 : ความหลัง

    • อัปเดตล่าสุด 10 ส.ค. 67


    ขุนเทพโอสถรีบพานายกล่ำกลับมาที่เรือนรักษาโดยเร็ว นายกล่ำยังคงมีไข้สูงหนาวสั่น ตาแดงและร้องครวญครางราวกับคนเสียสติ

    ชายหนุ่มตรวจดูอย่างใกล้ชิดจึงเห็นว่านายกล่ำเป็นไข้กำเดาน้อย มีอาการปวดศีรษะ ร้อนเป็นเปลว ไอบ่อย กินไม่ได้นอนไม่หลับ

    เมื่อรู้โรคแล้วเขาจึงให้ทาสหลวงคนอื่นใช้น้ำอุ่นผสมยาเขียวหอมเพื่อเช็ดตัวบรรเทาอาการไข้ ส่วนตนเองรีบเข้าไปในโรงเก็บสมุนไพรเพื่อเตรียมยารักษาทันที

    เขาใช้รากชิงชี่ รากย่านาง รากคนทา รากเท้ายายม่อม รากมะเดื่อชุมพร หยิบมาอย่างละเท่าๆกัน แล้วต้มให้ดื่ม๑จอกเล็กในทุก๑ชั่วยาม และให้กินอาหารรสเย็นและรสขมเพื่อดับความร้อนในร่างกาย ปรุงให้ได้รสกลมกล่อม ก่อนจักมอบหมายให้หมอยาผู้อื่นช่วยดูแลอาการนายกล่ำด้วย

    หลายวันผ่านไปอาการของนายกล่ำจึงเริ่มดีขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งหายเป็นปกติในที่สุด พวกทาสหลวงจึงเริ่มเข้าใจว่าอาการเจ็บไข้นั้นเกิดจากธาตุในร่างกายไม่สมดุล มิใช่เป็นเพราะภูตผีปีศาจอย่างที่เคยคิด

    และเหตุการณ์ที่ขุนเทพโอสถไปรับนายกล่ำถึงในเรือนผีสิงและยังมารักษาจนหายดีนั้นก็กลายเป็นที่โจษจันกันทั่ววังจนได้

    ว่ากันว่าขุนเทพโอสถผู้นี้เก่งกล้าสามารถนัก แม้ผีร้ายที่ออกมาหลอกหลอนให้พวกนางข้าหลวงเห็นเป็นประจำ ก็ยังมิสามารถทำกระไรเขาได้เลย...

     

    ---------

     

    วันนี้ขุนเทพโอสถยังคงมาดูแลงานที่กรมโรงพระโอสถเช่นเคย เมื่อเสร็จสิ้นงานตรวจตราสมุนไพรในคลังจนเรียบร้อยจึงเดินอ้อมไปด้านหลังกรมเพื่อไปดูแลความเรียบร้อยของสวนสมุนไพรที่เพิ่งเริ่มปลูก

    เขาเห็นนายกล่ำกำลังนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ สายตาจ้องมองเหง้ากระชายดำและขิงดำที่กำลังเตรียมปลูกด้วยท่าทางเหม่อลอย

    “ไอ้กล่ำ!” ขุนเทพโอสถเอ่ยเรียกให้คืนสติ นายกล่ำก็พลันสะดุ้งด้วยความตกใจทันที “โธ่ท่านขุนขอรับ... เหตุใดมาเงียบๆเช่นนี้เล่า”

    “มาเงียบๆกระไรกัน ข้าก็เดินของข้ามาดีๆ ว่าแต่เอ็งเป็นกระไป เหตุใดมานั่งกินแรงผู้อื่นเช่นนี้เล่า”

    “ข้ากำลังคิดเรื่องวันนั้นอยู่ขอรับ...”

    นายกล่ำเอ่ยตอบสีหน้าเคร่งเครียด ในหัวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าสบตาเขาด้วยแววตาจริงจัง “ท่านขุนขอรับ... วันนั้นข้ามิได้เห็นภาพหลอนไปเองหนา”

    “เอ็งจักหมายความว่าอย่างไร”

    “ชายผู้นั้นมิใช่คนขอรับ เรื่องคืนที่ข้าถูกจับไปนั้น... ข้า... ข้ายังจำได้ดี”

    เสียงของนายกล่ำที่เล่าเหตุการณ์ก็พลันสั่นเล็กน้อย ความหวาดกลัวที่มีนั้นยังปรากฏบนสีหน้าชัดเจน “ข้ายังจำได้ ผีตนนั้นบอกว่าตนเองเป็นขุนนางกรมแพทยาหน้า”

    “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าจำหน้าขุนนางกรมแพทยาหน้าได้ทุกคน หากเป็นเช่นนั้นจริงแล้วเหตุใดข้าจะไม่รู้จัก”

    “ก็เพราะชายผู้นั้นคือขุนนางกรมแพทยาหน้า ในสมัยที่เจ้าจอมเพ็ญยังอยู่อย่างไรเล่าขอรับ” นายกล่ำเอ่ยตอบทันที “หากขุนนางผู้นี้ตายไปเมื่อหลายสิบปีก่อน พร้อมๆกับเจ้าจอมเพ็ญ...”

    ขุนเทพโอสถก็ยิ่งงุนงงมากกว่าเก่า “เอ็งแน่ใจหนาว่ามิได้เห็นภาพหลอนไปเอง”

    “โธ่ท่านขุน ชื่อไอ้กล่ำเถิดหนา...”

    นายกล่ำพนมมือขอร้องทั้งน้ำตาเอ่อคลอด้วยความกลัว “ชายที่ท่านขุนเห็นเป็นผีจริงๆขอรับ และเหตุที่พวกมันจับข้าไปก็เพราะต้องการอยากพบท่าน... พวกมันบอกว่าอีกไม่นานท่านจักต้องมาช่วยข้า และท่านก็มาจริงๆ”

    “แล้วหากเป็นจริงอย่างที่เอ็งว่า ผีตนนั้นจักอยากพบข้าไปด้วยเหตุใด? ”

    ขุนเทพโอสถยังคงสีหน้างุนงงดังเก่า “ข้าไม่เคยทำกระไรให้ใครสักหน่อย แม้จักมิใคร่ลงรอยกับพวกหมอศาลาสักเท่าใดนัก แต่ก็ต่างคนต่างอยู่ มิเคยคิดทำร้าย”

    “ข้าก็ไม่รู้ดอกขอรับว่าเพราะเหตุใด แต่ข้าอยากให้ท่านขุนระวังตัว... เพราะมันคงมิใช่เพียงอยากพบท่านเท่านั้นแน่”

     

    ---------------

     

    เมื่อเสร็จสิ้นธุระในวังเรียบร้อยแล้วขุนเทพโอสถจึงกลับมาพักที่เรือนตนดังเช่นเคย เขาเป็นบุตรชายคนเดียวของออกญาแพทยาพงษาวิสุทธิ์ จางวางแพทยาโรงพระโอสถ ศักดินา๒๐๐๐ ไร่ เป็นหัวหน้าหมอหลวงโรงพระโอสถ ส่วนมารดาคือคุณหญิงพลับพลึง

    เนื่องจากเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวจึงต้องสืบทอดวิชาหมอยาจากบิดา และยังเก่งกล้าสามารถเสียจนได้เข้ารับราชการในวังและอวยยศขึ้นเป็นขุนเทพโอสถเมื่ออายุได้เพียง๓๐ปีเท่านั้น

    ยามค่ำคืนบนเรือนออกญาแพทยาพงษาวิสุทธิ์ คืนนี้ยังดูสงบเงียบและหนาวเย็นดังเช่นเคย

    ขุนเทพโอสถกำลังนั่งเขียนบัญชีสมุนไพรอยู่ชานเรือน ข้างกายมีตะเกียงเทียนไขเล่มเดียวที่กำลังส่องสว่าง แต่เพราะเมื่อตรวจดูบัญชีแล้วเห็นสมุนไพรในคลังกำลังขาดแคลน ชายหนุ่มจึงเกิดความเครียดขึ้นมาไม่น้อย

    และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาคิดวุ่นวายใจ ก็คือถ้อยคำของนายกล่ำที่เอ่ยเตือนเขาไว้...

    “พ่อโมกข์ ทำกระไรอยู่รึ”

    เสียงที่เอ่ยเรียกจากด้านหลังทำให้ชายหนุ่มหันตามต้นเสียงไปในทันที จึงเห็นเป็นคุณหญิงพลับพลึงผู้เป็นมารดากำลังเดินเข้ามาหา แล้วลงมานั่งเคียงข้าง “ดึกดื่นป่านนี้แล้วเหตุใดยังไม่เข้านอนเล่า”

    “ลูกกำลังสรุปบัญชีสมุนไพรอยู่ขอรับ ช่วงนี้สมุนไพรขาดแคลนมากทีเดียว”

    ชายหนุ่มส่งยิ้มละมุนให้มารดาแล้วหันกลับไปก้มมองตัวอักษรที่ตนเขียนอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆเพราะไม่มีสมาธิ เหตุเพราะกำลังวุ่นวายใจถึงเรื่องที่นายกล่ำเคยว่าไว้

    “คุณแม่ขอรับ...”

    ขุนเทพโอสถตัดสินใจเก็บข้าวของให้เรียบร้อยพลางเอ่ยถามผู้เป็นมารดาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “คุณแม่เคยได้ยินเรื่องราวของเจ้าจอมเพ็ญไหมขอรับ... เล่าให้ลูกฟังได้หรือไม่”

    “เรื่องเจ้าจอมเพ็ญอย่างนั้นรึ พ่อโมกข์อยากรู้ไปด้วยเหตุใดเล่า”

    คุณหญิงพลับพลึงนิ่งหน้าเล็กน้อยด้วยความสงสัย เพราะเรื่องเจ้าจอมเพ็ญนั้นผ่านมาราวๆห้าสิบปีแล้ว ตอนนั้นคุณหญิงเองก็ยังอายุได้เพียงสามขวบปี แล้วเหตุใดพ่อโมกข์จึงอยากรู้เรื่องที่ตนเองเกิดไม่ทันเช่นนี้ได้

    “ลูกเพียงอยากรู้ว่าเหตุใดจึงมีเรือนร้างอยู่กลางพระราชวังเช่นนั้นขอรับ...”

    คุณหญิงพลับพลึงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเสียงเบา “แม่ก็จำไม่ค่อยได้เพราะตอนนั้นยังเล็กนัก"

    "แต่ยายของเจ้าเล่าให้ฟัง... ว่าเรื่องเกิดตอนเจ้าจอมเพ็ญมีครรภ์แล้วคลอดออกมาเป็นศพเด็ก ขุนหลวงเสียพระทัยมาก และทรงโทษว่าต้นเหตุเป็นเพราะขุนนางกรมแพทยาผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่คอยผดุงครรภ์ แต่ขุนนางผู้นั้นเป็นใครแม่ก็จำมิได้เสียแล้ว”

    “ให้ขุนนางกรมแพทยาหน้าเป็นผู้ผดุงครรภ์? ใช้มนต์คาถาเช่นนั้นหรือขอรับ”

    “ใช่” คุณหญิงพลับพลึงพยักหน้าเบาๆ “แต่ไม่รู้ผิดพลาดอย่างไร เด็กจึงตายในครรภ์จนคลอดออกมาเป็นศพเสียได้”

    “เป็นเหตุสุดวิสัยกระมังขอรับ เด็กยังอยู่ในครรภ์เช่นนั้นแม้หมอตำแยก็มิอาจคาดเดาได้ง่าย แล้วหมอศาลากรมแพทยาหน้าที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จักคลำดูหน้าท้องเช่นนั้น จักวินิจฉัยอาการของเด็กได้อย่างไร”

    “หากเป็นเช่นนั้นก็น่าสงสารขุนนางผู้นั้นเหลือเกิน เพราะเมื่อเจ้าจอมเพ็ญคลอดเด็กออกมา ทั้งเจ้าจอมและขุนนางกรมแพทยาหน้าผู้นั้นก็ถูกฆ่าตาย บ่าวที่ติดตามและนางข้าหลวงที่เห็นเหตุการณ์ก็ถูกฆ่าตายไปเสียหมด”

    “เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่าขอรับ”

    “แม่ก็ไม่รู้”

    คุณหญิงพลับพลึงถอนหายใจอีกครั้ง “การตายครั้งนั้นน่าจะมีเงื่อนงำกระไรบางอย่าง"

    “แล้วขุนหลวงเล่าขอรับ”

    “ขุนหลวงเสียพระทัยมาก... จนถึงทุกวันนี้หากมีใครเอ่ยถึงเรื่องเจ้าจอมเพ็ญให้ได้ยิน พระพักตร์ก็จะหม่นหมองไปเสียทุกครั้ง”

    “แต่ผู้คนต่างเล่าลือว่าการตายครั้งนี้เป็นอาถรรพ์ที่เกิดจากเด็กในครรภ์ วันดีคืนดีก็ได้ยินเสียงคนร้องไห้ วันดีคืนดีก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมาน เพราะเหตุนี้จึงไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไปแถบนั้น"

    "แต่เรื่องราวก็ผ่านมากหลายสิบปีแล้ว...ไม่รู้ว่าเมื่อใดวิญญาณเหล่านั้นจักไปผุดไปเกิดเสียที”

     

    -----------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×