ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เนตรสิเน่หา

    ลำดับตอนที่ #2 : ชายปริศนา

    • อัปเดตล่าสุด 10 ส.ค. 67


    เมื่อทาสหลวงบอกว่านายกล่ำเป็นไข้หนัก และยังเสียสติวิ่งลับหายไปในเรือนร้างของเจ้าจอมเพ็ญ บวกความเฮี้ยนที่เล่าลือต่อกันมาจึงทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปช่วยเหลือ ขุนเทพโอสถจึงตัดสินใจเข้าไปพานายกล่ำออกมาจากเรือนร้างนั้นด้วยตนเอง

    เพราะเขาเป็นหมอยาที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนว่าการเจ็บป่วยเกิดจากธาตุในร่างกายที่ไม่สมดุลเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องมนต์ดำและภูตผี อีกทั้งนายกล่ำเองก็เป็นทาสหลวงที่คอยช่วยเหลืองานให้เขาอยู่เสมอ หากจักทิ้งขว้างให้ป่วยตายไปอย่างเดียวดายก็คงมิได้

    เย็นวันนั้นชายหนุ่มจึงขอความช่วยเหลือจากโขลนทวารของฝ่ายใน ให้นำทางมาส่งที่เรือนร้างหลังนั้น...

    เมื่อเดินเลียบกำแพงเขตพระราชฐานชั้นในมาจนสุดทางทิศตะวันออกจึงเห็นเป็นซากเรือนไม้สักหลังใหญ่

    เรือนนั้นอาณาเขตกว้างขวาง มีร่องรอยเนื้อไม้ผุพังเพราะผ่านกาลเวลามาราวห้าสิบปีแล้ว รอบบริเวณถูกทิ้งร้าง มีหญ้าปกคลุมทั่ว เครือไม้ไต่ไปจนถึงหลังคา ในยามเย็นตะวันลับแสงเช่นนี้จึงดูน่ากลัวนัก...

    น่ากลัวจนเหลือเชื่อว่าจักมีเรือนเช่นนี้ปรากฏอยู่ในวังหลวงของเมืองศรีสุวรรณได้...

    “ท่านขุนเข้าไปคนเดียวเถิดหนา ข้าขอตัว” โขลนทวารที่มาส่งรีบล่ำลาชายหนุ่มไปด้วยความหวาดหวั่น โขลนนี้เป็นหญิงร่างสูงกำยำ มีหน้าที่คอยควบคุมความเรียบร้อยและควบคุมผู้ผ่านเข้าออกของฝ่ายในเพื่อมิให้ชายฉกรรจ์ผ่านเข้ามาได้

    วันนี้ขุนเทพโอสถไหว้วานโขลนทวารให้พามาที่เรือนร้าง เพราะชายหนุ่มอย่างเขาจักมิได้รับอนุญาตให้เข้ามาตามลำพัง... แต่หากโขลนหนีกลับไปก่อนเช่นนี้แล้วเขาจักทำอย่างไรเล่า

    “อยู่ด้วยกันก่อนเถิดท่าน...”

    “อยู่ไปคนเดียวเถิด!” โขลนทวารส่ายหน้าปฏิเสธทันที “บรรยากาศวังเวงเช่นนี้ข้ามิเอาด้วยดอกหนา วันดีคืนดีก็มีเสียงคนร้องไห้...บางวันก็มีเสียง... เสียง...”

    “เสียงกระไรรึ? ”

    “โอ๊ย! ข้ามิกล้าพูดดอก ประเดี๋ยวก็ถูกหักคอพอดี” เอ่ยจบโขลนทวารก็รีบเร่งฝีเท้าออกไป ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนทำหน้าฉงนอยู่หน้าเรือนร้างอยู่อย่างนั้น

    สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านหน้าเรือนเบาๆชวนขนลุก ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิทลงไปทุกที เมื่อขุนเทพโอสถแหงนหน้ามองบนบันไดเรือน พลันประตูไม้บนบันไดก็แง้มออกช้าๆราวกับเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มเดินขึ้นไปหา...

    แม้เขาจักนึกแปลกใจอยู่บ้างว่าเหตุใดประตูจึงเปิดได้เอง แต่เพราะเขามิได้มีความเชื่อเรืองผีสาง สุดท้ายจึงตัดสินใจก้าวขึ้นบันไดไปโดยง่าย...

    บันไดแต่ละขั้นนั้นผุพังตามกาลเวลา และยังผุพังมากเสียจนเขากลัวว่าหากเหยียบแล้วจักร่วงหักตกเรือนไปเสีย

    แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ปีนขึ้นมาหยุดยืนกลางชานเรือนจนได้ แววตาคมกวาดสายตามองโดยรอบ สภาพเรือนนั้นทรุดโทรม เต็มไปด้วยฝุ่นดินและใบไม้แห้ง บนชายคามีหยากไย่เกาะให้เห็นเป็นหย่อมๆ ผนังไม้สักผุพังเพราะถูกลมฝน

    ขุนเทพโอสถหันมองสภาพทรุดโทรมอยู่ได้เพียงครู่เดียว พลันก็ได้ยินเสียงร่ำไห้เบาๆลอยมาตามลม...

    เสียงร่ำไห้นั้นดังมากขึ้นพร้อมกับสายลมเย็นยะเยือก ชายหนุ่มจึงหันซ้ายขวามองหาต้นเสียงไปในทันที

    จนกระทั่งเห็นนายกล่ำกำลังนั่งกอดเข่าซุกหน้าไว้ด้วยความหวาดกลัว เสียงรำไห้พึมพำราวคนวิปลาส

    “ไอ้กล่ำ...”

    ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาทาสหลวงช้าๆ มือหนาแตะบนไหล่กำยำของนายกล่ำเบาๆ พลันเจ้าของไหล่ก็สะดุ้งเฮือกแล้วรีบถอยหนีด้วยความตื่นตระหนก

    “ผี!! ผีมาแล้ว มันมาแล้วว!!!”

    “ไอ้กล่ำ! ตั้งสติก่อนเถิด!! นี้ข้าเอง” ขุนเทพโอสถรีบตามไปแล้วคว้าไหล่ของข้างของทาสหลวงมาจับไว้แน่น “เอ็งตั้งสติให้ดีแล้วลืมตามองข้า...มองข้าดีๆก่อนเถิด”

    เมื่อนายกล่ำหยุดร้องโวยวายแล้วฝืนลืมตาตามคำสั่ง และเห็นว่าเป็นขุนเทพโอสถจริงๆ ก็ยิ่งร่ำไห้เสียงดังกว่าเก่า ร่างสูงนั้นทรุดตัวลงแล้วกอดขานายของตนไว้แน่น

    “ท่านขุนขอรับ...ช่วยข้าด้วย...ช่วยข้าด้วย ผีมันจับข้ามาที่นี่ขอรับ...”

    “ผีเผอกระไร ไม่มีดอก” ขุนเทพโอสถก้มลงลูบไหล่ทาสหลวงคนเดิมเบาๆแล้วปลอบประโลม “เรือนนี้มีแต่เอ็งกับข้า ไม่มีผีที่ไหนทั้งนั้น”

    “ไม่มีอย่างนั้นรึ...”

    เสียงทุ้มดังมาจากด้านหลังของขุนเทพโอสถ ทำให้ชายหนุ่มหันหลังกลับไปหาต้นเสียงทันที

    แลเมื่อหันหลังไปก็เห็นเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง ร่างสูงสง่างาม... แต่งกายอย่างขุนนางใหญ่และยังอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา แววตาที่จ้องมองขุนเทพโอสถอยู่นั้นแฝงอำนาจและความน่ากลัวอยู่ไม่น้อย

    “ท่านเป็นใครกัน? ที่มันเขตฝ่ายใน...แล้วเหตุใดบุรุษอย่างท่านเหตุใดจึงมาที่นี่ได้”

    “เจ้าเองก็บุรุษมิใช่รึ” ชายปริศนายกยิ้มมุมปากเบาๆ สายตาจ้องมองเขาแน่วแน่ แต่ยังมิทันได้สนทนาต่อนายกล่ำก็ร้องโวยวายเพราะเสียสติขึ้นมาอีกครั้ง

    “ผี...มันเป็นผีขอรับ!!”

    “ผีกระไรอีกเล่าไอ้กล่ำ ก็มองเห็นชัดๆอยู่นี่อย่างไรว่าเป็นคน” ขุนเทพโอสถถอนหายใจเสียงเบา เขาสัมผัสได้ว่ากายของนายกล่ำที่กอดขาเข่าอยู่นั้นร้อนดุจกองเพลิง ไข้สูงเช่นนี้คงจักเพ้อและเห็นภาพหลอนเพราะพิษไข้เป็นแน่

    ขุนเทพรักษานึกได้ดังนั้นจึงใช้วงแขนแกร่งดึงร่างนายกล่ำให้ลุกขึ้นยืน หมายจักพากลับเรือนรักษา “ไปเถิดไอ้กล่ำ รีบกลับก่อนจักมีผู้ใดมาเห็นเข้า... หาไม่แล้วเอ็งกับข้าคงมีโทษที่ลักลอบเข้าเขตหวงห้ามเช่นนี้แน่”

    เขาพานายกล่ำเดินเลียบริมกำแพงพระราชฐานชั้นใน มุ่งหน้ากลับสู้โรงพระโอสถ โดยมิได้หันกลับมาสนใจชายปริศนาผู้นั้นเลยสักนิด

    จนกระทั่งเขาและนายกล่ำเดินลงเรือนไปไกลโขแล้ว ชายบนเรือนก็พลันยกยิ้มมุมปากท่าทางพึงพอใจ... ร่างสูงหยุดยืนจ้องมองสองคนที่เพิ่งลับหายไปอยู่นาน ก่อนจะมีร่างชายอีกคนลอยขึ้นมาปรากฏอยู่ด้านหลัง

    “ท่านขุน...คิดจักทำกระไรหรือขอรับ”

    ชายผู้เพิ่งปรากฏนั้นเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นเขาจ้องมองขุนเทพโอสถแน่วแน่...

    เมื่อผู้ถูกถามได้ยินดังนั้นก็พลันแสยะยิ้มชวนขนลุก

    “ห้าสิบปีที่วิญญาณของข้าต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในเรือนนี้... บัดนี้คงใกล้จักได้ถูกปลดปล่อยแล้วกระมัง”

    -----------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×