ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จนกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง

    ลำดับตอนที่ #1 : เข็มนาฬิกาที่ยังคงนับต่อไปข้างหน้าแม้จะเคยย้อนกลับ

    • อัปเดตล่าสุด 16 ส.ค. 64


    คุณคิดว่าคนคนหนึ่งจะสามารถยึดติดกับคนอีกคนได้มากแค่ไหน คำตอบนี้สำหรับผมแล้วมันมากมายเลยล่ะ เขาเป็นหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างในชีวิตของผม เพื่อนคนแรก พี่ชายคนแรก อ้อมกอดแรก รอยยิ้มแรก และรักแรกในชีวิตที่แสนมืดมนของผม เขาเป็นดั่งดวงตะวันแต่สุดท้ายแล้วในช่วงเวลาหนึ่งตะวันก็ลับฟ้าไป

     

    ติณพี่ต้องไปแล้วนะ เป็นเด็กดีล่ะเดี๋ยวพี่กลับมาหา” รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนที่ได้รับมาในวันนั้น ผมไม่เคยรู้เลยว่าคงเป็นไปได้ยากที่จะได้เห็นมันอีกเพราะสุดท้ายแล้วพี่เขาก็ไม่เคยกลับมาหา คนรู้จักพี่เขาต่างบอกว่า

    ต้นน้ำคงไม่มีวันได้กลับมาอีกแล้ว’ ไม่จริงหรอกผมไม่เชื่อ

    บนโลกนี้จะให้ทำอะไรก็ได้ขอแค่พี่กลับมา ไม่งั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่เขาพยายามไปมากมายมันเพื่ออะไรกันหากสุดท้ายแล้วก็ปกป้องพี่ไว้ไม่ได้เหมือนเดิม

    ใช่แล้ว ‘เหมือนเดิม’ ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ผมย้อนเวลากลับมาแต่ในทุกๆ ครั้งก็จะเป็นช่วงเวลาที่พี่เขาจากไปแล้วเหลือเพียงความทรงจำระหว่างเด็กชายอายุเก้าปีกับหนุ่มน้อยวัยสิบห้าที่นั่งเล่นด้วยกัน ความรู้สึกของผมมันยังคงชัดเจนอยู่เสมอไม่มีโอกาสได้รั้งไว้ และไม่มีความสามารถมากพอที่จะตามไป เป็นได้แค่เด็กไร้ค่าไร้ความสามารถที่แม้จะเกิดในครอบครัวใหญ่แต่ก็ไม่มีใครต้องการหรือสนับสนุน เอาแต่นึกถึงรอยยิ้มอ่อนโยนและเผ่นหลังเหล็กๆ ที่ห่างออกไปเรื่อยๆ

    ถ้าหากสุดท้ายแล้วผมจะไม่สามารถคว้าอะไรไว้ได้แล้วจะให้ผมมีชีวิตอีกทำไม…

     

     

    ท่ามกลางแสงสีของเมืองหลวงในยามค่ำคืนบนสะพานที่ผู้คนสัญจรไปมาน้อยลงเรื่อยๆ ชายหนุ่มในชุดสูทที่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นแค่พนักงานบริษัทธรรมดาๆ ก็ก้าวเข้าไปใกล้ราวสะพานมากขึ้นหลังยืนหลบมุมมืดดูวิวมาเนิ่นนาน

    “ผมควรจะปล่อยพี่ไปได้แล้วใช่มั้ยครับ…ผมรั้งให้พี่อยู่ในฝันผมมานานเกินไปแล้ว คนที่รักอิสระอย่างพี่คงจะไม่ชอบอยู่บนเตียงนานๆ สินะครับ” เขาเหยียบราวสะพานแล้วขึ้นไปยืนอย่างมั่นคงราวกับจะไม่มีอะไรรั้งเอาไว้อีกแล้ว ในที่สุดเขาก็ยอมรับได้แล้วจริงๆ ว่าต้นน้ำจะไม่มีวันกลับมา แต่ก่อนที่จะได้ทิ้งตัวลงไป

    “จะปล่อยอะไรก็ปล่อยได้นะ แต่อย่าปล่อยตัวเองลงไปข้างล่างเลยครับ เดี๋ยวก็ได้กลายเป็นมลพิษทางน้ำหรอกครับ” น้ำเสียงที่แค่ฟังดูก็รู้ว่าพึ่งแตกหนุ่มมาได้ไม่นานดังขึ้นมาจากมุมเสาที่เขาเคยยืนอยู่ ด้วยความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างทำให้เขาเลือกที่จะหันกลับไปมอง

    รอยยิ้มสดใสที่ประดับอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดในชุดพนักงานพาร์ทไทม์และจุดสีดำเล็กๆ ที่บริเวณใต้ตาซ้ายทำให้เขาอดตกตะลึงไม่ได้

    “ต้นน้ำ….” ความตกใจที่ไม่อาจกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้ทำให้น้ำเสียงดูสั่นเล็กน้อย

    “ครับ? รู้จักผมหรอ เอ…แต่ผมชื่อธารน้ำนะครับไม่ใช่ต้นน้ำ” เด็กหนุ่มเอียงคออย่างน่ารัก “อีกอย่างผมไม่เคยเจอหน้าคุณด้วยหรือว่าจำคนผิดครับ”

    นั่นสิเขาคงจะจำคนผิดแน่ๆ ก็ต้นน้ำในความทรงจำเขาดูมีอายุมากกว่านี้เยอะแถมยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลมาหลายปีและต่อให้ฟื้นขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่มีทางออกมาเดินแบบนี้ได้แน่ๆ แต่ภาพของต้นน้ำในวัยหนุ่มเขาก็ยังคงจำได้ดีนี่ราวกับว่าเป็นต้นน้ำที่ย้อนวัยอย่างไรอย่างนั้น ในขณะที่ชายหนุ่มยังคงมองใบหน้านั้นอย่างพิจารณาและจมอยู่กับความคิดตัวเอง

    “อยากลงมั้ยครับหรือว่าลงไม่ได้ จะจับมือผมก็ได้นะ”

    ไม่รู้ว่าทำไมมือที่ถูกยื่นออกมาตรงหน้าถึงได้ดึงดูดเขาได้มากขนาดนี้ เมื่อรู้ตัวอีกทีฝ่ามือของเขาก็ดันสัมผัสกับอีกฝ่ายไปแล้ว

    “ถ้าคุณยังไม่อยากกลับบ้าน มาอยู่บ้านผมก่อนได้นะครับ”

     

     

    รู้ตัวอีกทีผมก็เผลอพยักหน้าแล้วเดินตามเด็กคนนั้นไปเสียแล้ว “นายไม่กลัวว่าฉันจะเป็นโจรปล้นบ้านนายรึไง” อยู่ๆ ผมก็เกิดสงสัยขึ้นมา เด็กคนนี้กล้าชวนผู้ชายที่พึ่งเจอกันมาบ้านตัวเองได้ไงเนี่ย

    “มันอาจจะเหลือเชื่อไปหน่อยแต่ผมสามารถรับรู้ได้ครับว่าใครคิดไม่ดี” เขาหันกลับมามองผมพร้อมกับรอยยิ้ม “แล้วคุณก็ไม่ได้คิดไม่ดีนี่ครับ คุณแค่กำลังเศร้า”

    เมื่อก้าวเข้ามาภายในบ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ตรงหน้า ภายในถูกตกแต่งตามสไตล์บ้านแบบญี่ปุ่น มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและสงบได้ราวกับต้องมนต์ รู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน อีกอย่างมันคงจะเป็นเพราะบ้านหลังนี้ให้ความรู้สึกแบบเดียวกับเจ้าของบ้านตรงหน้า

    “นายอยู่คนเดียวหรอ” ผมมองสำรวจไปรอบๆ ห้องที่เป็นส่วนกลางของบ้านมีทีวีและเครื่องเกมรุ่นใหม่พร้อมทั้งโต๊ะแบบญี่ปุ่นตัวไม่เล็กมาตั้งอยู่ตรงกลาง

    “ครับ นานๆ ทีพ่อกับพี่ชายถึงจะมาอยู่ด้วยเป็นบางครั้ง คุณนั่งก่อนก็ได้นะครับเดี๋ยวผมไปหยิบน้ำให้”

    “อื้ม…” ตั้งแต่ได้เจอกับเด็กคนนี้มันเหมือนกับว่าผมลืมความตั้งใจหลายๆอย่างไป ในสายตาและความคิดมีแต่เขาเต็มไปหมด

    “เอาอะไรดีครับน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ดี” เขาเปิดตู้เย็นแล้วหยิบน้ำอย่างละขวดขึ้นมาพร้อมกับหันมาแจกรอยยิ้มอีกครั้ง

    “น้ำผลไม้ครับ ขอบคุณ”

    เมื่อเลือกได้เขาก็เดินเอาแล้วมาวางตรงหน้าผมและนั่งลงข้างๆ

    “คุณจะไปอาบน้ำก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวผมหาชุดให้คุณน่าจะใส่ชุดพ่อผมได้พอดีคงจะไม่รังเกียจนะครับ”

    “ไม่รังเกียจหรอก แค่ให้มาพักก็ดีแล้วพอครับอยู่คนเดียวแล้วมันฟุ้งซ่านขึ้นมา” เป็นครั้งแรกที่ได้สบตากันชัดๆ กับดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่มีประกายความสดใสประดับอยู่

    “ครับ เดี๋ยวผมไปเอาชุดก่อนนะคุณไปอาบรอได้เลยผ้าเช็ดตัวอยู่ตู้ล่างซ้ายในห้องน้ำนะครับ” ว่าจบเขาก็วิ่งขึ้นชั้นบนไปเลย ทิ้งผมนั่งอยู่กลางบ้านคนเดียวซะงั้นถ้าผมเป็นโจรจริงๆ ของในบ้านคงไม่เหลือแล้ว เด็กสมัยนี้ไว้ใจคนง่ายจริงๆ

    “เขาเหมือนกับพี่เลยครับ…ต้นน้ำ”

     

     

    เมื่อขึ้นมาชั้นบนแล้วเด็กหนุ่มก็ต้องยกมือขึ้มากุมหน้าอกตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งๆที่บนนี้เงียบสงบแท้ๆ แต่หัวใจเขากลับเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน กับคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่กลางห้วงมิติเวลามาหลายปีเพื่อเฝ้ามองคนคนเดียวมาตลอดและตอนนี้คนคนนั้นกับอยู่ตรงหน้าเขาแบบใกล้แค่เอื้อม แถมยังได้สบกับดวงตาคมเฉี่ยวสีดำสนิทคู่นั้นแบบใกล้ๆ อีกด้วย

    “บ้าไปแล้ว อุตส่าห์ได้มีร่างกับเขาทั้งทีจะมาตายเพราะใจเต้นแรงไม่ได้นะ” ว่าแล้วเขาก็ตบเรียกสติตัวเองอีกสองสามทีแล้วรีบวิ่งไปหาชุดมาให้ชายหนุ่มอีกคนทันที แต่รอยยิ้มดีใจแบบปิดไม่มิดยังคงอยู่บนหน้าของเขาอยู่ดี

     

     

     

    พอผมกลับลงมาข้างล่างอีกทีก็ไม่เห็นชายหนุ่มอีกคนแล้วแต่เมื่อได้ยินเสียงน้ำกระทบพื้นดังออกมาจากห้องน้ำก็พอเดาได้ว่าอีกคนคงเข้าไปอาบน้ำก่อนตามที่เขาบอกเรียบร้อย

    “ผมเอาชุดมาให้แล้วครับ วางไว้ข้างหน้านะ” ผมเรียกบอกคนที่อยู่ในห้องน้ำเสียงดังเล็กน้อบเพราะกลัวว่าเสียงน้ำจะดังกลบ

    “ครั…โอ๊ย!”

    ผลัก!

    “เป็นอะไรครับ!” ผมรีบเปิดประตูเข้าไปทันทีที่ได้ยินเสียงร้อง โดยลืมไปว่าอีกฝ่ายกำลังอาบน้ำและไม่มีอยู่บนตัวสักชิ้น “ขะ..ขอโทษครับ” ผมรีบก้มหน้างลงทันทีและด้วยเหตุนี้เลยทำให้เขาไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของผู้ชายตรงหน้า

    “ไม่เป็นไรครับแค่แชมพูเข้าตา ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ” ผมยังคงก้มหน้างุดกับสิ่งน่าอายที่ทำลงไปเมื่อสักครู่

    “นะ…ไหนๆ ก็เข้ามาแล้วผมเอาชุดวางไว้นี่นะ” จากนั้นก็วิ่งติดสปีดปิดประตูแล้วหนีมานั่งกุมหัวใจตัวเองอยู่ในครัว ภาพร่างกายกำยำที่แม้จะเห็นแค่แวบเดียวแต่กลับติดตาผมแบบลบออกไม่ได้

     

     

    ร่างสูงที่อาบน้ำเสร็จแล้วแต่กลับไม่เห็นตัวเจ้าของบ้านแต่พอเดินมาทางโซนครัวกลับเห็นคนตัวเล็กกำลังนั่งเอาหลังพิงตู้เย็นอยู่

    “ทำไมเธอมานั่งตรงนี้ล่ะ” แม้ในใจจะมีคำตอบที่คิดไว้อยู่แล้วแต่เขากลับเสแสร้งออกมาอย่างหน้าตาย

    “อ่า..ผมมาหาอะไรกินน่ะครับ ว่าแต่คุณหิวมั้ยครับ”

    “ไม่ครับผมทานมาแล้ว” สายตาที่มันเคยใช้มองคนคนเดียวมาตลอดตอนนี้เหมือนมันจะถูกแบ่งให้คนตรงหน้าอีกคนซะแล้วสิ

    “จะว่าไปแล้วผมลืมถามเลยครับ คุณชื่ออะไรหรอ”

    “เฮ้อ นายทั้งพาคนแปลกหน้ากลับมาบ้านแถมยังไม่รู้ชื่อเขาอีก” เขาเอื้อมมือไปจับหัวอีกฝ่ายเบาๆ “ในสมองเธอคิดอะไรอยู่กันแน่”

    “แต่คุณก็ไม่ใช่คนไม่ดีนี่ครับ”

    “ไว้ใจคนง่ายเกินไปแล้ว คนเรามันดูแค่ภายนอกไม่ได้นะ”

    “ผมบอกแล้วนี่ครับผมน่ะมีพลังพิเศษ” รอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจผุดขึ้นมา จนคนอายุมากกว่าอยากจะลองบีบแก้มนั่นดูสักครั้ง

    ติณ เรียกฉันว่าติณ

     

     

    ถึงแม้จะบอกว่าตัวเองมีพลังพิเศษที่รู้นิสัยคนอื่นก็เถอะ แต่ตัวเขาเองก็รู้แค่เรื่องของติณเท่านั้นแหละ ตลอดหลายปีที่อยู่ในห้วงมิติเวลาเรื่องราวที่เขารู้มีเพียงของคนคนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้นนั่นคือ ‘ติณ’ เมื่อกี้ที่ถามชื่ออีกฝ่ายออกไปก็เพราะอยากจะเรียกชื่อเขาให้เต็มปากก็เท่านั้น พอคิดถึงหน้าชายหนุ่มอีกคนที่นอนอยู่ที่ห้องรับแขกก็พานทำให้ใจเต้นจนนอนไม่หลับขึ้นมา

    ในขณะเดียวกันชายร่างสูงที่นอนอยู่ชั้นล่างก็เผยแววตาแบบที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นบ่อยนักออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม “อย่ามาให้ความหวังกันสิครับธารน้ำ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×