คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ฟากฟ้าที่ 2 : การประชุมของเหล่าผู้นำ(แก้ไข)
ในยามเช้าเมื่อเงยหน้าขึ้นฟ้า...
นภาสีครามช่างกว้างใหญ่และงดงาม
ทว่าเมื่อความมืดมิดของราตรีมาเยือน
นภาสีดำสนิทพาให้เยือกเย็นและน่าหวั่นเกรง
ณ
ตึกสูงใจกลางเมืองหลวงอิตาลีแห่งหนึ่งถูกตกแต่งและประดับประดาด้วยแสงไฟมากมาย
จากด้านหน้าจนถึงทางเข้าตึกถูกปูด้วยพรมแดงเพื่อรอต้อนรับเหล่ามาเฟียชั้นแนวหน้าที่มาร่วมประชุมกันในวันนี้
สองข้างทางพรมแดงมีเชือกกั้นเอาไว้และมีเจ้าหน้าที่ยืนเฝ้าอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้คนมากมายที่มามุงเข้ามายุ่งได้
ท้องฟ้าที่เคยสดใสกลับค่อยๆมืดลง
เมื่อไม่มีแสงอาทิตย์ท้องฟ้าในยามนี้ช่างมืดมิดจนน่าหวั่นเกรง
และเพียงไม่นานที่รถคันหรูมากมายต่างขับเข้ามาจอดส่งเจ้านาย ก่อนคนขับรถจะเอารถไปจอดในลานจอดรถที่เตรียมเอาไว้
คนมากมายเริ่มมามุงดูขึ้นเรื่อยๆ
การจะเห็นมาเฟียชั้นแนวหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย
ยิ่งมืดลงเท่าไหร่เหล่าคนที่มางานก็ยิ่งเป็นคนสำคัญมากขึ้นเท่านั้น ผู้คนที่มารอดูต่างพากันเบียดแน่นยิ่งกว่าเดิม
พวกเขาต่างอยากเห็นผู้นำของแฟมิลี่ใหญ่ๆโดยเฉพาะผู้นำของแก๊งวองโกเล่แฟมิลี่ซึ่งเป็นแฟมิลี่ที่มีอำนาจที่สุดในยุคสมัยนี้
ทว่าหัวหน้ารุ่นที่สิบไม่ค่อยชอบเผยตัวต่อสาธารณะ
ถ้าหากมาจริงๆพวกเขาจะได้เห็นแค่ตอนลงรถเท่านั้นเพราะว่าหลังจากลงรถแล้วเหล่าผู้พิทักษ์อีกหกคนก็จะเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังราวกับปกป้องทันที
เพียงไม่นานเสียงฮือฮามากมายก็ดังขึ้นเมื่อเห็นรถลีมูนซีนสีดำวาวคันยาวแล่นเข้ามาจอดตรงพรมสีแดง
ข้างๆรถนั้นมีตราสัญลักษณ์วองโกเล่รุ่นที่สิบบอกให้รู้ว่าคนสำคัญในงานครั้งนี้มาถึงแล้ว
ประตูรถถูกเปิดออกจากด้านใน
คนที่ก้าวเท้าออกมาเป็นคนแรกก็เรียกเสียงฮือฮาจากทุกคนได้ดี
ร่างสูงของชายชื่อแรมโบ้เดินออกมาจากรถคันหรู เขาคือผู้พิทักษ์แห่งอัสนี
สายฟ้าที่เก็บซ่อนพลังอันร้ายกาจไว้
คนที่สองที่ลงจากรถตามมาคือชายหนุ่มชื่อ
ซาซางาวะ เรียวเฮ เขาคือผู้พิทักษ์แห่งรุ่งอรุณ ดวงอาทิตย์ที่สาดแสงให้ท้องฟ้าสว่างไสว
คนที่สามที่ออกมาจากรถคือหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มผู้พิทักษ์ทั้งหกในรุ่นนี้
โคลม โคคุโร่ ผู้พิทักษ์แห่งสายหมอก คือภาพลวงตาที่ไม่สามารถจับต้องได้
คนที่สี่คือคนที่ทุกคนเห็นกันอยู่เป็นประจำ
ยามาโมโตะ ทาเคชิ
เขาคือมือซ้ายของรุ่นที่สิบ ผู้พิทักษ์แห่งพิรุณ สายฝนที่ชำระล้างทุกสรรพสิ่ง
คนที่ห้าก็ยังเป็นคนที่พวกเขาคุ้นเคยเพราะเป็นมือขวาของวองโกเล่รุ่นที่สิบซึ่งคอยทำหน้าที่ประชุมแทนรุ่นที่สิบมาตลอด
โกคุเทระ ฮายาโตะ หรือผู้พิทักษ์แห่งวายุ
ลมพายุที่พร้อมจะพัดกระหน่ำศัตรูทุกคนที่ขวางหน้า
คนที่ลงจากรถมาเป็นคนที่หกคือบุรุษที่เป็นอาจารย์ของบอสรุ่นที่สิบในปัจจุบัน
รีบอร์น ชายคนนี้คือมือสังหารที่รุ่มที่เก้าและรุ่นที่สิบไว้ใจมากที่สุด
แต่แล้วเสียงฮือฮามากมายก็ดังขึ้นทันทีที่บุคคลที่เจ็ดลงจากรถ
คนมากมายยิ่งเบียดกันแน่นขึ้นไปอีกเพื่อพยายามให้เห็นคนๆนี้ ร่างสูงลงจากรถด้วยใบหน้าที่หงุดหงิดเมื่อเห็นจำนวนคนที่มาสุมหัวกันที่นี่
ดวงตาสีนิลคมกริบคมกริบบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่พอใจสุดๆทว่าก็ต้องเก็บอารมณ์อยากขย้ำพวกสัตว์กินพืชที่มาสุมหัวกันเอาไว้
ฮิบาริ เคียวยะ เมฆที่ล่องลอยไปโดยไม่ผูกมัดกับใคร
ทุกคนเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้วเพราะหากคนๆนี้มาด้วยบอสรุ่นที่สิบแห่งวองโกเล่ก็น่าจะมาด้วย
ถ้าหากนภาไปงานไหนที่นั่นก็จะมีเมฆาตามไปด้วยเสมอ
และเมื่อร่างสุดท้ายลงมาจากรถทุกอย่างก็ดูจะวุ่นวายมากยิ่งขึ้น
ร่างที่อาจจะดูเล็กกว่าทุกคนในกลุ่มแต่ก็สง่างามและทรงอำนาจยิ่งกว่าใครกำลังลงมาจากรถ
ท่าทางนิ่งเฉยติดจะเฉยชาราวกับว่าทุกอย่างในที่นี่ล้วนไม่มีค่ากับเขา
ดวงตาสีน้ำตาลที่เคยเป็นประกายบัดนี้เรียบเฉยไร้อารมณ์เป็นที่สุด
สมกับเป็นผู้นำของวองโกเล่ที่ทรงอำนาจ ซาวาดะ สึนะ
ผู้พิทักษ์ทุกคนต่างเดินมาบังร่างเล็กให้พ้นจากสายตาของประชาชนอย่างรู้หน้าที่
“ไปกันได้แล้ว”
เสียงเรียบของสึนะออกคำสั่งด้วยท่าทางทรงอำนาจผิดกับในยามปกติ
แต่โลกมาเฟียก็แบบนี้
เมื่อใดที่เผลอแสดงความอ่อนแอและจุดอ่อนออกไปนั่นหมายความว่ากำลังปล่อยให้ตนเองมีช่องว่างให้ศัตรูใช้โจมตี
ยิ่งวองโกเล่ยิ่งใหญ่มากเพียงใดศัตรูก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเพียงนั้น
ทุกคนค่อยๆทยอยเข้าไปในงาน
ยกเว้นแต่เมฆาที่หันไปมองรอบๆอย่างสำรวจและตามเข้าไปทีหลัง
มีบางสิ่งบางอย่างที่นี่และเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ฮิบารินึกหงุดหงิดนัก
ภายในตึกสูงระฟ้าถูกและประดับตกแต่งอย่างหรูหราสมกับเป็นที่ๆมาเฟียชั้นแนวหน้ามารวมตัวกัน
พนักงานหญิงรีบตรงเข้ามาต้อนรับพวกเขาทันทีที่ก้าวข้ามผ่านประตูเข้ามาก่อนเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งในห้องจัดงานเลี้ยง
แต่จะบอกว่าเป็นห้องจัดงานเลี้ยงก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะมันจัดเหมือนห้องประชุมที่มีโต๊ะตัวยาวอยู่กลางห้องและมีเก้าอี้มากมายสำหรับแค่บอสแต่ละแฟมิลี่
ส่วนสมาชิกที่พามาด้วยที่เหลือจะต้องยืนเอา
สึนะนั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะด้วยท่าทางสง่างามชวนให้น่าเกรงขาม
ความกดดันภายในโต๊ะเพิ่มขึ้นทันทีที่บอสแห่งวองโกเล่มาเยือน
หัวหน้าแฟมิลี่ต่างๆที่นั่งอยู่ก่อนแล้วอดหันมามองด้วยยำเกรงไม่ได้ สมกับเป็นบอสรุ่นที่สิบของวองโกเล่และไม่แปลกที่วองโกเล่จะรุ่งเรืองเมื่ออยู่ใต้การปกครองของชายคนนี้
ผู้พิทักษ์ทั้งหมดต่างยืนรวมกันอยู่ด้านหลังสึนะ
พวกเขาพร้อมจะออกมาปกป้องบอสเสมอถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝัน แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ยืนห่างออกไป
ไม่คิดจะเข้ามารวมกลุ่มกับทุกคน นั่นคือฮิบาริที่พยายามข่มอารมณ์ตนเองไม่ให้เข้าไปทำลายการประชุมตรงหน้า
ในเมื่อเขาเกลียดการสุมหัวจะตาย ทว่าก็ต้องทนเอาไว้เพื่อนภาของเขา
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะวองโกเล่รุ่นที่สิบ”
เสียงยียวนดังมาจากหัวหน้าแฟมิลี่หนึ่งเรียกสายตาเย็นชาให้หันไปมอง ถึงทุกคนที่นี่จะยำเกรงบอสรุ่นที่สิบของว่องโกเล่ก็จริง
ทว่าต่อหน้าไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมรับหรือเผยความรู้สึกพวกนี้ออกไปเด็ดขาด
พวกเขาย่อมใช้คำพูดและท่าทางถือดีเพื่อเก็บซ่อนความรู้สึกพวกนั้นลงไป
ยำเกรงหรือเคารพศัตรู นั่นไม่ต่างจากพ่ายแพ้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง
และทุกคนรู้ดี สิ่งที่รออยู่เบื้องหลังความพ่ายแพ นอกจากความตายแล้วก็คือการตายทั้งเป็น
“จะไม่เจอก็ไม่แปลกนี่
ไม่ยอมเข้าร่วมประชุมจนฉันคิดว่าบอสแห่งวองโกเล่ตายไปแล้วเสียอีก” เสียงเย้ยหยันดังมาจากปากสตีผู้อยู่สูงสุดของอีกแฟมิลี่หนึ่งทำเอาฮายาโตะเดินขึ้นมาตบโต๊ะดังปังอย่างไม่พอใจสุดๆ
สำหรับผู้พิทักษ์ จะบอสของแฟมิลี่ไหนเขาก็ไม่หวั่นเกรงทั้งนั้น
ในสายตาของเขานอกจากรุ่นที่สิบและเหล่าคนในแฟมิลี่แล้ว ทุกคนก็ล้วนไร้ค่าพอกัน
“ขอโทษรุ่นที่สิบเดี๋ยวนี้”
มือขวาของสึนะตะโกนออกมาพร้อมดวงตาที่วาววับด้วยความไม่ชอบใจ
ไม่ใช่แค่ฮายาโตะไม่ชอบใจอยู่คนเดียวแต่ผู้พิทักษ์คนอื่นรวมถึงรีบอร์นก็ไม่พอใจเช่นกันแต่พวกเขายังเตือนตัวเองทันว่าอย่าทำตัวไร้มารยาทที่นี่
“โกคุเทระ…ออกไป”
น้ำเสียงเฉียบขาดแต่ไม่ได้ดังไปกว่าเวลาพูดธรรมดาที่ออกจากปากสึนะกลับทำให้ผู้พิทักษ์แห่งวายุหยุดชะงักเพราะได้สติ
เจ้าตัวเอ่ยปากขออภัยกับบอสของตนเองแล้วเดินกลับไปยืนรวมกับพวกผู้พิทักษ์ที่เหลือแบบเดิม
ดวงตาของสึนะตวัดวูบทำเอาทุกคนตัวชาวาบ
ไม่มีใครในที่นี้หรอกนะที่อยากลุกขึ้นมาสู้กับคนๆนี้
“พวกคุณควรระวังคำพูดเอาไว้บ้างนะครับ
เพราะครั้งหน้าเรื่องมันไม่จบเท่านี้หรอก”
เสียงเด็ดขาดเอ่ยออกมาสร้างความหวั่นเกรงให้ทุกคนที่นั่งอยู่รายล้อม
ในที่ประชุมพากันเงียบลงเพราะรับรู้ได้ถึงความกดดันจากร่างเล็กที่อยู่หัวโต๊ะทั้งๆที่สึนะแค่พูดออกมาแต่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร
สึนะยังคงนิ่งเฉยมีเพียงดวงตาสีน้ำตาลเท่านั้นที่กวาดมองทุกคนแต่แค่นั้นก็เพิ่มแรงกดดันได้แล้ว
อันที่จริงนิสัยของบอสรุ่นที่สิบไม่ได้เป็นแบบนี้ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากมายโดยเฉพาะหัวหน้าแฟมิลี่อื่นสิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือต้องให้พวกเขาหวั่นเกรง
ฮายาโตะได้แต่เก็บความหงุดหงิดไว้ในใจเพราะสตรีผู้เริ่มเรื่องก็ยังไม่ได้เอ่ยขอโทษรุ่นที่สิบของเขาอยู่ดี
ถ้าเมื่อครู่สึนะไม่เอ่ยปากปรามเอาไว้ แค่ผู้พิทักษ์แห่งวายุคนเดียวก็สามารถทำให้งานเลี้ยงในคืนนี้วุ่นวายได้แล้ว
ยังไม่นับรวมผู้พิทักษ์ที่เหลือ ซึ่งไม่ต้องถามเลยว่าจะช่วยหยุดหรือผสมโรงตาม
“จบงานนี้ระเบิดให้เละไปเลย
บังอาจว่ารุ่นที่สิบ” ฮายาโตะพึมพำแม้มันจะไม่ดังจนบอสแฟมิล่อื่นได้ยินแต่ผู้พิทักษ์อีกทั้งห้าคนและรีบอร์นก็ได้ยินชัดเจน
“เอาเถอะน่าๆ”
ยามาโมโตะปลอบเพื่อนพลางตบไหล่ราวกับจะทำให้ผู้พิทักษ์แห่งวายุสงบลงแม้ตนเองจะพยายามเก็บความหงุดหงิดเอาไว้เหมือนกันก็เถอะ
ในเมื่อถ้าเปรียบฮายาโตะเป็นมือขวายามาโมโตะก็เป็นมือซ้ายของสึนะ
และมือซ้ายอย่างเขาก็ไม่ชอบให้ใครมาว่าบอสของเขาเหมือนกัน แต่ขืนเขาพูดเออออตามไป
มีหวังมือขวาได้เขวี้ยงระเบิดออกไปตอนนี้แน่นอน
“ลุยเมื่อไรอย่าลืมชวนละกัน”
เรียวเฮพูดออกมาอย่างมีน้ำโมโหไม่ต่างกัน
เขาที่เป็นคนใจร้อนก็อยากจะลงมืออยู่หรอกแต่เพราะยังคำนึงถึงสถานที่จึงไม่ได้แสดงความโกรธออกมาเหมือนผู้พิทักษ์วายุ
แต่จะไปว่าฮายาโตะก็ไม่ได้เพราะพวกเขารู้ดีว่าคนที่รักและชื่นชอบรุ่นที่สิบมากกว่าใครก็คือฮายาโตะนี่แหละ
ถ้าจะเลือดขึ้นหน้าเพราะมีคนมาพูดแบบนั้นกับรุ่นที่สิบก็ไม่แปลก
“พวกแกจะหงุดหงิดตอนนี้ให้ได้อะไรขึ้นมา
เลิกงานแล้วพวกแกก็เป่ามันให้กระจุยดับอารมณ์เลยสิ”
รีบอร์นเสนอขึ้นมาตามนิสัยซึ่งทำให้โครมอยากจะส่ายหน้า นึกว่าจะช่วยปรามๆกันเสียอีก
โคลมหันไปมองผู้พิทักษ์แห่งอัสนีและผู้พิทักษ์เมฆาที่ไม่แสดงความคิดเห็น
ทว่าท่าทางตื่นเต้นของแรมโบ้ก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าถ้ามีใครคิดจะลุยชายหนุ่มก็พร้อมที่จะลุยด้วยเหมือนกัน
แต่สำหรับฮิบาริโคลมไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายคิดยังไง เธอเดาท่าทางนิ่งๆของอีกฝ่ายไม่ออกจึงต้องลองถามดู
“แล้วคุณฮิบาริว่าไงค่ะ”
ทุกคนต่างรอฟังคำตอบของฮิบาริ เพราะผู้พิทักษ์แห่งเมฆานั้นแข็งแกร่งที่สุดในผู้พิทักษ์ทั้งหกคน
ถ้าคนๆนี้ตกลงพวกเขาก็จะได้กำลังเสริมที่แข็งแกร่งและพึ่งพาได้
แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรใช่ว่าหมอนี่จะจำเป็นกับพวกเขามากนัก ไม่มีหมอนี่พวกเขาก็จัดการผู้หญิงปากเสียคนนั้นได้อยู่ดี
ดวงตาสีนิลราบเรียบคู่นั้นละสายตกจากการสุมหัวของหัวหน้ามาเฟียแต่ละแฟมิลี่มามองผู้พิทักษ์ที่เหลือก่อนจะเปิดปากตอบ
“งี่เง่า
ใครจะไปสุมหัวกับพวกสัตว์กินพืชชั้นต่ำ” ไม่มีใครแปลกใจกับคำตอบที่ได้รับมาสักเท่าไหร่เพราะมันก็สมเป็นฮิบาริดี
เมฆานั้นเอาแต่ใจแบบนี้เสมอ
ถึงเจ้าตัวบอกว่าไม่ยอมสุมหัวกับพวกสัตว์กินพืชชั้นต่ำแต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่บุกเดี่ยวไปถล่มรังของพวกมันด้วยตัวคนเดียวนี่
ก็บอกแล้วว่าใครพยายามทำให้นภาของเขาต้องแปดเปื้อนมันต้องชดใช้ด้วยชีวิต
แม้นภาจะเป็นเช่นใด...
ภายใต้ฟากฟ้ากว้างใหญ่
ก็ยังคงมีเมฆาอยู่ดี
ความคิดเห็น