ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Beautiful Nightmare

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 WRATH

    • อัปเดตล่าสุด 10 ต.ค. 53


    WRATH
    They say situation builds hero, but what they forget is: it builds villain too.
                                   

    วันจันทร์ยิ่งแย่เข้าไปอีก เบลล์นั่งกับลอเรลที่โต๊ะอาหาร พวกคณะบริหารธุรกิจไม่มานั่งกับทั้งคู่ และคงจะเป็นอย่างนี้นับแต่วันนี้ไป พวกเขามีที่ใหม่กับกลุ่มของนาตาชา
    ลอเรลเหลือบมองเทรเวอร์ที่โต๊ะอีกฝาก
    “รีบๆกินเถอะ “เบลล์บอกลอเรล เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเทรเวอร์เลือกนาตาชา มือข้างหนึ่งของเขาพาดไหล่หล่อนอยู่
    “เบลล์อย่าเศร้าไปเลย เขาไม่ เอ่อ.. เหมาะกับเธอหรอก”
    เบลล์มองอาหารในจาน แล้วตักเข้าปาก ไม่รับรู้รสชาดของมันเลยสักนิด เธอเคี้ยวเร็วมากจนกัดลิ้นตัวเอง แต่เธอก็ไม่สนใจต่อรสเลือดในปาก หรือว่าความเจ็บปวด
    เบลล์พุ่งไปเก็บจาน ถลันออกประตู ลอเรลตามไปติดๆ ทั้งที่ยังกินไม่หมด
    ลอเรลพาเบลล์ไปนั่งในมุมเงียบสงบของวิทยาลัย
    “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้” เบลล์เสียงแตกพร่า”พวกนั้นมันต่ำช้าที่สุด ”
    “เบลล์...” ลอเรลชินกับคำพูดของเบลล์ที่เกิดจากอารมณ์ดี
    เบลล์สบถออกมาอีกหลายคำ ตลอดสุดสัปดาห์ เธอคิดมาตลอดว่าเหตุการณ์ที่เดอะ เซอเคิล คลูคงเป็นแค่เรื่องเล็กที่จะผ่านไปแบบไร้ความหมาย เธอเชื่อว่าเทรเวอร์ชอบเธอมากพอที่จะปฏิเสธนาตาชา เธอกล้าเชื่อและมั่นใจในตัวเองขนาดนั้นได้ยังไง เบลล์ด่าตัวเองในใจ
    ลอเรลพูดอะไรอีกหลายอย่าง แต่ล้วนไม่มีความหมาย
    “แล้วเอล็กซ์ล่ะ” เบลล์ตัดบท
    โดยไม่ต้องร้องขอ ลอเรลเล่ารายละเอียดยิบย่อยถึงเธอ และเอล็กซ์ ชนิดไม่ต้องตั้งคำถามเลย เบลล์พยักหน้าเงียบๆ เรื่องของลอเรลออกมาดีเกินคาด ส่วนของเธอก็เลวร้ายเกินคาด
    บ่ายแก่ๆ สมาชิกชมรมวัฒนธรรมโลกก็มารวมตัวกัน เบลล์สังเกตอาการของเอล็กซ์ กับลอเรลที่เอาแต่คุยกันอยู่สองคน จนถูกหัวหน้าชมรมตำหนิ เบลล์แอบสมน้ำหน้าด้วยซ้ำ เธอหงุดหงิดเกินกว่าจะรู้สึกยินดีกับเพื่อนได้
    หลังชมรมเลิก เบลล์ต้องรอลอเรล ซึ่งยืนคุยกับเอล็กซ์อยู่นาน ลอเรลวิ่งหน้าบานมาในที่สุด
     “เบลล์ เธอต้องไม่เชื่อแน่ๆ”
    “งั้นฉันไม่เชื่อก็ได้”
    “ฉันได้เบอร์เขามาแล้ว” ลอเรลไม่สนใจคำแดกดันของเบลล์ ”ฉันจะรอให้เขาโทรมาก่อน บางทีอาจจะแค่ส่งข้อความไปหา”
    เบลล์เดินนำลอเรลออกจากวิทยาลัย แต่เธอไม่ได้พูดอะไรสักคำ เบลล์โกรธลอเรลอยู่บ้าง เมื่อวันศุกร์ ลอเรลไม่ได้ช่วยเธอเลย ความจริงว่าไม่ช่วยยังน้อยไป ลอเรลทอดทิ้งเธอต่างหาก แล้วนี่มันอะไรกัน ลอเรลที่ต้องคอยให้คำแนะนำเรื่องแต่งตัว กลับมีคนมาสนใจจริงๆจังๆ
    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
    ห้อง1705 บนอพาตเมนต์ เดอะ เดรก หญิงสาวกำลังนอนหลับสนิท เสียงเพลง good girls go bad ของCobra starship ดังขึ้น
    เบลล์งัวเงียคลำหาโทรศัพท์ในความมืด เบอร์ขึ้นว่า ลอเรลโทรมา เธอเหลือบมองนาฬิกาที่หัวเตียง เพิ่งพ้นวันใหม่มาได้ไม่นาน
    “ลอรี่ มีเรื่องอะไร” เบลล์กังวลนิดหน่อย ไม่เคยมีคนโทรศัพท์หาเธอในเวลานี้
    “เขาขอฉันไปเดต” เสียงลอเรลสูงอย่างตื่นเต้น ดังทะลุออกมานอกมือถือ เบลล์เอามือถือห่างจากหู
    “ครายนะ”
    “เอล็กซ์ สิ! เมื่อกี้เขากับฉันโทรศัพท์คุยกันนานมากเลย..”
    ใช้เวลาสักครู่กว่าเบลล์จะจับต้นชนปลายที่ลอเรลพ่นใส่ได้ เพราะความง่วง
    “นรกเอ๊ย”เบลล์ตะโกนขัด ”เธอโทรมาปลุกฉันด้วยเรื่องนี้เนี่ยนะ”
    “อะไรกัน นี่เที่ยงคืนเองนะ...”
    เบลล์วางหู กลับไปขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม แต่ก็ใช้เวลานานกว่าจะข่มตาหลับจากอารมณ์พลุ่งพล่านเมื่อครู่ได้
     
     
    เอล็กซ์มานั่งทานข้าวกลางวันด้วยบางวัน เพื่อนๆคณะวิศวะคอมพิวเตอร์ของเขา ถ้าไม่เถื่อนเกินไป ก็เป็นพวกกีค คลั่งแผงวงจรไฟฟ้า ที่หนังเรื่องโปรด คือ เดอะ แมททริกซ์
    เบลล์ทานอะไรไม่ลง ตักไม่กี่คำก็วาง แม้ท้องจะหิว แต่ปากหนักอึ้งไม่อยากเคี้ยวอาหาร เธอรู้สึกเหนื่อยหน่าย ครั้งสองครั้งที่เพื่อนของเอล็กซ์ชวนเธอคุย เบลล์ตอบไปส่งๆ แล้วทำหน้าบอกบุญมารับ พวกเขาก็เลิกสนใจเธอ ที่ใส่หน้ากากซึ่งชื่อว่าเบื่อโลก เบลล์จึงเช็คเมลแทน(ลอเรลนั่งอยู่ข้างๆดูเหมือนจะมีกลิ่นหวานเลี่ยนฟุ้งออกมาจากตัว) มีแต่เมลขยะส่งมา แคลร์ไม่ได้เขียนอะไรมาเพิ่มเติม
     
    งานประจำที่ร้านดอกไม้ของเบลล์ คือทุกวันพุธ และเสาร์นับดอกกุหลาบแบล็คเมจิคสามสิบดอก แล้วส่งให้ป้าซาห์รา นำไปให้รถเบนลีย์ลึกลับที่มารอเวลาเดิมทุกครั้ง นอกนั้นก็สุดแล้วแต่จะมีลูกค้าเข้ามา แต่วันนี้ใกล้จะได้เวลาแล้ว แต่คนส่งดอกไม้ยังไม่นำดอกกุหลาบมาส่งเลยตั้งแต่เมื่อวาน
    ป้าซาห์รา โทรศัพท์จิกบริษัทดอกไม้ แล้วเดินกลับไปกลับมาในร้าน ผ้าสีดำเนื้อบางที่ป้าใส่พลิ้วไหว กำไลเงินดังกรุ๋งกริ๋งอยู่ที่ข้อมือของป้าซึ่งกำลังอยู่ไม่สุข
    “เขาบอกว่าจะมาเช้านี้ใช่ไหม มาเรีย” ป้าซาห์ราถามเป็นรอบที่ห้าแล้วตั้งแต่เปิดร้าน
    “ใจเย็นเถอะค่ะ คุณบาทอรี่เขาไม่กัดป้าหรอก”
    ป้าซาห์ราสะดุ้งหันขวับ สีหน้าขรึมกว่าเดิม
    เด็กส่งดอกไม้มาถึง ท่ามกลางความโล่งใจเป็นล้นพ้นของทุกคน เบลล์รับกุหลาบมัดใหญ่มา ขณะที่ป้าซาห์รา และมาเรียนำดอกไม้อื่นเก็บเข้าตู้เย็น
    เบลล์คว้าคัตเตอร์อันใหญ่เพื่อตัดเชือกที่มัดออก เชือกขาดด้วยแรง และเพราะความรีบร้อน คัตเตอร์ตัดเชือกขาด แล้วกระดอนลงบนฝ่ามือ คมมีดบาดเป็นทางยาวบนเนื้ออ่อนที่ค่อยๆแยกจากกัน เลือดสีแดงไหลซึมจากปากแผล
    “นรกเอ๊ย”เบลล์ร้อง ทิ้งคัตเตอร์ลง
    แผลลึก เนื่องจากคัตเตอร์เล่มใญ่ เลือดบางส่วนหยดไปบนก้านกุหลาบ แต่ไม่มีเวลาแล้ว เบลล์รีบนับดอกกุหลาบให้ได้ตามจำนวน พยายามเช็ดก้านที่เปื้อนเลือดอย่างระมัดระวังไปด้วย มาเรียเข้ามารับช่วงต่อ เบลล์จึงไปทำแผล และรถเบยลีย์มาจอดหน้าร้านพอดี
    เบลล์เอาผ้าพันแผลไว้ โชคดีที่เป็นมือซ้าย เธอไม่รีบร้อนไปวิทยาลัย คะเนเวลาไปทันเข้าฟังบรรยายพอดี แบบนี้เธอจะได้ไม่ต้องทนกับลอรี่มากนัก เบลล์อยู่ช่วยงานจนได้เวลา
    ลอเรลนั่งอยู่ตรงไหนสักแห่งในห้อง และเบลล์ก็ไม่ต้องหัวเสียกับเพื่อนอีก วันนี้เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวดี
    การบรรยายจบลง เบลล์ออกจากห้อง และเห็นเอล็กซ์อยู่หน้าห้อง
    “มารอลอรี่หรอ”
    เอล็กซ์ยักไหล่ “ที่จริงมารับน่ะ”
    “เอล็กซ์!” ลอเรลเดินเข้ามา “เธอไปอยู่ไหนมาฮึ เบลล์”
    “เอล็กซ์ บอกว่าเขามารับเธอแน่ะ”
    “ใช่ เราจะไปเดินเล่นที่ห้างด้วยกัน ไปหาอะไรกินกัน เรากลับมาทันชมรมแน่ ฉันไม่มีเรียนภาคบ่ายนี่นา”
    “เธอจะไม่ไปกับฉันที่โรงอาหารใช่ไหม”
    “ใช่ เราจะไป....โอ้ เบลล์ ฉันลืมไปเลย --แล้วเธอจะทำยังไง”
    “สบายมาก”เบลล์ประชดเสียงดัง”รู้ไหม ฉันว่าจะมี หรือไม่มีเธอก็ไม่ต่างกันเท่าไร”
    เบลล์หันหลัง เดินอาดๆจากไป
    ถ้าลอรี่อยากจะไปกับตานั่นก็เชิณเถอะ ไปลงนรกซะให้หมดทุกคน เบลล์พึมพำ
    ลอเรลไม่ได้เรียกเธอ หรือตามมา
                    เท้ากำลังจะเลี้ยวไปโรงอาหารด้วยความเคยชิน เบลล์เปลี่ยนไปห้องสมุดแทน เธอไม่หิวเท่าไร ถึงอย่างนั้นก็คงทานอะไรไม่ลง
                    ลอรี่ทำอย่างนี้ได้ยังไงนะ ไม่นึกถึงเธอบ้างเลย
    เบลล์มาถึงห้องสมุดที่ซึ่งบรรยากาศเงียบสงบ ผิดกับจิตใจของเธอ เสียงพลิกหน้ากระดาษ และคนคุยกันเบาๆ ทำให้เธอสงบลง
    เบลล์สบถไม่มีเสียง แผลที่มือซ้ายทำให้เธอทำอะไรไม่ได้ถนัดรวดเร็วดังใจที่ร้อน หนังสือเล่มใหญ่ต้องใช้สองมือประคองเพื่อหยิบออกมา
    อย่างน้อยที่นี่ก็ปลอดภัยจากคนทั้งหลายที่เธอไม่อยากเจอ เบลล์คิด เธอเลือนั่งในมุมที่ห่างไกลผู้คนที่สุด ไม่อยากให้ใครเข้ามาทัก
    ขณะอ่านหนังสือซึ่งตัวอักษรที่อ่านไม่ได้เข้าหัวเลย ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา เป็นเสียงล็กๆของเธอเองที่บอกว่า เบลล์ ไม่มีใครสนใจเธอเลย  เบลล์ชินกับความคิดของตัวเองที่พูดกับเธอเหมือนเป็นบุคคลที่สอง เป็นอีกคนหนึ่งมากกว่าจะเป็นคนเดียวกัน ซึ่งจะคอยท้วงติง ไม่ก็กระตุ้นเบลล์ ฮาตเวลให้ทำ หรืออย่าทำ หลายครั้งที่การพูดกับตัวเองทำให้เธอสามารถมองสิ่งที่ต้องพิจารณาได้ถี่ถ้วนขึ้น เหมือนเช่นครั้งนี้ เกิดอะไรกับครอบครัวของเธอ พ่อแม่ก็หลบหน้าหนีไปโดยไม่อธิบาย น้องสาวที่เป็นเหมือนเพื่อนสนิทที่สุดก็อยู่ห่างไกล ทั้งกำลังสนุกกับประสบการณ์ใหม่โดยไม่ต้องมีครอบครัว ผู้ชายที่เธอชอบก็หักหลังเธอไปคบกับผู้หญิงประเภทที่เธอเกลียด พื่อนสนิทหนึ่งเดียวตอนนี้ก็หลงแฟนหัวปักหัวปำ
    มือหนึ่งวางบนไหล่ของเบลล์ ขัดจังหวะความคิดน่าหดหู่ของเธอ เบลล์ไม่ได้สะดุ้งตกใจ แค่เงยหน้าขึ้นมอง เป็นเอมมี่ วูดมอร์ เพื่อนจากปรัชญา และศาสนา
    เอมมี่นั่งลงอ่านหนังสือที่ตัวเองหยิบมา ไม่ได้พูดอะไร เมื่อได้เวลาทั้งสองก็ไปเข้าเรียนปรัชญา และศาสนา
    “ทำไมเธอถึงเลือกเรียนวิชานี้นะ เอมมี่” เบลล์ชวนคุยเพื่อลบความรู้สึกโดดเดี่ยว ระหว่างที่นักศึกษาทยอยเข้ามานั่งในห้อง
    “เพราะสายเลือดล่ะมั้ง พ่อฉันเป็นสาธุคุณ”
    “หรอ โบสถ์ไหน”
    “โบส์ถเซนต์มาร์ค บนถนนเสปราซ์ แล้วเธอล่ะ”
    “ฉันสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษมาตั้งนานแล้ว รู้ไหมโบส์ถเซนต์มาร์คนี่ เหมือนฉันจะเคยผ่านนะ แต่ว่ามันเป็นคาทอลิกนี่นา”
    “ใช่ หลังจากที่แม่จากไป พวกเราก็เปลี่ยนศาสนา พ่อของฉันก็ไปเป็นสาธุคุณน่ะ”
    ก่อนจะได้พูดอะไรกันต่อ ศาสตราจารย์เนลสันก็เดินเข้ามา
    ศาสตราจารย์เนลสันทำให้เบลล์อดนึกถึงไดแอน บรรดาเพื่อนสาวของหล่อน และเหตุการณ์วันศุกร์ที่เซอเคิล คลู ไม่ได้ เธอจิ๊ปากติดๆกัน แล้วตบเท้าอยู่ใต้โต๊ะอย่างขัดใจ
    “นรกชะมัดเลย” เบลล์พูดลอดไรฟัน เพราะเธอชอบศาสตราจารย์เนลสันมาก วิธีที่เขาสอน เรื่องราวต่างๆที่เขาเล่าช่างเหลือเชื่อ เธอหลงรักวิชานี้เป็นทวีคูณ
    “เธอชอบอุทานว่านรกนะ รู้ตัวไหม” เอมมี่ตั้งข้อสังเกตยิ้มๆ
    “โทษที มันติดปากไปแล้วน่ะ ใครๆก็ว่าเหมือนกันเฮ้ แต่ฉันเป็นคาทอลิกแน่นอนนะ” เบลล์เสริมหยอกๆ เอมมี่ไม่ถามว่าเธอเป็นอะไร เธอเองก็ไม่อยากเล่า เอมมี่คงไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น
    “ไม่เป็นไรๆ” เอมมี่หัวเราะ ”แต่ว่าพ่อฉันคงขมวดคิ้วแน่ ถ้าได้ยินเธออุทานคำนั้นบ่อยๆ”
    “แล้วต้องคำไหนล่ะถึงจะดี พระเจ้าช่วย หรือเปล่า”
    “ฉันชอบมุขนี้นะ “
    “เอาล่ะนักศึกษา วันนี้เราจะมาต่อกันเลย ปวดหัวกับโสเครติส แล้วก็เพลโตกันอีกหนึ่งวัน รัดเข็มขัดให้ดี แล้วอย่าลืมใส่หมวกนิรภัยล่ะ”
     
     
    ที่ห้องกิจกรรม เบลล์นั่งทำงานของชมรมร่วมกับคนอื่น เอล็กซ์ กับลอเรลยังไม่มา แต่เธอไม่สนใจที่จะโทรศัพท์ตาม 
    ชมรมเริ่มไปได้สิบนาที เอล็กซ์ก็เดินเข้ามาพร้อมกับสาวอีโมอีกคน ที่ใส่ชุดเหมือนลอเรลเมื่อเช้า พวกเขานั่งที่ที่ว่างเบลล์จึงได้เห็นชัดๆว่านั่นคือ ลอเรล !
    เบลล์จำเพื่อนของเธอไม่ได้ในทีแรก ก็พราะลอเรลไปทำทรงผมใหม่ ผมสีน้ำตาลแดงถูกหั่นให้สั้นลง มีผมม้าปาดมาข้างหน้าเฉียงๆ ยิ่งกว่านั้นก็ยังมีเครื่องสำอางค์สีเข้มที่เปลือกตา และขอบตาที่เขียนจนดูดุ เบลล์จ้องอย่างตกตะลึง
    ลอเรลดูแปลกตาไป แต่ก็ยังเป็นคนเดิม เธอดูดีมาก นั่นทำให้เบลล์รู้สึกแย่เข้าไปอีก เธอแอบส่งข้อความขอโทษมาให้เบลล์ ซึ่งเบลล์พยักหน้าให้ และยิ้มตอบแกนๆ
    เมื่อได้โอกาส ลอเรลเดินมานั่งข้างๆเบลล์ แต่เบลล์ไม่รู้สึกสนิทใจกับลอเรลคนนี้เลย ขนตาถูกปัดจนงอนเด้ง และดวงตาสโมคกี้ อายส์ก็ดูไม่คุ้นเคย
    “เธอนั่งกับใครที่โรงอาหารน่ะ” ลอเรลถามน้ำเสียงสำนึกผิด
    “มันเรื่องเล็กหรอก ลอรี่ อีกอย่างฉันไม่ได้กินข้าว ไม่ต้องห่วง ฉันไม่หิว” เบลล์รีบพูดตอนท้าย เมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อน
    “โอเค ถ้าเธอว่างั้น แล้วเธอคิดว่าทรงผมใหม่ของฉันเป็นยังไง”
    “มันดูดีนะ แต่ดูไม่ใช่เธอเลย” เบลล์สบตาลอเรล เธอไม่โกรธลอเรลแล้ว เธอเสียใจมากกว่า
    ลอเรลชวนเบลล์ไปทานข้าวเย็นเห็นการไถ่โทษ แต่เบลล์ไม่อยากไปจึงหาข้ออ้าง
     “ต้องไปช่วยป้าจัดร้าน จะฮัลโลวีนแล้ว” ความจริงแล้วป้าซาห์ราให้เธอไปช่วยสัปดาห์หน้าต่างหาก
    เบลล์ตรงกลับอพาตเมนต์ทันที เธอเข้าไปในลิฟต์อย่างไม่เต็มใจ แม้จะพอใจที่ไม่ต้องมีเพื่อนร่วมลิฟต์
    ลิฟต์กระจกสามด้านสะท้อนเงาของตัวเองที่เบลล์อยากหลีกหนี แต่แสงไฟที่สว่างไสวราวกับจะยิ่งกดดันให้เธอต้องเผชิญหน้ากับตนเองให้ได้ เบลล์หลับตาตลอดเวลาที่อยู่ในลิฟต์ และโล่งใจที่ประตูลิฟต์เปิดออกเสียที
    ห้อง1705ดูอยู่ไกลเหลือเกินในโถงทางเดินที่ทอดยาว
     
    เบลล์อาบน้ำทันที เผื่อว่าน้ำจะช่วยให้เธอสบายใจขึ้น เธอแทบไม่รู้ตัวว่าหยิบเสื้อตัวไหนมาใส่
    ลมหนาวพัดเข้ามาวูบหนึ่ง หญิงสาวจึงสังเกตว่าประตูระเบียงบานเลื่อนเปิดอยู่ ผ้าม่านโปร่งแสงปลิวด้วยแรงลม เธอเดินไปหาระเบียง งงงวยด้วยจำได้ว่าทีแรกมันปิดสนิทอยู่ แทนที่จะปิดมัน เธอเปิดประตูออกกว้าง ก้าวออกไปยืนบนระเบียงเล็กๆ  สองมือจับราวระเบียง
    เสียงความวุ่นวายข้างล่างลอยแว่วขึ้นมาบางๆ แล้วความรู้สึกโดดเดี่ยวก็จู่โจมจิตใจที่กำลังเปราะบาง ความท้อแท้สิ้นหวังห่มคลุมร่างที่สั่นเทิ้มอยู่แล้วเพราะความหนาว เบลล์มองไปไกลสุดสายตาผ่านม่านน้ำตา เธอได้ยินเสียงตัวเองถามว่า เบลล์  เธอเป็นใครกันแน่
    หนึ่งในคำถามร้ายกาจที่เบลล์เฝ้าถามตัวเองตั้งแต่เด็ก คำถามนี้จะคอยวนเวียนผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราวในสถานการณ์ที่ต่างกันไป เบลล์นึกภาพใบหน้าตนเอง เหมือนเธอเป็นคนอื่นที่มองมาที่ผู้หญิงชื่อ เบลล์ ฮาตเวล
    ผู้หญิงคนหนึ่งที่แสนธรรมดา ออกจะงี่เง่าด้วยซ้ำ ที่หลงคิดว่าตัวเองพิเศษกว่าใคร แต่ก็เป็นได้แค่คนไม่สะดุดตา ไม่เป็นที่จดจำ
    เสียงแตรรถยนต์จากถนน เตือนสติเบลล์ว่า เธอกำลังยืนอยู่บนระเบียง คลายนิ้วที่จับราวระเบียงแน่น แล้วมองลงไปจากความสูงสิบเจ็ดชั้น
    คนเดินถนนข้างล่างดูตัวกระจิ๊ด เล็กน้อยไม่สลักสำคัญ ตัวเธอก็คงเป็นเช่นนั้น จู่ๆพื้นคอนกรีตสีเทาของทางเท้าก็ดูจะดึงดูดเธออย่างไร้สาเหตุ
    บางที มันอาจจะง่ายมากก็ได้
    เบลล์ปีนขึ้นยืนบนราวระเบียง รู้สึกสงบอย่างประหลาด
    ทันใดนั้น เสียงแตรดังยาวจากคนขับใจร้อนดังขึ้น เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นตามมา ทำลายความเงียบสงบอันตรายเมื่อครู่
    เบลล์สะดุ้ง ลืมตาเมื่อรู้ว่ากำลังเสี่ยงแค่ไหน ก็ตกใจหงายหลังลงบนพื้นระเบียง
    เจ็บจากที่ตกลงมากระแทกพื้น เบลล์คลานไปรับโทรศัพท์ หัวใจเต้นรัว เธออยากคุยกับใครก็ตามที่ช่วยชีวิตเธอไว้ แม้เขาจะไม่รู้ตัวก็ตาม
    “ฮัลโหล” เบลล์พูดกลืนน้ำลาย เมื่อคิดว่าน้ำเสียงตื่นๆไปหน่อย
    “ขอเรียนสาย คุณฮาตเวลครับ”เสียงปลายสายพูด
    “คุณหมายถึง ซาห์รา ฮาตเวลหรือคะ อยู่ที่ร้านดอกไม้ค่ะ”
    “แล้วคุณคือ...”
    “หลานสาวเขาค่ะ”
    ปลายสายเงียบไปอึดใจ แล้วสายก็ถูกวางไป
    เบลล์ถือสายโทรศัพท์ ยืนฟังเสียงสัญญาณ ตื๊ด ตื๊ด อยู่อย่างนั้นแล้วค่อยวางสาย แม้ป้าซาห์ราจะกลับมาในเวลาต่อมา เบลล์ก็ลืมเรื่องนี้ไปสนิท
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
    เบลล์ชอบใจที่พรุ่งนี้ไม่ต้องไปวิทยาลัย เธอไม่อยากเจอหน้าใคร ไม่อยากสู้หน้าใครแม้แต่ตัวเอง
    เมื่อถึงวันศุกร์ เบลล์จำใจไปวิทยาลัย ภาวนาว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แต่เบลล์ก็ต้องบอกตัวเองว่าคิดผิด ทันทีที่เธอเห็นเทรเวอร์กับนาตาชานัวเนียกันที่ม้านั่งใกล้ทางเข้า
    เบลล์ไม่เล่าเรื่องนี้ให้ลอเรลฟัง เธอไม่อยากทำตัวให้ดูน่าสมเพชมากไปกว่านี้ และถึงจะอยากเล่าก็ไม่มีโอกาสได้เล่าเอล็กซ์กับลอเรลแทบจะไม่ห่างกันเลย เว้นแต่ตอนไปเรียนเท่านั้น อีกประการลอเรลถูกอิทธิพลอีโมครอบงำ เธอแต่งหน้าเหมือนพวกนั้น ซึ่งเบลล์กล้าพนันเลยว่าพ่อแม่เธอไม่รู้ ถึงแม้เสื้อผ้าจะดูเป็นลอเรลอยู่ แต่ก็คงอีกไม่นาน เบลล์ไม่คุ้นเคยกับลอรี่อีโมคนนี้ เธอจึงรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวอีกครั้ง
    “เธอรู้ไหมว่า เธอมีป้ายเขียนว่า อย่ามายุ่งกับฉัน ที่เน้นด้วยสีสะท้อนแสงจากดาวคริปโตไนท์เห็นไกลร้อยเมตรอยู่บนหน้าผาก” ลอเรลพูดขึ้นหลังจากข้าวเที่ยงที่โรงอาหาร ซึ่งเบลล์ขอแค่มัฟฟินจากถาดของลอเรลเท่านั้น
    เบลล์ลูบหน้าผากอย่างอ่อนใจ
    “ฉันพูดเล่น มันเป็นคำเปรียบเปรยต่างหาก เธอเป็นอะไรเนี่ย”
    เบลล์พบว่าการหยิบใบหน้าเบื่อโลกมาใช้ก็ได้ผลดี เพราะกันคนที่อยากยุ่งกับเรา แต่เราไม่อยากยุ่งด้วยออกไปได้ ซึ่งในที่นี้คือบรรดาเพื่อนของเอล็กซ์
    “ฉันโอเค แค่เซ็งๆอะไรต่ออะไร”
    ลอเรลทำตัวห่างเหินไม่ว่าเธอจะรู้ตัวหรือไม่ ทั้งที่ลอเรลกำลังมีความสุข จะไปดึงให้เธอรู้สึกแย่ตามไปได้อย่างไร กระนั้นเบลล์ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าหากเป็นเธอที่เริ่มจีบเอล็กซ์ ไม่แน่ตอนนี้เธออาจจะยืนในที่ที่ลอเรลยืนอยู่ก็เป็นได้
    เบลล์กลับถึงอพาตเมนต์ ไม่มีข่าวคราวจากคุณและคุณนายฮาตเวลเลย จากแคลร์ก็ไม่มีเช่นกัน เบลล์เปิดแล็ปท็อป กำลังจะพิมพ์ข้อความไปหาน้องสาวที่อายุน้อยกว่าหนึ่งปี
    นิ้วมือของเบลล์ค้างอยู่ที่แป้นคีย์บอร์ด แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ จะมีประโยชน์อะไร เบลล์ปิดหน้าต่างโปรแกรม นั่งมองหน้าจออย่างว่างเปล่า
    เบลล์สนิทกับแคลร์มาก มากกว่าเพื่อนคนไหนของเธอ สองพี่น้องตระกูลฮาตเวลมีกันและกันเป็นเพื่อนสนิท และเมื่อมีเรื่องอะไรก็จะเล่าสู่กันฟัง และปรึกษาทุกข์สุขกันเสมอ ช่วงเวลาเข้านอนจะเป็นโอกาสที่ทั้งสองได้ได้นอนคุยกันถึงสิ่งต่างๆที่เจอมาในวันนั้น เหตุนี้ถึงแม้จะมีเพื่อนที่โรงเรียน เบลล์ก็ไม่ติดเพื่อน
    ภายในห้องเงียบมาก ได้ยินแต่เข็มวินาทีของเสียงนาฬิกาติดฝาผนังเดิน ความรู้สึกบีบคั้นกลั่นเป็นน้ำตาก็ไหลออกมาอาบแก้มจนแล็ปท็อปตรงหน้าเห็นเป็นรูปร่างพร่าเลือน เบลล์นั่งอยู่อย่างนั้นนานมาก ปล่อยให้น้ำตาไหล ไม่ใส่ใจจะเช็ดออก และไม่อยากลุกไปไหน กลัวที่จะต้องส่องกระจก ที่จะสะท้อนแต่ความบกพร่องของเธอออกมา เบลล์ไม่อยากแม้แต่จะเห็นหน้าตัวเอง
    เบลล์ปล่อยเวลาเดินไปเรื่อยๆ ก่อนจะปาดน้ำตาในที่สุด และลุกไปทำอาหารเย็นอย่างเชื่องช้า
    ขณะหั่นแครอทเย็นๆ เบลล์ปลอบใจตนเองว่าเป็นเพราะฮอร์โมนเท่านั้น แล้วความท้อแท้สิ้นหวังทั้งหมดนี่ก็จะหายไป ก่อนรอบเดือนมาเธอมักจะมีอาการอย่างนี้ เคมีในร่างกายผิดปกติ คล้ายโรคซึมเศร้า เพียงแต่ไม่เคยมากมายเท่านี้ และเบลล์รู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลา
    มือขวาที่ถือมีดเล่มยาวไม่สมกับการใช้หั่นผัก เลื่อนขึ้นมาถึงคอ และวางลงบนบ่า โละหะเย็นสัมผัสกับผิวอุ่น เบลล์หลับตา ไม่ได้ยินเสียงโฆษณาจากโทรทัศน์แม้แต่น้อย เธอค่อยๆขยับใบมีดลึกเข้าไปอีก เสียงหนึ่งกระซิบข้างหูว่า ลองดูสิ ลองดู
    เบลล์รู้สึกเหมือนกำลังตอบความสงสัยของตัวเอง เธอบรรจงกดน้ำหนักลงที่ใบมีด
    เสียงอ่านบัตรดัง เบลล์สะดุ้ง ใบมีดเลื่อนบาดคอลงมาจนถึงไหปลาร้า เธออุทานอย่างตกใจ
    ป้าซาห์รารีบวางของลง วิ่งเขามาหา “เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมมันบาดตรงนั้นได้ล่ะ” เธอมองแผลที่ไม่ลึกอย่างคลางแคง แต่พอเห็นใบหน้าเปียกน้ำตาของเบลล์ เธอก็ไม่พูดอะไรอีก แต่กอดหลานสาวแน่น
    “มีอะไรก็ปรึกษาป้าได้ พรุ่งนี้ไปช่วยงานที่ร้านดอกไม้ดีกว่านะ” เธอไม่อยากทิ้งเบลล์ไว้คนเดียวอีก “ดูหลานสิ ดูแลตัวเองบ้างนะ ไปร้านทำผมกับป้า ลองเปลี่ยนทรงผมดู ป้าว่าหลานไปโรงยิมด้วยก็ดีนะ ออกกำลังกายเสียบ้างจะได้สดชื่น”
    เบลล์พยักหน้าเฉยๆ เธอรู้ว่าไม่มีแม้แต่อย่างเดียวที่ป้าพูดมาที่จะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้
     
    วันเสาร์เป็นอีกวันที่ต้องนับกุหลาบให้คุณบาทอรี่ ครั้งนี้ราบรื่นดีไม่ต้องรีบร้อนเหมือนวันก่อน  วันพุธวนมาถึงอีกครั้ง รถเบนลีย์สีดำมันปลาบแล่นมาจอดข้างทางเท้าอย่างนุ่มนวล
    เบลล์พยายามมองเข้าไปในรถคันยาว มาเรียเคยบอกไว้ว่าคุณบาทอรี่ไม่ได้นั่งมาด้วยทุกครั้ง แต่ดูเหมือนครั้งนี้เบลล์จะเห็นร่างหนึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลังผ่านทางช่องจากกระจกหน้าต่างที่เลื่อนลง แม้ป้าซาห์ราจะบังจนเกือบมิด ภายในรถมืดมากจนเห็นเป็นเพียงเงาเท่านั้น ไม่เห็นรายละเอียดใดกว่านี้แล้ว เธอกลับมามีสมาธิกับงานที่ทำต่อ
    ไม่ทันรู้ตัวในมือถือคัตเตอร์คู่กรณีอันเดิมอยู่ เบลล์ยกมันขึ้นระดับสายตาพิจารณาคมของมัน แลัววางทาบบนฝ่ามือที่ยังมีผ้าพัน ก่อนจะเลื่อนเข้ามาหาข้อมือ แล้วเกิดความสงสัยว่าคนที่กรีดข้อมือเขาทำอย่างไร เธอเหลือบมองมาเรียผู้ยังคงสาละวนกับริบบิ้น
    แล้วพวกกรีดแขนตัวเองล่ะ
    เธอกรีดเบาๆที่ท้องแขนหลายรอยเบาๆ เป็นแค่รอยถลอกแดงๆบนเนื้อขาว ไม่มีแผล ป้าซาห์ราก็เข้ามาเสียก่อน
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
    น้ำยากลิ่นฉุนที่ป้าซาห์ราต้มอยู่หลังร้าน ใช้เวลาต้มนานมาก พอได้ที่ก็จะบรรจุใส่ขวดวางไว้อย่างดี แล้วป้าก็จะต้มใหม่อีกหม้อ พอถามว่าอะไร ป้าก็ตอบแค่ว่า ยาสมุนไพร และแม้จะถามว่าแก้อะไร ป้าก็ตอบว่า
    “หลานไม่ต้องใช้มันหรอกจ้ะ และภาวนาว่าจะไม่ต้องใช้มันด้วย” ประโยคหลังเหมือนพึมพำกับตัวเอง
     วันนี้เบลล์ไม่มีเรียนเธอมาช่วยงานที่ร้านทั้งวัน ยาสมุนไพรสีน้ำตาลตอนนี้เรียงกันได้กว่าสิบขวดแล้ว หลังช่วยกรอกยาลงขวดก็ไม่มีงานอะไรให้ทำเบลล์จึงขออนุญาตออกไปเดินเล่น
    เบลล์เดินทองย่องไปเรื่อยๆ หยุดดูนั่นนี่ตามสนใจ แล้วเท้าก็พามาหยุดยืนอยู่หน้าโบสถ์หลังหนึ่ง
    โบสถ์เซนต์มาร์กตั้งตระหง่านอยู่ต่อหน้าเบลล์ ผู้หญิงคนหนึ่งจูงลูกเปิดประตูไม้บานใหญ่ของโบสถ์อย่างยากลำบาก เบลล์ซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นช่วยง้างประตูไว้ และการกระทำเช่นนั้นทำให้ตัวเธอกว่าครึ่งเข้ามาอยู่ข้างในด้วย เธอมองโบสถ์จากทางเข้า แล้วจึงรู้ตัวว่าไม่ได้เข้าโบสถ์เลยตั้งแต่ย้ายมา เธอเดินเข้าไปช้าๆ
    บรรยากาศของโบสถ์เงียบและมืดทึม เทียนไขถูกจุดตามมุมต่างๆ วันนี้ไม่ใช่วันอาทิตย์คนจึงน้อย เบลล์ถอดเสื้อหนาวออกพาดแขนไว้
     เบลล์นั่งลงที่ม้านั่ง เธอจ้องมองไม้กางเขนเนิ่นนาน ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ละสายตาจากใบหน้าทุกข์โศกของพระผู้ไถ่ แล้วจับได้ว่ามีคนกำลังมองอยู่
    เบลล์สะดุ้ง ที่ม้านั่งตัวหน้า ชายคนหนึ่งนั่งหันมาที่เธอ แขนสองข้างวางราบกับพนัก คางวางเกยบนมือ ดวงตาสีเหลืองส่องประกายในแสงสลัว และเจ้าของตาคู่นั้นกำลังยิ้มอย่างกระหาย
    ทันทีที่เธอรู้ตัว รอยยิ้มและแววตาน่าสะพรึงก็หายไปทันทีกลายเป็นนัยน์ตาสีอำพันสุกสว่างแทน จนเบลล์ไม่แน่ใจว่า เธออาจคิดไปเอง หรือเป็นเพราะแสงในนี้ซึ่งเธอไม่ชินเล่นตลกก็ได้
    “ขอโทษที่ทำให้ตกใจ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
    เบลล์ยักไหล่และยิ้มตอบ เป็นผู้ชายคนนั้นเองที่เธอชนหน้าลิฟต์ ใบหน้านี้ที่เธอไม่มีวันลืม เบลล์ใจเต้นโครมคราม
    “นี่ไม่ใช่วันอาทิตย์” เขาตั้งข้อสังเกต “คนที่มาโบสถ์วันธรรมดานี่ ผมเดาว่าไม่ใช่คนเคร่งศาสนาขยันมาโบสถ์หรอกนะครับ” เขาจ้องเข้าไปในดวงตาของเบลล์ และพูดต่อ”ตรงกันข้าม เป็นคนที่แทบจะไม่ได้มาต่างหาก ที่มาก็เพราะมีเรื่องร้อนใจที่บอกใครไม่ได้“                     
    เบลล์รวบรวมสติ ทั้งที่ยังงงงวยอยู่ เธอไม่ได้มองว่าการที่เขาพูดอย่างนั้นเป็นการกล่าวร้าย แต่คิดเสียว่าป็นการเริ่มชวนคุย นึกสงสัยว่าเขาจะรู้ไหมว่านี่เป็นการพบกันครั้งที่สองของพวกเขา เธอตื่นเต้นที่พบเขาอีกครั้ง โดยเฉพาะสถานที่ไม่คาดฝันเช่นโบสถ์ แต่การที่เขาคุยกับเธอก่อนมันก็อีกเรื่อง
    “ก็ใช่ แล้วคุณล่ะ”
    เขาไม่ตอบ แต่มองไปที่รอยแผลยาวตกสะเก็ดที่คอ ผ้าพันแผลที่ฝ่ามือ และบางทีอาจจะสังเกตเห็นรอยถลอกจางๆที่ท้องแขนด้วย
    “มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด” เบลล์คว่ำแขนลง และดึงคอเสื้อให้ปิดรอยแผล
    “แล้วคุณรู้หรือว่าผมคิดอะไร” ชายแปลกหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ ยืดตัวขึ้น
    เบลล์รู้สึกอาย เธอไม่น่าย้อนเขาอย่างนั้นเลย
    “แล้วคุณชื่อ ——
    “เบลล์ค่ะ”
    เขาพยักหน้า มองข้ามไหล่เธอไปที่ม้านั่งอีกฝั่ง เบลล์กำลังจะถามชื่อเขา แต่ก็รอเขาแนะนำตัวเอง ยังสับสนกับตัวเองอยู่ว่าเหตุใดถึงบอกชื่อไปง่ายดาย
    “ผมคงต้องขอตัวก่อน” เขาลุกขึ้นยืน
    “เชิญค่ะ” เบลล์พูดอย่างเสียดาย แต่ก็ปล่อยเขาจากไป
    บาทหลวงท่าทางระมัดระวังจ้ำเข้ามาหาเธอ “ขอโทษนะลูก เมื่อครู่ลูก——ไม่สิ ลูกมีอะไรที่พ่อพอช่วยได้ไหม”
    นักบวชชะเง้อมองไปที่ด้านหลังของเบลล์ เธอหันหลังมองตาม หวังว่าจะเห็นชายลึกลับ แต่ก็ไม่เห็นร่างสูงนั้นแล้ว พร้อมกับที่สงสัยว่าเธอดูแย่ขนาดต้องการความช่วยเหลือเลยหรือ
    “ขอบคุณค่ะ แต่ไม่มีอะไรค่ะ” เธอตอบอย่งสุภาพที่สุด
    เบลล์เพิ่งสังเกตว่าเขามีส่วนคล้ายคลึงกับเอมมี่ วูดมอร์มาก
    “ถ้าลูกมีปัญหา ที่นี่บ้านของพระเจ้า”บาทหลวงผายมือ”ต้อนรับลูกเสมอ พ่อ สาธุคุณวูดมอร์”
    เบลล์อ้าปากจะบอกชื่อ แต่พ่อของเอมมี่รีบห้าม มีสีหน้าลำบากใจ
    “ไม่จำเป็นๆ ถ้าลูกไม่อยากบอก ลูกฟังนะ ลูกคิดถูกแล้วที่มาโบสถ์ พึ่งพระเจ้า ไม่ว่าลูกกำลังเผชิญกับวิกฤตอะไร ลูกต้องเข้มแข็ง อย่าให้ เอ่อ ความชั่วร้ายเอาชนะลูกได้ ปรึกษาพ่อได้ถ้าลูกมีปัญหา รอพ่อสักครู่ พ่อมีอะไรจะให้”
    สาธุคุณกระวีกระวาดจากไป เบลล์มองไปรอบโบสถ์อย่างอิสระ ขณะกำลังนึกทบทวนบทสนทนาแปลกๆของเธอกับชายหนุ่ม และนักบวช เธอก็ชั่งใจว่าควรรีบเผ่นก่อนสาธุคุณกลับมา เบลล์ลุกขึ้นทันทีพุ่งไปที่ประตู
    เบลล์กลับถึงร้าน บอกตัวเองว่าจะไม่เหยียบโบสถ์เซนต์มาร์กอีก ป้าซาห์ราลากเธอไปร้านทำผม และสมัครโรงยิม (“ไปซะเถอะ เผื่อจะเจอคนถูกใจนะ ลำพังแค่ฟิตเนสของอพาตเมนต์มันแห้งแล้งจะตายไป”)
    ------------------------------------------------------------------------------------*ปกติไปโบสถ์วันอาทิตย์กันค่ะ*
      ใครไม่เข้าใจคำว่าอีโม ลองเซิจกูเกิลดู ‘emo boy’ อีโมเขาเท่ไม่เหมือนบ้านเราเลย
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×