ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • Cruel {Baekhyun ft.sehun chanyeol kris kai luhan} 。

    ลำดับตอนที่ #11 : + OS + Together ChanBaek ft.Sehun ll ตอบคำถามเรื่องอุ้ม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.01K
      3
      10 ต.ค. 56




    + Together + ChanBaek ft.Sehun

                “กลับไปเลย จะไปตายที่ไหนก็ไป!”  ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินจากปากของเพื่อนสนิทตัวจ้อยดังก้องอยู่ในหัวผมซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่อาทิตย์ก่อน ผมชำเลืองมองเพื่อนซี้สุดรักอีกคนที่นั่งซึมอยู่ข้างๆ อย่างอดห่วงไม่ได้ เพราะเพื่อนรักของผมถูกแฟนหนุ่มของตัวเองไล่ตะเพิดออกมาจากคอนโดสุดหรู

                คุณฟังไม่ผิดหรอกนะ เพื่อนของผมชื่อ ‘ชานยอล’ เขาเป็นผู้ชายและมีแฟนชื่อ ‘แบคฮยอน’ ซึ่งเป็นผู้ชายเหมือนกัน...พวกเขาผิดแปลกผมรู้ และนี่คือต้นเหตุที่เขาต้องทะเลาะกันจนถึงขั้นแยกทางกัน เพราะพ่อแม่ของชานยอลดูเหมือนจะรับไม่ได้ที่ลูกชายเพียงคนเดียวต้องมากินอยู่หลับนอนกับผู้ชายด้วยกัน พวกท่านอยากมีหลานไว้สืบทอดตระกูล นั่นแหละ พวกท่านจึงได้ทำทุกวิถีทางให้สองคนนี้เลิกกัน และมันก็สำเร็จในที่สุด

                “เมื่อไรจะตายซักที อยู่แบบนี้ก็ทรมาณ...” ผมหันไปมองคนที่พูดจาเลื่อนลอยราวกับไม่มีชีวิตอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ตั้งแต่แยกทางกันชานยอลก็เอาแต่นั่งบ่นพึมพำว่าอยากตาย ผมย้ายมาอยู่ที่บ้านชานยอลเพราะพ่อแม่มันขอไว้ พวกท่านอยากให้มันมีเพื่อนคอยปลอบ แต่ดันไม่ยอมให้กลับไปคบกับแบคฮยอน ซึ่งนี่ล่ะ ผมคิดว่ามันคือปัญหาใหญ่...คนรักกันไปจับเขาแยกกันแล้วจะให้เขามีความสุขได้อย่างไร?

                “ฉันต้องไปต่างจังหวัดสามวัน นายอยู่คนเดียวได้ไหมวะ” หันไปพูดกับเจ้าของห้องด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าเพื่อนสนิทตัวเองจะอยู่คนเดียวแล้วจิตตกเขาไปใหญ่ คำตอบที่ได้กลับมาคือการพยักหน้า แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ค่อยมั่นใจนักหรอกว่ามันจะอยู่คนเดียวได้ ผมจึงกำชับแม่บ้านเอาไว้ว่าให้เข้าไปดูชานยอลทุกๆ ครึ่งชั่วโมง

                ผมชื่อเซฮุนเป็นเพื่อนกับชานยอลและแบคฮยอนมาตั้งแต่มัธยมปลาย ต่างจากที่ชานยอลรู้จักกับแบคฮยอนตั้งแต่อยู่ประถม มันน่าจะเป็นความโชคดีแกมโชคร้ายของพวกเขาทั้งคู่ ที่เกิดมาเป็นเพื่อนกัน สนิทกัน เข้าใจกัน แปรเปลี่ยนเป็นรักกัน จนกระทั่งต้องเลิกรากัน หากแต่ไม่ได้เลิกกันเพราะความสมัครใจเท่านั้นเอง พ่อแม่ของชานยอลส่งคนไปรุมทำร้ายแบคฮยอนเพื่อที่จะได้กำจัดแบคฮยอนออกไปจากชีวิตของชานยอลจนแบคฮยอนทนไม่ไหวกับการถูกบีบบังคับจนต้องไล่ชานยอลออกมาวันนั้น...มันฟันดูเป็นนิยายน้ำเน่าไหม? แต่เชื่อผมเถอะ เรื่องมันเกิดขึ้นจริงๆ

                ระหว่างที่ผมมาทำงานที่ต่างจังหวัด ผมก็คอยโทรเช็คชานยอลทุกๆ ชั่วโมงเพราะผมกลัวมันจะคิดสั้นจริงๆ แต่พอย่างเข้าวันที่สองของการทำงาน ผมกลับไม่มีเวลาว่างปลีกตัวมาโทรเช็คเพื่อนตัวโตของผมเลย ผมกะว่าเคลียร์งานเสร็จจะโทรหาชานยอลก่อนนอน แต่ความเหนื่อยล้าก็ทำให้ผมเผลอหลับไป คืนนั้นเอง ผมฝันว่าชานยอลเดินเข้ามาหา เขาบอกกับผมว่าผมเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาคนหนึ่ง เขาไม่ต้องการให้ผมมาคอยเป็นห่วงตลอดเวลา ผมควรจะมีชีวิตที่เป็นอิสระแล้วไม่ต้องมาพะว้าพะวงกับเพื่อนอย่างเขา เขากล่าวขอบคุณและทิ้งประโยคสุดท้ายก่อนที่ผมจะสะดุ้งตื่น ‘อย่าโทษตัวเอง’

              ผมสะดุ้งตื่นหลังจากที่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังถูกดูดลงไปในหลุมอากาศอะไรซักอย่าง สะบัดหน้าช้าๆ ไล่ความมึนงงออกไป ผมคว้าโทรศัพท์เครื่องหรูที่วางไว้บนหัวเตียง ก่อนจะกดโทรออกต่อสายไปยังคนที่ผมเพิ่งฝันถึงเมื่อครู่ แต่ก็ไร้การตอบรับ หน้าจอโทรศัพท์บ่งบอกเวลาว่าตีหนึ่งกว่าใกล้จะตีสองแล้ว ผมพยายามคิดถึงแต่สิ่งที่ดีว่ามันดึกแล้ว ชานยอลคงหลับและขี้เกียจตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ผมเป็นแน่ คิดได้ดังนั้นผมก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้งด้วยความอ่อนล้า

                หากแต่ข่าวร้ายก็มาถึงผมในที่สุด ขณะที่ผมกำลังนั่งรถกลับกรุงเทพฯ ในช่วงบ่ายอยู่นั้น โทรศัพท์จากทางบ้านชานยอลก็โทรเข้ามา แม่ของชานยอลแจ้งข่าวร้ายให้ผมได้รับรู้ ผมอึ้งและช็อคอยู่นานก่อนจะเรียกสติตัวเองกลับมา สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วโทรไปหาแบคฮยอนเพื่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้แบคฮยอนฟัง

                แม่บ้านเล่าให้แม่ของชานยอลฟังว่าตอนเก้าโมงเช้า ชานยอลลุกขึ้นมานั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง จ้องมองแต่เงาตัวเองในกระจกไม่พูดไม่จา เธอขึ้นมาอีกทีหลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ชานยอลก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ลุกไปไหน จนสิบโมงกว่าแล้วเธอจึงเดินเข้าไปหาพยายามพูดคุยให้คุณชายของบ้านทานอะไรบ้าง แต่สิ่งที่เห็นคือใบหน้าหล่อเหลาที่ไร้สีเลือดกับร่างไร้ลมหายใจที่นั่งจ้องกระจกอยู่อย่างนั้น ในฝ่ามือข้างซ้ายของชานยอลกำแหวนเพชรราคาแพงวงหนึ่งเอาไว้ ซึ่งมีการแกะสลักไว้ในวงแหวนด้านในด้วยชื่อของแบคฮยอน และกล่องแหวนด้านข้างที่เปิดฝากล่องแล้วจะเห็นข้อความว่า ‘Will you marry me?’

                หลังจากที่ผมจบ แบคฮยอนไม่ได้ตอบกลับอะไร ไม่มีแม้แต่เสียงร้องไห้หรือเสียงหายใจ จนผมมาทราบอีกทีก็ตอนที่พี่ชายของแบคฮยอนโทรมาบอก บอกว่าแบคฮยอนสลบไปหลังจากที่คุยกับผม เขาถามผมว่าผมพูดอะไร ผมจึงเล่าให้เขาฟังทั้งหมดอีกครั้ง พี่ชายของแบคฮยอนดูจะตกใจมาก และถามกับผมว่า ‘ชานยอลเสียกี่โมงเซฮุน? เมื่อวานคนในบ้านเห็นชานยอลยืนอยู่หน้าบ้านมองแบคฮยอนตรงหน้าต่างแทบทั้งคืนเลย ไม่พูดไม่จากับใคร แม่พี่ไล่ก็ไม่กลับ จนพวกเราจนปัญญาเลยปล่อยเขาเอาไว้’

                เย็นวันนั้นเราก็ได้รับผลชันสูตรจากแพทย์ที่โรงพยาบาล เราทราบว่าชานยอลเสียชีวิตเพราะหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลันจากอาการตรอมใจจนร่างกายช็อก และสิ่งสุดท้ายที่รับรู้จากแพทย์คือ...ชานยอลเสียชีวิตตั้งแต่สองทุ่มของคืนก่อน...สองทุ่ม...ก่อนที่ผมจะฝันเห็นเขาตอนตีหนึ่ง และเป็นช่วงเวลาที่คนในบ้านของแบคฮยอนเห็นชานยอล

                งานศพเป็นไปด้วยความเรียบง่าย ถึงพ่อแม่ของชานยอลจะรู้แล้วว่าการแยกลูกชายหัวแก้วหัวแหวนออกมาจากคนรักไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมาเลย ซ้ำยังได้ข่าวร้ายและการสูญเสีย แต่ก็นั้นแหละ พวกท่านรู้ตัวช้าไป แบคฮยอนได้รับเชิญมางานศพของชานยอลโดยไร้การจงเกลียดจงชังจากพ่อแม่ของชานยอลแล้ว พวกท่านได้แต่กล่าวขอโทษและร่ำไห้กับการสูญเสีย ส่วนแบคฮยอน...เขาไม่มีสีหน้าและแววตาที่แสดงออกใดๆ เลย ไม่มีหยดน้ำตา หรือความโศกเศร้า แต่อาการเงียบตลอดงานนั่นแหละที่บ่งบอกว่าเขากำลังเสียใจ...ผมคิดว่าน่าจะใช่

                ระหว่างในงานศพ ผมนั่งถัดจากแบคฮยอนไปสองเก้าอี้ ผมแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกัน ผมหันไปมองทางต้นเสียงก็พบกับแบคฮยอนที่จุดยิ้มขึ้นมุมปาก คิ้วเข้มของผมขมวดขึ้นเล็กน้อย แบคฮยอนยิ้มอย่างนั้นเหรอ? ยิ้ม...ในงานศพของคนรัก? ผมส่ายหน้าช้าๆ ไล่ความคิดอกุศลออกไปจากหัว ในระหว่างนั้นเองหางตาของผมเหลือบไปเห็นใครสักคนที่นั่งกอดแบคฮยอนอยู่ ผมหันไปมองแทบจะทันทีว่าคนที่กอดคือใคร แต่เปล่าเลย ไม่มีใครกอดแบคฮยอน เก้าอี้แถวหน้ามีแค่ผมและแบคฮยอนเท่านั้นที่นั่งอยู่ แล้วใครล่ะที่กอดแบคฮยอน ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้เพ้อนะ แต่ผมมั่นใจว่าผมเห็นคนนั่งกอดแบคฮยอนอยู่จริงๆ...

                “แบคฮยอน...” ผมลุกขึ้นไปนั่งข้างๆ เพื่อนรักอีกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ผมเรียกเขาเบาๆ เจ้าตัวละสายตาที่ทอดมองไปข้างหน้าราวกับจ้องใครอยู่

                “นายโอเคดีใช่ไหม?”

                “อืม...โอเคดี” แบคฮยอนระบายยิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนจะหันหน้ากลับไปและดูเหมือนจะกำลังจมอยู่ในโลกของตัวเอง และผมก็รับรู้ได้ว่าเสียงพูดคุยที่ได้ยินแว่วๆ ในตอนแรกมาจากคนข้างๆ ผมนั่นเอง แบคฮยอนกำลังพึมพำเบาๆ และหันไปอีกด้านหนึ่งที่ไม่มีคนนั่งอยู่ ผมเอี้ยวหน้าเข้าไปใกล้กับแบคฮยอนอีกเล็กน้อยเพื่อจะฟังดูให้แน่ใจว่าสิ่งที่ผมได้ยินน่ะถูกต้องรึเปล่า

                “เซฮุนทำอะไร?” หากแต่ยังไม่ทันได้แอบฟังเพื่อนสนิทดีนัก เจ้าตัวก็หันกลับมาทำหน้าดุใส่ผมซะอย่างนั้น

                “คะ คือ...เหมือน...เหมือนฉันเห็นนายกำลังคุยกับใคร...” แบคฮยอนชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มให้ผมอย่างที่ชอบทำบ่อยๆ แบคฮยอนขยับตัวออกห่างจากผมเล็กน้อย...ไม่สิ...ไม่ใช่ถอยห่างจากผม...แต่ท่าทางของแบคฮยอนนั้นเหมือนกับกำลังขยับตัวเข้าไปเบียดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสียมากกว่า

                “นายไม่เห็นเขางั้นเหรอเซฮุน?”

                “หะ เห็น? เห็นอะไร?”

                “ชานยอลไง...” ตอบกลับด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันหน้าไปยิ้มให้กับอากาศด้านข้าง ดวงตาของผมเบิกกว้างทันทีที่ได้ฟังเพื่อนตัวเล็กพูดจบ...เห็นชานยอลงั้นเหรอ!

                “ตะ ตลกน่าแบคฮยอน ไอ้ชานยอลมันนอนอยู่ใน...”

                “อยู่ตรงนี้...ชานยอลนั่งอยู่ข้างๆ ฉันล่ะ”

                “!!!” ความรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกบีบรัดก่อตัวขึ้นในร่างกายผมทันที ทั้งๆ ที่อากาศไม่ได้หนาวเย็น หากแต่เส้นขนตามตัวของผมกำลังลุกชัน ผมส่ายหน้าหวืออย่างไม่อยากจะเชื่อคำพูดขอคนตรงหน้า และผมคิดว่าบางทีเพื่อนของผมอาจจะแค่คิดไปเองเพราะรักแฟนมากจนเกินไป

                “นายไม่เชื่อฉันเหรอเซฮุน?” ใบหน้าเรียวหันกลับมามองผมอย่างไม่สบอารมณ์นัก เขาสบถออกมาเบาๆ เหมือนกำลังหงุดหงิดกับผมที่ไม่ยอมเชื่อเขา

                “ชานยอลตายไปแล้ว จะมานั่งอยู่ข้างนายได้ยังไงกัน! บางทีนายอาจจะเห็นภาพหลอน!” ผมเผลอตวาดเพื่อนรักตัวเองออกไปอย่างลืมตัว แม้เสียงจะไม่ได้ดัง แต่น้ำเสียงแข็งกระด้างที่ผมใช้ก็บ่งบอกความรู้สึกของผมได้อยู่ แบคฮยอนไม่ได้มีท่าทีโกรธหรือโมโหผมที่ผมดันไปตวาดใส่เขา แต่ดวงตาที่สั่นระริกนั่นกลับแสดงออกให้เห็นชัดว่าเขากำลังจะร้องไห้

                “ทำไมล่ะ...ทำไมต้องตอกย้ำ...ชานยอลตายแล้วฉันรู้ แต่ฉันก็ยังได้อยู่กับเขา แม้มันจะคนละโลกกันก็ตาม แต่นายอย่ามาตอกย้ำฉันอีกว่าฉันกับเขากำลังต้องจากกัน ฉันขอร้อง...”

                “นายกำลังเพ้อและอาจเห็นภาพหลอนนะแบคฮยอน!”

                “ภาพหลอนทำให้ฉันอุ่นใจและมีความสุขได้ขนาดนี้เลยเหรอเซฮุน?” น้ำใสๆ ไหลรินออกมานอกดวงตาเรียวรีของเพื่อนรักผม เขาลุกขึ้นแล้วเดินหนีผมไปโดยไม่หันหลังกลับ...เสี้ยวหนึ่งของการได้มองตามแผ่นหลังของเขา ผมเห็นร่างสูงของใครบางคนกำลังโอบไหล่แบคฮยอนเดินออกไป แต่เมื่อผมกระพริบตาเพียงครั้งเดียว สิ่งที่ผมมองเห็นว่ามีตัวตนอยู่ข้างแบคฮยอนก็หายไป...ตลกน่า...นี่ผมชักจะเห็นภาพหลอนบ่อยเกินไปแล้วนะ!

                หลังจากงานศพผ่านไปได้สองอาทิตย์ผมก็ยังคงติดต่อกับแบคฮยอนตามประสาเพื่อนสนิทที่อยู่ด้วยกันมานานเหมือนเดิม โดยที่ผมและเขาต่างไม่เอ่ยถึงเรื่องในงานศพวันนั้นอีกเลย ศพของชานยอลจะยังไม่เผาจนกว่าจะครบร้อยวันตามพิธีทางศาสนาของคนไทย แต่สิ่งที่แปลกออกไปจนเห็นได้ชัดคือทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมแบคฮยอนที่บ้าน ไปหาพ่อแม่ของเขาเหมือนอย่างปกติที่ชอบทำตั้งแต่ชานยอลยังมีชีวิตอยู่ แบคฮยอนมักจะมีรอยยิ้มและท่าทางที่ร่าเริงอยู่เสมอ ร่าเริง...เหมือนไม่ได้เสียคนที่รักไป

                พ่อกับแม่เล่าให้ผมฟังว่าแบคฮยอนมักจะชอบเก็บตัวอยู่ในห้องหลังจากกลับมาจากที่ทำงาน บางวันเพื่อนที่ทำงานของแบคฮยอนที่ค่อนข้างสนิทกันหน่อยก็จะแอบโทรมาฟ้องพ่อกับแม่ของแบคฮยอนว่า...เหมือนจะเห็นแบคฮยอนพูดคนเดียวบ่อยๆ...พวกท่านปรึกษาผมว่าแบคฮยอนจะมีอาการทางจิตหรือเปล่า ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจ ครั้นจะพาแบคฮยอนไปหาหมอ เขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หาว่าไม่เชื่อใจเขา และหาว่าผมไปดูถูกเขาทำให้ผิดใจกันไปเสียเปล่า

                นานวันเข้าพี่กับแม่ของแบคฮยอนก็ทนกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกชายตนเองไม่ไหว พวกท่านโทรมาปรึกษาผมให้ช่วยหาทางออก เพราะนับวันแบคฮยอนยิ่งเอาแต่ขลุกอยู่ในห้อง พ่อกับแม่จะชวนออกไปเที่ยวนอกบ้านในวันหยุดแบคฮยอนก็ไม่ยอมออก แบคฮยอนบอกพวกท่านว่าเขาอยากจะอยู่กับชานยอล อยากจะพูดคุยกันและนอนกอดกันแบบนี้ ไม่อยากเสียเวลาไปแม้แต่วินาทีเดียว ผมพยายามคิดหาทางออกอยู่นานจนนึกได้ว่าถ้าเป็นอาการทางจิตจะรักษาให้หายก็ต้องเป็นหมอ แต่ในเมื่อหมอตรวจแบคฮยอนแล้วปกติทุกอย่างผมก็คงต้องเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น

                เพล้ง!~ ผมหันไปมองกรอบรูปที่ร่วงลงมาจากฝาผนังอย่างรวดเร็ว ผมงุนงงเล็กน้อยเมื่อคิดได้ว่ากรอบรูปที่แขวนอยู่ไม่น่าจะมีอะไรทำให้มันตกลงมาได้ และก็ได้ข้อสรุปว่าสายคล้องตะปูมันอาจจะเสื่อมและขาด แต่ทว่าเมื่อพลิกกรอบรูปขึ้นมาทุกอย่างก็ยังปกติดี ไม่มีร่องรอยการชำรุดใดๆ เว้นแต่กระจกของกรอบรูปที่แตกละเอียดจนแทบมองไม่เห็นรูปผู้ชายสามคนยืนกอดคอกันอยู่ในกรอบรูป...ใช่แล้ว...รูปของผมชานยอลและแบคฮยอน

                ผมยืนมองหน้าบ้านของเพื่อนสนิทอย่างแปลกใจ ผมมองเห็นสายสินระโยงระยางตามรั้วบ้าน และทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้ามาเหยียบในบ้านของแบคฮยอน เสียงเอะอะโวยวายจากชั้นสองก็ทำให้ผมรีบเดินขึ้นไปทันที แบคฮยอนกำลังร้องไห้โวยวายราวกับคนเสียสติ พ่อกับแม่ของแบคฮยอนพยายามจับลูกชายสุดที่รักเอาไว้ และให้คนงานในบ้านนำพระเข้ามาไว้ในห้อง เป็นอันเข้าใจแล้วว่าพวกท่านทำตามวิธีที่ผมแนะนำ...ใช่...ผมบอกพวกท่านเอง และผมก็รู้ว่าสาเหตุที่กรอบรูปตกมาแตกนั้นเป็นเพราะอะไร

                หลังจากวันนั้นแบคฮยอนก็ซึมเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่พูดไม่จากับใคร โดยเฉพาะผม แบคฮยอนไม่แม้แต่จะมองหน้าเพื่อนคนนี้เลยด้วยซ้ำ ผมรู้สึกผิดที่ทำให้เขาเจ็บปวด แต่เรื่องของคนกับวิญญาณมันไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปได้ แต่แล้วมันก็ผิดคาด ถึงแผนของผมจะทำให้แบคฮยอนเลิกพูดถึงชานยอล แต่อาการป่วยทางการของแบคฮยอนก็เริ่มมีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากคนที่เคยแข็งแรง ก็กลับกลายเป็นซูบผอมและมีโรคแทรกซ้อน ทั้งโรคหัวใจ โรคไต โรคมะเร็ง...ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่สีผิวที่ซีดเซียวของแบคฮยอนไม่ได้ทำให้ใบหน้าของเขามีความทุกข์เลย

                อาการของแบคฮยอนหนักขึ้นเรื่อยๆ เขาต้องนอนพักอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อดูอาการอย่างใกล้ชิด ทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมแบคฮยอนคนเดียว ผมกลับรู้สึกว่าแบคฮยอนไม่ได้อยู่คนเดียว ผมรู้สึกเหมือนมีคนคอยดูแลเขาอยู่ตลอดเวลา รอยยิ้มของคนป่วยที่ดูมีความสุข...มันน่าแปลกใช่ไหมล่ะครับ? ผมไม่อยากคิดให้มันปวดหัวมากนัก อีกไม่นานก็จะครบร้อยวันของชานยอลและก็จะถึงเวลาเผาแล้ว ผมคิดว่าอย่างน้อยๆ ช่วงเวลานี้ก็ให้เขาทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกันเสียดีกว่า

                ไม่นานอาการของแบคฮยอนก็ดีขึ้นจนหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ พ่อแม่ของแบคฮยอนดูจะดีใจมาก และผมเองก็ด้วย ผมแอบดีใจเล็กๆ ที่ในที่สุดเพื่อนสนิทที่เหลือเพียงคนเดียวของผมกำลังจะมีชีวิตที่ปกติตามเดิม ชานยอลคงใกล้จะไปอยู่ในที่ของเขาแล้วหรือเปล่าแบคฮยอนถึงได้ไม่เอ่ยปากถึงเขาอีกเลย

                กลางดึกของคืนก่อนวันเผาศพของชานยอลหนึ่งอาทิตย์ คืนนั้นผมฝันเห็นชานยอล...เขามาหาผม ยิ้มให้ผม และบอกว่าไม่โกรธในสิ่งที่ผมกีดกันเขาจากแบคฮยอน ผมยิ้มอย่างโล่งใจ เขากอดผมอย่างที่เพื่อนผู้ชายทั่วไปกอดกัน เป็นอันเข้าใจว่าเขาไม่โกรธผม และผมก็จะไม่โทษตัวเองอีกแล้วที่ดูแลเขาไม่ดีจนเขาต้องเสียชีวิตในวันที่ผมไปทำงานที่ต่างจังหวัดในวันนั้น แต่ที่น่าแปลกใจ...ในความฝันของผม ชานยอลขอร้องให้ผมพาเขาไปหาแบคฮยอน มันไม่ได้แปลกตรงที่เขาให้ผมพาเขาไปหาแบคฮยอน แต่มันแปลก...ตรงที่ผมอุ้มเขาไปหาแบคฮยอน...

                “เซฮุนลูก ช่วยแบคฮยอนด้วย แบคฮยอนหายใจไม่ออก ลูกของแม่หายใจไม่ออก...” ผมบึ่งรถจากที่ทำงานไปบ้านแบคฮยอนทันทีหลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากแม่ของแบคฮยอน ผมรีบร้อนและคิดแต่ว่าทำไมอาการเขาถึงทรุดลงกระทันหัน ผมนึกโทษหมออยู่ในใจที่ดันอนุญาตให้เพื่อนผมกลับบ้าน

                ทันทีที่ผมเห็นพ่อของแบคฮยอนและคนงานอีกสองสามคนกำลังแบกตัวแบคฮยอนขึ้นรถพยายาม ท่ามกลางความตกใจผมคิดว่ามันน่าแปลก...คนป่วยร่างกายซูบผอมจนเกือบจะเหลือแต่กระดูกแค่เพียงคนเดียวจะมาอุ้มกันทำไมสามสี่คน? ผมตัดสินใจรีบเดินเข้าไปช่วยอุ้มแบคฮยอนและก็รับรู้ได้ทันทีว่าตัวของแบคฮยอนหนักมาก...หนักจนไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

                ในขณะที่เราทุกคนอยู่บนรถของโรงพยาบาล นางพยาบาลที่อยู่ในรถพยายามใช้เครื่องช่วยหายใจกับแบคฮยอน แม่ของแบคฮยอนร้องไห้และพยายามเรียกสติของแบคฮยอนอยู่เสมอ ผมเห็นแบคฮยอนมองหน้าพ่อและแม่ของเขา น้ำตาเขาไหลลงมาเรื่อยๆ และขยับปากเพียงบางเบาเท่าที่คนป่วยคนนึงจะพูดได้ ‘ผมขอโทษ’

                ล้อของเตียงถูกหมุนด้วยความรวดเร็วก่อนที่เจ้าของร่างที่หมดสติไปจะได้เข้าห้องไอซียู ผมพาพ่อและแม่ของแบคฮยอนนั่งลงที่หน้าห้องและคอยพูดปลอบเขาว่าแบคฮยอนจะต้องไม่เป็นอะไร วูบนึงของความรู้สึก ผมกำลังรู้สึกว่ามีใครสักคนกำลังยิ้มให้ผม ผมไม่ได่กลัวความรู้สึกที่แปลกประหลาดนี้เลย แต่สิ่งที่ผมกลัว คือเรื่องที่ผมไม่อยากรับรู้แต่คิดว่ามันน่าจะเกิดขึ้นต่างหาก

                “ญาติของผู้ป่วยเมื่อสักครู่ใช่ไหมครับ...ผมเสียใจด้วยนะครับ...เขามาถึงช้าเกินไป” จบคำของแพทย์ที่เพิ่งเดินออกมาทำเอาผมและพ่อกับแม่ของแบคฮยอนเข่าทรุด...ใช่แล้ว...ความรู้สึกที่ว่ามีคนยิ้มให้ผม...มันมาพร้อมกับข่าวร้ายที่ผมไม่อยากจะฟัง...

                หลังจากที่ผมเล่าเรื่องราวความฝันทั้งหมดให้พ่อแม่ของแบคฮยอนและชานยอลฟัง พวกท่านนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวกับพระรูปหนึ่งและสิ่งที่พระรูปนั้นอธิบายก็คือ ‘พวกเขารักกัน และไม่มีอะไรมาพรากจากพวกเขาได้ ตอนมีชีวิตพวกเขาถูกกีดกัน แม้แต่คนหนึ่งตายคนหนึ่งอยู่ก็ยังถูกกีดกัน สิ่งที่จะทำให้พวกเขารักกันได้ก็คือการไปอยู่ในโลกที่ไม่มีใครขัดขวาง พวกเขาไปสบายแล้วโยม โยมฝันว่าอุ้มเพื่อนไปหาเพื่อนอีกคน และเพื่อนอีกคนที่ผอมเหลือแต่กระดูกกลับมีน้ำหนักมากกว่าปกติ โยมคิดว่าจะเป็นเพราะอะไรล่ะ อย่าห่วงเลย พวกเขายินยอมเองทั้งคู่’ จบคำพูดของพระรูปนั้นก็ทำเอาทุกคนเข่าอ่อนอีกครั้ง...พวกเรา...บีบบังคับพวกเขาเอง...ขอโทษนะเพือน ฉันขอโทษจริงๆ...

    ------------------------------------------------------------------------------------------

    หมาน้อยขอเห่า! : ปุ้งงงงง!~ จบแล้วกับ OS แปลกๆ =_= คือใจจริงหมาน้อยจะแต่งเรื่องหลอนส่งไอไลค์นะคะ

    แต่แบบเออ แต่งไปแต่งมาก็นั่งคิด...แม่งหลอนตรงไหนวะ =A= มันไม่ใช่แนวของดาวอะ มันม่ายช้ายยยย~

    อยากฝากเพื่อนๆ ช่วยกันติได้ไหมง่ะ ว่ามันเป็นไง พอถูไถส่งไปบ้างได้ไหม (อีนี่ว่างเกิ๊นนนน)

    ใครใจดีติดแท็ก #CBtogether ให้หน่อยนะคะ แล้วหมาน้อยจะแวะไปอ่าน *ก้มกราบงามๆ

    ส่วน Cruel 80% ที่เหลือจะรีบปั่นมาลงให้เร็วๆ นี้ก่อนไปเกาหลีวันที่ 12 แน่นอนค้าบ~

    ตอบคำถามค้าบบบบ คือที่บอกว่าเซฮุนฝันว่าอุ้มชานยอลไปหาแบค แล้วแบคตัวหนักก่อนตายทั้งๆที่ผอม
    ก็หมายถึงว่าชานยอลทับแบคฮยอนอยู่ คือชานยอลเอาแบคฮยอนไปอยู่ด้วย แล้วแบคก็เต็มใจงี้อะค่ะ
    Ps.OS เรื่องนี้มีเค้ารางจริงๆอยู่ คือเป็นเรื่องของตากับยายหมาน้อยเองแหละ
    เอามาดัดแปลงให้มันเกี่ยวกับความรักมากขึ้น เพราะเรื่องจริงที่เกิดขึ้นไม่สวยหวานเหมือนฟิคนี้ ;^;


    G Minor!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×