จอมเวทไร้พลัง - นิยาย จอมเวทไร้พลัง : Dek-D.com - Writer
×

    จอมเวทไร้พลัง

    เด็กหนุ่ที่น่าจะมีพลังกลับไม่มีความสามารถอะไรเลย เขาจะต้องตามหาตัวจอมปิศาจเพื่อต่อสู้กับมัน

    ผู้เข้าชมรวม

    1,421

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    1.42K

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    8
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  13 ตอน (จบแล้ว)
    อัปเดตล่าสุด :  9 มี.ค. 56 / 19:50 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


    บทนำ

          เช้าวันธรรมดาของเมืองที่ไม่ธรรมดา มีชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังทอดถอนหายใจอย่างเกียจคร้านกลางทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วงงดงามไกลสุดลูกหูลูกตา การดำรงอยู่ของเขาเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ในทางกลับกัน สิ่งธรรมดาของคนปกติกลายเป็นสิ่งแปลกประหลาดในเมืองที่เขาอาศัยอยู่ เมืองโมติเวท

          ตามตำนานเล่าขาน เมืองนี้ถูกสร้างโดยองค์จอมเทพสูงสุดเอริส มีครอบแก้วมนตราคอยปกปักษ์เมืองนี้จากสิ่งชั่วร้ายต่างๆนานา พร้อมกันนั้นยังสร้างภาพลวงตาทำให้มองจากภายนอกแล้วจะพบแต่เมืองร้างเท่านั้น ในเมืองไม่มีผู้ปกครองอย่างเป็นกิจจะลักษณะ กลับแบ่งออกเป็นตระกูลใหญ่สามตระกูล ตระกูลผู้ใช้เวท ตระกูลผู้ใช้อาวุธมนตรา และตระกูลผู้เรียกสัตว์ปิศาจ โดยแต่ละตระกูลจะมีผู้นำสูงสุดเรียกว่าหัวหน้าตระกูล

          ผู้คนที่เกิดในเมืองนี้จะได้รับพรอย่างถ้วนทั่วให้สืบทอดความสามารถของบิดาหรือมารดา ขึ้นอยู่กับว่าเป็นคนจากตระกูลใด ผู้ใช้เวท ผู้ใช้อาวุธมนตรา หรือผู้เรียกสัตว์ปิศาจ สายเลือดคนเมืองนี้แทบทุกชนชั้นล้วนได้รับความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่ง หากมีเพียงผู้เดียวที่ได้รับพลังที่จะเรียนรู้ศาสตร์ทั้งสามได้อย่างเท่าเทียม นามของเขาผู้นั้นคือ เวเบอร์ เฟียร์เลส น้องบุญธรรมของผู้กล้าพัวร์รีนในตำนาน

          ปัญหาของเขาคงไม่เรื้อรังหากเขาไม่ใช่ผู้สืบทอดเชื้อสายของทั้งสองท่านนั้นมา ชายหนุ่มคิด

          “อิง!...” เสียงเรียกชื่อเล่นของเขาทำให้ตื่นจากภวังค์ แม้จะรู้ตัวหากดวงตาสีฟ้าใสยังจับจ้องก้อนเมฆปุยขาวบริสุทธิ์ กลิ่นลาเวนเดอร์ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งจนบอกไม่ถูก “อิกริด เฟียร์เลส แอบมานอนตรงนี้อีกแล้ว!” เป็นเสียงของแอนนานี่เอง เป็นเพื่อนที่จุ้นจ้านไม่เคยเปลี่ยน นี่คงได้รับคำสั่งจากพ่อของเขาให้ช่วยตามตัวกลับกระมัง

          “วันนี้ตระกูลผู้ใช้เวทมีงานฉลองคืนพระจันทร์เต็มดวงด้วย อีกสักชั่วโมงพระอาทิตย์ก็ตกแล้ว ท่านเอ็ดมันด์ให้มาตาม”

          เอ็ดมันด์คือชื่อของพ่อของเขาเอง เอ็ดมันด์ เฟียร์เลส หัวหน้าตระกูลผู้ใช้เวท

          “ท่านพ่อไม่ต้องการให้ลูกนอกคอกอย่างข้าไปหรอกแอน” อิกริดพูดพลางคิดถึงปมด้อยของตนแล้วถอนหายใจอย่างเศร้าๆ

          “เจ้ามีพลังเวทมนตร์เหมือนพวกตระกูลผู้ใช้เวทคนอื่นๆอิง” แอนนาเป็นฝ่ายถอนหายใจ “แค่ใช้พลังไม่ได้ไม่ไช่พิการหรือเป็นโรคอะไรสักหน่อย เราไปเที่ยวงานด้วยกันดีกว่า ประเดี๋ยวข้าเลี้ยงขนมเอง”

          ชายหนุ่มยันตัวขึ้นนั่ง มือเด็ดก้านลาเวนเดอร์มาหมุนเล่น ถูกแล้ว สิ่งที่แยกเขาออกจากกลุ่มคนทั้งหลายคือ เขาไม่เคยแสดงวี่แววว่ามีพลังเวทเลยสักครั้ง ทั้งที่บิดาเป็นถึงผู้นำตระกูล มีทวดกับตาทวดให้ภูมิใจถึงสองคน ปัญหานี้เรื้อรังยาวนานตั้งแต่เขาเข้าพิธีปาวารนาตนกับจอมเทพเอริสแล้ว ผู้คนที่เคยหวังว่าเขาจะเป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์กลับผิดหวังจนยากบรรยาย มีคนหนุ่มสาวไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมเป็นเพื่อนกับเขา

          เรื่องที่ทำให้อิกริดกลุ้มใจที่สุดคือเรื่องตำนานเทพองค์ที่สองที่กำลังจะเกิดขึ้นในเขตมนุษย์ น่าเสียดายที่เขาเป็นผู้ถูกเลือกโดยไม่มีใครรู้เหตุผล มันต้องมีอะไรผิดพลาดอยู่แล้ว คนไม่เอาถ่านอย่างเขาจะเป็นว่าทีเทพเจ้าได้อย่างไรกัน บางทีมันอาจเป็นลางบอกเหตุร้ายในแดนมนุษย์ที่เทพซึ่งถือกำเนิดขึ้นเกิดไม่มีพลังเวทอยู่เลย

          หรือเขาอาจมีพี่หรือน้องชายฝาแฝดซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง ความคิดนี้ถูกลบล้าง เพราะพ่อของเขาย้ำแล้วย้ำอีกว่ามีลูกแค่คนเดียวเท่านั้น ก็คือเขาคนนี้ละ

          “เอาสิ ไปก็ได้” อิกริดขว้างก้านลาเวนเดอร์ทิ้ง “เดือนหน้าวันเกิดข้า ถือว่าเป็นงานฉลองวันเกิดที่ไม่ได้จัดมานานก็แล้วกัน”

          “เดือนหน้าเจ้าก็ครบ 20 แล้วสินะอิง”

          “สิบห้าปีที่ทรมานกับการอยู่ทิ้งท้ายในการเรียนเวทย์มนตร์ ข้าคิดอยู่ว่าจะเดินทางออกจากเมืองนี้ดีหรือไม่ อย่างไรเมืองนี้ก็ไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์อยู่แล้ว”

          “ถ้าไปจริงๆบอกข้าด้วยนะอิง เราสองคนไม่ทิ้งกันไม่ใช่หรือ” แอนนายื่นมือมาทางเพื่อนชาย อิกริดจับมือที่ยื่นมาหาแล้วลุกขึ้นยืน แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินตัดทุ่งดอกไม้กลับตัวหมู่บ้านในพื้นที่ของตระกูลผู้ใช้เวทมนตร์...


          เมื่อพระจันทร์ขึ้นงานเฉลิมฉลองประจำเดือนก็มาถึง แม้จะเรียกว่างานฉลองแต่ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากดนตรีกับการพูดคุยน่าเบื่อใต้แสงจันทร์ ไม่นับรวมพิธีบรรลุนิติภาวะซึ่งจะจัดแค่ปีละครั้งซึ่งบังเอิญมาตรงกับวันนี้ ปีหน้าเขาก็ต้องเข้าร่วมพิธีด้วย แม้จะรู้ผลลัพธ์อยู่แล้วว่าเขาไม่มีวันผ่านการทดสอบเพื่อเป็นผู้ใหญ่ได้


          งานฉลองในคืนนี้ก็เหมือนกับที่จัดอยู่ทุกเดือน มีคณะละครเร่เข้ามาเปิดการแสดงดนตรีและละครเพลงในเวลากลางวัน ชาวบ้านหนุ่มสาวออกมาเต้นรำ ส่วนเด็กๆต่างวิ่งไล่กันไปมารอบๆลานเมืองของตระกูลผู้ใช้เวท คนแก่คนเฒ่าต่างจับกลุ่มคุยกันออกรส ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติจนกระทั่ง

          ห่างจากลานเมืองเล็กน้อยมีนกยักษ์บินเข้ามาในสภาพรุ่งริ่ง มันปล่อยชายคนหนึ่งลงกับพื้นแล้วหายไปด้วยผู้เรียกใช้หมดแรงคงสภาพ แทบทุกคนในตระกูลผู้ใช้เวทต่างมุงดูด้วยความอยากรู้ มีคนจากสถานพยาบาลเข้าไปจะช่วยรักษาให้

          “ขอบคุณ” ชายเสื้อผ้ารุ่งริ่งกล่าว อิกริดแทรกกลุ่มคนขึ้นไปอยู่แถวหน้า แอนนากอดแขนซ้ายของเขาด้วยความหวาดเสียว แสงจากมนตร์รักษาฉายสีหน้าวิตกกังวลของบุรุษปริศนาออกมา “ข้าขอคุยกับผู้นำตระกูลก่อน”

          ชายหน้าเสี้ยมผมยาวประบ่าเดินออกไปพูดคุยด้วย เขาคือพ่อของอิกริดนั่นเอง ชายหนุ่มคิดว่าคงเป็นเรื่องสำคัญมากจึงเรียกหาผู้นำตระกูลแบบนี้ เมื่อพูดคุยจบพลันเกิดแสงเรืองขึ้นเป็นรูปนกบนฝ่ามือของหัวหน้าตระกูล นกอาคมคู่นั้นโผบินไปอีกฟากของเมืองทันที

          “อิกริดมาทางนี้” เอ็ดมันด์จับแขนลูกชายลากมากลางวงล้อม

          “ต้องขอให้ท่านพักฟื้นอยู่ในเขตผู้ใช้เวทเสียก่อน” หัวหน้าตระกูลเวทกล่าว “มีเรื่องด่วนจากทางเหนือ จอมมารในยุคสมัยนี้เกิดขึ้นแล้ว ทางเราจะจัดการเรื่องนี้เอง ขอทุกท่านอย่าห่วง แล้วเชิญร่วมงานฉลองต่อได้”

          เพื่อตัดบท อิกริดถูกผู้เป็นพ่อลากออกไปจากฝูงชน เมื่อแน่ใจว่าอยู่ตามลำพังแล้วจึงเริ่มพูดกับลูกชาย

          “เวลาสำคัญของลูกมาถึงแล้วอิกริด” แววตาสีพระจันทร์แดงของผู้เป็นพ่อจ้องลูกชายเขม็ง “เวลาที่ลูกจะพิสูจน์ตัวตนของลูกเอง”

          “หมายความว่าอย่างไรท่านพ่อ”

          “ลูกต้องออกเดินทาง มันคือชะตากรรมของลูก ลูกคือคนที่ตำนานกล่าวถึง”

          น่าประชดเสียนี่กระไร อิกริดคิดอย่างเผ็ดร้อน ตอนปกติดุด่าสารพัดกับเรื่องที่เขาไม่มีพลังเหมือนคนอื่นๆ พอมาตอนนี่กลับพูดดีว่ามันคือชะตากรรมของเขา อย่างน้อยเขาก็จะได้ออกจากเมืองนี้สักที แต่จะให้เขาออกไปทำอะไรละ หรือว่าจะให้คนไร้ความสามารถอย่างเขาไปกำจัดจอมมารที่กำลังอาละวาดอยู่บนทวีปทางเหนือ

          “แล้วจะให้ข้าไปเมื่อไรขอรับ ท่านพ่อ” แค่คิดว่าจะได้ออกจากเมืองนี้อิกริดก็ดีใจจนตัวสั่น

          “เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ตอนนี้เจ้าไปพักเถอะ งานเลี้ยงคงจบลงแค่นี้ละ”

          ผู้เป็นบิดาหันไปมองผู้คนที่กำลังเดินทางกลับบ้านโดยม้าหรือเวทมนตร์เคลื่อนย้าย งานเลี้ยงครั้งที่เป็นงานเลี้ยงที่จัดสั้นที่สุดเท่าทีอิกริดเคยเห็นมา ก็มีข่าวด่วนมาแทรกแบบนี้ เป็นใครคงไม่มีอารมณ์เลี้ยงฉลองต่อหรอก

          แสงสีเหลืองทองส่องสว่างจากร่างเอ็ดมันด์ แล้วตัวเขาก็กลายเป็นลำแสงพุ่งไปบนฟากฟ้าด้วยมนตร์เคลื่อนย้าย อิกริดคิดว่าพ่อตนคงรีบไปคุยกับหัวหน้าตระกูลอีกสองคนจึงรีบรุดไปอย่างนี้

          “เกิดอะไรขึ้นอิง” แอนนาดเดินมาหาพร้อมสีหน้ากังวลใจ “เห็นพ่อของท่านบอกว่าจอมมารกำเนิดแล้ว”

          “ท่านบอกว่าถึงเวลาของข้าแล้ว ข้าจะต้องออกเดินทาง” อิกริดตอบอย่างมั่นใจ “ไม่รู้ว่าท่านพ่อคาดหวังอะไรกับตัวข้า ข้ารู้เพียงอย่างเดียวคือ ได้เวลาออกจากเมืองแล้วแอนนา เจ้าจะไปกับข้าด้วยไหม” อิกริดยิ้มละไมยื่นมือไปทางเพื่อนหญิง...


          อิกริดและแอนนาใช้เวลาวันเดียวจัดเก็บเสื้อผ้า แม่ของเขาเสียไปนานแล้วจึงไม่มีใครสามารถหยุดการเดินทางของเขาได้อีก แอนนาใช้เวลาช่วงเช้าเกือบทั้งหมดเกลี้ยกล่อมพ่อกับแม่ให้ปล่อยนางออกเดินทางพร้อมกับเขา

          “ข้าจะออกเดินทางแล้วขอรับ ท่านทวดทั้งสอง” เสร็จจากบอกลาท่านพ่อ อิกริดก็ไปบอกลารูปของเวเบอร์ เฟียร์เลสกับพัวร์รีน แฟรงค์ ซึ่งเป็นอดีตญาติผู้ใหญ่ที่เขาชื่นชม “ข้าไปล่ะขอรับท่านพ่อ” อิกริดลาพ่อของเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินออกจากบ้าน แอนนามารอเขาอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาจะขึ้นรถม้าออกไปทางประตูเมืองที่ใกล้ที่สุดแล้วเริ่มเดินทางไปทางเหนือตามข่าวสารที่ได้รับ...


          เมืองเคียร่าตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองที่อิกริดอยู่ นั่นคือจุดหมายแรกของพวกเขา อิกริดออกความเห็นว่าควรออกท่องเที่ยวไปตามเมืองต่างๆระหว่างที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มทำอะไรดี ซึ่งแอนนาก็เห็นด้วย นางสามารถใช้มนตราเปลี่ยนภาษาพวกเขาได้ทั้งการพูดและการฟัง การไปต่างเมืองจึงไม่เป็นปัญหาใดๆสำหรับคนทั้งคู่ เสียอย่างเดียวคือเมืองนี้เป็นเมืองแห่งการค้าอัญมณี ค่าใช้จ่ายจึงสูงมากขึ้นไปด้วย

          รถม้าวิ่งแน่วไปทางเหมือนแร่พลอย พวกเขาคิดว่าจะไปหางานทำเพื่อเก็บเงินเป็นทุนเดินทาง เหมืองแร่ของที่นี่พัฒนาไปถึงขั้นใช้เวทมนตร์เพื่อสกัดสินแร่ออกจากหินภูเขา รถม้าชะงักกึกเพราะมีเหตุด่วน คนงานเหมือนวิ่งพรูออกมาจากปากทาง เสียงระโกนฟังไม่ได้ศัพท์ อิกริดและแอนนามองหน้ากันแล้วรีบกระโดดลงจากรถม้า

          “นกยักษ์ ข้างในนั้น” อิกริดคว้าตัวคนงานได้หนึ่งคนจึงมีโอกาสถามว่าเกิดอะไรขึ้น ชายคนนั้นรีบวิ่งต่อไปทันที

          “ไปดูกันเถอะ เผื่อเราจะช่วยได้” แอนนาฉุดกึ่งลากตัวเพื่อนชายเข้าไปในเหมืองแร่ ในขณะที่ผู้ถูกลากเลือกไม่ถูกว่าจะตามเข้าไปดูดีหรือไม่ “เดี๋ยวสิ ขอตั้งหลักก่อน” อิกริดร้องวิงวอนในขณะที่เพื่อนสาวออกแรงเต็มที่เพื่อให้เขามีส่วนร่วม

          สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าทั้งคู่คือนกสีดำตัวใหญ่ยักษ์ กำลังสยายปีกกระทืบเท้าอาละอาละวาดอยู่ที่ประตูเข้าเหมือง เป็นนกวิเศษตัวใหญ่ยักษ์ที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรและทำไม หากตอนนี้มันกางปีกสยายเล็บอยู่หน้าเหมืองด้วยท่าทีลำพอง เสียงร้องแหลมสูงของมันเสียดลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ เจ้าตัวนี้หรือที่ไล่คนงานเหมืองออกไป

          “คุยกันดีๆก่อนสิ” แอนนาขยับนิ้วอย่างคล่องแคล่ว โซ่ดินเส้นมหึมาพุ่งจากผืนดินขึ้นไปรัดตรึงนกตัวนั้นเอาไว้ เสียงนกยักษ์กระแทกพื้นดังโครมเหมือนภูผาทลาย จะงอยปากเหลืองสดปักลงพื้นดินอย่างยอมจำนน

          ระหว่างที่เพื่อนสาวกำลังยุ่งกับการใช้เวทมนตร์สยบนกยักษ์อิกริดก็ลังเลอีกครั้ง เขาควรจะออกหน้าปกป้องนางจึงจะถูก แต่จะให้เขาทำอย่างไรเล่า อิกริดมองเพื่อนสลับกับนกยักษ์อย่างกระตือรือร้น

          “ท่านคือผู้ถูกเลือกหรือ” เสียงสูงแสบหูแว่วขึ้นจากปากนกตัวนั้น “ข้ามาที่นี่เพื่อพบกับผู้ถูกเลือก”

          “ผู้ถูกเลือก ข้าหรือ” อิกริดชี้มาที่ตัวเองแล้วส่ายหน้า คนไม่มีพลังอย่างเขาไม่มีทางเป็นผู้ถูกเลือกแน่

          “ถึงเวลาของข้าแล้ว” นกยักษ์กล่าว น้ำเสียงอิดโรยมากเท่าที่เสียงสูงๆจะเปล่งออกมาได้ “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ถูกเลือกหรือไม่ก็ใช้ให้ดีก็แล้วกัน ใช้ข้าในฐานะอาวุธคู่มือ นามของข้าคือ ดาบปีกวิหค”

          “ดาบปีกวิหคในตำนานที่เวเบอร์เป็นผู้ใช้หรือ ทำไม...” อิกริดพูดขึ้นลอยๆ มีบันทึกอยู่ว่าดาบปีกวิหคเล่มนั้นเคยเป็นของ เวเบอร์ เฟียร์เลสทวดของเขา

          “ข้า...ดาบเล่มนี้จะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าของในขณะนั้นเท่านั้น”

          สิ้นเสียงของเจ้านก พลันเกิดพายุใหญ่ขึ้น ร่างสูงปานภูเขาค่อยๆเล็กลงๆ และกลายสภาพเป็นดาบเล่มหนึ่ง มีเพียงที่กันมือรูปปีกนกเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่ามันเคยเป็นอะไร ดาบวิเศษเสียบตัวเองลงบนพื้นดิน อิกริดรู้สึกอยากครอบครองขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น คงเป็นเพราะมันเคยเป็นดาบของคนที่เขาเคยชื่นชมมาก่อน

          ไม่ทันรู้ตัว มือของเขาก็ล่องลอยไปสัมผัสด้ามของดาบเล่มนั้น ทว่า

          “หยุดตรงนั้นล่ะ!” เสียงสตรีปลุกอิกริดให้ตื่นจากภวังค์

          ผู้คำรามหยุดการกระทำของอิกริดเป็นหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา นางมีดวงตาสีน้ำตาลผมสีดำสนิทราวเส้นไหม คงสมเป็นกุลสตรีมากกว่านี้หากไม่ได้สวมเกราะบ่ากับคาดดาบเอาไว้ที่เอวอย่างนั้น นางชี้มาทางอิกริดพลางบอกให้ถอยออกไปจากดาบ

          “ข้าคือผู้ถูกเลือก ดังนั้นดาบเล่มนั้นเป็นของข้า” ภาษาโมติเวียเปล่งออกมาอย่างห้าวหาญราวกับเป็นชายหนุ่ม

          “เจ้าคือใคร” อิกริดร้องถาม ใช้แขนปาดตัวแอนนาให้หลบอยู่ข้างหลัง ทั้งที่นางเก่งกว่าเขาหลายเท่าตัว

          “ลาเวนเดอร์ ซีค” หญิงผมดำตอบ “ผู้กล้าลาเวนเดอร์” นางทำให้อิกริดผงะ ไม่คิดว่าจะได้เจอผู้กล้าได้เร็วอย่างนี้ แถมนางยังมีประกายของพวกชอบข่มขู่เสียด้วย อย่างนี้คงญาติดีด้วยไม่ได้ง่ายๆแน่...

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    "Colorful Review รับวิจารณ์นิยายหลากแนว"

    (แจ้งลบ)

    ผู้วิจารณ์ THEzeroday สวัสดีคะ พี่ฮาคุ ขอเรียกอย่างนี้นะ อายุ 20 อือหือ.. ห่างกันเป็นวาเลยแหม.. แอบเกร็งนะเนี่ยะ แต่ยังไงก็ 5 ดาวแล้วนี่เนอะ งั้นซีขอตรงๆเลยนะ แรงไปก็ขอโทษด้วยแล้วกัน ชื่อเรื่อง :: 10/10 ชื่อเรื่องดี สั้นง่ายได้ใจความ แต่จะดีกว่านี้ถ้ามีชื่อภาษาอังกฤษมันจะทำให้นิยาย ‘ดูหรูขึ้น’ คือดูมีระดับ ประมาณนั้น แต่ถ้าพอใ ... อ่านเพิ่มเติม

    ผู้วิจารณ์ THEzeroday สวัสดีคะ พี่ฮาคุ ขอเรียกอย่างนี้นะ อายุ 20 อือหือ.. ห่างกันเป็นวาเลยแหม.. แอบเกร็งนะเนี่ยะ แต่ยังไงก็ 5 ดาวแล้วนี่เนอะ งั้นซีขอตรงๆเลยนะ แรงไปก็ขอโทษด้วยแล้วกัน ชื่อเรื่อง :: 10/10 ชื่อเรื่องดี สั้นง่ายได้ใจความ แต่จะดีกว่านี้ถ้ามีชื่อภาษาอังกฤษมันจะทำให้นิยาย ‘ดูหรูขึ้น’ คือดูมีระดับ ประมาณนั้น แต่ถ้าพอใจอย่างนี้แล้วก็ไม่เป็นไรคะ เพราะยังไงเนื้อในก็สำคัญกว่า ความสวยงาม :: 0/10 ซีไม่ได้เน้นที่ความสวยงาม เพราะนิยายมันไม่ได้ตัดสินที่ตรงนั้น แต่ยังไงมันก็ถือว่ามีส่วนในการเลือกของผู้อ่านเหมือนกัน การแต่งหน้านิยายมันแสดงให้เห็นถึงความเอาใส่ใจก็ผู้เขียนด้วย และที่สำคัญ ‘หน้านิยาย’ นะคะ ไม่ใช่ ‘ตัวนิยาย’ หน้านิยายคือที่ๆเอาไว้ ‘นำเสนอ’ ว่านิยายของเรา ‘มีอะไรที่น่าสนใจ’ ที่อยากจะสื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ ไม่ใช่ที่ที่เอาไว้ลงนิยายนะคะ แยกให้ออก การลงบทนำไว้ที่หน้านิยายเป็นอะไรที่ผิดพลาดของผิดพลาดสุดๆ ถ้าบทนำสั้นก็แล้วไป แต่บทนำนี่ยาวเป็นพรืด ลองนึกดูสิคะ ว่าถ้าเปิดเป็นตัวเอง เปิดเข้ามาในนิยาย แล้วก็ยังไม่รู้เลยว่ามันเกี่ยวกับอะไร พล็อตเป็นยังไง แล้วมาเจอบทนำยาวเป็นพรืด แถมตัวหนังสือก็เล็กจิดนึง ถ้าเป็นซี ซีปิดคะ มันไม่ได้อยากอ่านมากขนาดที่ต้องมาเพ่งตามองคอมอ่านนิยายที่ไม่รู้เรื่องเลยว่ามันเกี่ยวกับอะไร เดี๋ยวเกิดไม่ถูกใจก็เสียเวลาเปล่า ร้อยทั้งร้อย ไม่ว่าจะเป็นนิยายเรื่องไหน ความอายอ่านที่เปิดนิยายเข้ามาครั้งแรกต้องเริ่มจาก 0 พอเห็นเรื่องย่อ ว่าเนื้อเรื่องเป็นยังไง มันถึงจะเปลี่ยนแปลง จะเพิ่มขึ้นหรือลดลง ส่วนนึงมาจากพล็อตของคุณอีกส่วนมาจากความชอบของคนๆนั้น นิยายก็เหมือนอาหาร เรื่องย่อเปรียบเหมือนอาหารที่ให้ทดลองชิม ถ้าลองชิมแล้วคนชิมถูกใจ เขาก็ซื้อกลับ เขาไม่ถูกใจก็ไม่ซื้อ และแน่นอนจะให้ชิมก็ต้องให้ชิมคำเล็กๆ ถ้าคำใหญ่ๆเดี๋ยวเกิดไม่อร่อยขึ้นมาจะทำยังไง เดี๋ยวเกิดมันเผ็ดล่ะ มันเค็มไปล่ะ ถูกไหม? เพราะฉนั้นคุณต้องจัดลำดับขั้นตอนให้ดี ชื่ออาหารก็เหมือนชื่อนิยาย ชื่อน่ากินเขาก็ลองชิม ชื่อแปลกก็ไม่ชิม หน้าตาของอาหารก็คือหน้านิยาย หน้าตาน่ากินเขาก็กิน แต่ก่อนกินก็ต้องลองก่อน เดี๋ยวเกิดซื้อมาไม่ชอบก็เสียเงินเปล่า เพราะฉนั้นเรื่องย่อก็คือสิ่งที่ให้เขาลองอ่าน ลองชิม พล็อตถูกใจ อาหารอร่อย เขาก็ซื้อ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป จากเล็กไปใหญ่ ค่อยๆตะล่อมๆให้เขามาอ่านของเรา แต่การที่เราเอาบทนำไปวางเลยเนี่ยะมันเหมือนการยัดเยียดว่า กินเข้าไปๆ โดนแบบนั้นใครจะชอบล่ะคะ มันไม่มีอะไรเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลยว่าจะกินดีหรือไม่ดี อ่านหรือไม่อ่าน และเพื่อความปลอดภัย เขาก็ต้องเลือกที่จะปฏิเสธอยู่แล้ว การดำเนินเนื้อเรื่อง :: 6/10 พล็อตมันดูพื้นๆไปหน่อย ดูไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ ไม่น่าตื่นเต้น คือมันสามารถเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แล้วมันจะเกิดความไม่สนุก ถ้าจะบอกว่ามันยังไม่เข้าเนื้อเรื่อง มันมีอะไรมากกว่านั้นอีก แล้วคนอ่านเขาจะรู้เหรอ เพราะฉนั้นสิ่งที่คุณต้องทำคือดึงผู้อ่านไว้ให้ถึงสิ่งที่คุณจะสื่อ ขอเปรียบเป็นอาหารอีกแล้วกัน ถ้าเกิดคนเขากินเขาไป เคี้ยวแล้วรู้สึกว่ามันจืดๆ เหนียวๆเย็นๆ ไม่ชอบ เขาก็ไม่กินต่อ แต่ถ้าคุณบอกว่า กินไปเรื่อยๆสิ แล้วรสชาติมันค่อยๆเผยออกมาทีละนิดๆ ใครเขาจะไปรู้ล่ะว่าจะต้องกินต่อไปถึงเมื่อไรถึงจะเจอกับไอรสชาติที่ว่านั่น เพราะฉนั้นคุณก็ต้องทำให้อาหารของคุณมันมีรสชาติบ้าง คือใส่จุดน่าสนใจลงไปบ้างระหว่างที่ยังไม่ถึงเนื้อเรื่อง สำนวนการเขียน :: 8/10 ภาษาสวยจริงๆ แต่มีบางจุด..ไม่ใช่สิ เท่าที่เห็นนี้เยอะเลยอ่ะ ที่ใช้คำแปลกๆ อย่างเช่นตรงบทนำ คิดอย่างเผ็ดร้อน คือนึกภาพไม่ออกว่าคิดแบบเผ้ดร้อนมันเป็นยังไง เพราะปกติแล้วคำว่าเผ็ดมันใช้กับรสชาติ เอามาใช้บรรยายความคิดมันก็กระไรอยู่ มันจินตนาการไม่ออก ถ้าจะเปรียบเทียบควรเปรียบเทียบในสิ่งที่ใกล้เคียงหรือพอจะคล้องกันอยู่บ้าง อย่างเช่นพูดจาอย่างเผ็ดร้อน มันยังจะพอนึกภาพออกว่าเป็นยังไง ทางที่ดีควรเลือกใช้คำที่เหมาะกว่านี้เช่น คิดอย่างแค้นเคือง คิดอย่างน้อยใจ อันนี้ซีคิดว่าพี่ฮาคุตั้งใจจะซีอย่างนี้นะ เพราะซีก็ไม่รู้ว่าพี่ตั้งใจจะสื่ออะไร อีกจุดที่โคตรจะขัดกัน ตรงดาบหล่นราวกับใบไม้ร่วง อย่างที่บอกไปว่าจะเปรียบเทียบควรเปรียบในสิ่งที่ใกล้เคียง ดาบกับใบไม้ คนละเรื่องเลยคะ ดาบคืออาวุธ เอาไว้โจมตี เป็นเหล็ก มีความแข็งแรง ใบไม้เป็นพืช ลักษณะบางๆ ฉีกก็ขาด ที่สำคัญ มันเบา เวลาร่วงมันจะค่อยๆร่วงแบบนุ่มๆ แต่ดาบมันแข็ง หนัก ร่วงทีเสียงดังมาก เอามาเปรียบกันมันไม่ใช่อ่ะค่ะ แล้วก็บางจุดที่ใช้คำไม่สละสลวย ยกตัวอย่างตรงบทนำอีกเช่นกัน (บทนำมีเยอะมาก) ตรงคำว่า เพื่อนหญิง ทางที่ดีใช้เพื่อนสาวจะเหมาะกว่า มันให้คำความรู้สึกว่าตัวละครนั้นๆเป็นผู้หญิงที่อยู่ในช่วงสาว วัยรุ่น ซึ่งช่วงเวลานั้นมันเป็นช่วงเวลา...เอ่อ...ขอใช้คำว่าเจริญพันธุ์แล้วกัน เป็นช่วงเวลาที่กำลังมีความรัก ผิวพรรณเปล่งปลัง หรือที่เขาเรียกกันว่าเอาะๆนั่นแหละ มันจะทำให้เวลาอ่านแล้วจินตนานการเนี่ยะ มันจะรู้สึกพลิ้วๆ โลกนี้ช่างสวยงาม (ว่าไปนั่น) เอาเป็นว่ามันจะทำให้อ่านแล้วมันไม่ติดขัด แล้วก็ปัญหาคำเกิน มีบรรยายเกินๆอยู่บ้าง ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรมาก แต่บางทีมันก็ไม่ดี จะชี้จุดใหญ่ๆให้คือในตอน 1 ‘เช่นเดียวกับบุรุษชายหนุ่ม’ ตัดคำว่าบุรุษออกไป แค่คำว่าชายหนุ่มก็รู้เรื่องแล้ว เพราะเราแค่ต้องการจะสื่อว่า อาเจ๊คนนี้เขาทำตัวเหมือนผู้ชาย คำว่าบุรุษมันเป็นการเน้นย้ำให้ความหมายของ ‘ผู้ชาย’ ชัดเจนมากขึ้น แล้วมันไม่ใช่ประเด็นที่เราจะสื่อ เพราะฉนั้นตัดออกไป ให้กระชับ มันจะทำให้ลื่นขึ้น การใช้ภาษา :: 10/10 ไม่ขอพูดอะไรมาก เพราะพูดมาเยอะแล้ว //หอบ   อ่านน้อยลง

    Shoofly Pie | 15 เม.ย. 56

    • 6

    • 0

    คำนิยมล่าสุด

    "Colorful Review รับวิจารณ์นิยายหลากแนว"

    (แจ้งลบ)

    ผู้วิจารณ์ THEzeroday สวัสดีคะ พี่ฮาคุ ขอเรียกอย่างนี้นะ อายุ 20 อือหือ.. ห่างกันเป็นวาเลยแหม.. แอบเกร็งนะเนี่ยะ แต่ยังไงก็ 5 ดาวแล้วนี่เนอะ งั้นซีขอตรงๆเลยนะ แรงไปก็ขอโทษด้วยแล้วกัน ชื่อเรื่อง :: 10/10 ชื่อเรื่องดี สั้นง่ายได้ใจความ แต่จะดีกว่านี้ถ้ามีชื่อภาษาอังกฤษมันจะทำให้นิยาย ‘ดูหรูขึ้น’ คือดูมีระดับ ประมาณนั้น แต่ถ้าพอใ ... อ่านเพิ่มเติม

    ผู้วิจารณ์ THEzeroday สวัสดีคะ พี่ฮาคุ ขอเรียกอย่างนี้นะ อายุ 20 อือหือ.. ห่างกันเป็นวาเลยแหม.. แอบเกร็งนะเนี่ยะ แต่ยังไงก็ 5 ดาวแล้วนี่เนอะ งั้นซีขอตรงๆเลยนะ แรงไปก็ขอโทษด้วยแล้วกัน ชื่อเรื่อง :: 10/10 ชื่อเรื่องดี สั้นง่ายได้ใจความ แต่จะดีกว่านี้ถ้ามีชื่อภาษาอังกฤษมันจะทำให้นิยาย ‘ดูหรูขึ้น’ คือดูมีระดับ ประมาณนั้น แต่ถ้าพอใจอย่างนี้แล้วก็ไม่เป็นไรคะ เพราะยังไงเนื้อในก็สำคัญกว่า ความสวยงาม :: 0/10 ซีไม่ได้เน้นที่ความสวยงาม เพราะนิยายมันไม่ได้ตัดสินที่ตรงนั้น แต่ยังไงมันก็ถือว่ามีส่วนในการเลือกของผู้อ่านเหมือนกัน การแต่งหน้านิยายมันแสดงให้เห็นถึงความเอาใส่ใจก็ผู้เขียนด้วย และที่สำคัญ ‘หน้านิยาย’ นะคะ ไม่ใช่ ‘ตัวนิยาย’ หน้านิยายคือที่ๆเอาไว้ ‘นำเสนอ’ ว่านิยายของเรา ‘มีอะไรที่น่าสนใจ’ ที่อยากจะสื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ ไม่ใช่ที่ที่เอาไว้ลงนิยายนะคะ แยกให้ออก การลงบทนำไว้ที่หน้านิยายเป็นอะไรที่ผิดพลาดของผิดพลาดสุดๆ ถ้าบทนำสั้นก็แล้วไป แต่บทนำนี่ยาวเป็นพรืด ลองนึกดูสิคะ ว่าถ้าเปิดเป็นตัวเอง เปิดเข้ามาในนิยาย แล้วก็ยังไม่รู้เลยว่ามันเกี่ยวกับอะไร พล็อตเป็นยังไง แล้วมาเจอบทนำยาวเป็นพรืด แถมตัวหนังสือก็เล็กจิดนึง ถ้าเป็นซี ซีปิดคะ มันไม่ได้อยากอ่านมากขนาดที่ต้องมาเพ่งตามองคอมอ่านนิยายที่ไม่รู้เรื่องเลยว่ามันเกี่ยวกับอะไร เดี๋ยวเกิดไม่ถูกใจก็เสียเวลาเปล่า ร้อยทั้งร้อย ไม่ว่าจะเป็นนิยายเรื่องไหน ความอายอ่านที่เปิดนิยายเข้ามาครั้งแรกต้องเริ่มจาก 0 พอเห็นเรื่องย่อ ว่าเนื้อเรื่องเป็นยังไง มันถึงจะเปลี่ยนแปลง จะเพิ่มขึ้นหรือลดลง ส่วนนึงมาจากพล็อตของคุณอีกส่วนมาจากความชอบของคนๆนั้น นิยายก็เหมือนอาหาร เรื่องย่อเปรียบเหมือนอาหารที่ให้ทดลองชิม ถ้าลองชิมแล้วคนชิมถูกใจ เขาก็ซื้อกลับ เขาไม่ถูกใจก็ไม่ซื้อ และแน่นอนจะให้ชิมก็ต้องให้ชิมคำเล็กๆ ถ้าคำใหญ่ๆเดี๋ยวเกิดไม่อร่อยขึ้นมาจะทำยังไง เดี๋ยวเกิดมันเผ็ดล่ะ มันเค็มไปล่ะ ถูกไหม? เพราะฉนั้นคุณต้องจัดลำดับขั้นตอนให้ดี ชื่ออาหารก็เหมือนชื่อนิยาย ชื่อน่ากินเขาก็ลองชิม ชื่อแปลกก็ไม่ชิม หน้าตาของอาหารก็คือหน้านิยาย หน้าตาน่ากินเขาก็กิน แต่ก่อนกินก็ต้องลองก่อน เดี๋ยวเกิดซื้อมาไม่ชอบก็เสียเงินเปล่า เพราะฉนั้นเรื่องย่อก็คือสิ่งที่ให้เขาลองอ่าน ลองชิม พล็อตถูกใจ อาหารอร่อย เขาก็ซื้อ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป จากเล็กไปใหญ่ ค่อยๆตะล่อมๆให้เขามาอ่านของเรา แต่การที่เราเอาบทนำไปวางเลยเนี่ยะมันเหมือนการยัดเยียดว่า กินเข้าไปๆ โดนแบบนั้นใครจะชอบล่ะคะ มันไม่มีอะไรเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลยว่าจะกินดีหรือไม่ดี อ่านหรือไม่อ่าน และเพื่อความปลอดภัย เขาก็ต้องเลือกที่จะปฏิเสธอยู่แล้ว การดำเนินเนื้อเรื่อง :: 6/10 พล็อตมันดูพื้นๆไปหน่อย ดูไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ ไม่น่าตื่นเต้น คือมันสามารถเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แล้วมันจะเกิดความไม่สนุก ถ้าจะบอกว่ามันยังไม่เข้าเนื้อเรื่อง มันมีอะไรมากกว่านั้นอีก แล้วคนอ่านเขาจะรู้เหรอ เพราะฉนั้นสิ่งที่คุณต้องทำคือดึงผู้อ่านไว้ให้ถึงสิ่งที่คุณจะสื่อ ขอเปรียบเป็นอาหารอีกแล้วกัน ถ้าเกิดคนเขากินเขาไป เคี้ยวแล้วรู้สึกว่ามันจืดๆ เหนียวๆเย็นๆ ไม่ชอบ เขาก็ไม่กินต่อ แต่ถ้าคุณบอกว่า กินไปเรื่อยๆสิ แล้วรสชาติมันค่อยๆเผยออกมาทีละนิดๆ ใครเขาจะไปรู้ล่ะว่าจะต้องกินต่อไปถึงเมื่อไรถึงจะเจอกับไอรสชาติที่ว่านั่น เพราะฉนั้นคุณก็ต้องทำให้อาหารของคุณมันมีรสชาติบ้าง คือใส่จุดน่าสนใจลงไปบ้างระหว่างที่ยังไม่ถึงเนื้อเรื่อง สำนวนการเขียน :: 8/10 ภาษาสวยจริงๆ แต่มีบางจุด..ไม่ใช่สิ เท่าที่เห็นนี้เยอะเลยอ่ะ ที่ใช้คำแปลกๆ อย่างเช่นตรงบทนำ คิดอย่างเผ็ดร้อน คือนึกภาพไม่ออกว่าคิดแบบเผ้ดร้อนมันเป็นยังไง เพราะปกติแล้วคำว่าเผ็ดมันใช้กับรสชาติ เอามาใช้บรรยายความคิดมันก็กระไรอยู่ มันจินตนาการไม่ออก ถ้าจะเปรียบเทียบควรเปรียบเทียบในสิ่งที่ใกล้เคียงหรือพอจะคล้องกันอยู่บ้าง อย่างเช่นพูดจาอย่างเผ็ดร้อน มันยังจะพอนึกภาพออกว่าเป็นยังไง ทางที่ดีควรเลือกใช้คำที่เหมาะกว่านี้เช่น คิดอย่างแค้นเคือง คิดอย่างน้อยใจ อันนี้ซีคิดว่าพี่ฮาคุตั้งใจจะซีอย่างนี้นะ เพราะซีก็ไม่รู้ว่าพี่ตั้งใจจะสื่ออะไร อีกจุดที่โคตรจะขัดกัน ตรงดาบหล่นราวกับใบไม้ร่วง อย่างที่บอกไปว่าจะเปรียบเทียบควรเปรียบในสิ่งที่ใกล้เคียง ดาบกับใบไม้ คนละเรื่องเลยคะ ดาบคืออาวุธ เอาไว้โจมตี เป็นเหล็ก มีความแข็งแรง ใบไม้เป็นพืช ลักษณะบางๆ ฉีกก็ขาด ที่สำคัญ มันเบา เวลาร่วงมันจะค่อยๆร่วงแบบนุ่มๆ แต่ดาบมันแข็ง หนัก ร่วงทีเสียงดังมาก เอามาเปรียบกันมันไม่ใช่อ่ะค่ะ แล้วก็บางจุดที่ใช้คำไม่สละสลวย ยกตัวอย่างตรงบทนำอีกเช่นกัน (บทนำมีเยอะมาก) ตรงคำว่า เพื่อนหญิง ทางที่ดีใช้เพื่อนสาวจะเหมาะกว่า มันให้คำความรู้สึกว่าตัวละครนั้นๆเป็นผู้หญิงที่อยู่ในช่วงสาว วัยรุ่น ซึ่งช่วงเวลานั้นมันเป็นช่วงเวลา...เอ่อ...ขอใช้คำว่าเจริญพันธุ์แล้วกัน เป็นช่วงเวลาที่กำลังมีความรัก ผิวพรรณเปล่งปลัง หรือที่เขาเรียกกันว่าเอาะๆนั่นแหละ มันจะทำให้เวลาอ่านแล้วจินตนานการเนี่ยะ มันจะรู้สึกพลิ้วๆ โลกนี้ช่างสวยงาม (ว่าไปนั่น) เอาเป็นว่ามันจะทำให้อ่านแล้วมันไม่ติดขัด แล้วก็ปัญหาคำเกิน มีบรรยายเกินๆอยู่บ้าง ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรมาก แต่บางทีมันก็ไม่ดี จะชี้จุดใหญ่ๆให้คือในตอน 1 ‘เช่นเดียวกับบุรุษชายหนุ่ม’ ตัดคำว่าบุรุษออกไป แค่คำว่าชายหนุ่มก็รู้เรื่องแล้ว เพราะเราแค่ต้องการจะสื่อว่า อาเจ๊คนนี้เขาทำตัวเหมือนผู้ชาย คำว่าบุรุษมันเป็นการเน้นย้ำให้ความหมายของ ‘ผู้ชาย’ ชัดเจนมากขึ้น แล้วมันไม่ใช่ประเด็นที่เราจะสื่อ เพราะฉนั้นตัดออกไป ให้กระชับ มันจะทำให้ลื่นขึ้น การใช้ภาษา :: 10/10 ไม่ขอพูดอะไรมาก เพราะพูดมาเยอะแล้ว //หอบ   อ่านน้อยลง

    Shoofly Pie | 15 เม.ย. 56

    • 6

    • 0

    ความคิดเห็น