ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักคือเธอ (พุทธชาด + เทียนกัลยา)

    ลำดับตอนที่ #19 : ...๑๗ กงล้อโชคชะตา Ep.๑

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.1K
      10
      8 เม.ย. 59

    17

    กงล้อโชคชะตา Ep.1

    อย่างไรก็ตามการได้พบเพื่อนเก่าหาใช่มีแต่เรื่องดีๆ เทียนกัลยากลับไปเยี่ยมนำพรอีกครั้งในวันถัดไป ฝ่ายนั้นปิดประตูใส่หน้าเธอกับพุทธชาด แถมยังตะโกนไล่ไม่ให้เธอมาที่นี่อีก เสียงเด็กร้องไห้โยเยในบ้านทำให้เธอไม่อาจก้าวเท้าไปจากที่นั่น เมื่อวานนำพรยังดีๆ อยู่เลย ต้องมีอะไรทำให้เพื่อนเธอเปลี่ยนไปแน่ๆ

    “พร ออกมาคุยกันก่อน ให้ฉันดูหลานด้วย แกร้องไห้ไม่หยุดอย่างนี้เป็นอะไรหรือเปล่า” คนที่ไม่ใช่หมอ แต่มีพี่ชายเป็นคุณหมอเด็กบอกอย่างห่วงใย เมื่อวานก่อนจะกลับเธอได้พูดเรื่องนี้กับพรรษชลแล้ว เขาสั่งไว้หากเด็กยังไม่หายตัวร้อนก็ให้รีบพาไปหาเขาที่โรงพยาบาลในตัวอำเภอ

    “กลับไป! ฉันไม่อยากเห็นหน้าแกอีก” เสียงของนำพรดังประสานกับเสียงร้องไห้จ้าของทารกวัยห้าเดือน

    “กลับก่อนเถอะเทียน” พุทธชาดจับไหล่บอบบาง รั้งให้หญิงสาวเดินไปที่รถ ชายหนุ่มตั้งใจว่ากลับไปที่ฟาร์มแล้วจะบอกคาวีให้บอกสามีนำพรกลับมาดูลูกเมียที่บ้าน นำพรมีเรื่องไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัดจากสีหน้าและน้ำเสียง

    “เทียนเป็นห่วงหลานจังเลยค่ะคุณพุด” คนห่วงทั้งเพื่อนทั้งหลานบอก หากตัดครอบครัวดอกไม้ออก ก็มีไม่กี่คนในชีวิตหรอกที่เธอให้ความสำคัญ

    “พี่ก็ห่วง แต่เราทำอะไรไม่ได้ แม่ของเขาไม่ยอมให้เราเข้าไป” หนุ่มดอกไม้ปลอบอย่างใจเย็น

    “ทำไมคะ เมื่อวานพรยังดีๆ อยู่เลย เทียนไปทำอะไรให้พรไม่พอใจหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามอย่างจนปัญญา เธอไม่รู้เลยจริงๆ ว่าทำอะไรให้เพื่อนไม่พอใจ

    “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พี่อยากให้เทียนกลับบ้านเราก่อนนะ อยู่อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์” จบประโยคของพุทธชาด เสียงเด็กก็แผดจ้าขึ้นอีกครั้ง ระดับเสียงที่ดังกว่าเดิมยังให้เทียนกัลยาร้อนใจ

    “ทำไงดีคะคุณพุด” หญิงสาวเขย่าแขนเขา “หลานร้องไห้ใหญ่แล้วนะคะ ถ้าพรไม่อยากคุยกับเทียน คุณพุดช่วยไปถามหน่อยสิคะ นะคะ…นะๆ” เธอออดเสียงอ่อนหวังให้เขาช่วยพูดกับนำพร

    ใจที่แกร่งปานหินผาอ่อนยวบตั้งแต่โดนสาวเจ้าถึงเนื้อถึงตัว นัยน์ตาคมกริบลึกล้ำสะท้อนประกายแรงกล้า ยิ่งนับวันสัมผัสของเธอก็ยิ่งมีผลต่อร่างกายและหัวใจเขา

    “งั้นเทียนรออยู่ที่รถ ไม่ต้องเดินตามพี่ไปนะ” เขาสั่งให้เทียนกัลยารออยู่ที่รถซึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน สุนัขสีน้ำตาลสองตัวเห่ากรรโชกใส่ชายหนุ่ม ดีที่วันนี้เจ้าของผูกมันไว้กับต้นไม้ ไม่งั้นเขาคงไม่กล้าเดินเข้ามา

    “คุณพรครับ พาเด็กไปหาหมอดีกว่าไหม เดี๋ยวผมตามรถให้” คนที่พูดภาษาไทยได้อย่างดีตะโกนบอกเจ้าของบ้าน

    “ไม่ต้องมายุ่ง คุณกลับไปซะ”

    “พร…เทียนเป็นห่วงคุณมากนะ เขาเห็นคุณเป็นเพื่อนมาตลอด” ความชิงชังที่จับได้จากน้ำเสียงทำให้พุทธชาดย้ำถึงมิตรภาพของสองสาว

    “มันไม่ใช่เพื่อนฉัน ไม่ได้เป็นมาตั้งนานแล้ว คนระดับนั้นเขาไม่นับฉันเป็นเพื่อนหรอก”

    “ต้องคนระดับไหนถึงจะเป็นเพื่อนกับคุณได้ คุณดูเพื่อนที่ฐานะอย่างนั้นเหรอ” เจ้าของเสียงทุ้มบอกอย่างราบเรียบ ทว่าในใจเริ่มร้อนรนยามทารกน้อยร่ำไห้ไม่หยุด ราวกับพร้อมจะขาดใจตายในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง

    เทียนกัลยาเดินกระวนกระวายอยู่หน้าบ้าน เด็กยังร้องไม่หยุดโดยที่คนเป็นแม่ไม่คิดปลอบ หญิงสาวพยายามคิดในแง่ดี นำพรอาจมีปัญหาให้ขบคิด บวกกับอายุยังน้อยเกินกว่าจะเป็นแม่คน

    “มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าหนู” จู่ๆ ก็มีเสียงคนดังจากด้านหลัง เทียนกัลยารีบหันไปยิ้มก่อนที่รอยยิ้มจะค้างบนใบหน้า

    ดวงตาเนื้อทรายเบิกกว้าง ริมฝีปากเผยออ้าค้าง คล้ายคนกำลังช็อกกับสิ่งที่พบเห็น

    “ว่าไงจ๊ะ มีอะไรหรือเปล่า พอดีป้ากับลุงอยู่บ้านข้างๆ นี่ ได้ยินเสียงเด็กร้องไม่หยุดเลยเดินมาดู”

    เทียนกัลยามองสองสามีภรรยาซึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ผู้ชายแต่งตัวง่ายๆ ด้วยชุดม่อฮ่อมกางเกงขาสามส่วน ส่วนฝ่ายหญิงสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวตัดเย็บเข้ารูปกับซิ่นไหมทอลายตีนจกซึ่งเป็นผ้าซิ่นขึ้นชื่อของลาว หญิงสาวยังจดจำใบหน้าของคนทั้งสองอย่างขึ้นใจ แม้วัยจะล่วงผ่าน แต่เค้าหน้าทั้งสองคนก็หาได้เปลี่ยนไป หากจะเปลี่ยนก็คงเป็นใบหน้าที่มีริ้วรอยแห่งวัยและความทุกข์ที่สุมใจ

    “มะ…” เจ้าของเสียงหวานอึกอัก หญิงสาวรู้สึกว่ามีก้อนสะอื้นติดลำคอทำให้พูดไม่ออก

    “มีอะไรหรือเปล่าครับ” พุทธชาดที่เห็นคนมาคุยกับหญิงสาวจึงรีบเดินออกมา

    “อ้อ ผมอยู่บ้านข้างๆ นี้ ได้ยินเด็กร้องไม่หยุดเลยมาถามดู” บันทะวงเป็นคนตอบ พุทธชาดมองสองสามีภรรยาก่อนจะยกมือไหว้อีกฝ่าย

    “ไหว้พระเถอะจ้ะ ทีนี้บอกได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”

    “เด็กไม่สบายครับ ผมกับน้องมาเยี่ยมพร แต่ดูท่าเธอจะมีปัญหา”

    “อืม” ราตรีพยักหน้ามองไปในบ้าน “เมื่อวานตอนค่ำได้ยินเสียงเขาทะเลาะกันอยู่ ป้าก็นึกว่าไม่มีอะไร เอาอย่างนี้ เดี๋ยวป้าไปถามให้เองดีกว่า ดีไหมคะพี่เป้” ราตรีหันไปขอความเห็นจากสามี

    “ดีเหมือนกัน งั้นพี่ไปเป็นเพื่อนนะ”

    ก่อนที่สองสามีภรรยาจะเดินถึงหน้าบ้าน ประตูก็เปิดผางอย่างแรง

    “เทียน! ช่วยลูกฉันด้วย” นำพรแผดเสียงร่ำไห้โดยอุ้มลูกน้อยแนบอก 

    พุทธชาดเป็นคนแรกที่วิ่งไปดูเด็ก ชายหนุ่มอุ้มเด็กออกจากอกแม่ ใบหน้ากลมแป้นแดงก่ำ ริมฝีปากที่แดงช้ำทำให้เขารีบหันไปหาบันทะวง

    “ลุงมีรถหรือเปล่าครับ เด็กต้องไปโรงพยาบาลด่วน”

    “มีสิ อุ้มไปบ้านลุงเลย ตรีอยู่เฝ้าบ้านนะ เอ้านังหนูเลิกร้องไห้แล้วไปขึ้นรถก่อน” บันทะวงฉุดแขนภรรยาให้เดินตามพร้อมกับเรียกนำพร

    ไม่มีใครสังเกตเห็นอาการตกตะลึงของเทียนกัลยาเลยสักคน ทุกคนปล่อยให้หญิงสาวตกอยู่ในอาการนั้นจนกระทั่งรู้สึกตัวเอง เธอมองหนูน้อยในอ้อมกอดพุทธชาดซึ่งเขาอุ้มมาหยุดตรงหน้าพอดี

    “พาหลานไปโรงพยาบาลเถอะเทียน” ชายหนุ่มบอกโดยที่เก็บความสงสัยเอาไว้ สีหน้าเมื่อสักครู่หมายความว่าอย่างไร แล้วเหตุใดน้ำตาหญิงสาวจึงไหล

    ทั้งหมดขึ้นรถไปโรงพยาบาลประจำอำเภอด้วยกัน ราตรีที่ตอนแรกถูกสามีสั่งให้เฝ้าบ้านก็ติดตามมาด้วย เทียนกัลยานั่งตอนหลังติดกับ ‘ผู้เป็นแม่’ โดยมีนำพรนั่งอยู่ถัดไป เด็กอยู่ในอ้อมกอดของพุทธชาดซึ่งนั่งตอนหน้าคู่คนขับ กว่าจะมาถึงโรงพยาบาลก็กินเวลาไปครึ่งชั่วโมง บุรุษพยาบาลรับร่างเด็กเข้าห้องฉุกเฉิน พุทธชาดโทรศัพท์บอกพรรษชลซึ่งเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลแห่งนี้

    นานกว่าพรรษชลจะออกจากห้องฉุกเฉิน ทันทีที่ชายหนุ่มเปิดประตูออกมา เทียนกัลยาก็ปราดเข้าไปหาพี่ชาย เขารั้งร่างน้อยเข้ามากอดปลอบ ภาพนั้นทำให้นำพรที่เกิดอิจฉาเพื่อนอดหลั่งน้ำตาไม่ได้ เทียนกัลยาเป็นห่วงลูกเธออย่างแท้จริง แล้วเหตุใดเธอถึงคิดพาลอิจฉาเพื่อนเช่นนี้

    “เด็กปลอดภัยแล้ว แต่คงต้องอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลต่ออีกสองสามวัน”

    “ค่อยโล่งหน่อย แต่หลานเทียนไม่เป็นอะไรแน่นะคะพี่หมอ”

    “แค่ไข้ขึ้นสูงมาก แล้วก็ปล่อยให้เด็กร้องนานเกินไป แต่ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้อาจจะช็อกจนเสียชีวิตได้ คราวหน้าคุณแม่ควรพาลูกมาโรงพยาบาลทันทีที่เด็กไข้ไม่ลดนะครับ” ท้ายประโยคเขาหันไปบอกมารดาหนูน้อย เด็กไข้ขึ้นขนาดนั้นควรพามาพบหมอ แต่เหตุใดคนเป็นแม่ถึงได้ละเลย พรรษชลคิดอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะมีความกังวลใจเพิ่มขึ้น หญิงสาวผู้นี้มีอายุไล่เลี่ยกับเทียนกัลยา อาจเพราะอายุยังน้อยเลยยังไม่ค่อยเข้าใจ หรือสัญชาตญาณของคนเป็นแม่ยังไม่มากนัก

    ดังนั้น หากเทียนกัลยาแต่งงานเร็วกว่าที่เขาคิด เขาจะไม่ยอมให้น้องตั้งท้องจนกว่าจะอายุครบยี่สิบสี่!

    “ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ ขะ…ขอบคุณแกด้วยนะเทียน” นำพรหันไปหาเพื่อน

    “ฉันกับแกเรามีเรื่องต้องพูดกันนะพร” เทียนกัลยาบอกเสียงแข็ง กระชากแขนเพื่อนให้เดินไปหาที่เงียบๆ คุยกันสองคน ทิ้งให้คนอื่นๆ มองตากันปริบๆ โดยเฉพาะพุทธชาดซึ่งเป็นห่วงหญิงสาว


    เทียนกัลยาเดินมาหยุดใต้ร่มไม้ใหญ่ข้างโรงพยาบาลซึ่งเป็นบริเวณทางเข้าที่พักของหมอและพยาบาล บริเวณนั้นเงียบและมีโต๊ะหินอ่อนตั้งอยู่

    “เอาละ ไหนแกบอกมาซิว่าอะไรที่ทำให้แกปิดประตูใส่หน้าฉัน พูดเหมือนไม่อยากเป็นเพื่อนฉัน” แม้จะตกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งพานพบ แต่หญิงสาวจำต้องตั้งสติแก้ไขไปทีละเรื่อง ซึ่งเรื่องของนำพรดูจะแก้ไขง่ายที่สุด

    “ฉัน…เอ่อฉัน…”

    “ฉันอะไร!”

    “ฉันอิจฉาแก! แกมีชีวิตที่ดี ในขณะที่ฉันต้องลำบาก ฉันได้เรียนแค่ ม. สาม ต้องหาเลี้ยงน้องเลี้ยงพ่อแม่ แต่แกสบาย ได้ไปอยู่กับครอบครัวคนรวย พวกเขารักแก รวมถึงผู้ชายคนนั้นด้วย แกมันโชคดีจนฉันอิจฉา แค่นี้พอหรือยัง” คนที่ถูกความโลภครอบงำไปชั่วขณะตะโกนบอก ความมืดดำในใจปะทุขึ้นเมื่อค่ำวานตอนสามีกลับมาถึงบ้าน เธอลองเลียบเคียงถามถึงครอบครัวเจ้านาย ฝ่ายนั้นก็พูดจายกย่องคาวีใหญ่ รวมถึงพูดเรื่องที่ครอบครัวภรรยาคาวีนั้นร่ำรวยล้นฟ้า เธออารมณ์เสียใส่สามีจนต้องทะเลาะกัน พอเช้านี้เห็นหน้าเทียนกัลยาก็เลยพาล

    ร่างบางผงะหลังจากรับรู้ความรู้สึกของเพื่อน หญิงสาวส่ายหน้าก่อนจะตรงไปนั่งเคียงข้างเพื่อน

    “แกจะอิจฉาฉันทำไมวะพร อิจฉาที่ฉันเห็นตาตายในกองไฟ อิจฉาที่ฉันต้องพลัดพรากจากน้องสาว แล้วตกไปอยู่ในความดูแลของคนแปลกหน้าอย่างนั้นเหรอ”

    “ตะ...แต่พวกเขารวย” คนที่ลืมตระหนักถึงความสูญเสียของเพื่อนอึกอัก

    “ความสุขของแกมันวัดที่เงินงั้นเหรอ หากฉันเลือกได้ ฉันจะเลือกเป็นอย่างแก อย่างน้อยๆ แกก็ยังมีพ่อแม่ที่แท้จริง มีน้องๆ ให้ดูแล” ความรู้สึกอัดอั้นตันใจถูกกลั่นเป็นน้ำตา

    “แกหมายความว่ายังไงเทียน”

    “ฉันไม่ใช่หลานแท้ๆ ของตา ลูกสาวตาเขาลักพาตัวฉันมาจากพ่อแม่ รู้อย่างนี้แล้วแกยังจะอิจฉาฉันไหมพร”

    “อะไรนะ แกพูดอะไรออกมาวะเทียน”

    “ฉันพูดความจริงไง ความจริงที่ฉันไม่เคยบอกใคร แม้แต่เพื่อนที่อยู่ข้างกายฉันมาแปดปีเต็ม แต่ฉันบอกแก…เพราะเห็นแกเป็นเพื่อนสนิทของฉัน แกเคยแบ่งข้าวเที่ยงให้ฉันกิน แกเคยให้เงินฉันยืม แกเคยทายาให้ฉันที่โรงเรียนก่อนที่เราสองคนจะจากกัน ถามสักคำเถอะ…แกรู้อย่างนี้แล้วแกยังอิจฉาฉันอยู่ไหม”

    นำพรกอดเพื่อน เรื่องราวของเทียนกัลยาทำให้เธออดร้องไห้ตามไม่ได้ มันใช่หรือ ยังมีคนที่โชคร้ายอย่างนี้อีกหรือ การพลัดพรากจากครอบครัวอันเป็นที่รักนับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว หากเลือกได้นำพรขอเลือกที่จะเป็นอย่างเดิม มีชีวิตสุกๆ ดิบๆ โดยที่ยังมองเห็นความเป็นอยู่ของพ่อแม่พี่น้อง ต่อให้รวยมีเงินล้นฟ้า ทว่าต้องเป็นอย่างเทียนกัลยาเธอก็ไม่เลือก

    “ฉันขอโทษนะ ฉันปล่อยให้ความอิจฉาครอบงำจนเผลอทำร้ายแก”

    “ความสุขมันไม่ได้วัดกันที่เงินนะพร ฉันยอมรับว่าฉันโชคดีที่เจอครอบครัวคุณพุด แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตฉันอยู่ดี ถ้าฉันไม่รู้เรื่องที่ถูกลักพาตัวมา ฉันคงมีความสุขกว่านี้”


    พุทธชาดนั่งรออยู่ข้างเตียงภายในห้องพักผู้ป่วยเด็กซึ่งเป็นห้องรวม แก้มสากแดงขึ้นเล็กน้อยยามถูกสายตาหลายสิบคู่จับจ้อง คนเหล่านั้นมองเขาสลับกับเด็กน้อยบนเตียง เดาได้ไม่ยากว่าพวกเขาคงคิดว่าลูกหน้าไม่เหมือนพ่อสักนิด ชายหนุ่มคิดอย่างขำๆ เมื่อก่อนเขาเคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแฟนกับการะเกดบ่อยๆ แถมตอนน้องสาวแต่งงานมีลูกก็มีบ่อยครั้งที่ผู้คนเข้าใจว่าเขาเป็นสามีเธอ เหตุเพราะเป็นฝาแฝดชายหญิงที่หน้าตาไม่เหมือนกัน

    นานกว่าพรรษชลจะเข้ามาชี้แจง คุณหมอหม่อมหลวงดูให้ความสนิทสนมกับคนไข้และเป็นที่นับหน้าถือตาไม่น้อย

    “พี่เมียหมอน้ำนี่เอง แหม…ป้าก็นึกอยู่ว่าเด็กนั่นหน้าไม่หล่อเหมือนพ่อสักกะติ๊ดเดียว” คุณป้าเคี้ยวหมากปากแดงคนหนึ่งพูดกลั้วขำ

    “นั่นสิ ยังคิดๆ อยู่ว่าอาจเป็นลูกติดเมียไทย แต่ก็ยังเล็กเหลือเกินเนาะ คลอดไม่กี่เดือนก็ได้ผัวฝรั่ง” หญิงสาวอีกคนที่นั่งเฝ้าลูกอยู่เตียงตรงข้ามกับพุทธชาดบอก

    “แล้วพี่เมียหมอ เขาเป็นอะไรกับเด็กล่ะ ถึงได้มานั่งเฝ้า” คุณป้าปากแดงหันไปซักหมอน้ำขวัญใจคนทั้งโรงพยาบาล

    “น้องสาวผมเป็นเพื่อนกับแม่เด็กครับ”

    “อ้อ แล้วพี่เมียหมอก็เป็นแฟนกับน้องหมอใช่ไหม”

    พุทธชาดที่เอาแต่นั่งเงียบถึงกับยิ้มกว้าง ชายหนุ่มเลิกคิ้วให้พรรษชลที่ทำหน้าเครียด

    “ต้องใช่แน่เลย แหม…ดีเนอะ เรือล่มในหนองทองจะไปไหน ดองกันทั้งพี่ทั้งน้องอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน”

    “อ่า เอาไว้ให้เป็นเรื่องของอนาคตเถอะครับ ตอนนี้อะไรๆ มันยังไม่แน่นอน” คุณหมอหม่อมหลวงแบ่งรับแบ่งสู้ ทำตาดุปรามพี่ภรรยาที่เอาแต่ยิ้ม รอยยิ้มแบบนั้นเหมือนยอมรับสิ่งที่คุณป้าคนนี้คาดเดาอย่างไรอย่างนั้น

    “อุ๊ย อย่าปฏิเสธเลยหมอ มีพี่เมียพ่วงด้วยตำแหน่งน้องเขยหล่อขนาดนี้ หลานออกมาต้องหน้าตาดีแน่ๆ ดูอย่างลูกหมอสิ เขาลือกันทั้งโรงพยาบาลว่าน่ารักมาก”

    “ครับ ยังไงผมขอตัวก่อนนะครับ” ในที่สุดคุณหมอหนุ่มก็ล่าถอย หันไปดูเด็กแป๊บหนึ่งก่อนส่งสัญญาณให้พี่ภรรยาเดินตามออกมาข้างนอก พุทธชาดลุกตามแต่โดยดี ใบหน้ายังเปื้อนด้วยรอยยิ้มยามนึกถึงหลานของพรรษชลที่คุณป้าคนนั้นบอกต้องหน้าตาดีแน่ๆ

    “นายควรปฏิเสธบ้างนะพุด” พรรษชลเล่นงานชายหนุ่มทันทีที่ออกมาด้านนอก บริเวณนี้เป็นหัวมุมตรงบันไดซึ่งไม่มีผู้คน

    “เรื่องอะไรล่ะครับ” หนุ่มดอกไม้ย้อนถามด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มอยู่เช่นเดิม

    “เรื่องเทียน”

    “พี่น้ำ… ผมให้เกียรติเทียนทุกอย่าง”

    “ถึงอย่างนั้นนายก็ควรปฏิเสธ” คนหวงน้องดุไม่เต็มปากนัก พุทธชาดทำอย่างที่พูดทุกอย่าง ยกเว้น… “แล้วนายก็เลิกทำตัวติดน้องเสียที ไปไหนมาไหนด้วยกันทั้งวัน คนอื่นจะมองไม่ดี”

    พุทธชาดได้ยินแล้วยิ้มกว้าง “ผมไม่เจอเทียนมาเกือบปี ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยได้อยู่สองต่อสอง”

    “นั่นไม่ใช่เหตุผลที่นายจะอยู่กับน้องตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเสียหน่อย”

    “สิบชั่วโมงครับ รวมอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวด้วย ที่เหลือเทียนอยู่ในห้องหรือไม่ก็อยู่คุยกับคนอื่นๆ”

    “อยู่ในห้อง? นี่นายคงไม่คิดนะว่าพี่รู้ไม่ทัน ทำไมนายถึงยกห้องให้เทียน” พรรษชลบอกหน้าเครียด พุทธชาดเจ้าเล่ห์เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด ชายหนุ่มยกห้องให้เทียนกัลยาเพราะอยากให้หญิงสาวผูกพันกับตัวเอง

    “พี่น้ำครับ อย่าลืมว่าตอนยายเกดจะแต่งงาน ผมช่วยพี่ไปตั้งเยอะ” คนที่ทำท่าจะเพลี่ยงพล้ำให้แรงหวงน้องของอีกฝ่ายลำเลิกบุญคุณ พุทธชาดไม่อยากทำแบบนี้และคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำด้วย แต่เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ให้พรรษชลอยู่เฉยๆ ย่อมเป็นการดี

    “นี่นายทวงบุญคุณเหรอพุด”

    “ใช่ครับ ตอนนั้นผมเฉยมากๆ ดังนั้นตอนนี้พี่ควรทำแบบผมบ้าง แต่ถ้าพี่เห็นว่าผมไม่ผ่าน ไม่เหมาะสมกับเทียน ผมยอมให้พี่ทักท้วงอย่างไม่อิดออด ยุติธรรมดีไหมครับ”

    พรรษชลที่เคยใจเย็นเป็นนิตย์กำลังรุ่มร้อนเป็นไฟ ชายหนุ่มมองพี่ภรรยาที่กำลังจะกลายมาเป็นน้องเขยในเร็ววันนี้ พุทธชาดเหมาะสมกับเทียนกัลยาทุกอย่าง ดีเกินไปด้วยซ้ำ เขาเพียบพร้อมในทุกด้าน เรียกว่าแทบไม่มีที่ติ แต่สิ่งที่พรรษชลกังวลก็คือเทียนกัลยาที่อายุยังน้อยจะรับแรงกดดันได้ไหม การอยู่กับชายหนุ่มเพียบพร้อมในทุกด้านย่อมถูกคนเปรียบเทียบ ยิ่งพุทธชาดไม่ใช่ลูกตาสีตาสายิ่งแล้วใหญ่ แต่งงานไปน้องสาวเขาย่อมตกเป็นเป้าสายตาผู้คน

    “นายดีเกินไปสำหรับเทียน”

    “ผมรู้ว่าพี่ห่วงอะไร แต่ผมขอให้คำมั่นสัญญาว่าจะปกป้องเทียนอย่างสุดความสามารถ ไม่ใช่แค่ปกป้องชีวิต แต่จะปกป้องความรู้สึกของเทียนด้วย” พุทธชาดให้คำมั่นสัญญา ใต้ปีกฟาเบรกลาสย่อมเป็นที่ซึ่งปลอดภัยที่สุดสำหรับยอดดวงใจของเขา

    “รอให้เทียนอายุยี่สิบสี่ก่อนเถอะ” คนที่หมดข้อคัดค้านแถ อย่างไรเขาก็รับไม่ได้อยู่ดีที่น้องสาวจะมีครอบครัวในเร็ววันนี้ พรรษชลรู้สึกไม่ค่อยดี พักนี้เขามักคิดว่าพุทธชาดคงไม่ปล่อยเวลาให้ยืดต่อไปอีกหลังจากเฝ้ารอมาหลายปี

    “ไม่ครับ…ผมกลัวแก่”


    “ใครกลัวใครแก่คะ” เสียงหวานดังจากบันไดทางขึ้น สองหนุ่มที่คุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหันไปมองพร้อมกันก็พบกับใบหน้าที่ยังแดงก่ำเหมือนเพิ่งร้องไห้หมาดๆ

    “ทำไมถึงต้องร้องไห้” แทนที่จะตอบคำถาม พุทธชาดกลับย้อนถามแทน สีหน้าชายหนุ่มดูเคร่งเครียดกว่าเดิมจนเทียนกัลยารู้สึกประหม่า

    “อ่า เทียนไปปรับความเข้าใจกับพรมาค่ะ แล้วก็ เอ่อ…ร้องไห้กันนิดหน่อย”

    “ตาบวมขนาดนั้นพี่ว่าไม่หน่อยละ” พรรษชลกระเซ้าอย่างต้องการลดความตึงเครียด

    “พี่หมอกับคุณพุดคุยอะไรกันคะ”

    “ไม่มีอะไรหรอก พุดเขาแค่บ่นว่าแก่แล้วเลยอยากแต่งงาน” คนที่เจ้าเล่ห์ไม่น้อยไปกว่าน้องภรรยาบอก อย่างไรเสียเทียนกัลยาก็ยังไม่ทราบว่าพุทธชาดต้องการแต่งงานกับใคร แม้จะซาบซึ้งความดีของอีกฝ่ายที่เคยช่วยเหลือกันมา แต่จะมาลำเลิกแล้วให้เขายอมก็เห็นจะไม่ง่าย

    “แต่งงานเหรอคะ” เทียนกัลยาทวนเสียงแผ่ว รู้สึกเหมือนมีหินก้อนใหญ่หล่นลงกลางใจ

    “ใช่ พี่อยากแต่งงานเพราะกลัวจะมีลูกตอนแก่ เทียนว่าดีไหม” หนุ่มดอกไม้หันไปถามเทียนกัลยา

    “หา เอ่อ…ดีค่ะ”

    “งั้นก็เป็นอันตกลง พี่หมอรับรู้แล้วนะครับ”

    “ตกลงอะไรกันคะ”

    “พวกเขาตกลงกันเรื่องแกน่ะสิเทียน” นำพรที่ฟังอยู่นานและดูจากสายตาหนุ่มๆ ก็พอคาดเดาได้ แววตาของทั้งสองที่มีต่อเทียนกัลยานั้นแตกต่างกัน คนหนึ่งมองอย่างเอ็นดูเหมือนน้อง แต่แววตาอีกคนดูล้ำลึกอย่างคนที่รักสุดหัวใจ

    “เรื่องฉัน?” เทียนกัลยาชี้ตัวเองก่อนจะหน้าแดง

    “เออ เดี๋ยวฉันขอไปดูลูกก่อนนะ” นำพรเดินลิ่วไปยังห้องพักผู้ป่วยเด็กด้วยความเป็นห่วงลูก 

    เทียนกัลยามองตามเพื่อนก่อนจะหันมาทางสองหนุ่มซึ่งยังคงจ้องตากันไม่เลิก “พี่หมอกับคุณพุดมีเรื่องผิดใจกันหรือเปล่าคะ” ด้วยความที่รักทั้งสองคน เมื่อเห็นพวกเขาสบตากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ

    “พี่หมอไม่เห็นด้วยเรื่องพี่จะแต่งงานน่ะ บอกอยากให้รออีกสี่ปีค่อยแต่ง”

    “เอ่อ ทำไมต้องรออีกสี่ปีล่ะคะ”

    “รอให้เจ้าสาวพี่อายุครบยี่สิบสี่ก่อนไง”

    “ยี่สิบสี่?” เทียนกัลยาทวน ยังไม่ทันได้คิด อีกคนก็แทรกขึ้นเสียก่อน

    “เฮ้อ! จะเที่ยงแล้ว เทียนไปกินข้าวเป็นเพื่อนพี่หน่อย” พรรษชลขัดขึ้นแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหนักใจ เขาเดินไปโอบบ่าน้องสาวให้เดินตาม ทิ้งให้พุทธชาดมองตามด้วยแววตาอบอุ่น 

    เขาลงทุน ‘อ่อย’ ขนาดนี้หวังว่าสาวเจ้าจะเห็นใจ…ยี่สิบสี่มันนานไปจริงๆ นะ

    เทียนกัลยายังไม่ทราบว่าเจ้าของหัวใจที่เธอแอบซุกซ่อนอยู่ในซอกหลืบลึกนั้นจับได้ตั้งแต่แรก เขาจับให้มั่นได้หลายปีแล้ว ยังเหลือแต่จะ ‘คั้น’ ให้ตายคาอกอุ่นนี้


    อย่างไรก็ตามเรื่องเจ้าสาววัยยี่สิบสี่ถูกพับเก็บไปเมื่อเทียนกัลยาพบกับบันทะวงและราตรีที่โรงอาหารของโรงพยาบาล ทั้งสองส่งยิ้มให้จนพรรษชลต้องพาน้องสาวไปร่วมโต๊ะด้วย เทียนกัลยามองแม่กับพ่อด้วยหัวใจพองโต เธอคอยตามข่าวพวกท่านมานานหลายปี แต่ก็ไม่เคยได้ข่าว ไม่คิดว่าเลยว่าพวกท่านจะอยู่ใกล้กันเพียงนี้ ใบหน้ารูปเหลี่ยมของบันทะวงมีดวงตาที่โดดเด่น ดวงตาซึ่งถ่ายทอดสู่ผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ส่วนราตรีนั้นมีรูปร่างอ้อนแอ้น อีกทั้งยังมีใบหน้าเรียวรูปไข่ซึ่งถ่ายทอดให้แก่ลูกสาวเช่นเดียวกัน

    “นั่งด้วยกันสิคะหมอ” ราตรีเชื้อเชิญพรรษชล

    “พี่หมอรู้จัก เอ่อ คุณป้าด้วยเหรอคะ” เทียนกัลยาถามพี่ชาย เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนเหมือนคนรู้จักกัน

    “จ้ะ ป้าตรีเอาผลไม้จากสวนมาฝากพี่บ่อยๆ”

    “ตอนหมอมาใหม่ๆ ใครๆ เขาก็พูดถึงหมอ ป้ามารับยาทุกเดือนก็เลยเห่อไปกับเขาด้วย พอได้พูดคุยก็รู้สึกชอบน่ะ หมอที่เสียสละแบบนี้หายาก” ราตรีเป็นอีกคนที่ยกย่องชื่นชมคุณหมอหม่อมหลวงซึ่งเลือกประจำที่นี่มากกว่าไปประจำโรงพยาบาลใหญ่ๆ

    “แล้วมะ เอ่อ ป้าเป็นอะไรคะ ถึงต้องมารับยาทุกเดือน”

    “เป็นเบาหวานจ้ะ” ราตรีรู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวตรงหน้านัก ยิ่งได้มองก็ยิ่งนึกถึงลูกสาวที่ถูกลักพาตัวไป

    “หมอนั่งคุยกับตรีก่อน อยากกินอะไรเดี๋ยวผมไปสั่งให้” บันทะวงบอก “นานๆ ภรรยาผมแกจะเจอคนพูดคุยถูกคอต้องบริการกันหน่อย” คนที่รักภรรยาอย่างสุดหัวใจบอก

    “งั้นเทียนไปช่วยคุณลุงนะคะ” เทียนกัลยาอาสาเพราะอยากใกล้ชิดผู้เป็นพ่อ

    ดวงตาเนื้อทรายที่คล้ายคลึงกันสองคู่สบตากัน ความเหมือนยังให้หัวใจบันทะวงสะท้าน คิดถึงลูกสาวขึ้นมาจับหัวใจ

    “ไปสิหนู ว่าแต่เราชื่ออะไรนะ”

    เทียนกัลยารีบกะพริบตาเพื่อขับไล่น้ำอุ่นร้อนที่คลอขึ้นมา หญิงสาวไหว้ผู้สูงวัยทั้งสองก่อนบอกเสียงสั่นเทา

    “ชื่อเทียนค่ะ”

    “เทียน!” ทั้งบันทะวงและราตรีต่างประสานเสียงกัน

    “ครับ น้องผมชื่อเทียน ชื่อจริงว่าเทียนกัลยา”

    “คุณพระ!” ราตรียกมือขึ้นทาบอก ก่อนจะปล่อยโฮจนผู้เป็นสามีต้องปลุกปลอบ

    “ขะ...ขอโทษด้วยครับหมอ วันนี้ภรรยาผมไม่สบาย ยังไงพวกเราขอตัวก่อน” บันทะวงรีบพาภรรยาลุกไปจากตรงนั้น

    ดวงตางามที่ฉาบด้วยหยดน้ำมองตามแผ่นหลังของบุคคลทั้งสองที่เธอถวิลหาอ้อมกอด ในที่สุด…คนบนฟ้าก็เห็นใจเธอ ให้เธอได้พบเจอพวกเขา

    “สงสัยป้าตรีจะไม่สบาย งั้นเทียนกินข้าวกับพี่นะ ว่าแต่ทำไมพุดถึงยังไม่ตามมาเสียที”

    “เทียนอยากกลับบ้านจังเลยค่ะพี่หมอ”

    “เป็นอะไรหรือเปล่า”

    เทียนกัลยาส่ายหน้า “เมื่อคืนนอนดึก เทียนเลยรู้สึกปวดหัวน่ะค่ะ อ้อ…นั่นคุณพุดตามมาพอดี” หญิงสาวโป้ปด กอปรกับที่พุทธชาดเดินตามมาพอดี หญิงสาวจึงลากลับท่ามกลางความสงสัยของสองหนุ่มที่จู่ๆ เธอก็มีท่าทางเปลี่ยนไป พรรษชลให้พุทธชาดไปเอารถที่บ้านซึ่งตั้งอยู่หลังโรงพยาบาลเพื่อขับกลับ เพราะขามาทั้งสองมาพร้อมบันทะวงและราตรี


    ฟากฝ่ายสองสามีภรรยาที่สะเทือนใจจนต้องหนีกลับบ้านต่างกุมมือกันอยู่ในรถ บันทะวงขับรถออกมาจากโรงพยาบาลได้สักพักจึงเลี้ยวจอดข้างทาง การได้พบหญิงสาวหน้าตาน่ารักซึ่งมีใบหน้าคล้ายคลึงกับพวกเขาอยู่หลายส่วนทำให้บาดแผลในหัวใจปริเพิ่มขึ้น แผลนับร้อยๆ รอยที่นับวันนับปียิ่งกรีดแทงลึกกินใจทั้งดวง

    “ดะ...เด็กคนนั้นชื่อเทียนค่ะพี่เป้ คุณหมอบอกว่าแกชื่อจริงว่าเทียนกัลยา” ราตรีเอ่ยทำลายความเงียบภายในรถ

    “ใช่ แกชื่อเหมือนลูกของเรา”

    “แต่แกเป็นน้องหมอน้ำ พี่เป้คะ…ตรีคิดถึงลูกของเรา” คนที่หลีกหนีความเจ็บปวดมาพำนักที่บ้านเก่าบอก การกลับไปอยู่ที่วังเวียงทำให้พลังในชีวิตเธอหมด ได้เห็นภาพลูกเต็มผนัง ได้คิดถึงวันวานที่มีลูกอยู่แทบทำให้เธอไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

    บันทะวงเคยปลอบให้เธออย่าหมดกำลังใจ สักวันเขาและเธอจะได้พบลูก แต่นับวันราตรียิ่งท้อ ลูกเธอเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด สุดท้ายจึงพากันหอบหัวใจบอบช้ำกลับมาบ้านที่เมืองไทยได้สองสามปีนี้เอง เพราะก่อนหน้านี้สามีเธอทำธุรกิจที่ต่างประเทศ ตอนนั้นเธอและเขายังคงมีความหวัง แต่เมื่อหมดหวังจึงชวนกันกลับมาที่นี่ กลับมาอยู่เงียบๆ ในที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก

    ราตรีกับบันทะวงเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกัน บันทะวงเป็นหนุ่มลาวที่มาศึกษาต่อในประเทศไทยและเลือกจังหวัดทางภาคอีสานเป็นสถานที่ร่ำเรียนหาความรู้ ทั้งสองตกลงคบหากันหลังจากที่บันทะวงสารภาพความในใจกับฝ่ายหญิง หลังจากเรียนจบทั้งสองแต่งงานกันและเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศ กระทั่งราตรีตั้งท้อง บันทะวงจึงลาออกจากงานและผันตัวเองมาทำธุรกิจส่วนตัว พร้อมทั้งพาภรรยาและลูกน้อยในครรภ์ไปตั้งรกรากที่บ้านเกิดเมืองนอนซึ่งก็คือวังเวียง

    ทั้งสองตั้งชื่อลูกสาวว่า ‘เทียนกัลยา’ ซึ่งมาจากดอกเทียนที่ราตรีชอบตอนตั้งท้อง ดอกเทียนบ้านๆ ซึ่งไม่ได้มีความหอม แต่คนท้องกลับชอบปลูก พอลูกสาวอันเป็นโซ่ทองคล้องใจของทั้งสองเติบใหญ่ขึ้น ครอบครัวก็มีแต่ความสุข บันทะวงยังต้องเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างวังเวียงกับเมืองไทย ซึ่งตอนที่ลูกสาวหายตัวไปเป็นช่วงที่ราตรีพาลูกกลับมาเมืองไทย พอแก้วตาดวงใจหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งสองจึงเฝ้ารอ…เฝ้าหวังว่าคนที่ลักพาตัวไปจะโทรศัพท์มาเรียกเงินค่าไถ่ แต่รออย่างไรก็ไม่มีการติดต่อ ตำรวจเองก็สืบหาคนร้ายไม่พบ

    ด้วยสายงานทางธุรกิจทำให้บันทะวงต้องเดินทางไปฮ่องกงบ่อยๆ จนในที่สุดก็ชักชวนภรรยาไปอยู่ด้วยกัน โดยฝากเรื่องกับทางตำรวจไว้ ราตรีที่ต้องอยู่กับความคิดถึงและความหวาดกลัวตอบตกลง หลังจากตำรวจสรุปว่าอาจเป็นแก๊งลักเด็กซึ่งนำเด็กไปขอทานหรือไม่ก็ไปค้าอวัยวะ โลกทั้งโลกของราตรีก็สั่นคลอน เธอแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่หากไม่มีผู้เป็นสามีคอยโอบกอด แต่เมื่อผ่านความเศร้าเสียใจอย่างที่สุดมาด้วยกัน ทั้งสองคนจึงมีชีวิตอยู่เพื่อกันและกัน

    “ยายหนูคนนั้น แกเหมือนทั้งตรีและพี่ เห็นแกครั้งแรกพี่นึกถึงลูกสาวเราทันที”

    “นั่นสิคะ ดวงตาของแกเหมือนพี่เป้เหลือเกิน”

    “ใบหน้าของแกก็เหมือนตรีมาก ถ้าไม่รู้ว่าเป็นน้องหมอน้ำ พี่จะคิดว่าแกเป็นลูกของเรา”

    สองสามีพร่ำพรรณนาต่อกัน โดยไม่รู้ว่าแม้โชคชะตาจะโหดร้ายกับคนทั้งคู่ แต่คนบนฟ้าก็ไม่ได้ใจร้าย ยังคงสร้างให้ดอกเทียนน้อยๆ เป็นที่จดจำแก่ผู้ให้กำเนิด ไม่ว่าเวลาผ่านไปเท่าไร นานเพียงไหน…ดวงตาเนื้อทรายแลใบหน้างดงามก็ยังจะตราตรึงในหัวใจผู้เป็นพ่อและแม่

    และสิ่งนี้เองที่จะนำหัวใจทั้งสามดวงให้หลอมรวมกัน

    จะตามให้รักกลับคืนสู่หัวใจอีกครั้ง




    เริ่มมีปมและจะได้คลายปมกันไปเป็นทอดๆ เรื่องนี้อ่านง่ายค่ะ ไม่ซับซ้อน เน้นให้อุ่นๆ ถ้าเหมือนแกง ถ้วยนี้ก็กลมกล่อมซดง่าย ฮ่าๆๆๆ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×