ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักคือเธอ (พุทธชาด + เทียนกัลยา)

    ลำดับตอนที่ #13 : ...๑๒ สามแยกปากมหา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.91K
      25
      30 มี.ค. 59

    ฝากข่าว...พี่พุดมีวางจำหน่ายที่งานหนังสือแล้วนะคะ

    ส่วนหน้าร้านและต่างจังหวัดคงต้องรอหลังงานหนังสือจ้า



    12

    สามแยกปากมหา

    บ้านสไตล์อิงลิชมีหญิงสาวเจ้าของบ้านแวะเวียนมาทุกวัน ต้นไม้ดอกไม้แข่งกันเบ่งบานราวกับต้อนรับหญิงสาวอย่างไรอย่างนั้น เทียนกัลยาขออนุญาตฟาบิโอ้มาที่นี่ แต่มีข้อแม้ว่าเธอจะต้องนำแป๋มเด็กคนงานที่ไร่มาเป็นเพื่อน สองสาวอยู่ในวัยไล่เลี่ยกันจึงไม่มีปัญหาเรื่องการปรับตัว หญิงสาวให้แป๋มเรียก ‘พี่’ แทน ‘คุณเทียน’

    “คุณเทียน อุ๊ย พี่เทียนจะให้แป๋มปอกผลไม้เลยไหมคะ” แป๋มที่ยังเรียกอีกฝ่ายไม่ชินปากหัวเราะแหะๆ ตบท้าย

    “อื้อ ปอกมากินด้วยกันเลยก็ได้จ้ะ” คนที่กำลังขะมักเขม้นพรวนดินให้ต้นเทียนตะโกนบอก

    “ให้แป๋มเรียกคุณเทียนเหมือนเดิมได้ไหมคะ” สาวอ่อนวัยกว่าออด “แป๋มกลัวป้าสมแกจะด่าเอา อีกอย่างแป๋มกลัวขี้กลากจะขึ้นหัวด้วยค่ะ” คนที่ทราบดีว่าเทียนกัลยามีสำคัญแค่ไหนคิดอย่างหวาดกลัว แม้จะไม่ใช่ลูกหลานทางสายเลือด แต่การปฏิบัติของทุกคนในบ้านก็ทำให้เธอทราบว่าหญิงสาวตรงหน้าสำคัญแค่ไหน สมทรงคงไม่แค่ด่าเธอหรอก เผลอๆ คงเอาไม้กวาดไล่ตีด้วยซ้ำไป

    “เรียกพี่เทียนก็ดีแล้ว อย่าเรียกคุณเลยพี่ไม่ชิน อีกอย่างพี่ก็ไม่ได้เป็นลูกหลานคุณแม่ท่านจริงๆ สักหน่อย แป๋มไม่ต้องเกรงใจพี่มากก็ได้” เทียนกัลยาบอก เธอทราบว่าแป๋มมองเธอเหมือนเจ้านาย ซึ่งนั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก เพราะเธอไม่ได้เป็นเจ้าเป็นนายแป๋มสักหน่อย

    “โอ๊ย ไม่ใช่ก็เหมือนใช่แหละค่า ทั้งคุณเดหลี คุณเกด นายคาวีต่างก็รักคุณเทียนทั้งนั้น นี่ยังไม่รวมนายบรรณ แล้วก็พ่อแม่คุณเดหลีนะคะ ไม่เอาละ แป๋มจะเรียกคุณเทียนเหมือนเดิมแล้ว แป๋มไม่อยากเสี่ยงกับด้ามไม้กวาดหรือสากกะเบือของป้าสมแก”

    “เด็กดื้อ บอกให้เรียกพี่ก็ไม่ยอม” คนที่กลายเป็นคุณเทียนแบบถาวรหันไปเอ็ดเสียงไม่จริงจัง อุตส่าห์จะหาเพื่อนสักคนไว้คอยแก้เหงา เพื่อนที่ไม่ต้องมานั่งเกรงอกเกรงใจเรียกกันว่าคุณเคิน เทียนกัลยาหน้างอง้ำ เธอคงอยู่กับสายน้ำผึ้งจนชิน

    “อย่าโกรธแป๋มเลยนะคะคุณเทียน แป๋มลำบากใจจริงๆ ให้เรียกคุณเทียนว่าพี่ แต่เรียกคุณๆ คนอื่นว่าคุณ แบบนี้มันไม่ถูกต้องนะคะ คุณเทียนเป็นน้องของคุณๆ แป๋มต้องเรียกคุณค่ะ”

    “เอาเถอะๆ พี่ไม่ได้โกรธอะไรแป๋มหรอก อธิบายเสียยืดยาวเชียว”

    “งั้นแป๋มไปปอกแอปเปิลกับฝรั่งมาให้กินนะคะ เดี๋ยวแป๋มกินเป็นเพื่อนด้วยเลย คุณเทียนจะได้ไม่เหงา” แป๋มที่ถูกสมทรงกำชับเรื่องดูแลเทียนกัลยาเป็นอย่างดีบอก

    คล้อยหลังแป๋ม เทียนกัลยาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูเวลาแล้วจึงกดหมายเลขโทร. ออกซึ่งเป็นเบอร์ทางไกล ส่วนใหญ่แล้วเธอจะพิมพ์คุยกับสายน้ำผึ้งเพราะต้องการประหยัดค่าโทรศัพท์แต่วันนี้ไม่รู้อย่างไร เธอคิดถึงเพื่อนขึ้นมาจับจิตจับใจ

    “นี่ๆๆ” เสียงหวานดังรัวจากปลายสาย “ถ้าไม่มีธุระแม่จะด่าให้ วันนี้วันหยุด ฉันตั้งใจตื่นสายนะเว้ยเทียน” 

    คนตั้งใจโทรศัพท์ไปปลุกหัวเราะร่วน เมื่อได้ยินเสียงแหวของสายน้ำผึ้ง “คิดถึง พอเป็นธุระได้ปะ”

    “อี๋…เอาไว้บอกกับพี่พุดเถอะย่ะ”

    “ฮื้อ เกี่ยวอะไรกับคุณพุดด้วยเล่า เดี๋ยวนี้ใครๆ เป็นอะไรก็ไม่รู้ เราพูดอะไรมักโยงไปถึงคุณพุดตลอด”

    “จง ‘ซื่อบื้อ’ ต่อไปเถอะ ว่าแต่มีอะไรเนี่ยถึงได้โทร. มาแต่เช้า” คนปลายสายแบะปากใส่โทรศัพท์ เรื่องเรียนน่ะเก่งนักหนา แต่เรื่องหัวใจนี่ถึงขั้นติดเอฟ

    “คิดถึง” เทียนกัลยาทอดเสียงอ่อน เธอคิดถึงสายน้ำผึ้งจริงๆ เมื่อก่อนอยู่ด้วยกันตลอด เห็นหน้ากันวันละหลายชั่วโมง ใช้ชีวิตอยู่ในแฟลตเดียวกัน จู่ๆ พอต้องแยกกันอยู่คนละทวีป เธอว่ามันแปลกๆ จะบอกว่าเหงาก็ไม่ถูกนักเพราะคนรอบตัวค่อนข้างเยอะ

    “จริงอะ เป็นเอามากเลยนะนั่น เพิ่งไปได้อาทิตย์เดียวเอง”

    “อ้อ แค่อาทิตย์เดียว พูดอย่างนี้ตัวไม่คิดถึงเราใช่ไหม” คนที่คิดถึงเพื่อนบอกอย่างแง่งอน ในขณะที่เธอคิดถึงสายน้ำผึ้ง แต่ยายนั่นกลับพูดมาได้ว่าแค่สัปดาห์เดียว!

    “โอ๋ๆ คิดถึงสิ อยู่ด้วยกันทุกวัน จู่ๆ แยกกันไปอยู่คนละประเทศ จะไม่ให้คิดถึงได้ยังไงกันเล่า”

    “แล้วไปเถอะ ว่าแต่ตัวคิดจะนอนอย่างเดียวเลยเหรอวันนี้”

    “พอๆ หยุดเทศน์เราเลยนะ อยู่ห่างกันตั้งเยอะยังจะมาบ่นอีก” คนที่มักโดนปลุกให้ลุกมาทำโน่นทำนี่ในวันหยุดรีบพูดแทรก

    “ลุกไปซักผ้าหน่อยน่า รถน้ำต้นไม้ให้แม่ไอวี่ก็ยังดี เช้าๆ อากาศสดชื่นนะ” เทียนกัลยาเรียกไอยเรศและชัยพฤกษ์ว่าพ่อแม่เหมือนกับที่เรียกราชพฤกษ์ ราชาวดี ลีลาวดี และฟาบิโอ้ เหตุเพราะไม่มีใครยอมเป็นป้าเป็นลุง ทุกคนอยากเป็นพ่อแม่ของเธอทั้งนั้น

    “เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวานแล้วย่ะ วันนี้จะน้อน…” คนชอบนอนในวันหยุดลากเสียงยาว “ว่าแต่นอกจากคิดถึงแล้วมีอะไรอีกไหม ตัวไปถึงที่โน่นแล้วสบายดีแน่นะ”

    “สบายดี คุณพุดสร้างบ้านให้เราด้วยแหละน้ำผึ้ง บ้านเหมือนกับที่เราสองคนเคยไปดูเปี๊ยบเลย”

    “อื้อ เห็นพี่เหน่เอามาเมาท์กระจายในกลุ่มเหมือนกัน” คนที่แม้จะไม่ค่อยคุยหรือแสดงตัวในกลุ่ม ทว่าอ่านทุกชอตบอก สายน้ำผึ้งไม่แปลกใจที่เทียนกัลยาไม่ทราบ เพราะรายนี้เคยบอกแล้วว่าจะไม่อ่าน คงตั้งแต่ถูกมหาเสน่ห์แซวเรื่องพุทธชาดมักซื้อของให้เมื่อหลายปีก่อน

    สายน้ำผึ้งยิ้มกับโทรศัพท์ ตอนนั้นเทียนกัลยาทั้งเขินทั้งอายที่ถูกเรียกว่า ‘ไก่’ ซึ่งต้องมีพุทธชาดเป็น ‘สมภาร’ แน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง มหาเสน่ห์แซวว่าพี่ชายกำลังทำตัวเป็น ‘สมภารกินไก่วัด’ เพราะเอาแต่ซื้อหาของฝากให้เทียนกัลยาตลอด แถมเรื่องที่ทั้งสองคุยข้อความกันเกือบทุกวันก็ไม่ใช่ความลับ แต่เป็นความรัก เอ๊ย เป็นสิ่งที่ทุกคนใคร่อยากรู้ด้วยกันทั้งนั้น

    เรื่องที่มหาเสน่ห์แซวดูจิ๊บๆ ไป หากมหาโชคไม่แซวเรื่องพี่ชายเขาไม่ใช่สมภาร พุทธชาดเป็นนักธุรกิจเปรียบเป็นสมภารนั้นคงไม่เหมาะนัก สายน้ำผึ้งยิ้มกว้างยามนึกถึงข้อความของมหาโชคพิมพ์เมื่อหลายปีก่อน ‘โคหนุ่มกับหญ้าอ่อน’ เห็นจะเป็นคำที่เธอคิดว่าเหมาะกับพุทธชาดและเทียนกัลยา

    หลังจากนั้นเทียนกัลยาก็ไม่เข้าไปดูข้อความในกลุ่มสนทนาของครอบครัวอีกเลย หญิงสาวทำเพียงกดเข้าไปเพื่อให้การแจ้งเตือนมันหายไปเท่านั้น ดังนั้นใครจะติดต่อเทียนกัลยาทางข้อความต้องส่งข้อความคุยแบบส่วนตัวเท่านั้น

    “พี่เหน่อีกแล้ว ผู้ชายปากกรรไกรนี่ยังไงนะ” แก้มคนคาดโทษมหาเสน่ห์แดงก่ำ บ้าจริงเชียว…เธอไม่ควรคิดถึงเรื่องนั้นเลยจริงๆ

    สมภารบ้าบอ!

    โคหนุ่มบ้าบอ!

    ไก่สาวหรือหญ้าอ่อนที่ถูกหนุ่มสาวดอกไม้เคยล้อแก้มแดงก่ำ ทั้งที่ปรามตัวเองว่าพี่ๆ หยอกเล่น แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อดหน้าแดงไม่ได้ ยิ่งคิดถึงหน้าสมภารหรือโคหนุ่มแล้วก็ยิ่งอดคิดไม่ได้อีกเช่นกัน ไม่รู้เขาจะคิดอย่างไรกับเรื่องที่พี่น้องล้อกันเล่น แต่ที่รู้ๆ เธอทำเป็นไม่เห็นไม่หือไม่อือแล้วคุยกับเขาอย่างปกติ คือทางออกที่ดีที่สุด

    “เดี๋ยวนี้ยิ่งกว่าปากกรรไกรอีกนะเทียน ปากพี่เหน่น่ะระดับรถตัดหญ้าเลยย่ะ เหี้ยนเกรียนทุกยอด!” สายน้ำผึ้งบอกกลั้วเสียงหัวเราะ ไม่รู้อย่างไรเธอนึกสีหน้ามหาเสน่ห์ตอนรู้ว่าเธอพูดถึงเขาแบบนี้ออกชัดเจน

    “เออนั่นแหละ คนแบบนั้นให้อยู่เป็นโสดทั้งชาติเลยก็ดี”

    “ท่าทางแบบนั้นคงไม่มีดวงโสดหรอกเทียน แค่ชื่อก็รู้แล้ว ยิ่งวีรกรรมเด็ดดวงเกี่ยวกับสาวๆ ที่พี่ๆ เขาเมาท์กันในกลุ่ม เราว่าพี่เหน่ไม่โสดตายหรอก คงโดนพวกสาวๆ รุมโทรมตายเสียมากกว่า ฮ่าๆ”

    “ปากคอเราะรายขึ้นนะ พูดเรื่องพี่เหน่นี่ตัวดูมีความสุขจัง” คนที่มีความสุขกับการนินทาพี่ชายแสร้งทักท้วง

    “ตัวก็เหมือนกันแหละเทียน เรารู้หรอกว่าตัวยังผูกใจเจ็บเรื่องที่พี่เหน่แซวอยู่”

    “เออสิ พูดมาได้ไงว่าคุณพุดเป็นสมภาร” คนไม่อยากเป็นไก่บอกเสียงแง่งอน

    “เออเนอะ พี่พุดไม่เหมาะจะเป็นสมภารหรอก ตัวเองก็ไม่ใช่ไก่เหมือนกัน”

    “ใช่ไหมล่ะ น้ำผึ้งยังคิดเหมือนเราเลย พี่เหน่น่ะบ้าบอ”

    “อื้อ แต่เรากลับคิดเหมือนพี่โชคนะ พี่พุดเหมาะจะเป็นโคถึก เอ๊ย โคหนุ่ม แล้วตัวก็เป็นหญ้าอ่อนไงล่ะ ฮ่าๆ”

    “ยายน้ำผึ้งงง…” คนถูกแซวเข้าให้โวยขึ้น ไม่คิดเลยว่าสายน้ำผึ้งจะหักหลังเธอแบบนี้ เออออกันอยู่ดีๆ ไฉนวกกลับมาแซวเธอได้

    “ถ้าว่างๆ เหงาๆ ไม่มีเพื่อนคุย เอาเวลาคิดถึงเราไปเปิดข้อความในไลน์กลุ่มอ่านบ้างเถอะไป๊” สายน้ำผึ้งพูดเสียงอ่อนใจ นี่ถ้ายอมอ่านหน่อยละก็…รู้ใจคนอื่นๆ ไปหลายปีแล้วละ “แค่นี้ก่อนนะเทียน เสียงพ่อพฤกษ์เรียกเราแล้ว บายนะเพื่อนรัก เรารักและคิดถึงเทียนที่สุดเลย”

    “คิดถึงเหมือนกัน รักมากกว่าด้วย”

    วางสายจากเพื่อนแล้ว เทียนกัลยาก็เอาแต่นั่งมองโทรศัพท์มือถือ กระทั่งแป๋มเดินถือจานผลไม้เข้ามา หญิงสาวกินผลไม้อย่างเอร็ดอร่อยรวมถึงคุยกับแป๋มว่าจะไปเด็ดดอกดาวเรืองด้านหน้าสวนเพื่อนำไปถวายพระพรุ่งนี้ 

    ด้านหลังบ้านหลังนี้มีกอเตยขึ้นอยู่กอใหญ่ เทียนกัลยาจำได้ว่ามันมีอยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวมองเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าเศร้าสลด การมีบ้านหลังนี้สร้างแทนหลังเดิม คงดีกว่าให้เธอมายืนมองลานกว้างๆ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีบ้านไม้ถูกไฟลุกท่วม แถมในกองไฟนั้นยังมีคนที่เธอรักที่สุดอยู่ด้วย

    หญิงสาวไม่ได้แสดงท่าทางเศร้าโศกเสียใจให้ใครเห็น แม้แต่กับแป๋ม เธอก็ยังเก็บสีหน้า นั่นเพราะเธอไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วง ปล่อยให้พวกเขาเข้าใจว่าเธอลืมเลือนอดีตไปแล้วคงดีกว่าให้มากังวลเกี่ยวกับความรู้สึกของเธอ นอกจากสายน้ำผึ้ง เทียนกัลยาไม่เคยให้ใครย่างกรายเข้ามาล่วงรู้ความรู้สึกลึกๆ ที่ยังคงเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางคืนเธอนอนร้องไห้เพราะคิดถึงตาและน้องสาว บางวันเธอไม่มีสมาธิแม้แต่จะอ่านหนังสือเพราะจำได้ว่าเป็นวันที่เธอสูญเสียอะไรในชีวิตไป

    สองสาวนั่งมอเตอร์ไซค์คันเก่งของเทียนกัลยาออกไปเก็บดอกดาวเรืองใส่ตะกร้าหวาย ความงดงามของทุ่งดอกดาวเรืองสีเหลืองทำให้เทียนกัลยาอดคิดถึงวันวานไม่ได้ เธอและน้องสาวมักมาช่วยตากับยายตัดดอกไม้เพื่อนำไปใส่ถุงรอแม่ค้ามารับซื้อถึงไร่เสมอ ดาวเรืองจะมีสีหน้าภูมิใจทุกครั้งที่ดอกไม้ชื่อเดียวกับเธอบานสะพรั่งเต็มสวย

    ‘ดาวเป็นคนใส่ปุ๋ยคอก ถ้าไม่ได้ดาวไม่งามขนาดนี้หรอก’

    ภาพเด็กหญิงตัวเล็กช่างจ้อยังติดตาตรึงใจผู้เป็นพี่สาว อีกกี่วันกี่ปีกันหนอ เธอกับน้องจะได้พบกัน หญิงสาวหวังว่าความรู้สึกผิดเล็กๆ ที่ก่อตัวอยู่ในใจจะจางหาย หากพบว่าน้องสาวมีชีวิตที่ดีกว่า การได้รับความรักจากครอบครัวดอกไม้คงทำให้เธอรู้สึกโชคดี และคงรู้สึกผิดกับน้องสาว หากดาวเรืองไม่มีความสุขในขณะที่เธอกินดีอยู่ดีมีสุข นั่นเรียกว่าอย่างไร เธอเอาตัวรอดคนเดียวใช่หรือไม่

    “นั่นใครน่ะ!” เสียงของแป๋มดึงเทียนกัลยาออกจากภวังค์ หญิงสาวมองตามแป๋มแล้วพบว่าหลังต้นไม้ใหญ่ติดถนนทางเข้าสวนมีผ้าสีขาววับแวบอยู่ ซึ่งคงเป็นแขนเสื้อ

    “ใครกันแป๋ม ที่นี่มีคนอยู่ด้วยเหรอ”

    “ไม่มีหรอกค่ะ แต่นายคาวีส่งคนงานมาดูแลสวนให้ทุกอาทิตย์”

    “งั้นก็เรียกเขาออกมาเถอะ ถ้าไม่ใช่คนงาน จะได้บอกเขาออกไป” ขนกายสาวลุกชันยามสำเหนียกถึงอันตราย ที่นี่ทั้งเงียบและเปลี่ยวเพราะห่างไกลจากบ้านเรือนผู้คน

    “ออกมาเถอะ ถ้าไม่ใช่คนงานที่มากบารมีฉันจะโทร. แจ้งตำรวจนะ” แป๋มตะโกนเรียกอีกฝ่าย ซึ่งจากที่เห็นเพียงแขนเสื้อขาวๆ ตอนนี้ชายคนนั้นเดินออกมาจากหลังต้นไม้ ในมือมีจอบและกระติกน้ำอยู่ด้วย

    “อ้อ คงเป็นคนงานมั้งแป๋ม”

    “แหะๆ ใช่ค่ะ นั่นลุงเพิ่ม แกเป็นคนงานที่มากบารมีค่ะ” แป๋มหันมาบอกเจ้านาย ก่อนจะหันไปสนทนากับคนมาใหม่ ซึ่งใช้ผ้าขาวม้าโพกหัวปิดหน้าปิดตาเสียเกือบมิด “ลุงเพิ่มมาถางหญ้าหรอกเหรอจ๊ะ”

    “ใช่” 

    เสียงแหบเครือฟังคุ้นหูเทียนกัลยายิ่งนัก หญิงสาวยิ้มให้คนที่คลุมหน้าเห็นแต่ลูกตา

    “สวัสดีจ้ะลุง” เธอยกมือไหว้อีกฝ่าย “ขอตัดดอกไม้ไปถวายพระหน่อยนะคะ”

    “คุณเทียนก็…ไปขอลุงแกทำไมคะ สวนนี้เป็นของคุณเทียนนะคะ” แป๋มบอกกับเจ้านาย ท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนและมีสัมมาคารวะของอีกฝ่ายซื้อใจเธอ

    “ใช่ครับ สวนนี่เป็นของคุณหนู ผมก็แค่มาคอยดูแลให้”

    “เสียงของลุง เอ่อ ตาเพิ่มฟังแล้วคุ้นหูเทียนจังเลย” หญิงสาวตั้งใจเรียกชายผู้นั้นว่าลุง แต่ดูจากท่าทางแล้วเธอเปลี่ยนใจ เขาดูมีอายุแล้ว เรียกตาน่าจะเหมาะกว่า

    “เสียงคนแก่ก็ฟังเหมือนกันหมดแหละครับ” คนที่เฝ้าแอบดูหลานสาวอยู่นานบอกเสียงแหบเครือ เสริมยืนยันกับตัวเองว่าเทียนกัลยาคือความภูมิใจของเขา ความสุขของหลานคือทั้งหมดของชีวิตเขา ยิ่งได้เห็นรอยยิ้ม ความเป็นอยู่ รวมถึงความสำเร็จ เสริมหรือชื่อใหม่คือเพิ่มก็ไม่เสียใจเลยที่ครั้งหนึ่งตัดสินใจผลักหลานสาวออกจากชีวิตตัวเอง

    “งั้นตาเพิ่มทำงานตามสบายนะคะ” แม้จะอยากสนทนากับชายตรงหน้านานกว่านี้ แต่ด้วยมารยาทเทียนกัลยาจึงขอตัว “ขอบคุณที่มาดูแลสวนให้ค่ะ”

    เสริมรับไหว้หลานสาว ก่อนมองตามจนแผ่นหลังบอบบางลับตาไป นี่อย่างไรล่ะ…สิ่งที่เขาต้องการ

    “มันดี ให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้มันดีที่สุดแล้ว เทียนเอ๊ย” ชายชราพูดย้ำกับตัวเอง


    “เทียนยังไม่กลับมาอีกเหรอคุณ” ฟาบิโอ้ที่ลงมาจากชั้นบนร้องถามภรรยาซึ่งก้มๆ เงยๆ เก็บผักสวนครัวอยู่หลังบ้าน ไม่อยากจะเชื่อว่าภรรยามหาเศรษฐีจะมีวิถีชีวิตบ้านๆ อย่างนี้ เธอเก็บผักมาทำกับข้าว ทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ บ่นเรื่องสามีเรื่องลูกได้ตลอดทั้งวัน

    “ยังเลยค่ะ แต่ลูกโทร. มาบอกแล้วว่าจะเก็บดอกไม้มาไหว้พระ คงกลับช้าหน่อย” เพียงสองสามชั่วโมงที่ฟาบิโอ้อนุญาตให้เทียนกัลยาไปนั่งเล่นที่นั่น เขาอ้างว่ามันเปลี่ยวและอยู่ห่างไกลผู้คนเกินไป หากวันนี้มีพี่ๆ ไปเป็นเพื่อน เทียนกัลยาก็จะอยู่ได้ทั้งวัน แต่น่าเสียดายที่พี่ๆ ทุกคนต่างมีงานทำ ไม่ก็มีกิจธุระด้วยกันทั้งสิ้น ทุกคนจะพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกทีก็เย็นย่ำ

    “น่าเป็นห่วง เดี๋ยวผมไปตามลูกดีกว่า” คนที่หลายปีหลังดูแลเทียนกัลยาอย่างลูกแท้ๆ บอก

    “อย่าห่วงเลยค่ะคุณ” ลีลาวดีรีบท้วงสามี “เห็นคาวีบอกว่า ตาของแกตามไปดูอยู่ห่างๆ แล้วค่ะ”

    “หือ? หมายความว่าเขายอมบอกเทียนแล้วเหรอ”

    ลีลาวดีส่ายศีรษะ สีหน้าอ่อนใจ “ไม่ค่ะ เขายังยืนยันคำเดิมว่าจะไม่ให้เทียนรู้เรื่องของเขา”

    “ตาแก่หัวรั้นเอ๊ย แล้วไม่คิดหรือไง ถ้าหลานรู้ทีหลัง หลานจะเสียใจแค่ไหน”

    “นั่นสิคะ แต่เราจะทำอะไรได้ล่ะคะ เขาเป็นตา ย่อมมีสิทธิ์ตัดสินใจ”

    “เราก็เป็นพ่อแม่นะคุณ ยายเทียนน่ะผมรักเหมือนลูกสาวคนหนึ่งนะ” คนที่รักดอกเทียนบ้านๆ อย่างลูกโวย

    “รักอย่างลูกแท้ๆ จริงเหรอคะ” ผู้เป็นภรรยาได้ยินดังนั้นอดกระเซ้าไม่ได้ เธอก็เป็นอีกคนหนึ่งที่รักและเอ็นดูเทียนกัลยา

    “จริงสิ”

    “แล้วใครกันนะ ที่ไปบอกคนอื่นๆ ว่าจองเทียนให้ลูกชายคนโต” แม้ไม่ได้เล่นโซเชียลมีเดียเหมือนคนอื่นๆ แต่ลีลาวดีไม่เคยตกข่าว เพราะมีลูกๆ คอยเล่าให้ฟังเสมอ

    “ใครมานินทาผมให้คุณฟังกัน”

    “จะใครเสียอีกล่ะคะ ก็ลูกๆ คุณนั่นไง” ลีลาวดีค้อนให้สามี “แล้วที่เที่ยวไปพูดว่าจองเทียนไว้ให้ลูกชายเนี่ย ไม่กลัวเทียนจะไปเห็นข้อความเอาเหรอคะ ลูกอ่านแล้วจะคิดยังไง เคยนึกบ้างไหม”

    ฟาบิโอ้ยักไหล่ “ลูกไม่อ่านข้อความในกลุ่มนั่นหรอก คุณเองก็รู้ ยายเทียนก็เหมือนคุณนั่นแหละ”

    “กลุ่มช่างนินทา ใครเขาจะอยากอ่านกัน”

    “นินทาที่ไหน แซวๆ กันเล่นทั้งนั้น”

    “อ้อ หลักๆ คงแซวแต่เรื่องพุดกับเทียนสินะคะ แซวจนลูกสองคนเขาไม่เข้าไปอ่าน เจอหน้ากันก็รังแต่จะเข้าหน้ากันไม่ติด” ลีลาวดีซึ่งชอบสังเกตท่าทางของลูกชายและสาวดอกเทียนยามพบกันถอนหายใจอย่างหนักอก หลังๆ สองคนทักทายกันเล็กน้อยท่ามกลางพี่น้องก่อนจะแยกกัน

    “เอาเถอะ พี่น้องมันก็แซวกันเล่นๆ น่ะคุณ ส่วนเรื่องลูกจะคิดจริงจังไหมก็ให้เขาเป็นคนสานต่อเองเถอะ เรามีหน้าที่ยุก็ยุไป ยุไม่ขึ้นก็จบ ไม่มีใครเสียหาย” ฟาบิโอ้ซึ่งอยู่แผนกช่างยุบอก

    หลายปีมานี้ความสัมพันธ์ของพุทธชาดและเทียนกัลยาถูกผู้คนในครอบครัวจับตามอง แม้สองหนุ่มสาวไม่แสดงอาการใดๆ บ่งบอกว่าต่างมีใจให้กัน ทว่าการกระทำของพุทธชาดดันตกเป็นเป้าสายตาและทำให้คนอื่นๆ ต่างค้นหาความหมายกันเอง ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อพูดคุยกันไม่ขาด ซื้อของให้ สร้างบ้านให้ คอยดูแลอยู่ห่างๆ ซึ่งถึงแม้การกระทำนั้นชายหนุ่มเคยปฏิบัติกับการะเกด แต่พอเขาทำกับเทียนกัลยากลับให้ความหมายแตกต่างกับพี่ชายดูแลน้องสาวจนสิ้นเชิง

    ฟาบิโอ้เคยออกปากถามลูกชายตรงๆ ซึ่งก็ได้รับคำตอบตรงๆ เช่นกัน

    ‘ผมไม่อยากได้อะไรตอบแทน ผมแค่อยากให้เทียนได้สิ่งที่ดีทีสุด’

    คำตอบกินความหมายกว้างใหญ่ คนเป็นพ่อตรึกตรองอยู่หลายปีพร้อมเฝ้าดูสิ่งที่ลูกชายทำก็ได้คำตอบ พุทธชาดอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเทียนกัลยา สิ่งที่ชายหนุ่มทำไปทั้งหมดก็ไม่ได้หมายความว่าดีที่สุดกับเธอเช่นกัน ดังนั้น…หากมีคนอื่นที่ทำให้ชีวิตเทียนกัลยามีความสุขกว่าอยู่กับครอบครัวดอกไม้นี้แล้ว หญิงสาวย่อมสมควรได้รับสิ่งนั้น

    “คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอคะ” ผู้เป็นภรรยาถามขึ้น

    “อือ ลูกมันเลือกจะทำแล้วนี่นา ผมเชื่อในการตัดสินใจของพุด ยอมรับแล้วก็ยกนิ้วให้ลูกมันเลยนะลีล่า เป็นผม…” ฟาบิโอ้หยุดคิดก่อนจะยิ้มหวานให้ภรรยา “ผมคงอดใจไม่ได้ อีกอย่าง…ผมก็รักเทียนเกินกว่าจะไปบังคับแกได้ ส่วนเรื่องอายุผมว่ามันไม่แปลกหรอก สิบห้าปีมันไม่ได้ห่างขนาดจะให้เทียนเป็นลูกของพุดได้”

    “แล้วอะไรล่ะคะที่คุณกำลังห่วงอยู่” สีหน้ากังวลเล็กน้อยของสามีทำให้เธออดถามไม่ได้

    “ไม่รู้สิ ไม่ใช่เรื่องตาของเทียนด้วย แต่ผมว่า…ลูกมีอะไรปิดบังเราอยู่แน่ๆ ถึงแกจะมีความสุขตอนอยู่กับเรา แต่ผมว่ามันคงไม่สุด ผมเคยเดาว่ามันคงเป็นเรื่อง…น้องสาวของแก”

    “ฉันก็คิดอย่างนั้นค่ะ ได้แต่หวังว่าสักวันแกคงยอมพูดมันออกมา” คนเป็นแม่บอกด้วยสีหน้าอ่อนโยน “แล้วที่สำคัญ…ฉันเอาใจช่วยลูกชายอยู่นะคะ”

    “ผมก็เหมือนกัน” ฟาบิโอ้โอบกอดผู้เป็นภรรยา “มีหลานตาหลานยายเยอะแยะไปหมดแล้ว อยากอุ้มหลานปู่หลานย่าบ้างจังเนอะลีล่า” 

    นิ้วเรียวแหนบเข้าที่ต้นแขนสามีหนึ่งทีอย่างหมั่นไส้ก่อนจะยิ้มแล้วพยักหน้าเห็นด้วย

    หลานตาหลานยายเยอะแล้วจริงๆ หากมีหลานปู่หลานย่ามาอีกสักคนสองคนคงจะดีไม่น้อย


    ฟากฝ่ายหญิงสาวที่แอบถูกวางตัวให้เป็นแม่ของหลานปู่หลานย่ากำลังนั่งจ้องโทรศัพท์มือถืออย่างเอาเป็นเอาตาย หลังจากไปตัดใบเตยมาจัดดอกไม้ไว้ถวายพระเสร็จ เทียนกัลยาก็ตัดสินใจเปิดอ่านข้อความในกลุ่มสนทนาซึ่งมีสมาชิกเป็นคนในครอบครัว เพราะสายน้ำผึ้งทีเดียวที่ทำให้อยากเปิดอ่าน ข้อความแรกที่เปิดเข้ามาเจอคือสติกเกอร์ตัวการ์ตูนน่ารักๆ แทนความรู้สึกของผู้ส่ง หญิงสาวเลื่อนขึ้นไปอ่านด้านบน

    ข้อความส่วนใหญ่เป็นเรื่องทั่วๆ ไป หยอกกันไป แหย่กันมาพอสนุกสนานเสียมากกว่า จะมีบ้างที่ทะเลาะกันผ่านข้อความ ซึ่งฝ่ายโจทก์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย…มหาเสน่ห์เจ้าเก่าเจ้าเดิม

    Chilly: เทียนเห็นบ้านแล้วเงียบหายไปเลยนะ ในแชตส่วนตัวก็ไม่ตอบ

    หญิงสาวหยุดอ่านข้อความที่กัลปพฤกษ์ส่งเพื่อบอกเล่าแก่ทุกคน เพราะมัวแต่ตื่นเต้นเรื่องบ้านและคิดถึงความหลัง ช่วงสามสี่วันมานี้เธอจึงไม่ได้เช็กข้อความเลย กับพุทธชาด เธอก็ไม่ได้คุยเพราะยังเขินๆ เรื่องบ้านอยู่ไม่หาย

    Mahasane F.: เทียนเขินหรือเปล่า จู่ๆ รู้ว่าเจมี่สร้างเรือนหอไว้รอ

    หญิงสาวเบิกตากว้างหลังจากไล่อ่านข้อความที่มหาเสน่ห์ตอบญาติผู้พี่

    “เรือนหอ?!” เจ้าของเสียงหวานทวนก่อนทำหน้าเบ้ “ปากหมาคงเส้นคงวาจริงๆ เลย ไอ้พี่บ้า!” เธอค้อนใส่ อยากโทรศัพท์หาเจ้าตัวเสียจริง ปากอย่างนี้มันน่าเอาสก็อตช์-ไบรต์ขัดเสียให้ถลอก

    Mahachoke F.: นั่นสินะ

    “โอ๊ย พี่โชคก็เป็นไปกับเขาด้วย บ้าบอจริงๆ” คนเขินหนักบ่นพึมพำหน้าแดงก่ำ ‘เรือนหอ’ ให้ตายเถอะ คำนี้มันแรงไปจริงๆ

    Chilly: น่าจะใช่แฮะ ตกลงเทียนไม่ได้อ่านข้อความในกลุ่มนี้จริงๆ ใช่ไหมเนี่ย

    Mahasane F.: นั่นดิพี่พริก ไม่อ่านแล้วอายทำไม หรือเทียนจะมีใจให้เจมี่

    Mahachoke F.: เห็นด้วยนะ ไม่อ่านก็ไม่ควรอาย ถ้าอายแปลว่ามีใจ

    เทียนกัลยากวาดสายตาอ่านข้อความที่หนุ่มๆ หารือกัน

    Mahalap F.: คุยกันมาหลายปี คงมีหวั่นไหวบ้างละ

    Chilly: ขนาดลาภยังออกมาเสือก เอ๊ย ให้ความเห็น อย่างนี้พวกนายคงไม่แคล้วได้เทียนเป็นพี่สะใภ้

    สาวดอกไม้อ้าปากหวอ นี่พวกเขาแซวเลยเถิดไปถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไร ‘พี่สะใภ้’ อะไรกัน!

    Passachon: คุยอะไรก็ให้เกียรติน้องบ้าง เทียนเป็นผู้หญิง

    Mahasane F.: เจมี่ก็เป็นผู้ชายนะพี่หมอ

    Mahalap F.:?

    Mahachoke F.: เล่นมุกไหนของมึงอีกเหน่ กูไม่เก็ต

    Mahasane F.: เอ๊า ผู้หญิงกับผู้ชายของคู่กัน เราไม่ได้พูดถึงเทียนกับน้ำผึ้งในแง่นี้ซะหน่อย

    Mahachoke F.: กูก็ยังไม่เก็ตอยู่ดีนั่นแหละ มึงหมายถึงถ้าเราแซวเทียนกับเจมี่นี่น้องไม่เสียหายปะวะ แต่ถ้าแซวเทียนกับยายน้ำผึ้งนี่น้องจะเสียหาย?

    Mahasane F.: อือ

    Chilly: อือพร่อง! ตรรกะความคิดบัดซบมาก มุกเหี้ยอะไรของมึง

    Mahasane F.: ไม่ได้มุกว้อยไอ้พี่พริก แต่ที่แซวๆ กันเนี่ย ให้เกียรติเทียนต่างหากเล่า

    Passachon: ตรงไหน?

    Mahasane F.: เหน่ยกให้เทียนเป็นพี่สะใภ้ ไม่ให้เกียรติตรงไหนล่ะพี่หมอ

    Passachon: แล้วมีใครถามเทียนหรือยัง ว่าอยากเป็นไหม?

    Mahachoke F.: ตัณหา เอ๊ย ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละครับ

    Passachon: แล้วพุดเคยพูดหรือยังว่าอยากได้เทียนเป็นคู่ชีวิต

    Mahasane F.: ฮุ้ยพี่หมอมาแนวหวงน้องอีกแล้ว เซ็งว่ะ!

    Sonchat V.: เห็นด้วยกับพี่หมอนะ ปล่อยให้สองคนเขาไปตกลงกันเองเถอะ

    Mahasane F.: โคแก่มาอีกคนแล้ว

    Chilly: เหน่อย่าลามปามพี่กู

    Mahasane F.: ช่างเถอะ ยังไงเหน่ก็จะลุ้นคู่เจมี่

    Passachon: ห่างตั้งสิบห้าปี!

    Mahachoke F.: ไม่แก่ขนาดถึงเป็นพ่อลูกหรอกคร้าบ

    Mahalap F.: เจมี่ยังหนุ่ม กำลังดีสำหรับเทียน

    Mahasane F.: ลาภมาคอนเฟิร์มอย่างนี้แล้ว จบนะ!

    Kavee: ลาภเป็นหมอดู?

    Mahachoke F.: ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงละครับ คนไม่พูด ไม่ชอบเสือกอย่างมัน ลองได้แสดงความคิดเห็นแปลว่าใช่

    NumDokPud:?

    Mahasane F.: เจมี่มาแล้ว สลายมโน เอ๊ย โต๋ก่อนละคร้าบ

    Mahachoke F.: เออๆ สลายโต๋ดีกว่า

    Mahalap F.: (ส่งสติกเกอร์ตัวการ์ตูนวิ่งหนี)

    Chilly: วิ่งกันหางจุกตูดเลยทีนี้

    Sonchat V.: พี่พุดจะเข้ามาปฏิเสธใช่ไหม?

    เทียนกัลยาหยุดสายตาที่ข้อความนี้ หญิงสาวไม่กล้าเลื่อนหน้าจอลงอีก ใจสาวเต้นตึกตักคร่อมจังหวะ นึกขุ่นเคืองสามมหาจอมแสบที่ทำให้เธอเริ่มคิดมาก อุตส่าห์ทำเป็นลืมเรื่องบ้าน เรื่องของ ‘เขา’ ได้ตั้งหลายวัน จู่ๆ คนพวกนี้ก็มาสะกิดต่อมคิดมากของเธออีกจนได้ ทีนี้มันคงไม่สงบลงง่ายๆ หากไม่ได้คำตอบ

    หญิงสาวกดนิ้วค้างไว้ที่หน้าจอ สองจิตสองใจว่าจะเลื่อนอ่านข้อความด้านล่างดีไหม หากเขาปฏิเสธแล้วอย่างไร ตอบรับแล้วอย่างไร ทั้งสองอย่างมีผลต่อเธอไหม

    หากมี…มันมากแค่ไหน

    หากไม่มี…เพราะเหตุใด

    ในหัวหญิงสาวล้วนมีแต่คำถามที่ต้องการหาคำตอบ หัวคิ้วโก่งเรียวขยับชิดกัน ในที่สุดคนขี้ขลาดอย่างเธอก็ไม่กล้าเลื่อนลงไปอ่านข้อความต่อ

    “ขืนเขาตอบว่าไม่ได้คิดอะไร มีหวังเราอกหักดังเป๊าะแน่” เจ้าของเสียงหวานบ่นเบาๆ กับตัวเอง

    เธอรู้ใจตัวเองว่าไม่ได้รักพุทธชาดอย่างพี่ชายหลายปีแล้ว ตอนทราบข่าวว่าเขาเสียชีวิต เธอเหมือนคนตายทั้งเป็น ตอนนั้นเธอคิดว่าเพราะเขาเป็นหลักเดียวให้เธอยึดหรือยอมยึดไว้ ทว่าต่อมาตอนที่มีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาเขาถึงบ้าน ความรู้สึกหวงแหนก็แล่นจับหัวใจดวงน้อย เธอให้คำตอบว่ารักและหวงแหนเขาอย่างพี่ชาย

    เธอไม่รู้ว่าหัวใจเปิดรับเขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร รู้อีกที เขาก็เข้ามานั่งอยู่กลางใจ เคยพยายามขับไล่อย่างไรก็ไม่สำเร็จ เขาคนนั้นยังยึดครองที่นั่งตรงกลางใจไม่ไหวติง หญิงสาวนึกถึงลายวอลเปเปอร์ในห้องนอน มันต้องเป็นดอกพุดต่างหากล่ะที่เข้ม ส่วนดอกเทียนควรจะจืดจางคลอเคลียอยู่ด้านหลังดอกพุดที่แข็งแรง

    เหมือนที่เธอคอยหลบอยู่ใต้ปีกของพุทธชาดมานานหลายปี

    ‘คุณพุดจะรักเทียนอย่างที่พี่พริกรักน้ำผึ้งได้ไหมคะ’

    จู่ๆ ความทรงจำหวานๆ ก็ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง เขาไม่ได้ให้คำตอบเธอตอนนั้น เพราะมัวแต่ย้อนถาม

    ‘แล้วเทียนอยากให้ฉันรักเทียนไหม’

    นั่นหรือคือคำถามของคนเป็นพี่ชาย

    ‘อยากค่ะ เทียนอยากให้คุณพุดรักเทียน เพราะ…เทียนก็จะรักคุณพุดเหมือนกัน’

    แล้วนั่นหรือคำตอบของเด็กวัยสิบสองที่อยากมีพี่ชาย!

    “เฮ้อ…ทำไมต้องมานึกถึงเรื่องน่าอายแบบนี้ด้วยนะ” หญิงสาวบ่นพึมพำ “ต้องเป็นเพราะความปากหมาของพี่มหาแน่ๆ เลย ไอ้พี่บ้ารวมตัวกันทีไรมีแต่หายนะ!” คนบ่นยกมือกุมแก้ม ปากต่อว่า แต่แก้มร้อนผ่าว และดวงตาพราวระยับทอประกายดั่งไม่ได้โกรธจริงจัง

    “นั่งบ่นอะไร”

    “บ่นคนปากหมาสิคะ” เจ้าของเสียงหวานตอบอย่างรวดเร็ว ฉับพลันร่างกายสาวจึงแข็งทื่อ น้ำเสียงนุ่มทุ้มฟังคุ้นหูยิ่งนัก แม้จะไม่ค่อยได้ยินบ่อยเท่าเมื่อก่อน แต่เทียนกัลยาก็จำน้ำเสียงอบอุ่นนี้ได้ขึ้นใจ

    “คะ...ใครคะ” หญิงสาวถามโดยยังไม่กล้าหันไปมอง เธอหลับตาปี๋ หากกำลังฝันเธอควรตื่นได้แล้ว นิ้วเรียวหยิกหลังมือตัวเองก็พบว่าเจ็บ เจ็บจี๊ดทีเดียว

    “คนที่เทียนกำลังรออยู่ละมั้ง”


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×