ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุษบาลวงรัก ชุดทัณฑ์รักบุษบา

    ลำดับตอนที่ #32 : แซบพริกสิบเม็ด 1

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.15K
      21
      13 พ.ย. 60



    13

    แซบพริกสิบเม็ด

    ...เมียจ๋า ผัวมาแล้วจ้ะ ประโยคเดียวสร้างเรื่องลือลั่นไปทั้งหมู่บ้านดงมะเฟือง ข่าวลือถูกกระพืออีกรอบ ยายเม้าทำหน้าที่โทระโข่งกระจายข่าวเรื่องสามีกุ๊ยลูกน้องมาเฟียของพลับพลึงเดินทางมาที่หมู่บ้านดงมะเฟืองแห่งนี้ แถมยังมาในสภาพที่เหมือนอดีตลูกเขยวงเดือนอย่างกับแกะพิมพ์กันมา วรนิตได้ยินถึงกับเก็บความขุ่นเคืองเอาไว้ไม่อยู่ แค่แม่เธอเปรยว่าไอ้กุ๊ยนั่นมีกลิ่นเหล้าแถมยังแต่งตัวสกปรกยายเม้าก็เอาไปต่อความว่าเหมือนอดีตสามีเธอได้

    ทางด้านดาวิดถามหาพลับพลึงทุกวันไม่ขาดปาก วรนิตได้แต่อ้างว่าช่วงนี้หลานสาวกำลังดูแลสวนผัก ก่อนจะตบแต่งกันควรให้พลับพลึงได้ทำตามที่ฝัน

    “ทำสวนตามความฝัน เหลวไหลสิ้นดี” นักธุรกิจวัยกลางคนบ่น ถ้าไม่เพราะถูกตาต้องใจเขาคงไม่ทนรอเหมือนตอนนี้ นึกถึงหน้าใสๆ ตาซื่อๆ แล้วดาวิดกระชุ่มกระชวยหัวใจ ชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยขาดแคลนผู้หญิง แต่ยากนักที่จะหาคนต้องตาต้องใจได้เหมือนเด็กสาวหน้าใสหลานภรรยาเพื่อนที่พ่วงสถานะลูกหนี้มาด้วย เปาโลเป็นคนมือเติบแต่ไหนแต่ไร ยิ่งได้ภรรยาอย่างวรนิตก็ยิ่งไปกันใหญ่ เขาปล่อยเงินกู้โดยคิดดอกเบี้ยไม่เยอะ หากไม่เพราะสองสามีภรรยาไม่เคยนำเงินต้นมาคืนมีแต่จะยืมเพิ่มหนี้คงไม่บานปลายถึงขนาดนี้

    ครั้งหนึ่งเปาโลถึงขนาดลงทุนขอร้องให้เขายกหนี้ให้ เงินกับเพื่อนถ้าให้เลือกดาวิดเลือกเงิน เขาไม่ยอมยกหนี้ให้ทั้งๆ ที่ทำได้ แต่ด้วยรู้นิสัยกันดี ต่อให้เขายกหนี้เป็นศูนย์ เปาโลก็ต้องหาเรื่องมายืมใหม่อยู่ดี ดังนั้นเขาจึงต้องกระตุ้นให้สองสามีภรรยานำดอกเบี้ยมาจ่ายบ้าง ไม่อย่างนั้นหนี้มันก็จะโตเหมือนที่ผ่านมา

    วรนิตยื่นขอใช้หนี้ด้วยเงินสินสอดก้อนโตเพราะล่วงรู้ความต้องการของเขา ดาวิดตอบตกลงเพราะไม่เห็นทางที่เพื่อนและภรรยาเพื่อนจะหาเงินมาจ่าย ใบหน้าสวยใสของพลับพลึงผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง ดาวิดยิ้มอย่างมาดหมาย อย่างไรเสียเธอก็ต้องตกเป็นของเขาวันยันค่ำ

    “ดาวิ ดาวิด...แหม พูดถึงหลานฉันหน่อยทำตาลอยเชียวนะ” เสียงวรนิตดึงดาวิดออกจากภวังค์

    “ไปบอกให้เลิกทำตัวเหลวไหล แล้วมาหาฉันได้แล้ว จะให้พาไปเที่ยวพัทยา”

    “ใจเย็นก่อนเถอะ หลานฉันยังเด็กนะ ตามใจกันหน่อย เด็กมันอยากทำก็ปล่อยมันทำไปก่อนเถอะ” วรนิตค้อนอย่างมีจริต ในหัวคิดหาวิธีบังคับหลาน

    “เย็นไม่ไหว มาสองวันแล้วยังไม่ได้เจอหน้า”

    “เถอะน่า พรุ่งนี้ก็มีอิเล็กโทนแล้ว รับรองคุณต้องสนุกจนลืมคิดถึงพลับพลึงไปเลย”

    “ให้มันแน่เถอะ”

    “แน่สิ ถ้ายังไงฉันหาคนแก้ขัดให้ก่อนก็ได้นะ” หญิงสาวว่าอย่างรู้ทัน ผู้ชายวัยนี้แถมยังเป็นม่ายย่อมชื่นชอบเด็กสาวเป็นพิเศษ อย่างไรเสียในระหว่างนี้เธอควรหาตัวล่อถ่วงเวลาเอาไว้ก่อน

    “ถ้าได้ก็ดี” คำตอบของดาวิดเป็นที่พอใจของวรนิต อย่างไรเสียตบแต่งกันแล้วพลับพลึงย่อมเป็นที่หนึ่ง หญิงสาวมั่นใจว่าความสาวความสวยของหลานจะต้องมัดใจหนุ่มใหญ่ให้อยู่หมัด เหมือนกับที่เธอเคยมัดใจเปาโลเอาไว้ได้

     

    เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจเงียบหลงหลังจากพลับพลึงจอดรถเยื้องหน้าร้านขายก๋วยเตี๋ยวซึ่งเป็นร้านของภารดี เพื่อนสนิททั้งสองของหญิงสาวยังไม่ได้งานทำจึงต้องมาช่วยงานที่บ้านก่อน บ้านกมลาเป็นร้านขายของชำอยู่ห่างจากร้านขายก๋วยเตี๋ยวของภารดีประมาณห้าร้อยเมตร ทำเลทั้งสองแห่งติดกับถนนเส้นหลักของหมู่บ้าน ซึ่งเวลามีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวพักผ่อนที่รีสอร์ทหรือเที่ยวชมฟาร์มมากบารมีก็จะได้รับอานิสงส์ในแง่การค้าขายไปด้วย

    “พลับพลึง!” ภารดีกับกมลาเรียกชื่อเพื่อนพร้อมกัน ทั้งสองกำลังนัดแนะไปหาเพื่อนอยู่พอดี ไม่คิดว่าอีกคนจะเป็นฝ่ายมาหาถึงที่ กมลามองลูกค้าในร้าน แน่นอนว่าทุกคนเพ่งมองไปที่เพื่อนเธอเป็นตาเดียว เหตุเพราะเขาลือกันให้แซดมาถึงที่นี่

    ภารดีจัดการชงกาแฟให้ลูกค้าอยู่หลังเคาน์เตอร์ซึ่งทำจากไม้ไผ่ มุมนี้เธอขอให้ผู้เป็นพ่อทำให้เพื่อเอาไว้หารายได้เสริมในระหว่างหางานทำ

    “เรียกทำไม แล้วนั่นยายภาจะรีบไปไหน” สาวดอกไม้ที่เดินเข้ามาในร้านแล้วชะเง้อคอมองเพื่อนชงกาแฟอย่างรีบเร่ง

    “รีบทำแล้วก็รีบไปคุยกับแกไง”

    “ไปไหน ฉันมาหาแกแล้วไง” พลับพลึงบอกพร้อมทำหน้าซื่อ

    “วั้ยยย นี่แกไม่สังเกตรอบข้างเลยเหรอไงยะ” กมลาอดไม่ไหวจึงแหวใส่ คนทั้งร้านเริ่มซุบซิบกันแล้ว

    “เห็น แต่ฉันไม่แคร์ไง” คนถูกนินทาระยะเผาขนยักไหล่ ที่มาถึงนี่ก็เพราะอยากพิสูจน์ เธอเดาถูกเรื่องวรนิตต้องปล่อยข่าวลืออีกระลอกหนึ่ง ผู้เป็นน้าไม่ปล่อยให้โอกาสโจมตีเธอหลุดรอดไปง่ายอย่างที่คิดไว้

    “ทำหน้าไม่สะเทือนซางแบบนี้ แสดงว่าเป็นเรื่องเก๊ใช่ไหมแก” กมลาถามด้วยสีหน้าติดจะโล่ง คิดแล้วเชียวว่าวรนิตต้องหาเรื่องใส่ความหลาน แล้วผู้ชายที่เคยช่วยเหลือเพื่อนก็คงไม่บุกมาถึงที่นี่หรอก

    “ถ้าเรื่องคุณพริกมาน่ะเป็นเรื่องจริง ภาฉันขอกาแฟหวานมันสักแก้วสิ” พลับพลึงตอบพร้อมหันไปขอกาแฟกับเพื่อนที่ยังยืนอึ้งตอนได้ยินชื่อคุณพริก

    “ทะ ทำไมแกถึงดูชิลจัง” ภารดีถามติดๆ ขัดๆ ด้วยว่าเดาอารมณ์เพื่อนไม่ออก

    “แล้วจะให้ฉันร้องไห้เหรอไง อีกอย่างฉันไม่ได้ดูชิล แต่ฉันกำลังโมโหต่างหาก”

    “ท่าโมโหแม่มเจิด โมโหจนเดินเฉิดฉายเข้าร้านก๋วยเตี๋ยวอย่างสง่างาม ผ่าดงคนนินทามาด้วยความเบิกบาน นี่เรียกโมโหเหรอ”

    “โมโหไม่จำเป็นต้องกรีดร้องโวยวายทุบข้าวทุบของนี่” คนบอกเดินไปหลังเคาน์เตอร์จัดการชงกาแฟเอง ในขณะที่ผองเพื่อนกำลังทำหน้าอึ้ง

    “ไม่สบายป่ะแก” ภารดีหลีกทางให้เพื่อน

    “ร่างกายสบายดี แค่ตอนนี้กำลังโมโหจนลมปรานข้างในแทบแตกซ่าน” สาวกนิยายจีนเอ่ยอย่างสำบัดสำนวน

    “ส่วนไหนของแกที่บ่งบอกว่าโมโห” กมลาชะโงกหน้ากวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ยังไม่เห็นว่ามีร่างกายหรืออากัปกิริยาส่วนไหนที่บ่งบอก

    “ใจไง หรือต้องให้ควักออกมา”

    “หูยยย ถ้าอย่างนั้นไม่เรียกโมโหหรอกวะแก” กมลาค้อนปะหลับปะเหลือกใส่

    “หมายความว่าไงกั้ง” ภารดีไม่เข้าใจที่เพื่อนพูด

    “ฉันว่าพลับพลึงมันวินิจฉัยอาการตัวเองผิด มันว่ามันโมโหแต่ไม่ได้เหวี่ยงวีนสักนิด”

    “อืม ฉันก็เพิ่งเคยเห็นคนโมโหแบบนี้” ภารดีพยักหน้าเห็นด้วย

    “ที่จริงไฟรักกำลังสุมทรวงมันน่ะ รักแรกมันแยกยาก คงดีอกดีใจที่ได้เจอผัว เอ๊ย ผู้ชาย สมองเลยเพี้ยนคิดว่าตัวเองโมโห” กมลาจีบปากจีบคอว่าอย่างสนุกโดยไม่เบาเสียง ยอมให้นกกระจิบนกกระจอกที่มากินก๋วยเตี๋ยวเงี่ยหูฟังกันเต็มที่

    “ว้ายยย แสดงว่า...”

    “แสดงว่าอะไร” พลับพลึงถลึงตาใส่เพื่อน หันไปตักน้ำแข็งใส่แก้วแล้วเทกาแฟลง หญิงสาวให้หลอดดูดกาแฟเข้าไปอึกใหญ่ สีหน้าเหมือนคนไข้เพิ่งถูกหมอบอกว่าเป็นมะเร็งที่หัวใจระยะสุดท้าย

    “เขินอะดิ ว้ายยย หน้าแดงเถือกเลยอะแก แบบนี้มันก็ไม่ใช่อย่างที่ยายเม้าแกโพนทะนาอะดิ เขาว่าผู้ชายคนนั้นเมามายทำท่าจะซ้อมแกด้วย”

    “หา!” สาวดอกไม้อุทาน เธอเดาแค่เรื่องปล่อยข่าวคุณพริกมาด้วยสภาพน่าอนาถ ไม่ได้คิดถึงเรื่องซ้อมทำร้ายร่างกายเลยสักนิด

    “อินี่ตกข่าวแร๊ง” กมลาถอนหายใจพรืด เป็นเพราะบ้านสวนอยู่ห่างออกจากหมู่บ้านเลยไม่ได้ยินที่เขาร่ำลือกัน “ว่าแต่เขาพักบ้านแกใช่ป่ะ”

    “หา ไม่นะ!” สาวดอกไม้ปฏิเสธแล้วต้องใจล่วงไปอยู่ตาตุ่ม

    นั่นสิ...เขาพักที่ไหน ?

    เธอมัวแต่อึ้งและโกรธเลยไล่ส่งเขาไป ไม่ทันได้คิดถึงเรื่องที่พัก

    “อ้าว ไม่พักบ้านแกแล้วเขาพักที่ไหนอะ” กมลาทำหน้าฉงน

    “ไม่รู้สิ” พลับพลึงตอบเสียงอ่อย เสยกกาแฟขึ้นดูดอีกอึกเพื่อเรียกสติ

    “โอ๊ย เชื่อแล้วว่ายังไม่มีอะไรกัน” กมลาโอดโอยเสียงดังมาก “แล้วใครมันใจร้ายปล่อยข่าวลือชั่วช้าแบบนี้วะพลับพลึง”

    พลับพลึงสบตาเพื่อนแวบหนึ่งอย่างขอบใจ รีบพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสทันที ตอนแรกตั้งใจปล่อยผ่านไม่โต้แย้งเหมือนคราวแรก แต่ได้ยินว่ามีเรื่องซ้อมทำร้ายร่างกาย หญิงสาวตัดสินใจโต้ตอบเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองบ้าง

    “ไม่รู้ดิ แต่คุณพริกมาเพราะข่าวลือนี่แหละ”

    “หมายถึงเขาจะรับผิดชอบแกใช่ป่ะ” คราวนี้กมลาโหนเสียงดังกว่าเดิม

    “แล้วเรื่องที่เขาเรียกเธอว่าเมียล่ะ”

    พลับพลึงยังไม่ทันได้ตอบคำถามของกมลา เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาก่อน หญิงสาวหันไปทางเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ตอนแรกตั้งใจจะปฏิเสธแล้วอธิบายเนียนๆ ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด พอมีคนทำให้นึกถึงคำพูดของชายหนุ่มเลยพลอยปฏิเสธไม่เต็มปาก

    เมียจ๋า...ผัวมาแล้วจ้ะ ทุเรศสิ้นดี!

    “เขากวนประสาทน้านิตน่ะ”

    “แต่แกเสียหายนะ” ภารดีผู้รักและหวังดีกับเพื่อนท้วง

    “อืม แต่มันน่าแปลกว่าป่ะ” หญิงสาวอือออรับแล้วรีบเบี่ยงเบนความสนใจ

    “แปลกยังไง”

    “ก็พูดคุยกันอยู่แค่ห้าคน ไหงชาวบ้านรู้กันทั่ว จะว่าคุณพริกเป็นคนบอกก็ไม่น่าใช่ ส่วนแม่น่ะลืมไปเลย ใครอยากเอาเรื่องไม่ดีของลูกมาป่าวประกาศล่ะเนอะ ฉันล่ะสงสัยจริงจริ้งว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว”

    หญิงสาวทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนลากเพื่อนทั้งสองออกไปจากร้าน ภารดีตะโกนบอกแม่ท่ามกลางเสียงหึ่งๆ เหมือนนกกระจอกแตกรัง นับว่าพลับพลึงฉลาดไม่น้อยที่โต้กลับแบบนี้ นอกจากไม่เปลืองตัวแล้วยังทำให้คนปล่อยข่าวแทบกระอักเลือดทีเดียว ทุกคนย่อมไม่สงสัยวงเดือน หากแต่เพ่งเล็งไปยังวรนิต ตามมาด้วยคำถามว่าทำไมถึงทำแบบนี้กับหลาน จากนั้นขาเม้าทั้งหลายจะสวมวิญญาณโคนันขุดแล้วขุดอีกจนได้คำตอบ ทีนี้ล่ะคนเดือดร้อนย่อมไม่ใช่พลับพลึงอย่างแน่นอน

     

    พลับพลึงพาเพื่อนมาที่บ้านปรึกษาปัญหาพร้อมกับปรับทุกข์กันชั่วโมงเศษก็ขับรถไปส่งเพื่อนที่บ้าน จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังมากบารมีฟาร์ม กมลากับภารดีเห็นด้วยกับความคิดเธอ กัลปพฤกษ์อาจพักที่รีสอร์ทซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของฟาร์ม เมื่อก่อนตอนยังไม่มีรีสอร์ทการท่องเที่ยวในหมู่บ้านไม่ค่อยคึกคักเหมือนทุกวันนี้ ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ดีขึ้น หลายคนเปลี่ยนจากพนักงานประจำมาค้าขาย ไม่ก็เป็นลูกจ้างในรีสอร์ท ช่วงไฮซีซั่นที่ทุ่งดอกทานตะวันบานมักจะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาอย่างหนาแน่น

    กระบะสีดำจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ หญิงสาวเดินขึ้นบันไดผ่านต้นกุหลาบหลากสายพันธุ์ที่กำลังแบ่งบานชูช่ออวดความงาม สาวดอกไม้ตั้งใจมาสอบถามบุษบา เธอไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับ...

    “อ้าว... มาหาพี่เหรอเอ๋อ” กัลปพฤกษ์ที่ถือถ้วยกาแฟยืนอยู่กลางห้องรับแขก พักต่อมาบุษบากับคาวีก็เดินเข้ามาพร้อมถาดขนมและแก้วน้ำหวาน

    “พลับพลึง เอ๊ะ พริกเรียกว่าอะไรนะ” คนที่เพิ่งเดินเข้ามาทำหน้าสงสัย

    “เรียกยายเอ๋อครับ” คนตอบทำหน้ากรุ้มกริ่มจนน่าหมั่นไส้ พลับพลึงเห็นแล้วอยากวิ่งไปตะกรุยหน้าเขา

    “อ้อ ว่าแต่พลับพลึงมีอะไรหรือเปล่า” บุษบาหันไปถามแขกที่จ้องญาติผู้น้องของเธอด้วยสีหน้าเหมือนอยากทำร้าย หญิงสาวอมยิ้มถูกใจท่าทางเหมือนแม่เสือสาวที่ไม่ได้เอ๋อสักนิดเดียว

    “มีเรื่องอยากถามพี่เดหลีนิดหน่อยค่ะ แต่ตอนนี้ได้คำตอบแล้ว หนูลานะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้ทั้งสามแล้วรีบหันหลังกลับ

    “เดี๋ยวก่อนสิ อยู่คุยกันก่อน” กัลปพฤกษ์วิ่งเข้าไปคว้าตัวเด็กแสบที่มาไวไปไวจนเขาตั้งรับไม่ทัน เห็นสีหน้าหญิงสาวแล้วชายหนุ่มอดยิ้มไม่ได้ “อยากรู้อะไรก็ถามสิ ทำไมต้องเดินหนี”

    “ถ้าหนูไม่ถาม คุณพริกคิดจะบอกไหมคะ”

    “บอกสิ แต่เราให้โอกาสพี่พูดเสียที่ไหน”

    “บอกตอนไหนคะ ตอนจะกลับงั้นสิ”

    “ไฮ้ เรื่องมันผ่านมาแล้ว ผูกใจเจ็บทำไมเนี่ย บอกตอนนี้แหละ พี่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่เดหลีน่ะ”

    สาวดอกไม้ที่ตอนแรกเดาว่าเป็นคนรู้จักเบิกตากว้าง หันไปทางบุษบากับคาวีก็พบว่าคนทั้งสองต่างพยักหน้า

    “อย่างที่เคยบอกพี่ชื่อกัลปพฤกษ์ นามสกุลวงศ์บุษบา”

    “หา!” หญิงสาวอุทานจำได้ว่าเขาเคยบอกนามสกุลเหมือนกันแต่ตอนนั้นฟังไม่ถนัดเพราะมัวแต่ตะลึงกับความหล่อของเขา

    “ไม่หาเหอล่ะ พี่เป็นญาติกับพี่รักลูกเขยลุงมิ่งบ้านดงมะไฟ พ่อพี่เป็นพี่ชายพ่อพี่รักแล้วก็แม่พี่เดหลี” หนุ่มดอกไม้ร่ายสาแหรกตัวเองเสร็จสรรพอย่างไม่ปิดบังสาวเจ้าอีก

    “มะ ไม่จริงใช่ไหมคะพี่คาวี” พลับพลึงหันไปถามคาวี

    “จริงเสียยิ่งกว่าจริง เรื่องของเรากับพริกเนี่ยโคตรพ่อโคตรแม่พรหมลิขิตเลยนะพลับพลึง”

    “ใช่จ้ะ ตอนพริกโทร. มาถามถึงสาวที่หมู่บ้านชื่อพลับพลึงพี่ยังตื่นเต้นใหญ่” บุษบาสำทับด้วยสีหน้าจริงจัง

    “แล้วคุณพริกทำไมไม่บอก!” สาวดอกไม้หันไปตวาดคนลวงโลก ถ้ารู้อย่างงี้เธอโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากคาวีกับบุษบาตั้งแต่แรกแล้ว

    “พี่กลัวเราโกรธ”

    “คุณพริกตอแหล!

    คาวีถึงกับหลุดหัวเราะพรืดออกมา บุษบาเองก็มีสีหน้าขบขัน หนุ่มชื่อพริกกำลังถูกสาวเจ้าของสวนพริกตวาดเสียหน้าหงอย

     

    กัลปพฤกษ์ต้องยืมรถมอเตอร์ไซค์ของคาวีตามสาวเจ้ามาถึงที่บ้านสวน หญิงสาวตวาดด่าเขาว่าตอแหลแล้วก็วิ่งออกจากบ้านหน้าตาเฉย คนโตกว่าเข้าใจว่าเธอคงตั้งรับไม่ทันเลยหนี แล้วก็ตามมาง้ออย่างเต็มใจ แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับวรนิตที่กำลังยืนชี้หน้าด่าพี่สาวฉอดๆ ผาณิตน้ำตาคลอเบ้าตอนเห็นว่าที่ลูกเขยขับรถพ่วงเก่าๆ มาจอดเทียบกับรถเก๋งป้ายแดงของน้องสาว

    “มีเรื่องอะไรกันครับแม่” ท่าทางเกี้ยวกราดของวรนิตทำให้ชายหนุ่มสงสัย

    “จะอะไรเสียอีกล่ะ ก็นังเมียตัวดีของแกน่ะสิ มันหาว่าฉันใส่ร้ายมัน”

    “อ้าว แล้วคุณไม่ได้ทำเหรอครับ” คราวนี้หนุ่มดอกไม้ลองปรับสีหน้าให้ซื่อเหมือนตัวแสบผู้ชอบก่อกวนหัวใจ ท่าทางของชายหนุ่มเหมือนเชื้อฟืนกระพือไฟในอกวรนิตให้โหมแรง

    “ฉันไม่ได้ทำ!” คนปล่อยข่าวเร่งให้ยายเม้าเอาไปพูดเชิดหน้า

    “นิตเขาหาว่ายายหนูไปปล่อยข่าวเรื่องเขาใส่ร้ายหลาน”

    “ผมไม่เชื่อ พลับพลึงไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ” กัลปพฤกษ์ยังคงดีหน้าซื่อทว่ามุมปากกลับมีรอยยิ้มหยันผุดขึ้น

    “มันเอาไปป่าวประกาศที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ไม่เชื่อก็ไปถามดูได้ มันหาว่าฉันปล่อยข่าวลือให้มันเสียหาย”

    “ก็แล้วมันใช่ไหมล่ะครับ”

    “ไม่ใช่!

    “คุณนี่จริงๆ เลย ทั้งที่เป็นคนก่อเรื่องแล้วยังกล้าปฏิเสธ” คราวนี้หน้าซื่อๆ เข้มขึ้น ที่เลขาฯ คนสนิทกับบอดีการ์ดของเขากำลังสืบเรื่องพวกนี้อยู่ต่างหาก

    “กลับไปเถอะนิต” ผาณิตบอกเสียงสั่นเทา

    “พี่มันโง่ คนจนๆ ขี้เหล้าเมายาแบบนี้รับมันเป็นลูกเขยได้ยังไง”

    “ทีเธอยังเคยเอาคนจนๆ ขี้เหล้าเมายามาเป็นน้องเขยพี่ได้ ทำไมพี่จะรับเป็นลูกเขยบ้างไม่ได้” ผาณิตตอกกลับ ไม่ได้โต้เพราะรู้ว่าคนข้างๆ รวย หากแต่หน่ายกับการดูถูกคนของน้อง

    “อีอ้อย!” วรนิตกรีดร้องเมื่อโดนย้อน

    “หยุดก้าวร้าวแม่ยายผมได้แล้ว จะไปไหนก็ไป ผมรำคาญจะแย่” สีหน้าเหนื่อยหน่ายแกมรำคาญแทบทำให้วรนิตกระอักเลือดออกมา ทั้งเจ็บทั้งแค้นทั้งรู้สึกเสียหน้าอย่างบอกไม่ถูก “วันๆ เอาแต่แอ๊กอ๊าดใส่ชาวบ้าน กรีดร้องโวยวายเที่ยวราวีพี่สาวกับหลาน ไม่รู้สึกรำคาญตัวเองบ้างเหรอครับ ผมมาแค่สองวันยังทนแทบไม่ไหว คุณทนรับพฤติกรรมตัวเองได้ไงเนี่ย” ยัง...หนุ่มดอกไม้ยังไม่หยุดแค่นั้น เปรียบเป็นการแทงดาบเข้าใส่ กัลปพฤกษ์แทงติดกันสองทีซ้อน!

    “กรี๊ดดด ไอ้สถุล แกมันถ่อยเถื่อนที่สุด” วรนิตกระทืบเท้าเต้นเร่า

    “คุณนี่นิสัยเหลือรับจริงๆ พูดตรงขนาดนี้ยังไม่เข้าใจอีก ทำไมไม่หันไปมองตัวเองบ้าง มันดีกว่ามาหาเรื่องคนอื่นแบบนี้ น่ารำคาญ...”



    ผู้โชคดีจ้า


    1.tik3860 

    2.  k'chan

    3.:  อสิตตา

    4.ao_majo 



    ส่งชื่อที่อยู่ในข้อความตามลิงก์หน้านิยายนะค้า 


    ปุกาศ...เจี๊ยบลงให้อ่านอีก 2 ตอนนะค้า เหลือผู้โชคดีอีก 5 ท่าน เดี๋ยวประกาศทีเดียวเลย


    ขอบพระคุณสำหรับการติดตามจ้ะ ไม่ได้ตอบแต่อ่านทุกคอมเมนต์เด้อค่า

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×