ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คำสารภาพของฆาตกร ภาค3 (The Message)

    ลำดับตอนที่ #6 : ข้อความที่สอง ความรู้สึกของคนใกล้

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 303
      7
      13 ส.ค. 54

     
    ตอนที่
    4 ข้อความที่สอง
    ความรู้สึกของคนใกล้
                ร่างสีขาวเปลือยเปล่าหายใจด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอ นิทรารมณ์อันแสนสุขไม่ได้ถูกรบกวนโดยเหตุกาณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ แต่ผมก็หวังว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นตลอดไประหว่างเธอกับผมมีเรื่องมากมายต้องกระทำร่วมกัน หรืออีกนัยคือเรื่องที่ผมต้องกระทำกับเธอ หลังจากมั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ในที่ทางที่ควร ผมก็หยิบขวดน้ำขึ้นมาเทราดบนใบหน้าของเธอ
                “ตื่นได้แล้วครับ”
                เสียงสำลักน้ำออกจากจมูกและปฎิกิริยาดิ้นรนจากเครื่องพันธนาการบอกให้รู้ว่าเธอกำลังพยายามดิ้นรนออกจากเชือกที่ผูกมัดอยู่ แม้ว่าจะยังไม่ได้สติเต็มที่แต่เธอก็เริ่มพยายามส่งเสียงร้องออกมาทั้งที่มีผ้าปิดปากอยู่ก็ตาม
                “อย่าพูดอะไรเลยครับ ผมอยากให้พี่ฟังผมมากกว่า”
                เสียงพูดของผมดูเหมือนจะไม่สามารถทะลุผ่านความกลัวของพี่แอนได้ เธอยังพยายามดิ้นรนและกรีดร้อง ทั้งที่ดิ้นไปไหนไม่ได้และสียงก็ไม่พ้นออกมาจากผ้าที่ปิดปาก
                “เพี๊ยะ”
                แรงตบเรียกเลือดออกจากจมูกเธอ และคงเป็นเหมือนสวิทซ์กดปิดปฎิกิริยาอื่นๆ หรือไม่งั้นสมองของเธอคงมึนงงเกินกว่าจะเรียบเรียงคำพูดได้ ผมจับคางของพี่แอนให้หันมาสบตาผม เพื่อให้รู้ถึงอารมณ์ของผม
                “ฟังนะ ผมแค่อยากให้พี่ฟังผมไม่งั้นผมจะฆ่าพี่ซะเดี๋ยวนี้”
                น้ำตาเธอไหลออกมาคลอหน่วย ก่อนจะไหลผ่านร่องแก้มจนสัมผัสมือของผม แววตาของเธอแสดงออกถึงความหวาดกลัว เธอคงรู้ตัวว่าไม่ควรจะทำอะไรนอกเหนือจากที่ผมสั่ง หากยังอยากมีชีวิตรอด ถ้าสมมุติว่าจะพอมีโอกาสนั้น ซึ่งผมคงไม่บอกเธอหรอกว่ามันไม่มี
                “พี่แอนจำพี่สัมได้ไหมครับคนที่ได้ที่หนึ่งชั้นเดียวกับพี่”
                สายตาของพี่แอนทั้งงุนงงและตกใจ แต่ผมว่าเธอคงจำได้
                “คนที่พี่เคยตามจีบเขาไงล่ะครับ แต่ตอนหลังพี่ไปเป็นแฟนคนอื่นแทน แย่หน่อยนะครับที่พี่เขาไม่ชอบผู้หญิงเปรี้ยว แต่อย่างพี่ไม่เรียกเปรี้ยวหรอกนะครับ เขาเรียกแรด แล้วผู้หญิงแรดๆ ผู้ชายที่ไหนเขาก็ไม่อยากเอามาเป็นแฟนหรอกพี่ คิดดูแล้วกันผมแค่คุยกับพี่ไม่กี่ครั้ง พี่ยังชวนมาบ้าน ไม่เรียกแรด ก็เรียกร่านแล้ว อยากได้พี่สัมมากนักใช่ไหม ถึงตามตื้อเขาขนาดนั้น เขาไม่เอาพี่หรอก"
                จู่ๆ พี่แอนก็หันหน้าหนีจนใบหน้าเกือบพ้นมือของผม เผยให้เห็นรอยนิ้วบนคางเธอ แรงบีบของมือผมคงแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากมองหน้าเธอเวลาพูด
                “พี่คงไม่รู้หรอกว่าผมรู้สึกยังไง เวลาเห็นพี่ตามไปดักพี่สัม มันรำคาญมากรู้ไหม มันทำให้ผมหงุดหงิด ก็ได้ ผมยอมรับ ผมอิจฉา อิจฉาที่พี่สามารถทำตามที่ใจตัวเองต้องการได้ ผมอยากทำแบบนั้นบ้าง ทั้งที่ผมอยู่ใกล้พี่สัม แต่ผมก็เป็นได้แค่รุ่นน้อง พี่สัมไม่เคยจะมองผมแบบ...แบบผู้ชายมองคนที่ชอบเลย ผมอยากให้เขามองลึกเข้าไปในใจผมบ้าง แต่ผมไม่กล้าแสดงออกว่าผมคิดยังไง ผมกลัว กลัวเขาจะรังเกียจผม”
                แววตาของพี่แอนเหมือนวูบไหวด้วยความเห็นใจอยู่เสี้ยววินาที ผมชะงักกับแววตานั้น ไม่น่าเชื่อว่าผมยอมรับกับคนแปลกหน้าถึงสิ่งที่คิด มันเป็นความจริงที่ผมไม่กล้าเล่าให้ใครฟังมาก่อน ถ้าหากผมเล่าให้ใครฟังแล้วเขาเอาไปบอกต่อ มิตรภาพระหว่างผมกับพี่สัมคงจบลง ถึงตรงนี้ผมกลับไม่อยากสบตาพี่แอนอีกแล้ว จึงปล่อยมือจากเธอ แล้วหันไปมองทางอื่น
                “พี่สัมเขาพิเศษ เขาไม่เหมือนใคร ผมอยากเป็นคนแบบนั้นบ้าง คนที่โดดเด่น เป็นคนที่ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้ พี่คงคิดเหมือนผม ตอนนั้นมีแต่คนคิดว่าพี่ชาญเด่นกว่า แต่ผมว่าเป็นเพราะพี่ชาญเขาชอบทำตัวเด่น ทั้งเล่นบาส ทั้งทำกิจกรรม แต่พี่สัมเขาชอบอยู่เงียบๆ คนเข้าถึงตัวพี่สัมยากกว่า เลยมองว่าเขาหยิ่ง แต่ความจริงพี่สัมเป็นคนลึกซึ้ง ถ้าอยู่กับเขาพี่ก็จะได้รู้ว่าพี่สัมละเอียดอ่อนแค่ไหน ผมยังแปลกใจเลยว่าทำไมพี่สัมถึงสนิทกับพี่ชาญทั้งที่นิสัยไม่เหมือนกัน แต่เขาก็อยู่ด้วยกันตลอด”
                ภาพระหว่างพี่สัมและพี่ชาญผุดขึ้นมาในหัวของผม ภาพที่ผมเคยเห็นคนทั้งคู่อยู่ด้วยกันเป็นครั้งแรก เป็นช่วงหลังเลิกเรียน พี่สัมนั่งอ่านหนังสือ พี่ชาญในชุดนักกีฬาบาสวิ่งเข้ามาถามเรื่องบางเรื่อง ก่อนหัวเราะพร้อมกับหยอกล้อกันด้วยความสนิทสนม
                “เวลาที่พี่สัมอยู่กับพี่ชาญ เหมือนเขาคุ้นเคยกันมาทั้งชีวิต เขามีภาษาที่ใช้สื่อสารกันแบบที่ผมไม่เข้าใจ พี่เคยเห็นไหมที่พี่สัมมองตาพี่ชาญแล้วพี่ชาญรู้ว่าพี่สัมคิดอะไรอยู่ ทั้งที่พี่สัมไม่ได้พูดอะไรเลย ผมอยากเป็นอย่างนั้นบ้าง”
                มันคงเป็นเพราะเรื่องนั้นที่ทำให้ผมอยากใกล้ชิดกับพี่สัมมากยิ่งขึ้น แต่ผมก็ไม่อาจทำได้ ผมไม่ใช่พี่ชาญ และไม่มีวันแทนที่ได้ ขณะที่คิดผมก็มองไปทางอื่นพร้อมกับนึกสงสัยว่าตัวเองเล่าให้พี่แอนฟังทำไม และที่สำคัญต้องการอะไรจากการเล่าเรื่องให้คนที่เกือบจะเรียกได้ว่าไม่เคยชอบหน้าฟัง
                “ผมคอยสังเกตคนพี่สัมกับพี่ชาญบ่อยๆ พี่ชาญเป็นคนที่เข้าใจง่ายมาก รักก็บอกว่ารัก เกลียดก็บอกว่าเกลียด พี่สัมเสียอีกถึงจะชอบพูดเล่น ถึงดูเหมือนปากร้าย แต่เขาไม่เคยแสดงออกให้ใครรู้เลยว่าลึกๆ เขาคิดยังไงอยู่ ผมยิ่งสังเกตเขา ผมก็ยิ่งอยากรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขารู้สึกยังไง เขาจะทำยังไงต่อ ผมเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี่เองว่าเขายังรักก้อยอยู่ พี่คงไม่รู้จักก้อย เธอเป็นเมียพี่สัม เธอตายไปหลายปีแล้ว แต่พี่สัมไม่เคยลืมเธอเลย พี่สัมทำเหมือนพร้อมจะเดินหน้าต่อกับผู้หญิงอื่น ทั้งที่ความจริง ใจของพี่สัมตายไปกับก้อยแล้ว ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ไม่รู้เลยสักนิด ทั้งที่เฝ้ามองเขามาตลอด”
                เวลานี้ผมไม่กล้ามองหน้าพี่แอน มันน่าละอายที่เปิดเผยสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจออกไป แต่เมื่อมันออไปแล้วผมก็ไม่อยากปิดกั้นมันอีก
                “สิ่งที่แย่ที่สุดเมื่อผมรู้ความจริงคืออะไรรู้ไหม ผมรู้ว่าที่ผ่านมาไม่มีประโยชน์อะไรเลย พี่สัมยังเป็นพี่สัมคนเดิมที่ไม่เคยให้ผมได้รู้ความในใจ และผมไม่มีวันทำให้เขาหันมาสนใจผมได้ เว้นแต่ว่าผมจะเรียกร้องความสนใจจากเขา พี่รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้พี่สัมเป็นหมอผ่าศพ และสิ่งที่เรียกร้องความสนใจจากหมอผ่าศพได้ ก็คงจะมีแต่ศพที่ตายสยองเท่านั้นแหละ”
                ผ้าปูที่นอนขยับเมื่อพี่แอนพยายามดึงแขนให้หลุดจากเครื่องพันธนาการ ตอนนี้ผมคงทำตามแผนที่คิดไว้ไม่ได้แล้ว ผมเคยคิดจะฆ่าข่มขืนเธอ ทารุณกรรมเธอ มันคงเรียกความสนใจจากพี่สัมได้มากขึ้น แต่เธอก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่เคยหลงรักพี่สัม และผิดหวังจากรักมาเหมือนกัน ถึงจะไม่เท่าที่ผมยังคงรัก และยังผิดหวังในรักอยู่ แต่เราทั้งคู่ก็มีสิ่งที่เหมือนกัน และผมไม่อาจทำร้ายเธอได้ เพราะมันไม่ต่างกับทำร้ายตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงจะเดินหน้าต่อไป
                “ผมรู้ครับว่าพี่รู้สึกยังไง”
                ขณะที่พูด ผมก็ล้วงมือหยิบปืน ออกจากขอบกางเกงด้านหลัง แล้วจรดปากระบอกเอาไว้ระหว่างคิ้วของพี่แอน ดวงตาของเธอเหลือกลานด้วยความกลัว ทำไมมันถึงไม่หลับลงนะ ผมทนไม่ไหวคว้าหมอนขึ้นมากดทับใบหน้าของพี่แอน
                “ผมขอโทษนะครับพี่ แต่มันจำเป็น”
                “เปรี้ยงง”
                นัดเดียวก็คงเพียงพอ แม้ว่าร่างของเธอจะยังขยับเขยื้อนหลังจากวิญญาณปลิดปลิวออกไปจากร่างแล้วก็ตาม ผมมองเลือดที่ไหลรินไม่ขาดสาย มันหลั่งไหลเหมือนน้ำตา แน่นอนว่าทั้งสองสิ่งต้องมีวันเหือดหาย แต่มันไม่อาจเรียกกลับคืนไปยังที่เดิมได้ ความรักและความตายก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน
                ผมนั่งนิ่งท่ามกลางความเงียบที่ไร้ชีวิตแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก ตามคาดไว้ไม่มีเสียงดังจากบ้านใกล้ๆ เมืองที่มากด้วยผู้คนเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าจะมากด้วยความห่วงหาอาทร แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นผมก็ต้องเร่งมือแข่งกับเวลา มีหลายอย่างเหลือเกินที่ต้องทำ ผมหยิบของที่ต้องใช้ออกมา ลงมือทำงานด้วยสติที่มั่นคง พร้อมกับคาดหวังว่าสิ่งที่ต้องการจะมาถึงในไม่ช้า
    ...............................................
                หลังจากขับรถของพี่แอนพ้นประตูรั้ว ผมก็ลงไปตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะกลับขึ้นมาบนรถและยื่นแขนเล็งปืนในมือไปยังบ้านหลังข้างๆ เวลาเกือบตีสี่เป็นช่วงที่ทุกคนหลับไหล หากมีเสียงดังผิดปกติ ก็คงจะแค่ลุกขึ้นมาดู และเมื่อพบว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเองก็คงกลับไปนอนหลับไหลเหมือนศพในสุสาน ดังนั้นผมจึงยิงมันเข้าไปในหน้าต่างที่คาดว่าเป็นห้องนอน ตามด้วยชั้นล่าง และหวังว่ามันจะไม่โดนใครตาย หนึ่งศพในบ้าน คงเพียงพอแล้วสำหรับวันนี้ แต่ศพที่เพิ่มอีกศพเดียวไม่พอที่จะทำให้พี่สัมหันมาจดจ่ออยู่กับผมได้ ผมจะพยายามให้มากกว่านี้ ต่อให้ไม่ได้ใจของพี่สัมมาครอง อย่างน้อยความสนใจทั้งหมดที่เขามีก็ต้องขึ้นอยู่กับผม
     To be continue.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×