ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Jurassica Enigma

    ลำดับตอนที่ #1 : แผนงานที่ 1 : P@RAcl0X

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 72
      0
      18 ก.ค. 59

         สายลมเย็นพัดผ่านหมู่แมกไม้บนสันเขาให้โบกไหวไปมา เสียงแนวกิ่งไม้เสียดสีดังระงม ดั่งเสียงคลื่นแห่งท้องทะเล
    พึ่งจะย่างเข้าต้นเดือนพฤกษภาคม แต่อากาศที่ ศรีราชา ยังคงหนาวเหน็บอยู่เรื่อยมาตั้งแต่เมษายน
    สภาพอากาศเช่นนี้ถือว่าผิดแผกไปจากฤดูกาลตามปกติ แต่มันกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปซะแล้ว ทุกวันนี้
    สภาพอากาศทั่วโลก ก็เปลี่ยนแปลงกันแบบนี้

         ถัดลงมาจากสันเขาอันสมบรูณ์ไพร คือพื้นที่วิทยาเขต อาคารเรียนต่างๆ ไปจนถึง โรงอาหาร หอพัก
    โรงพละ และ สนามกีฬาแต่ล่ะประเภท ถูกจัดวางเป็นส่วนๆ กินพื้นที่ของ เชิงเขาลงไปจน
    หมด แม้จะดูว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความเจริญของมนุษย์กับธรรมชาติ ที่ได้มาอยู่ใกล้ชิดกัน
    แต่ทั้งสองก็แบ่งกันออกอย่างชัดเจน ไม่ค่อยมีใครได้ขึ้นไปบน สันเขาหรือไกลกว่านั้นอยู่แล้ว

              มันจึงเปรียบได้กับปราการธรรมชาติ ที่ซ่อนเร้น เรื่องราวลี้ลับอีกมากไว้เช่นกัน


    แผนงานที่ 1 : P@RAcl0X

         เขตอาคารเรียนที่ 10 ตัวอาคารจะแบ่งเป็นบล็อคตึกใหญ่ๆสามบล็อค ติดกันโดยบล็อคกลางจะหลบมุมเข้าไป
    ทำให้สองบล็อคข้างยื่นออกมา จากด้านหน้าบล็อคอาคารทั้งสองข้างปูกระจกสามบานต่อชั้น รอยต่อชั้นระหว่างกระจก
    จะเล็กมากจนแทบมองไม่เห็น จากที่ไกลๆจะเห็นเป็นส่วนหน้าอาคารปูด้วยกระจกทั้งหลัง

         ทางเข้าจะเข้าจากอาคารกลาง ประตูเป็นประตูเหล็กแบบพับขึ้น แบ่งเป็นสองส่วน โดยส่วนที่เล็กกว่าจะอยู่ทางขวาของ
    ทางเข้า มีขนาดพอให้คนๆหนึ่งแทรกตัวเข้าไปได้ โดยปกติประตูจะเปิดทั้งสองบาน แต่ในช่วงค่ำ
    บานประตูใหญ่จะปิดเหลือไว้เพียงประตูเล็ก เท่านั้น

         ทางเข้ายกสูงจากพื้นด้วยบันไดกระเบื้อง สีเทาอ่อน  หน้าอาคารเป็นลานพื้นซีเมนท์ มีบ่อน้ำเล็กๆประดับอย่างสวยงาม
    ด้วยน้ำพุและเลี้ยงปลาคาร์ฟไว้ 6 ตัว แม่บ้านประจำอาคารจะเป็นผู้ให้อาหารทุกเช้าและเย็น
    นอกจากบ่อปลาแล้ว ก็จะมีชุดโต๊ะเก้าอี้หินอ่อน ตั้งเยื้องๆกับบ่อ อยู่สองชุด โต๊ะละสี่เก้าอี้

         “ หนาว~~~ ” คำพูดแบบนี้อาจจะฟังดูประหลาดๆที่เอามาพูดซะกลางหน้าร้อนแบบนี้ แต่ฟันท่อนบนและล่างที่
    กำลังกระโดดโลดเต้นอยู่ในปากเพราะขากรรไกรสั่นไม่หยุดนี่คงจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอ สำหรับ อิศรา นิสิตหนุ่ม
    สาขา เทคโนโลยีสารสนเทศ ผู้ซึ่งกำลังกัดฟันสู้ความหนาวเย็นอันบ้าคลั่งของมรสุมฤดูร้อน ในภาคเรียนซัมเมอร์เช่นนี้

         เพราะมันเป็นช่วงที่เกือบจะค่ำแล้ว ลมจึงยิ่งพัดแรงขึ้นไปอีก ดวงตาสีดำฉายแววแห่งความมุ่งมั่นผ่านกรอบแว่นสายตาอันเล็กที่มีเหน็บกับดั้งจมูก มือจับปากกาเขียนคำตอบลงสมุดฉีกขนาด A4 ขณะนั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อน กลางลานกว้างหน้าอาคารเรียนที่ 10 อาศัยแสงจากเสาไฟหน้าตึก ให้ความสว่างในการทำงาน
    เสื้อแจ็กเก็ตสีเขียวที่สวมทับเสื้อเชิตแขนยาวไว้อีกชั้น แทบไม่ช่วยให้บรรเทาความหนาวเย็นลงไปได้เลย ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจแล้วไปหาที่อุ่นๆเพื่อทำมันต่อ

         “ อูยยยย~~~ถ…ถ้าเสร็จนี่ล…แล้วล่ะก็….จะได้ป….ไปส..ส่ง… ”
         นี่คือคำพูดที่เขา พร่ำแล้วพร่ำอีกอยู่กับตัวเอง เพื่อให้มือขวายังคงจับปากกาขีดเขียนคำตอบลงไปได้ หากเส้นตายไม่ใช่วันนี้ เขาคงไม่ต้องมาทนหนาวแบบนี้ และในที่สุด อิศราก็ทำมันเสร็จจนได้ กระดาษคำตอบถูกฉีกออกหลังจากเก็บสัมภาระทั้งหมดลงกระเป๋าสะพายคู่ใจ

         เด็กหนุ่ม สาวเท้าอย่างรวดเร็วเดินเข้าไปในอาคาร ภายในมืดเกือบจะสนิท มีเพียงแสงไฟสลัวจาก ห้องพักอาจารย์
    ที่ยังเปิดอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ของอาคารชั้นที่1

         ประตูห้องพักถูกเลื่อนออกอย่างช้าๆ ก่อนที่ เด็กหนุ่มจะก้าวเข้าไปในห้อง
         “ ทำมาส่งทันจนได้นะ…อิศรา ” อาจารย์สาววัยประมาณ 30 ต้นๆ เอ่ยขณะใช้มือรวบผมยาวสีดำมัดเป็นหางม้า
    เธอ ยื่นมือข้ามโต๊ะประจำที่นั่งอยู่ออกไปรับ กระดาษคำตอบจาก อิศรา มาและกองมันรวมกับ กองกระดาษคำตอบที่วางอยู่บนโต๊ะ เด็กหนุ่มยกมือไหว้เธอก่อนจะ เดินตัวปลิวออกจากห้องอย่างสบายใจ



         หนาว~~~หนาว~~~

         ระยะทางหลังเดินออกจาก อาคารเรียนที่ 10 แล้ว เหลือเพียงทางลาดชัน อีก 3เมตร ก็จะถึง ร้านสะดวกซื้อ
    สายลมฟาดปะทะเข้ากับใบหน้าอย่างจัง จนรู้สึกชาไปหมด เขาอยากจะเดินขึ้นไปให้ถึงเร็วๆ เพื่อหลบลมหนาวในระหว่าง
    ที่ซื้อข้าวเย็น
         ทันทีที่มาถึงเขาผลักประตูร้านสะดวกซื้อเข้าไปอย่างเร็วเพื่อหนีลมหนาวข้างนอก อากาศข้างใน
    แม้จะเย็นจากไอของเครื่องปรับอากาศ แต่มันก็ยังหนาวน้อยกว่าข้างนอก
         อิศรา เดินไปยังชั้นวางอาหารแช่แข็ง เขาจ้องมันอยู่ซักพัก และตัดสินใจเลือกเอา ข้าวกระเพราหมูสับกล่อง มาจาก
    ชั้นวาง ก่อนจะเดินตรงไปที่เคาเตอร์ส่งมันให้พนักงานอุ่นร้อนด้วยไมโครเวฟ



         จากหน้าร้านสะดวกซื้อ เยื้องไปทางขวาบน คือลานกว้างที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ปกคลุมด้วยพงหญ้า
    รกร้าง ใบหญ้าลู่ไหวตามแรงลม เสียดสีกันจนเกิดเสียงคล้ายคลื่นทะเล ในความมืดมิด กลางดงพงหญ้ารกร้างนั้น สุนัขพันธุ์ทางตัวหนึ่ง กำลังก้มหน้าก้มตาส่ายจมูกดมกลิ่นอย่างหิวโหย มันสูดหายใจแรงเพื่อดึงกลิ่นรอบๆเข้าไปแยกแยะด้วยสัมผัสรับกลิ่นที่เป็นเลิศ มันจะหาสิ่งที่พอกินได้มาประทังความหิวอันน่าหงุดหงิด

         สุนัขพันธุ์ทาง หยุดสูดกลิ่น แล้วเงยหน้าขึ้นจากพื้นมันได้ยินเสียงหญ้าเสียดสีกัน พงหญ้าใกล้ๆ
    ส่ายไปมาแปลกๆ ทั้งที่ลมหยุดพัดไปได้ซักพักแล้ว  เหมือนกับจะรู้ว่ามันกำลังสนใจ พงหญ้าหยุดส่าย
    มันหยุดนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าสุนัขมองค้างอยู่ครู่หนึ่งแล้วมันก็เลิกสนใจ

         ยามที่มันก้มหัวลงเพื่อจะดมกลิ่นต่อ สายลมพัดโบกมายังพงหญ้าที่มันอยู่ เจ้าสุนัข หยุดชะงัก
    มันได้กลิ่นแปลกๆ เป็นกลิ่นที่ไม่รู้จัก สัญชาตญาณบอกให้มันรับรู้ซึ่งอันตราย ใกล้ๆนี้
    มันส่งเสียงขู่และโก่งตัวคู้ขนบนหลังตั้งชัน เขี้ยวสีขาวแสยะ เพื่อข่มขวัญ

         พงหญ้านั้นไม่ได้สงบนิ่งอีกแล้ว ใบหญ้าโยกส่ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง เสียงเห่ากรรโชกดัง สองถึงสามครั้ง
    ก่อนความเงียบสงัดจะเข้าปกคลุมพื้นที่แล้วพงหญ้าก็หยุดส่ายลง


         ดวงตะวันลอยสูงอยู่เกือบจะตรงหัว เป็นเวลาเกือบเที่ยงของวันอังคารและอากาศก็ยังคงหนาวเย็น
    แทบไม่ต่างจากเมื่อวาน  ระยะทางจากร้านสะดวกซื้อจนถึงอาคารเรียนที่ 10 จะมีทางเดินเยื้อง
    ออกซ้ายพาไปสู่โรงอาหารอันแน่นขนัดไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะในช่วง
    เวลานี้ นิสิตทั้งที่เพิ่งเลิกเรียนหรือพักกลางวัน จะแห่กันมากินข้าวที่นี่ ตัวโรงอาหารเป็นอาคารหลังคาทรงโค้ง
    ทำจากสังกะสี โดยจะมีช่องพัดลมดูดอากาศ คล้ายหมวกเชฟ ยื่นขึ้นมาสี่ใบ เว้นระยะห่างจากกันพอสมควร

         วันนี้ อิศรา ยังคงสวมแจ๊กเก็ตตัวเก่งมาด้วย ขณะเดินออกจากโรงอาหารและเดินไปตามทางเยื้อง
    จนมาถึงหน้าร้านสะดวกซื้อ และเกือบจะเดินเลยไปแล้วหากเขาไม่สังเกตุเห็น กลุ่มคนที่กำลังมุง
    กันอยู่แถวลานหญ้ารกร้างใกล้ๆเท้าขวาก้าวออกไปโดยอัตโนมัติ แต่เท้าซ้ายยังคงยึดอยู่กับพื้น
    หนแรกเขาคิดจะเข้าไปดูแต่สมองของเขาบอกให้รู้ว่าจะไปเข้าเรียนสายถ้ามัวแต่แวะข้างทาง

         เท้าซ้ายเป็นฝ่ายชนะ เด็กหนุ่มหันตัวกลับและเดินลงไปตามทางลาดชัน เพื่อตรงไปยังอาคารเรียนที่10
    โดยทิ้งความสงสัยไว้เบื้องหลัง
         ในกลุ่มคนที่มามุงดูมี นิสิตหญิงสาวนางหนึ่ง ใช้โทรศัพท์มือถือ Black Berry ถ่ายเก็บรูปสถานที่เกิดเหตุ
    หรือพงหญ้ารกที่กลายเป็นสีแดงฉาน เพราะย้อมไปด้วยน้ำเลือด ตามยอดใบหญ้ามีเศษชิ้นเนื้อเกาะ
    กระจัดกระจายไปทั่วพง ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นเน่าแสบจมูกอย่างร้ายกาจ บนพื้นลานซึ่งปกคลุมไปด้วยใบหญ้า
    กองซากเหม็นเน่ามีร่องรอยถูกฉีกทึ้งกัดกินอย่างตะกละตะกลามจนกระดูกเลาะหลุดออกมาหล่นเกลื่อนพื้น
     เนื้อใบหูที่ยังเหลือติดอยู่กับ กระโหลกศรีษะช่วยให้รู้ว่ามันเป็นกองซากร่างของสุนัข

         “ อู..แหวะ จะอ้วก ” 
         คุณป้าภารโรงร่างท้วมในชุดเครื่องแบบ ปิดปากพูดอย่างกระอักกระอ่วนกับกลิ่นเหม็นชวนสำรอก
    ข้างๆขาของป้า มีถังใบใหญ่อยู่หนึ่งใบใส่น้ำประปาไว้เต็ม มือของป้าอีกมือนอกจากมือที่เอาไปปิดปากปิดจมูก
    จับด้ามไม้กวาดทางมะพร้าวด้ามยาว มองดูอยู่ห่างๆบนพื้นถนน ป้ารอเจ้าหน้าที่สามคนที่ลงไปบนพื้นหญ้าแล้ว
    ทำงานให้เสร็จ


         “ เมื่อวานซืนก็ตายไปตัวแล้ววันนี้ก็เอาอีกละ โห้ย~ เหม็นก็เหม็น ตัวอะไรมันมากินหมาวะ ”
         คุณลุงวัยห้าสิบ เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสถานที่ของมหาลัย บ่นเสียงห้าว ด้วยความเดือดร้อน เขาต้องมาคอยตามเก็บซากพวกนี้ไปทิ้ง นอกจากลุงคนนี้แล้วยังมีเจ้าหน้าที่หนุ่มอีก 2 คนตามมาช่วยโดยคนหนึ่งจับปากถุงขยะพลาสติกสีดำ
     อ้ารอให้ เพื่อนอีกคนกับลุง ช่วยกันคีบเศษซากเนื้อเน่า ใส่ถุงด้วยคีมคีบถ่าน  หลังจากเก็บเศษกระดูกและ
    เศษเนื้อรอบๆจนหมดแล้ว

         ลุงกับผู้ช่วยหนุ่ม จึงสวมถุงมือยางแล้วช่วยกันยกซากร่างกองใหญ่ หิ้วใส่ถุงโดยจับยัดจากหัวไปหาง
    ผู้ช่วยที่จับถุงไว้จะมัดปากถุงให้แน่นสนิทเพื่อแน่ใจว่ากลิ่นของมันจะไม่มารบกวนระหว่างการเดินทางเอามัน
    ไปกำจัด เมื่องานเสร็จแล้วชุดเจ้าหน้าที่ทั้งสามจึงลากเอาถุงศพ ขึ้นรถกอลฟ์ไฟฟ้าและขับทวนตามเส้นทางถนนจาก
    ลานหญ้ารกร้าง ขึ้นไปบนภูเขาเพื่อไปยังจุดกำจัดขยะ

         ป้าภารโรงจึงยกเอาถังน้ำที่หิ้วมาด้วยสาดลงไป น้ำชะล้างเอาคราบเลือดแห้งเกรอะกรัง
    ให้ไหลเซาะลงบนหน้าดิน ไม้กวาดทางมะพร้าวด้ามยาว ถูกจับอย่างกระชับเหมาะมือป้า ก่อนจะเริ่มกวาด
    คราบเลือดชุ่มน้ำบนหน้าดินลง ขอบรางน้ำใกล้ๆ น้ำเลือดและชิ้นเนื้อเศษเล็กเศษน้อยที่เก็บไปไม่หมด
    ไหลตามรางพร้อมกับน้ำ หายลงไปในท่อน้ำทิ้ง

         บรรดาคนมุงทั้งหลายพากันแยกย้ายเมื่อไม่มีสิ่งใดเหลือให้ดูอีก เว้นแต่ นิสิตหญิงที่ถ่ายรูปเก็บไว้ แม้จะไม่มี
    กองซากร่างใดๆเหลืออยู่บนพื้นแล้ว แต่เธอก็ถ่ายเก็บมาบันทึกเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มจนจบลงที่
    การขนย้ายเสร็จสิ้น ก่อนจะอัพโหลดขึ้นเว็บ เฟซบุค(Face Book)



         บนเพจหน้าเว็บเฟซบุค ของกลุ่ม P@RAcl0X หรืออ่านว่า พาราด็อกซ์(Paradox)
    *======*
         P@RAcl0X :  พวกเราคือกลุ่มข่าวอิสระ มีกฏง่ายเพียงสามข้อเท่านั้นที่ต้องปฏิบัติ เพื่อสวัสดิภาพของสมาชิกทุกท่านเอง
         กฏข้อบังคับ ได้แก่
         1.อย่าใช้ชื่อจริงแสดงบนกลุ่ม
         2.อย่าลงข่าวการเมือง(มันซ้ำๆเดิม)
         3.เมนท์อะไรก็ได้ที่เป็นข่าวหรือเหตุการณ์
    *=======*

         พาดหัวข้อของกลุ่มจะเป็นข้อบังคับและคำอธิบายสั้นๆ ที่นี่ไม่ค่อยมีกฏมากมายนัก เพื่อเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ส่วนมากก็จะมีแต่เหตุการณ์ประหลาดๆที่ชวนสงสัยเข้ามาเป็นระยะเท่านั้น นานทีจะมีบ้างที่มีข่าวใหญ่
    หลุดมาจริงๆ หากดูโดยผิวเผินแล้ว เพจของกลุ่มนี้ก็เป็นเพียงแค่กลุ่มพูดคุยธรรมดาที่เน้นไปทางด้านข่าวสาร

         ในขณะนี้ข่าวที่กำลังเป็นที่สนใจคือ ภาพการกำจัดซากสุนัขที่ตายอย่างเป็นปริศนา ภายในวิทยาลัยเขตศรีราชา
    เป็นหัวข้อที่มีการพูดคุยกันมากที่สุด (โดยLogiA)

         LogiA: สยองมากเลยอ่ะ ตัวไรก็ไม่รู้กินตับหมา บรึ๋ย~
         Black-Hand: โหดดี ซากอย่างกับถูกเสือขย้ำมาแน่ะ
         แอ๊ฟแม่น: ในวิทยาลัยนั่นต้องมีเสือแน่ๆเลย ศรีราชามีสวนเสือนิ สงสัยมันหลุดมาเปล่า
         LogiA: โห สวนเสือมันอยู่ห่างเป็นกิโลเลยนะมาไม่ถึงหรอก
         คิกขุ: อาจจะเป็นเสือภูเขารึเปล่า วิทยาลัยคุณ LogiA อยู่บนเขานี่คะ
         LogiA: ไม่รู้จิพวกผู้ใหญ่ยังพูดกันเลยว่าอาจจะมีเสือจริงๆก็ได้
         Black-Hand: ต้องระวังตัวมากๆนะ เสือเป็นสัตว์หากินกลางคืน ถ้ามืดค่ำแล้วอย่าไปเดินแถวที่มีต้นไม้รกชัน
         LogiA: ขอบคุณ คุณมือดำ มากค่ะดิฉันจะระวังเป็นอย่างดี



         ไอแดดยามบ่ายช่วยให้อากาศอบอุ่นขึ้น หลังจากที่หนาวเย็นมาตั้งแต่เช้า อิศรา ถอดเสื้อแจ๊กเก็ตของเขาออก
    ขณะเดินไปตามถนนเส้นตรงซึ่งสองข้างทางเต็มไปด้วยสุมพุ่มไม้ใบหญ้าและต้นไม้ ตลอดทางหลังเดินไปได้ครึ่งทาง
    ของถนน 
         เด็กหนุ่มก็มาหยุดยืนอยู่หน้าอาคารหลังย่อมสูงสองชั้น ตัวอาคารค้ำด้วยเสาใหญ่ห้าต้น และเพดานหินปูน
    ความหนาประมาณครึ่งเมตรหลังคาทรงสี่เหยี่มขนมเปียกปูน กันสาดจากหลังคาทรงประหลาดนี้ยื่นออกทุกทิศของ
    อาคารซึ่งพื้นที่กินแคบเข้าไปด้านในมากกว่าจะสร้างให้เหลื่อมออกมา ผนังอาคารโค้งบรรจบกันเป็นวงกลม
    อันที่จริงอาคารนี้ลักษณะคล้ายป้อมยามหลังใหญ่มากกว่า

         ข้างในเป็นแบ่งห้องใหญ่ราว สิบห้องชั้นล่าง5 ห้องและชั้นสองอีก 5 ห้อง  เป็นห้องสำหรับชมรมต่างๆในมหาลัย
     ที่นี่จึงถูกเรียกว่าอาคารสันทนาการไปโดยปริยาย หรือในชื่อที่นิสิตพากันเรียกมันว่าตึกชมรม
         อิศรา เดินสาวเท้ายาวๆเข้ามาข้างในอย่างเร็วๆ ตรงรี่ไปขึ้นบันไดที่กลางอาคาร จนถึงชั้นสอง แล้วเลี้ยวขวา
    หักเข้าไปยังห้องชมรมซึ่งตั้งอยู่ริมสุดทางเดิน เยื้องห่างไปไม่ไกลจากบันได
         ป้ายชื่อชมรมติดอยู่เหนือประตูทางเข้า [ชมรมเครื่องกลและเทคนิกพิเศษเพื่อการสงคราม]
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×