ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โรงเรียนศาสตร์มืดแห่งดาร์คแลนด์ (เปิดเทอม)

    ลำดับตอนที่ #51 : ชั้นที่ 4 ชั้นศาสตราจารย์ทรงภูมิ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.42K
      0
      9 ธ.ค. 59

    ชั้นที่ 4 ชั้นศาสตราจารย์ทรงภูมิ



    สวัสดีเหล่า "ศาสตราจารย์ทรงภูมิ"
    หากเจ้าต้องการเป็นนักปราชญ์บัณฑิตผู้ทรงความรู้เเล้วไซร้
    ที่ห้องเรียนนี้ เจ้าจะต้องเรียนรู้ัการอบรมศิษย์ แก้ปัญหาลึกล้ำ
    เป็นที่ปรึกษาแก่นักปกครอง
    ในชั้นเรียนนี้ หากเจ้าไม่เข้าใจอันใด สามารถถามได้ที่กล่องคอมเม้นด้านล่าง










    ภารกิจ

    ภารกิจ คือ สถานการณ์จำลอง เพื่อทดสอบทักษะของท่าน
    ในชั้นนี้ มีภารกิจทั้งหมด 5 ภารกิจ ท่านจะภารกิจเหล่านี้หรือไม่ก็ได้
    และเลือกทำกี่ภารกิจก็ได้
    โดยคะเเนนจากภารกิจที่ท่านทำ จะช่วยในการสอบเพิ่มระดับของท่าน

    และเมื่อทำภารกิจเสร็จสิ้น ท่านจะไ้ด้รับรางวัล
    ท่านสามารถเลือกทำ "ภารกิจ" ต่างๆดังนี้




    ข้อควรระวัง
    อนึ่ง ระว่างการเดินทางทำภารกิจของท่าน
    ท่านอาจจะต้องแวะตามสถานที่ต่างๆ และจำเป็นต้องโพสคอมเม้น
    เมื่อท่านโพสคอมเม้น  ไม่ว่าที่ใดก็ตามในดาร์คแลนด์
    ให้แนบบัตรประ
    นักเรียนศาสตร์มืดแห่งดาร์คแลนด์ด้้วยเสมอ
    และผลการทำภารกิจของท่าน จะปรากฏที่หอพักของท่าน ทุกวันศุกร์





    การสอบเลื่อนระดับ

    หากท่านศึกษาบทเรียนในชั้นนี้จนถ่องแท้แล้ว กรุณาทำข้อสอบ
    เพื่อสอบเพิ่มระดับ...เข้าสู่ ชั้นที่ 5 ชั้น "ผู้เฒ่าสติเฟื่อง"
    หากท่านสอบผ่าน จะได้รับเหรียญตราให้เข้าเรียนในชั้นต่อไป



    คลิกเพื่อทำข้อสอบเลื่อนระดับสู่ชั้นต่อไป





    บทเรียนที่ 1 ปราชญ์จีน



    จีน เป็นชาติแห่งปรัชญาตะวันออก มีนักปราชญ์มากหน้าหลายตาถือกำเนิดขึ้นมามากมาย
    ในวันนี้จะสอนสุภาษิต หรือข้อคิด – คติเตือนใจ จากคนรุ่นก่อน มีอยู่ในทุกๆชาติ ...
    ชาติจีน
    เป็นชนชาติที่มีความรู้สั่งสมมานาน มีปราชญ์อยู่หลายแขนงและจำนวนมาก จึงมีสุภาษิตจีนอยู่นับร้อยนับพันบท
    ข้างล่างนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเป็น 'สุภาษิตจีน' ที่นำมาจากเว๊ปศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อประเทศจีน เชิญเปิดดูต้นฉบับ ได้ที่นี่

    1.เมื่อพ่อแม่มีชีวิตอยู่ ยังไม่เลี้ยงดูท่านครั้นท่านตายไปแล้ว ทำการเซ่นไหว้ ท่านจะได้รับประโยชน์อันใด

    2.ต้นไม้ต้นใหญ่ เกิดจากกล้าไม้ ต้นเล็กๆ  หอสูงเสียดเมฆา ฐานรากเตี้ยติดดิน  การเดินทางหลายพันลี้ เริ่มจากการก้าวเท้าก้าวแรก

    3.ที่ใดมีแสงอาทิตย์ ที่นั่นย่อม มีคนจีน ที่ใดมีคนจีน ที่นั่นย่อม มีความรุ่งโรจน์

    4.คนเรา มิใช่จะมีโชคเรื่อยไป  ดอกไม้ มิใช่จะบานอยู่ตลอดไป

    5.คนฉลาด ที่ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่เท่ากับคนที่ทำงาน สิ่งเดียวด้วยมือตนเอง

    6.ทุกคนเคยทำผิด ม้าทุกตัวเคยหกล้ม

    7.ผู้ที่อดกลั้นความอยากได้ ย่อมไม่มีหนี้

    8.ผู้ที่ยิ้มแทนที่จะโกรธ คือผู้ที่เข้มแข็งกว่าเสมอ

    9.ผู้มีใจตั้งมั่น ย่อมชนะฟ้า  ผู้ไร้ความตั้งมั่น ฟ้าย่อมชนะคน

    10. ในโลกนี้ไม่มีอะไรนุ่มหรือบางกว่าน้ำ แต่การที่น้ำสามารถกัดเซาะสิ่งที่แข็งอย่างไม่ยอมจำนนนั้น
          ไม่มีอะไรจะเทียบได้  ความจริงที่ว่า คนอ่อนแอกว่าเอาชนะคนแข็งแรงกว่าได้ คนที่หยาบ
          กระด้างต้องพ่ายแพ้คนที่อ่อนโยน เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ แต่ไม่มีใครทำตาม

    11.ความยิ่งใหญ่ของอุดมการณ์ มิได้อยู่ที่การชนะผู้อื่น  แต่อยู่ที่การชนะตัวเอง

    12.อย่ายอมแพ้ ตราบเท่าที่ยังมีความหวัง แต่อย่าหวังจนเกินเหตุผล  เพราะนั่นสะท้อนให้เห็นถึง ความปรารถนามากกว่าการพินิจพิจารณา

    13.ถ้าไม่มีกระจกเงา ผู้หญิงก็จะไม่ทราบว่า แป้งที่หน้าเรียบร้อยหรือไม่  ถ้าไม่มีเพื่อนแท้ ปัญญาชนก็ไม่อาจรู้ถึง ความผิดของตนได้

    14.ถ้าดื่มกับเพื่อน เหล้าพันถ้วย ยังดูน้อยไป  ถ้าโต้เถียงกับผู้อื่น คำพูดเพียงครึ่งประโยชน์ ก็มากเกินไป

    15.การพูดให้ร้าย ไม่ทำให้คนดีเป็นคนเลว  เพราะเมื่อน้ำลด หินก็ยังอยู่ที่เดิม

    16.ดัดตัวนั้นง่าย แต่ดัดใจนั้นยาก

    17.มีนาแต่ไม่ไถ ยุ้งฉางก็ว่างเปล่า  มีหนังสือแต่ไม่อ่าน ลูกหลานก็โง่

    18.คนโลเล ก็เสมือนดาบที่ยังไม่ได้ตีให้เป็นรูป

    19.อย่ากลัวที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ  สิ่งที่ต้องกลัวอย่างเดียว คือการหยุดนิ่ง

    20.อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์  เพราะฤดูใบไม้ผลิจะไม่ย้อนกลับมาอีก

    21. การเรียนภาษาต่างประเทศนั้นไม่ยาก มันก็เหมือนกับการคบเพื่อน ยิ่งคบก็ยิ่งคุ้นเคย พบหน้ากันทุกวัน มิตรภาพก็ยิ่งสนิทแน่นแฟ้น

    22.เรียน จึงรู้ว่าตนเองด้อยความรู้ สอน จึงรู้ว่าลำบาก ผู้ที่รู้ว่าด้อยความรู้ จึงจะเตือนตัวเองได้  ผู้ที่รู้ว่าลำบาก จึงจะฝึกตนให้เข้มแข็ง

    23.เรารู้ว่าหนังสือ ไม่ใช่วิธีการที่จะให้คนอื่นมาคิดแทนเรา ในทางตรงข้าม.. หนังสือ คือเครื่องมือที่กระตุ้นให้เราคิดได้ไกลมากยิ่งขึ้น

    24.มีหนังสือตั้งเล่มเกวียน ก็ไม่เท่ากับมีครูคนเดียว

    25.ครูเปิดประตูให้ แต่ท่านจะต้องเดินเข้าไปด้วยตัวท่านเอง

    26.ไม่เป็นจึงต้องเรียน ไม่รู้จึงต้องถาม

    27.คนชั้นต่ำแต่มีการศึกษา ดีมีประโยชน์ต่อบ้านเมือง  คนชั้นสูงแต่ไร้การศึกษา จะมีประโยชน์อะไร

    28.พูดถึงอะไรก่อนอะไรหลัง ความรู้ต้องมาก่อน  พูดถึงอะไรสำคัญที่สุด ความประพฤติย่อมสำคัญที่สุด

    29.คมลิ้นฆ่าคนอย่างชนิดเลือดไม่ออก

    30.คนที่เก่งทุกทาง แท้จริงคือคนที่ไม่มีอะไรเก่งจริงสักอย่าง  คนที่รอบรู้ไปหมดทุกเรื่อง แท้จริงคือคนที่ไม่เชี่ยวชาญอะไรเลย




    บทเรียนที่ 2 ภาพวาดพู่กันจีน

    ภาพวาดจีนที่ใช้พู่กันจีนมีเอกลักษณ์หลายอย่าง  ตั้งแต่การใช้น้ำหนักของหมึก ความจาง-เข้มข้นของหมึก
    แรงกดที่เขียนเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกต่าง ๆ ของศิลปินหรือผู้เขียน แต่สิ่งที่ทำให้ภาพวาดจีนแตกต่างจากโลกตะวันตกมากที่สุด
    นั่นก็คือ  สีขาว หรือพื้นที่ที่ไม่ได้วาด  แนวคิดการวาดภาพของจีนนั้นต่างกันไป   จีนจะไม่วาดภาพให้เต็มพื้นที่ 
    แต่จะแบ่งสีขาวไว้เป็นความว่าง ให้ผู้ที่ดูภาพนั้นได้จินตนาการเอง บางภาพสีขาวก็แทนด้วยหมอก ด้วยเมฆ หิมะ
    ทะเลทราย น้ำตก บึง หนอง ฯลฯ   บางครั้งศิลปินจะเขียนกลอนประกอบลงในภาพวาดไปด้วยเพื่อให้ชัดเจนขึ้น 
    แต่น้ำหนักของตัวอักษรก็บอกอีกนั่นแหละ   ว่าคนวาดต้องการที่จะสื่ออะไร เส้นหนักแน่น แข็ง เบาบางหรือโรย ๆ
    บางภาพยังมีการสื่อความหมายเป็นคติสอนใจอีก อย่างเช่นภาพนกตัวใหญ่ทักทายนกตัวเล็ก "หนีห่าว" ที่แฝงความหมายลึก ๆ
    ถึงการให้ความเมตตาต่อผู้น้อย   หรือคนที่ตัวเล็กกว่าเรา










    ใน ภาพ ประกอบด้วยนกกระเรียนสิบตัวยืนอย่างสง่าผ่าเผยท่ามกลางหิมะ มีสีหน้าท่าทางผ่อนคลาย และอยู่ในอริยาบทที่แตกต่างกันไป ขนนกที่ขาวสะอาดบริสุทธิ์ หงอนแดงดูสูงส่งและวิจิตรตระการตา คอที่ดูเรียวยาวดูงดงามปราดเปรียว นำมาซึ่งความรู้สึกมีสุขภาพดี พัฒนาก้าวหน้า น่าปิติยินดีและเป็นสิริมงคล

    ภาพนี้ใด้ใช้รูปแบบ การประกอบภาพแบบคลาสสิค ในการแสดงถึงลักษณะท่าทางของนกกระเรียนทั้งสิบตัว ใช้วิธีการวาดแบบเกินจริงในเฉพาะส่วน ทำให้ภาพดูงามแบบคลาสสิค เรียบง่าย และเพิ่มความเป็นศิลปะ








    นก ที่มีสีสันสดใสมากที่สุดก็คือ นกแก้ว ในภาพมีนกแก้วสีเขียวหัวแดงสามตัว ครองพื้นที่ตรงกลางของภาพ ยืนบ้าง บินบ้าง ดอกแมกโนเลียสีขาวบริสุทธิ์ดั่งหยก ต้นท้อสีม่วงชมพูอบอวลด้วยกลิ่นอายอันอบอุ่นที่ว่า "นกส่งเสียงไพเราะ ดอกไม้ส่งกลิ่นอันสดชื่น"


    ภาพนี้ได้ใช้กระดาษลายจุดเงินในการวาด อาศัยจุดเด่นของกระดาษเงินในการสื่อความหมาย และใช้เทคนคิทางศิลปะเพื่อยกระดับของภาพ จนได้ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด







    ดอกไม้ ในตระกูลดอกพุดตานเป็นดอกไม้ขึ้นชื่อตามประเพณีนิยม บานสะพรั่งปลายฤดูใบไม้ร่วง ช่วงเดือนกันยายนถึงธันวาคมของทุกปี ดอกโตสีสด มีลักษณะงดงามละมุนลไม สวยวิจิตรตระการตา เป็นที่ชชื่นชอบของบุคคลทั่วไป


    ใน ภาพมีห่านหัวลายคู่หนึ่งยืนอยู่ริมลำธาร พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน สีสันขึ้นลงตามโครงสร้างของขน ทั้งมือและว่าง อ่อนและเข้ม มีการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลาย มีลำดับขั้นที่ชัดเจน เกิดการเปรียบเทียบอย่างเด่นชัดกับดอกพุดตามสีแดงที่อยู่ด้านบน ใช้โทนสีเทาท่ามกลางบรรยากาศที่มีสีเข้มสด ทำให้ภาพเกิดอรรถรสที่เงียบสงบ อบอุ่น งดงามและสูงส่ง








    นกสาลิกาดงหางยาวมักพักอาศัยอยู่กลางป่าเขาและที่ราบ ร้องเสียงดัง คล่องแคล่วปราดเปรียว ขนตามร่างกายและหางมีสีม่วงนำ้เงิน ส่วนหัวและคอมีสีดำ ตรงปลายหางมีสีดำ จะงอยปากและกรงเล็บมีสีเหลืองส้ม


    แมกโนเลียขาวในภาพดั่งหยกขาว ส่งกลิ่นหอมเย็น มีนกสาลิกาดงหางยาวพักผ่อนอยู่บนก้านแมกโนเลียขาว เรียบง่าย สวยงาม การประกอบภาพที่สว่าง สวยสดงดงาม ทำให้รู้สึกสบายใจ สุขเกษม และสุดแสนเบิกบาน







    ดอก โบตั๋นเป็นดอกไม้ล้ำค่าของจีน ดอกมีลักษณะรูปร่างที่สมบูรณ์เอิบอิ่ม มีสันหลากหลายและสดใส ดอกโบตั๋นมีสมญานามว่าเป็น "ราชาแห่งดอกไม้" ข้าพเจ้าชอบวาดดอกโบตั๋นมาก จึงใช้เวลามากมายในการค้นคว้าแนวคิดใหม่ในการแสดงออก ซึ่งภาพวาดนี้ การวาดภาพมีสีสันหลากหลายนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ความยากอยู่ที่ความกลมกลืนของสี เพื่อแสดงถึงความงดงามและความสูงส่งของดอกโบตั๋น ข้าพเจ้าใช้สีเทา ขาว ชมพู สีม่วงอ่อนที่งดงามและมีสไตล์ ควบคู่กับสีแดงเข้มทำให้เกิดการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน มีนกไนติงเกลจีนคู่หนึ่งกำลังโบยบิน เพิ่มสีสันและความเพลิดเพลินให้กับภาพ โครงสร้างของสีสันทั่วทั้งภาพนำสายตาไปยังนกไนติงเกลจีนที่ิบินเคียงคู่กัน จึงทำให้เกิดบรรยากาศที่น่าตื่นเต้น






    ดอก คาเมลเลียสีแดงเข้ม ดูวิจิตรตระการตา มีดอกใหญ่ กลีบดอกบานซ้อนคลี่ออกตามธรรมชาติ ใบสีเขียวเข้มเป็นพุ่มพฤกษ์ โบกสะบัดไปมาท่ามกลางสายลม เหมือนดั่งเปลวไฟ สีสันสุดแสนแพรวพราว


    มีนกขุนทองคู่หนึ่งทิ้งนำ้หนักบนกิ่งของดอกคาเมลเลียดอกใหญ่ที่มี่สีแดงเข้ม ทำให้เกิดความสมดุล
    บรรยากาศในภาพที่ดูลึกลับ กอปรกับนกขุนทองที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจคน ทำให้ดูกลมกลืนเป็นธรรมชาติ







    ดอก ซากุระบานในฤดูใบไม้ผลิ ยามดอกชมพูบานเต็มต้นส่งกลิ่นหอมโชยอ่อน ๆ ประดับฤดูใบไม้ผลิให้มีความงดงามและความอบอุ่นมากขึ้น นกกระเรียนคู่หนึ่งกำลังพักผ่อน และจัดขนอยู่ใต้นต้นซากุระ มีความสุขสบายอกสบายใจ ภายใต้ลมยามฤดูใบไม้ผลิอันแสนอบอุ่น และดอกไม้แสนงาม


    ภาพ นี้ได้ใช้วิธีการวาดที่เรียกว่า "วิธีจีสุ่ย" ตามแบบฉบับของจีนในการวาดกิ่งไม้ และวิธีการลงรายละเอียดสีในการวาดดอกซากุระ ส่วนนกกระเรียนเสร็จสมบูรณ์โดยใช้วิธีการวาดตามแบบฉบับของคนโบราณ ผสมผสานสไตล์คลาสสิคและสไตล์ปัจจุบันเข้าด้วยกัน







    เหยี่ยว นกเขาสีขาวมีขนสะอาดทั่วร่าง ปากสีดำเคลือบมันดั่งสีขี้ผึ้ง กรงเล็บสีเหลือง ชอบอาศัยอยู่ตามลำพัง ยามบินจะกางปีกอย่างช้า ๆ แล้วบินว่อน


    ในจารึกประวัติศาสตร์จีนแต่ละยุคในอดีต ทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษรและภาพวาด เหยี่ยวนกเขาสีขาวมักถูกจักรพรรดิ์และอำมาตย์นำมาเป็นสัตว์เลี้ยง ในบรรดาผลงานของจิตรกรชื่อดังยุคราชวงศ์ชิง นายหลาง ซือ หนิง ก็มีภาพวาดเหยี่ยวอยู่หลายภาพเหมือนกัน


    ภาพนี้มีเหยื่ยวนกเขาสี ขาวพักผ่อนบนต้นสนอันเขียวขจี แวดล้อมธรรมชาติ ท่ามกลางท้องฟ้า นำมาซึ่งทัศนวิสัยอันกล้าวไกลให้แก่เหยี่ยว การประกอบภาพในลักษณะนี้แสดงถึงความสุขสบายของราชาแห่งสัตว์ปีกได้อย่าง ชัดเจนยิ่งขึ้น ให้ความรู้สึกถึงความใกล้ชิดสนิทสนม







    แผง ขนของสิงโตตัวผู้ วาดโดยใช้ปลายพู่กันลากเส้นขนที่อยู่บนหลัง วาดโดยใช้พู่กันระบายและแต้มจนเป็นขนเส้นเล็ก ใช้มุมมองด้านหน้าที่มีมิติการมองที่กว้าง ทำให้ส่วนศีรษะของสิงโตตัวผู้มองตรงไปถึงนอกภาพ ทำให้รู้สึกถึงพลังของมุมมองอันกว้างไกล


    ฉากหลังเป็นทุ่งหญ้า แอฟริกาที่โล่งและกว้างใหญ่ ประกอบกับฝูงววัป่า ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมในชีวิตจริงของสิงโต สรรค์สร้างให้แวดล้อมด้วยบรรยากาศที่หนักแน่นทรหดและเยือกเย็น แสดงออกถึงเอกลักษณ์ด้านอุปนิสัยของสิงโตได้ดียิ่งขึ้น


    ภาพนี้ ได้อาศัยการเปลี่ยนแปลงของความเย็นและความอบอุ่น สีสันของวิวใกล้และไกล ความลวงและความจริงในการสร้างสรรค์ บรรยากาศอันเปล่าเปลี่ยว กว้างขวาง แห้งกร้าน และเงียบสงัด







    ดอก ซากุระบานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้สีเขียวอ่อนปนเหลือง ดอกสีชมพูและสีม่วงแดงอ่อน ดอกบานตามปลายกิ่ง ก้านดอกเรียวยาว ภาพซากุระดอกซ้อนภาพนี้มีลำดับที่ชัดเจน กลีบมากแต่ไม่ยุ่งเหยิง นกกระจอกสามตัวบนภาพ มีลักษณะท่าทางหลากหลาย ดูคล่องแคล่วปราดเปรียวดั่งมีชีวิต เผยให้เห็นถึงความน่ารัก และมีความรู้สึกในชั่วพริบตาท่ามกลางความสว่างไสวและสุขุมเยือกเย็น










    บทเรียนที่ 3 กวีไฮกุ

    ไฮกุ เป็นคำประพันธ์ของญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง เป็นบทกลอนขนาดสั้นในหนึ่งบทประกอบด้วยถ้อยคำรวม 17 พยางค์เท่านั้น เขียนแบ่งเป็น 3 บรรทัด เริ่มจาก 5 พยางค์ 7 พยางค์ และ 5 พยางค์ ตามลำดับ ไม่ได้บังคับฉันทลักษณ์แต่ประการใด แต่ในบรรทัดสุดท้ายให้มีการจบแบบหักมุม เป็นจุดที่จะทำให้ผู้อ่านได้คิดหรือเกิดความประทับใจ

    ส่วนใหญ่กลอนไฮกุ มักเขียนขึ้นจากความประทับใจที่มีต่อธรรมชาติและมนุษย์ มีเพียง 3 วรรค แม้จะเป็นคำประพันธ์ที่ไม่มีสัมผัสสระหรือพยัญชนะ สิ่งที่พิเศษนอกจากวรรคสุดท้ายที่ผู้เขียนต้องหักมุมจบแล้ว การเลือกใช้คำง่ายๆ สื่อความหมายตรงๆ ก็เป็นอีกประเด็นของความโดดเด่นไฮกุ

    บทกวีไฮกุได้ตัดทอนลงให้เหลือเพียงตัวอักษร ๓ วรรค ยาว ๕ - ๗ - ๕ รวมเป็นตัวอักษรเพียง ๑๗ ตัวเท่านั้น ไฮกุ มีพื้นฐานคือ เรียบง่าย และ ดั้งเดิม จึงไม่ยึดติดกับแบบแผน ไม่มีข้อจำกัด ไหลเรื่อยตามธรรมชาติ สั้นกระชับที่สุด ตรงที่สุด และเป็นไปอย่างฉับพลัน ตามสภาวะสัจจะล้วน ๆ เรียบง่ายและตรงความรู้สึก ออกมาจากใจของกวี โดยปราศจากอุปสรรคขวางกั้น แสดงความงาม ความเศร้า ความสงบ ความปิติ ความเก่าแก่ เปลือยเปล่าอยู่ภายใต้แสงแดดอันอบอุ่น ในวินาทีแห่งการสร้างสรรค์สิ่งอัศจรรย์ที่ไฮกุได้ถือกำเนิดขึ้น

    อา เจ้าดอกซากา
    ถังน้ำถูกเถาของเจ้าพัวพัน
    ฉันวอนขอน้ำน้อยหนึ่งได้ไหม
    --ชิโย

    ในครั้งกระนั้นกวีหญิงชิโยมาตักน้ำในบ่อน้ำเธอได้พบว่าที่ตักน้ำได้ถูกเกี่ยวกระหวัดไว้ด้วยเถาของดอกซากา (มอร์นิ่งกลอรี่ Morning Glory) เธอได้ตะลึงงันด้วยความงามของมันจนลืมนึกถึงงานที่จะต้องทำ เมื่อมีสติ จึงนึกถึงภาระที่ต้องทำขึ้นมาได้ แต่เธอก็ไม่อยากจะไปรบกวนดอกไม้นั้น เธอจึงไปตักน้ำที่บ่อของเพื่อนบ้านแทน

    เริงรำจากใบหญ้าใบนี้
    สู่ใบโน้น
    ไข่มุกหยาดน้ำค้าง
    --รานเชตสุ

    บทกวีรานเชตสุแสดงออกถึงความปิติรื่นเริงเบิกบานอย่างแท้จริง เมื่อชีวิตได้รับการหล่อเลี้ยงจากความงาม ย่อมเต็มเปี่ยมด้วยปิติสุข น้ำค้างเป็นตัวแทนของความปิตินี้ ไหลหยดย้อยด้วยลีลาของธรรมชาติ ดั่งการร่ายรำของหยาดน้ำค้าง จากใบหญ้าใบนี้สู่ใบโน้น น้ำค้างที่บริสุทธิสะอาดและประกายแวววับดุจไข่มุกเมื่อต้องแสงอาทิตย์ จิตวิญญาณของกวีไฮกุ ได้ถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมาและมีความเกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋าและนิกายเซนอย่างที่สุด

    รายชื่อนักกวีไฮกุที่สำคัญ มะสึโอะ บะโช (Matsuo Bash)

    "วรรคแรกจะเป็นอะไรก็ได้ ไม่จำกัด ปล่อยตามจินตนาการ ขณะที่แต่งออกมาให้อ่าน เพื่อจะได้รู้ว่า การพูดออกมาเป็นช่วงๆ มันจะไปได้ราบรื่นแค่ไหน และให้ความไพเราะแค่ไหน หูจะได้ฟังแล้วจินตนาการตามไป เขาถึงบอกว่ากลอนไฮกุเขียนด้วยหัวใจ ใส่ความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียนเข้าไปในนั้นเลย"

    การหักมุมในวรรคสุดท้ายนั้นสำคัญ เป็นความงดงามของไฮกุ ในวรรคแรกอาจพูดถึงเรื่องราวต่างๆ ถัดมาวรรคที่สองอาจเป็นข้อความที่เสริมกัน ความประทับใจอยู่ที่วรรคสุดท้าย อย่างผลงานของ ด.ญ.ขจีวรรณ ตาเอื้อย อายุ 12 ปี ชั้นป.6 โรงเรียนสวนลุมพินี กรุงเทพฯ แต่งไฮกุออกมาได้ดีมาก เธอเขียนในหัวข้อ 'ฤดูกาลบ้านเรา' เมื่อปี 2546 บอกว่า

    "ลมหนาวใบไม้ร่วง
    เช้าตรู่พ่อปลุกใส่บาตร
    แม่จะได้ไม่หิว"

    ไฮกุใช้คำง่ายๆ แต่ส่งผลสะเทือนอารมณ์มาก

    หลักการเขียนกลอนไฮกุ

    1. ควรกล่าวถึงสิ่งใกล้ตัวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาขณะใดขณะหนึ่ง ไม่ควรกล่าวถึงช่วงเวลายาวนาน

    2.ต้องเอาใจใส่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แล้วนำมาแต่งเป็น ไฮกุ เลือกใช้คำที่กระชับได้ใจความ ไม่ใช้คำเยิ่นเย้อ หรือคำขยายความ

    3.ไฮกุ ไม่ใช่การพูดถึงเหตุผล หรือปรัชญาทางความคิด แต่เป็นการถ่ายทอดสิ่งที่เห็นออกมาตามธรรมชาติ ดังนั้นต้องพยายามหลีกเลี่ยงถ้อยคำเปรียบเทียบหรือคำอุปมาอุปไมย

    4.บรรทัดสุดท้ายของกลอนไฮกุ มักใส่ความแปลกลงในบทกลอน โดยมักจะมีถ้อยคำที่แสดงความรู้สึกนึกคิดชั่วขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือจินตนาการของผู้ประพันธ์ก็ตาม

    ตัวอย่างไฮกุที่มีชื่อเสียงของ มะสึโอะ บะโช

    สระน้ำอันเก่าแก่
    เจ้ากบตัวหนึ่งกระโดดลง
    เสียงน้ำพลันดังจ๋อม







    บทเรียนที่ 4 ปราชญ์ผู้แก้ไขปัญหา

    คนเราถ้าไม่รู้จักการแก้ไขปัญหา ความวุ่นวายต่าง ๆ จะเกิดอย่างต่อเนื่องจนแก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ชั้นนี้ จะเรียนในเรียนการแก้ไขปัญหา

    ทักษะในการแก้ปัญหาแบ่งออกเป็นสองแบบ คือปัญหาระยะสั้นและปัญหาระยะยาว ปัญหาระยะสั้นคือปัญหาที่เกิดเฉพาะหน้าต้องเน้นความสามารถ ไหวพริบ และการตัดสินใจที่แน่วแน่

    ส่วนปัญหาระยะยาวเป็นปัญหาที่หลายฝ่าย ต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไข และมีเวลาตัดสินใจนานขึ้น

    ทักษะที่เกี่ยวข้องในเรื่องการแก้ปัญหา

    1. ทักษะในการ “ขวนขวายหาข้อมูล”

    การแก้ปัญหาได้ดี ต้องมีข้อมูล ไม่ว่าอะไรเป็น รากเหตุ สาเหตุ วิธีการแก้ไขที่เป็นไปได้ ผลของการใข้วิธีแก้ไขแต่ละเรื่อง คนที่แก้ปัญหาเก่ง จะเป็นคนที่ตัดสินใจจากข้อมูล ไม่ใช่เป็นคนพึ่งโชคชะตาฟ้าดิน หรือโทษฟ้า โทษดิน โทษเพื่อนกันไปเรื่อยเปื่อย

    2. ทักษะในการ “คิดเชิงวิเคราะห์”

    คือการทำความเข้าใจในสถานการณ์ด้วยการแยกส่วนประกอบต่าง ๆ ออกมาเป็นส่วน ๆ หรือการพยายามค้นหาร่องรอยของผลกระทบจากสถานการณ์หนึ่งอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รวมถึงการเรียบเรียงที่มาของปัญหา หรือสถานการณ์อย่างมีระบบ สามารถเปรียบเทียบคุณลักษณะและองค์ประกอบที่แตกต่าง กำหนดระยะเวลา ลำดับความสำคัญก่อนหลังอย่างมีเหตุมีผล สามารถบ่งชี้ถึงเหตุและผลของการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขต่าง ๆ ที่จะมีต่อสถานการณ์และปัญหานั้น ๆ

    3. ทักษะการ “คิดเชิงหลักการ”

    เป็นสมรรถนะพฤติกรรมในการวิเคราะห์ปัญหาภายใต้สถานการณ์หนึ่ง ซึ่งจะสามารถบ่งบอกถึงรูปแบบของการเกิดปัญหา หรือการเชื่อมโยงระหว่างสถานการณ์กับปัญหา โดยปัญหานั้นจะต้องเป็นปัญหาที่สลับซับซ้อน สมรรถนะนี้ยังรวมไปถึงการใช้เหตุผลที่สร้างสรรค์มีหลักการ และสามารถสร้างอิทธิพลในการชักนำอีกด้วย

    เอ้า!!!! เรียนมาจนถึงขั้นที่ 4 แล้ว คิดว่าหลายคนคงจะเอาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตบ้างละนะ...จบบทเรียนขั้นที่ 4 แล้ว เตรียมตัวสอบเลื่อนขั้นได้แล้ว!!! กลับไปทบทวนให้ดี ๆ ล่ะ






     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×