ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โรงเรียนศาสตร์มืดแห่งดาร์คแลนด์ (เปิดเทอม)

    ลำดับตอนที่ #21 : ชั้นที่ 4 ชั้นนักปกครองช่ำชอง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.17K
      0
      10 ธ.ค. 59

    ชั้นที่ 4 ชั้นนักปกครองช่ำชอง

    สวัสดีเหล่า "นักปกครองช่ำชอง"
    หากเจ้าต้องการเป็นชนชั้นสูงผู้สง่างามแล้วไซร้
    ที่ห้องเรียนนี้ เจ้าจะต้องเรียนรู้การทูต การเจรจา การโน้มน้าว
    การทำให้ผู้อื่นรัก และเคารพ
    ในชั้นเรียนนี้ หากเจ้าไม่เข้าใจอันใด สามารถถามได้ที่กล่องคอมเม้นด้านล่าง











    ภารกิจ

    ภารกิจ คือ สถานการณ์จำลอง เพื่อทดสอบทักษะของท่าน
    ในชั้นนี้ มีภารกิจทั้งหมด 4 ภารกิจ ท่านจะภารกิจเหล่านี้หรือไม่ก็ได้
    และเลือกทำกี่ภารกิจก็ได้ 

    โดยคะเเนนจากภารกิจที่ท่านทำ จะช่วยในการสอบเพิ่มระดับของท่าน
    และเมื่อทำภารกิจเสร็จสิ้น ท่านจะไ้ด้รับรางวัล
    ท่านสามารถเลือกทำ "ภารกิจ" ต่างๆดังนี้ 



    ข้อควรระวัง
    อนึ่ง ระว่างการเดินทางทำภารกิจของท่าน
    ท่านอาจจะต้องแวะตามสถานที่ต่างๆ และจำเป็นต้องโพสคอมเม้น
    เมื่อท่านโพสคอมเม้น  ไม่ว่าที่ใดก็ตามในดาร์คแลนด์
    ให้แนบบัตรประ
    นักเรียนศาสตร์มืดแห่งดาร์คแลนด์ด้้วยเสมอ
    และผลการทำภารกิจของท่าน จะปรากฏที่หอพักของท่าน ทุกวันศุกร์





    การสอบเลื่อนระดับ

    หากท่านศึกษาบทเรียนในชั้นนี้จนถ่องแท้แล้ว กรุณาทำข้อสอบ
    เพื่อสอบเพิ่มระดับ...เข้าสู่ ชั้นที่ 5 ชั้น "จักรพรรดิยืนยง"
    หากท่านสอบผ่าน จะได้รับเหรียญตราให้เข้าเรียนในชั้นต่อไป



    คลิกเพื่อทำข้อสอบเลื่อนระดับสู่ชั้นต่อไป



    บทเรียนที่ 1 อาหารดอกไม้

    ในอาหารที่ใช้บำรุงสุขภาพนั้น มีอาหารประเภทหนึ่งที่เรียกว่า ฮัวจวน คือ ใช้ดอกไม้ทำเป็นอาหาร อาหาร ฮัวจวน เริ่มมีตั้งแต่สมัย ชุนชิว ปี ๗๐๐ ก่อน คริสต์ศักราช และได้รับความนิยมแพร่หลายอย่างทั่วไปในหมู่ชาวจีนในสมัยราชวงศ์ถัง เมื่อคริสต์ศักราชที่ ๗

    ประเทศจีนมีดอกไม้นับพันชนิด ดอกไม้ในภาคเหนือของจีนที่ทำ เป็นอาหารได้มีประมาณ ๑๐๐ ชนิด ส่วนมณฑลยูนนาน อาณาจักรพฤกษชาติที่อยู่ทางภาคใต้ของจีน ตามที่เล่ากัน มีดอกไม้ที่ทำเป็นอาหารได้กว่า ๒๖๐ ชนิด

    อาหารที่ทำจากดอกไม้จะใช้ในการรักษาโรคได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสุภาพสตรี การรับประทานอาหารที่ทำจากดอกไม้มากสักหน่อยจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมาก เช่น

    ดอกกุหลาบซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักมีสรรพคุณในการรักษา สมรรถนะของมดลูก ช่วยกระตุ้นให้เลือดหมุนเวียนเป็นปกติ นอกจากนี้ ยังเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสวยและบำรุงผิว

    ถ้าใช้ดอกท้อผัดกับปลาและกุ้ง มีสรรพคุณในการเสริมเลือดลมของร่างกาย อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสวยเป็นอย่างดี

    ส่วน เย่าซั่น คือ อาหารที่ทำจากยาสมุนไพรจีน มีสรรพคุณในการรักษาหรือป้องกันโรค เย่าซั่นของจีนสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ปัจจุบันนี้ ได้รับความนิยมจากหมู่ชาวจีน ปกติ เย่าซั่นจะทำเป็นข้าวต้ม ขนมแป้งข้าวสาลี น้ำแกงข้นและอาหารเป็นต้น

    ในประเทศจีน ยังมีร้านอาหารที่จำหน่าย เย่าซั่น โดยเฉพาะ เย่าซั่น ของจีนมีความหลากหลายมาก บ้างก็พิถีพิถันมาก เช่น มีข้าวต้มชนิดหนึ่ง เรียกว่า ข้าวต้มเด็ก ข้าวต้มชนิดนี้ใช้มันเทศ สมุนไพร อี้หมี่ และลูกพลับต้มกับข้าว มีสรรพคุณในการรักษาอาการม้ามและ กระเพาะอาหารอ่อนแอของเด็ก ส่วนเย่าซั่น อีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า น้ำแกง ยาสมุนไพร ชวนเบ้และเปลือกส้มมีสรรพคุณในการรักษาอาการไอที่เกิดขึ้นจาก ลมหนาวและความเย็นเข้าสู่ร่างกาย ส่วนแกงจืดโสมมีสรรพคุณในการบำรุงสุขภาพของผู้ป่วยเรื้อรังและผู้ชรา

    กฎหมายว่าด้วยสุขอนามัยของอาหารจีนระบุไว้ว่า ห้ามใส่ยาเข้าไปในอาหาร แต่ข้อกำหนดดังกล่าวนี้ขัดแย้งกับสภาพที่ชาวจีนนิยมรับประทาน เย่าซั่น เพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งดังกล่าวนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย โดยประกาศว่า ขิงแห้ง ฮ่อว์ธอร์น และสมุนไพรอื่น ๆ รวม ๑๐ กว่าชนิดอนุญาตให้เติมเข้าไปในอาหารได้

    เย่าซั่น ไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมในหมู่ชาวจีนเท่านั้น หากยังได้เข้าสู่ตลาดสากลด้วย อาหาร เย่าซั่น และ เครื่องดื่มที่ใส่ยาสมุนไพร เช่น เหล้าดอกเบญจมาศ ชาเปลือกส้ม ขนม สมุนไพร ฝูหลิน และ สมอจีนเป็นต้นนับวันเข้าไปอยู่ในอาหารการกินของชาวต่างประเทศ มากขึ้น

    ดอกไม้มีชื่อ 10 ชนิด ของประเทศจีน (??????) ประเทศจีนเคยมีกิจกรรมคัดเลือกดอกไม้ยอดนิยมขึ้น 2 ครั้ง ปรากฏผลสรุปได้ว่ามีดอกไม้ยอดนิยมของชาวจีนอยู่ 10 ชนิดด้วยกันได้แก่

    1. ดอกเหมย(??)แหล่งกำเนิดเดิมอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีนใต้ลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงลงมา อาจปลูกในที่โล่งได้ แต่ทางเหนือส่วนมากจะนิยมปลูกในกระถางหรือในเรือนเพาะ ดอกเหมยจัดอยู่ในตระกูลเดียวกับดอกกุหลาบป่า(??)เป็นไม้สูงผลัดใบ กิ่งลำต้นมีสีออกม่วงน้ำตาลหรือเทาน้ำตาล กิ่งเล็กสีเขียว ใบรูปไข่ ออกดอกก่อนต้นฤดูใบไม้ผลิ กลีบดอกมี 5 กลีบ สีดอกมีทั้งแดงเข้ม แดงอมชมพู ชมพู และขาว มีกลิ่นหอมจรุงใจ ต้นเหมยจะออกผลราวเดือน 6 - 7 ผลมีลักษณะกลม นิยมปลูกเพิ่มความเขียวชะอุ่มให้แก่สวนในบ้าน หรือปลูกในกระถางเพื่อความสวยงาม ดอกเหมยทนทานต่อความหนาวเย็น สามารถผลิดอกบานได้แม้อยู่ท่ามกลางกระแสลมแรงหรือพายุหิมะ ชาวจีนถือกันว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความหยิ่งทะนง ความบึกบึนไม่ยอมแพ้ของประชาชาติจีน

    2. ดอกโบตั๋น(??)เป็นไม้ดอกที่สวยงามและมีกลิ่นหอม ได้รับยกย่องเป็น “ราชาแห่งดอกไม้” นับเป็นดอกไม้ที่ได้รับความนิยม ของชาวจีนมากที่สุด ใช้เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความสุขความเต็มอิ่มสมบูรณ์ มีสายพันธุ์ย่อยที่นิยมปลูกกันถึงกว่า 500 ชนิด โบตั๋นเป็นไม้ประเภทไม้พุ่มเตี้ย ผลัดใบ ลำต้นสูง 1 – 2 เมตร ใบเป็นใบคู่ ดอกเดี่ยวออกบานที่บริเวณยอดกิ่ง สีสันของดอกหลากหลาย ทั้งแดง ชมพู เหลือง ขาว เขียวและม่วง เป็นต้น ช่วงเวลาออกดอกอยู่ประมาณเดือนเมษายนต่อถึงเดือนพฤษภาคม ออกผลสุกราวเดือนกันยายน ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ปักชำและทาบกิ่ง

    ชาวจีนรู้วิธีกำหนดเวลาออกดอกดอกโบตั๋นเป็นอย่างดี เช่น หากต้องการให้ออกดอกช่วงเทศกาลตรุษจีน ก็จะปลูกลงในกระถางช่วงต้นเดือนสิงหาคม ในห้องที่อุณหภูมิค่อนข้างเย็น จนถึงช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ก็จะไปยังเรือนเพาะที่อุณหภูมิ 18 – 25 องศาเซลเซียส รดน้ำใส่ปุ๋ยในปริมาณที่พอเหมาะ 50 – 60 วันให้หลังโบตั๋นก็จะออกดอกได้ตามต้องการ กิ่ง เปลือกและรากของดอกโบตั๋น ยังสามารถใช้เข้ายาจีนได้ มีสรรพคุณทำให้เลือดลมไหลเวียนและระงับปวดได้ดี

    3. ดอกเก๊กฮวย(??)หรือดอกเบญจมาศ เป็นพันธุ์ไม้ยืนต้น ทนหนาว ใบทรงรูปไข่หรือทรงเข็มยาว ขอบใบแตก ดอกจะทยอยออกทีละดอก มีหลายดอกตรงปลายก้านเดียวกัน สายพันธุ์ที่นิยมปลูกหลากหลาย มีทั้งสีแดง แดงม่วง เหลือง ขาวและเขียว และยังมีชนิดสองสีในดอกเดียวกันด้วย ช่วงเวลาออกดอกประมาณเดือนตุลาคมถึงธันวาคม โดยมากนิยมขยายพันธุ์โดยวิธีปักกิ่ง ดอกของเก๊กฮวยสามารถเข้ายาจีนได้ มีสรรพคุณแก้ร้อนใน ทำให้ตาสว่างและลดความดันโลหิต

    4. ดอกกล้วยไม้(??)เป็นดอกไม้ที่ชาวจีนชื่นชอบในความงามสง่าสูงส่ง จึงให้สมญาเป็น “วิญญูชนในหมู่ผกา” ซึ่งมี “กลิ่นกษัตริย์” เป็นกล้วยไม้ป่าที่ขึ้นตามเทือกแถบมณฑลยูนนาน(??) เสฉวน(??) กวางตุ้ง(??)ฮกเกี้ยน(??) ชอบอากาศอบอุ่นชุ่มชื้น และแสงแดดรำไร ขึ้นดีในดินร่วนที่มีซากพืชเน่าเปื่อย การเพาะขยายพันธุ์เลี้ยงดู จำเป็นต้องเอาใจใส่ดูแลปุ๋ยในปริมาณที่เหมาะสม และการรดน้ำประจำเป็นเวลา ที่นนยมปฏิบัติกันก็คือ ช่วงราวกลางเดือนพฤษภาคมจะต้องกระถางไว้ในที่ร่ม มีอากาศระบายดี จนถึงราวต้นเดือนสิงหาคมค่อยย้ายเข้าไว้ในเรือนชำ จะช่วยให้มีดอกบานในเวลาที่เหมาะสม กล้วยไม้ ใช้ประดับตกแต่งบ้านเรือน เชื่อกันว่าช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ได้

    5. ดอกเยวี่ยจี้(??)หรือกุหลาบจันทร์ เป็นดอกไม้โบราณที่ชาวจีนนิยมปลูกทั่วไป สามารถแบ่งชนิดตามขนาดดอกออกได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่ เซี่ยนไต้แยวี่ยจี้(????)เฟิงฮวาเยวี่ยจี้(????)เถิงเปิ่นเยวี่ยจี้(????)และ เวยสิงเยวี่ยจี้(????) ชื่อของดอกเยวี่ยจี้ (ฤดูเดือน) ชวนให้นึกกระหวัดถึงความหมายว่าเป็นดอกไม้ที่เบ่งบานได้ทุกเดือนตลอดฤดูกาลทั้งสี่ ดอกเซี่ยนไต้เยวี่ยจี้เป็นพันธุ์ที่ผสมจากดอกเยวี่ยจี้ที่มีขนาดดอกเล็กกับพันธุ์กุหลาบหิน(??)ที่มีขนาดดอกใหญ่ของยุโรป ช่วงเวลาออกดอกบานมากที่สุดอยู่ที่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน เถิงเปิ่นเยวี่ยจี้มีลักษณะเป็นไม้เลื้อย ตัวดอกค่อนข้างใหญ่ เฟิงฮวาเยวี่ยจี้มีดอกขนาดกลาง ช่วงเวลาออกดอกอยู่ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมกระทั่งถึงเดือนตุลาคม ส่วนเวยสิงเยวี่ยจี้มีลักษณะลำต้นเตี้ย ดอกขนาดเล็ก บานตลอดทั้งปี เหมาะแก่การปลูกในกระถางใประดับไว้ในอาคาร ขยายพันธุ์โดยการปักชำและทาบกิ่ง ดอกเยวี่ยจี้สามารถนำมาทำเป็นหัวเชื้อน้ำหอม ใช้รับประทาน หรือทำเป็นสารให้กลิ่นหอมในเครื่องสำอางได้ ตัวดอกเข้ายาจีน มีสรรพคุณทำให้เลือดลมไหลเวียนดี และกระจายเลือดคั่งบริเวณรอยฟกช้ำต่างๆ ได้

    6. ดอกตู้เจวียน(??,ต้นนกแขกเต้า) จัดอยู่ในประเภทไม้พุ่มเตี้ยใบเขียว เป็นดอกไม้ที่นิยมว่ามีความงดงาม ข้อมูลที่ไม่เป็นทางการ ระบุว่ามีสายพันธุ์มากกว่า 800 ชนิด แต่อย่างไรก็ดี ในประเทศจีนก็พบว่ามีเพียงประมาณ 650 ชนิด ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศจีนนำเข้าตู้เจวียนจากประเทศตะวันตกเป็นจำนวนมาก ลักษณะลำต้นของตู้เจวียนทางตะวันตกมีต้นเตี้ย กลีบดอกถี่ สีดอกหลากหลาย เหมาะแก่การเพาะปลูกในกระถางไว้ในอาคาร ระยะเวลาออกดอกตรงกับช่วงเทศกาลตรุษจีนหรือปีใหม่ของจีนพอดี จึงได้รับความนิยมอย่างมากจากบรรดาผู้รักดอกไม้ของจีน ต้นตู้เจวียนอากาศอบอุ่นในที่ร่ม ชอบดินเปรี้ยวที่มีซากเน่าเปื่อย ขยายพันธุ์โดยการปักกิ่ง ตอน หรือทาบกิ่ง การปลูกในเรือนเพาะ ต้องควบคุมเรื่องน้ำและดินในกระถาง หากดินแห้งเกินไปหรือแฉะเกินจะทำให้ใบร่วง ดอกตู้เจวียนใช้เข้ายาสมุนไพรจีนได้

    7. ดอกบัว(??) เป็นไม้น้ำที่เป็นที่นิยมที่สุดของชาวจีน มีประวัติการเพาะปลูกมายาวนาน ลำต้นอวบใหญ่ มีทั้งแบบใบแผ่ลอยน้ำและทั้งแบบชูบนก้าน กลีบดอกมีทั้งที่เป็นกลีบเดี่ยวและกลีบซ้อน ส่วนดอกก็มีหลากหลายสี เช่น สีแดงสด สีเหลือง สีขาว รวมทังที่มีหลายสีผสมในดอกเดียว ใช้ปลูกประดับตกแต่งทัศนียภาพทางน้ำ ช่วงเวลาออกดอกราวเดือนกรรกฏาคม เพาะขยายพันธุ์โดยเมล็ดหรือราก ประโยชน์ของบัวใช้รับประทานเม็ดกับราก ใส้เม็ดบัวใช้ทำยา มีสรรพคุณแก้ร้อนในและช่วยจิตใจชุ่มชื่น

    8. ดอกชา(??)ดอกชาอันโอ่อ่า ถือเป็น “ดอกไม้ที่บอบบางที่สุดในบรรดาดอกไม้ทั่วไป” ต้นเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี ดอกบานในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ มีสีแดง ชมพูและขาว ตัวดอกคล้ายดอกโบตั๋น มีทั้งกลีบดอกชั้นเดียวและกลีบซ้อน ดอกชาจัดอยู่ในตระกูลชาภูเขา ซึ่งถือเป็นไม้พุ่มเตี้ยหรือไม้สูงชนิดใบเขียว ตัวใบเป็นใบคู่ รูปกลมรี มีความมันวาว ดอกชาที่ปลูกแถบมณฑลยูนนาน มณฑลเสฉวน และเขตพื้นที่ทางภาคใต้ของจีนส่วนใหญ่ล้วนใช้ประดับตกแต่งสวนให้มีความเขียวชอุ่มน่ามอง แต่ทางเหนือนิยมปลูกในกระถาง ในที่ร่ม ดอกชาชอบอากาศอบอุ่นและชุ่มชื้น ฤดูร้อนควรอยู่ในที่ร่ม ชอบดินเปรี้ยว ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ปักกิ่ง และทาบกิ่ง หากต้องการให้ดอกบานช่วงเทศกาลตรุษจีน ให้เพิ่มแสงและอุณหภูมิความร้อนให้มากกว่าสภาพอากาศช่วงต้นเดือนธันวาคม ควบคุมให้อยู่ในอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ประมาณ 40 วันก็ออกดอกได้ แต่หากต้องการยืดช่วงเวลาออกดอกไป ให้นำกระถางต้นกล้าไปวางไว้ในห้องเย็นควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ประมาณ 2 – 3 องศาเซลเซียส ดังนั้น หากต้องการให้ดอกบานช่วงวันแรงงาน ก็ต้องเร่งเพิ่มอุณหภูมิล่วงหน้า 40 วัน

    9. ดอกกุ้ยฮวา(??)โดยทั่วไปดอกกุ้ยฮวาจะบานช่วงก่อนหลังการเฉลิมฉลองวันชาติจีน เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคลและสุขสมปรารถนา เป็นไม้สูง ยืนต้น ใบเขียวตลอดปี พื้นที่แถบทางใต้ของจีนนิยมปลูกในสวน เพื่อความเขียวชอุ่มและแลดูสวยงาม แต่ทางเหนือนิยมปลูกในกระถางในที่ร่ม ชนิดของกุ้ยฮวามีมากมาย แต่ที่นิยมเพาะเลี้ยงมี 4 ชนิด ได้แก่ จินกุ้ย(??ดอกสีเหลืองทอง) อิ๋นกุ้ย(??ดอกสีขาวเหลือง) ตันกุ้ย(??ดอกสีแดงส้ม) และ ซื่อจี้กุ้ย(???ดอกสีขาวน้ำนม)ขยายพันธุ์โดยการทาบกิ่ง ดอกกุ้ยฮวาเป็นพืชที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจสูงมาก นำมาสกัดเป็นสารให้ความหอม และยังสามารถนำมาอบใช้ทำเป็นชาดอกไม้ได้

    10. ดอกสุ่ยเซียน(??)หรือดอกแดฟโฟดิล เป็นดอกไม้ที่นิยมชมชื่นกันในหมู่ชาวจีนมายาวนานในประวัติศาสตร์จีน มีกลีบใหญ่ รูปลักษณะงดงาม ดอกดก กลิ่นหอมจรุงใจ โดยทั่วไปมักปลูกไว้ชมดอกในฤดูหนาว สามารถปลูกได้ทั้งในน้ำและในกระถาง ชนิดที่คนนิยมปลูกและพบเห็นได้บ่อยคือ “จินจ่านอิ๋นไถ”(????)ชนิดกลีบเดี่ยวและ “อวี้หลิงหลง” (???)ชนิดกลีบซ้อน ใบและก้านที่มีรูปทรงงามสง่าาม และกลิ่นที่หอมจรุงใจของของสุ่ยเซียน ทำให้นิยมนำไปประดับไว้ตามห้องหับในบ้านเรือน เพิ่มความสดใสมีชีวิตชีวา ก้านและใบของสุ่ยเซียนมีพิษอ่อน หากหลงรับประทานจะมีผลทำให้เป็นตะคริว ก้านและตานำมาตำละเอียดใช้พอกทารักษาแผลเน่าเปื่อย พุพอง และบวมได้






    บทเรียนที่ 2 มารยาทบทโต๊ะอาหาร

    งานสังคม หรืองานเลี้ยงอาหารในโอกาสต่าง ๆ เป็นสิ่งที่จะหลีกเลี่ยงเสียมิได้ ในชีวิตประจำวันของชนชั้นสูง ทั้งการเป็นแขกรับเชิญ และการเป็นเจ้าภาพ แบบธรรมเนียมปฏิบัติของแขกรับเชิญงานรับประทานอาหาร แต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกันบ้าง แต่โดยพื้นฐานแล้วมารยาทในโต๊ะอาหารมีมาตรฐานสากล เพื่อให้รับประทานอาหารได้สะดวกโดยไม่รบกวนหรือทำให้ผู้ร่วมโต๊ะคนอื่นต้องขัดเขิน ซึ่งมีแนวทางดังนี้

    ก่อนเข้าโต๊ะอาหาร

    - เจ้าภาพ จะทักทายกับแขกทุกท่าน และตรวจสอบยอดแขกรับเชิญ
    - แขกจะได้ทักทายพูดคุยซึ่งกันและกัน และตรวจสอบที่นั่ง ณ โต๊ะอาหารจากผังที่นั่ง
    - ท่านที่เป็นชายจะมีหน้าที่นำแขกสุภาพสตรีที่นั่งด้านขวาเข้าโต๊ะ ในกรณีนี้ควรจะหา โอกาสให้เจ้าภาพแนะนำท่านให้รู้จักกับสุภาพสตรีที่นั่งด้านขวาท่านหรือหาโอกาสเข้าไปแนะนำตนเองก่อน เข้าโต๊ะอาหาร
    - ควรมางานเลี้ยงให้ตรงเวลาตามบัตรเชิญ นำของฝากมาให้เจ้าภาพนับเป็นการแสดงออกที่ดี ของฝากอาจเป็นดอกไม้ ไวน์ ซ็อกโกแลต หรืออะไรก็ได้ที่ เหมาะสม ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินมาไม่ได้หรือมาช้า จะต้องโทรศัพท์แจ้งเจ้าภาพเพื่อให้เจ้าภาพได้แก้ปัญหาทันเวลา
    - เจ้าภาพ (ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าภาพฝ่ายชาย) จะเชิญให้แขกดื่ม แขกจะเริ่มดื่มได้ในทันทีที่ได้รับแก้ว เมื่อบริกรเวียนมาบริการเครื่องดื่มเพิ่มเติม ท่านอาจรับหรือปฏิเสธก็ได้ตามความเหมาะสม เมื่อเจ้าภาพเชิญเข้าห้องรับประทานอาหาร ควรวางแก้วและเดินเข้าไปประจำเก้าอี้ตามผังการนั่ง ไม่ ควรนำเครื่องดื่มจากการเลี้ยงรับรองก่อนอาหารมาที่โต๊ะอาหาร

    การเข้าโต๊ะอาหาร

    - แขกรับเชิญไม่ควรจะนั่งจนกว่าเจ้าภาพฝ่ายหญิงและแขกผู้มีเกียรติจะนั่งแล้ว หรือเจ้าภาพฝ่ายชายเชิญให้นั่ง สุภาพบุรุษควรช่วยสุภาพสตรีด้านขวาเข้านั่งก่อนที่ตนจะเข้านั่ง
    - ในการนั่งควรพยายามนั่งตัวตรงโดยวางมือบนตักหรือวางเบาๆ บนโต๊ะ แต่ไม่ควรวางข้อศอกบนโต๊ะ เพราะอาจเผลอกดโต๊ะพลิกได้ และยังทำให้ผู้อยู่ซ้ายและขวาของท่านพูดคุยกันไม่สะดวก
    - เวลานั่งโต๊ะควรเลื่อนเก้าอี้ให้ตัวท่านชิดกับโต๊ะมากที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องก้ม การนั่งควรนั่งหลังตรง เวลารับประทานอาหารอาจโน้มตัวมาเหนือจานเล็กน้อย
    - เมื่อนั่งแล้วควรหยิบผ้าเช็ดปากที่อยู่ด้านซ้ายหรือตรงกลางมาคลี่พาดบนหน้าตักโดยรอปฏิบัติหลังเจ้าภาพ ปกติผ้าเช็ดปากจะวางด้านซ้ายในงานไม่เป็นทางการและจะวางตรงกลางสำหรับงานเป็นทางการ ในสังคมตะวันตกมักจะมีการกล่าวขอบคุณพระเจ้าก่อนรับประทานอาหาร การคลี่ผ้าเช็ดปากจึงควรรอจังหวะโดยดูเจ้าภาพเป็นหลัก
    - หลังจากกล่าวขอบคุณพระเจ้าแล้ว ควรคลี่ผ้าเช็ดปากโดยให้อยู่ในสภาพพับครึ่งและวางขวางบนตัก จะไม่ใช้เหน็บกับเอวหรือคอเสื้อ (วิธีเช็ดปาก : คลี่มุมผ้าแยกออกจากกันพอสมควรแล้วซับที่ริมฝีปาก ใช้แล้ว พับกลับอย่างเดิมวางไว้บนตัก ผู้นั่งใกล้เคียงจะไม่เห็นรอยเปื้อนที่เราเช็ด เพราะรอยเปื้อนจะอยู่ด้านในของผ้า เช็ดปาก) ถ้าจำเป็นต้องไอหรือจาม ให้ใช้ผ้าเช็ดปากปิดปากหรือจมูก และหันหน้าออกจากโต๊ะอาหารก่อนไอ หรือจาม อย่าสั่งน้ำมูก ขากเสลด หรือถ่มน้ำลาย ลงผ้าเช็ดปาก
    - หลังการรับประทานอาหารเสร็จสิ้น ถ้าเป็นภัตตาคารให้วางผ้าเช็ดปากบนโต๊ะโดยไม่ต้องพับ ถ้าเป็น บ้านเจ้าภาพ ให้พับสี่และวางบนโต๊ะ ซึ่งถือว่าสิ้นสุดการรับประทานอาหารด้วย อย่างไรก็ตามห้ามม้วนผ้าเช็ด ปากเป็นก้อนหรือขยำไว้บนโต๊ะ

    อุปกรณ์ในการรับประทานอาหาร

    อุปกรณ์ในการรับประทานอาหารตะวันตก จะใช้ ส้อมและมีด เป็นหลัก ซึ่งมักจะเรียกว่าเครื่องเงิน (Silverware หรือ Flatware) เพราะเดิมจะทำจากเงิน sterling เครื่องเงินหรือช้อนส้อมมีด จะจัดวางตามลำดับการใช้งาน คือ ตามรายการอาหารที่จะเสิร์ฟ ถ้าอาหารมีหลายรายการ เครื่องเงินย่อมมีมากจนอาจมองดูแล้วน่าสับสน แต่โดยหลักการแล้วจะมีมีด ไม่เกิน 3 เล่ม และส้อมไม่เกิน 3 คัน ไม่ว่าจะเป็นงานเป็นทางการระดับใดก็ตาม ซึ่งถ้าจำเป็นต้องใช้มากกว่านั้น บริกรจะนำมาเพิ่มเติมตามความจำเป็นพร้อมกับอาหารนั้นๆ

    1. เลือกใช้จากด้านนอกสุดของจานเข้าหาด้านใน (ทั้งซ้ายและขวา) นั่นคือสิ่งแรกที่ท่านต้องใช้คือ ช้อนคันนอกสุดจากด้านขวา หรือส้อมคันนอกสุดจากด้านซ้ายร่วมกับมีดเล่มนอกสุดจากด้านขวา
    2. มีดและช้อน จะอยู่ด้านขวาของจาน และส้อมอยู่ด้านซ้าย ช้อนส้อมสำหรับของหวานจะวาง ถัดไปทางด้านบนของจาน ซึ่งจะ ใช้เป็นอันดับท้ายสุด
    3. เครื่องเงินควรใช้นำอาหารเข้าปาก ไม่ใช่ก้มปากมารับอาหาร อย่าแกว่งมีดส้อมประกอบการ สนทนา หากต้องใช้มือประกอบท่าทางในการสนทนาควรวางช้อนส้อมเสียก่อน หากสงสัยถึงความเหมาะสม ในการใช้เครื่องเงินขอให้ประวิงเวลาและดูจากเจ้าภาพเป็นหลัก

    ธรรมเนียมการใช้เครื่องเงิน มี สองแบบ คือ แบบอเมริกัน และแบบยุโรป

    - แบบยุโรปจะไม่มีการสลับส้อมมาถือมือ ขวา การนำอาหารเข้าปากจะใช้ส้อมในมือซ้ายเท่านั้น ธรรมเนียมเดิมจะต้องใช้ส้อมคว่ำ
    - ในปัจจุบันสามารถใช้ทั้งส้อมคว่ำและหงาย นำอาหารเข้าปาก เช่น ถ้ารับประทานข้าวหรือถั่วอาจหงายส้อมขึ้นและใช้มีดช่วยปาด อาหารให้ขึ้นไปอยู่บนส้อม (โดยปาดจากตัวออกไปหรือปาดขึ้นทางด้านในของส้อม เพื่อ มิให้ข้อศอกกางออก ไปกระทบคนข้างๆ ) ไม่ว่ากรณีใดก็ตามจะไม่มีการใช้มีดนำอาหารเข้าปากโดยเด็ดขาด ทั้งนี้แบบยุโรปได้รับการยอมรับว่าสุภาพกว่าและควรใช้เป็นหลัก
    - วิธีที่ตัดอาหารเป็นชิ้น ๆ พอดีคำไว้มาก ๆ แล้วจึงใช้ส้อมจิ้มรับประทานด้วยมือขวาติดต่อกันไป ในบางโอกาสก็เป็นการรับประทานที่ ดูรีบร้อนรวดเร็วเกินไป ควรค่อยตัด ค่อยรับประทานเรื่อย ๆ ไปจะงามกว่า
    - ช้อน จะถือในมือขวาในลักษณะเดียวกันกับที่ถือส้อมในมือขวาโดยทั่วไป (ยกเว้นของหวาน) อาหารตะวันตกจะมีเฉพาะช้อนซุป ซึ่งในการรับประทานซุป จะยกรับประทานจากข้างช้อน โดยจะไม่นำทั้งช้อนเข้า ปากโดยเด็ดขาด เวลารับประทานซุปนี้ควรยกช้อนมาที่ปากอย่าก้มตัวให้ปากใกล้ชามซุป ถ้าซุปร้อนมาก อาจใช้การคนหรือเป่าเบาๆ เวลาตักซุปควรตักออกจากตัวโดยตักที่ผิวหน้าของซุป และแตะก้นช้อนกับขอบชามซุปด้านไกลตัว เพื่อลดการหยดและเปรอะเปื้อนเวลานำซุปเข้าปาก การรับประทานซุปนี้จะเป็นลักษณะเทเข้าปาก ไม่ใช้การดูดจากช้อน การตักซุปก้นชามให้จับชามตะแคงออกด้วยมือซ้าย และใช้ช้อนตักตามปกติ เมื่อรับประทานซุปเสร็จแล้ว ให้ยกช้อนซุปมาวางที่ขอบจานรองชามซุป อย่าวางทิ้งไว้ในชามซุป
    - ช้อนของหวาน มักจะมีส้อมของหวานวางคู่กันถัดไปทางด้านบนของจาน ควรใช้ทั้งช้อนและส้อมในการรับประทานของหวาน หรืออาจใช้ส้อมอย่างเดียวก็ได้ แต่ไม่ควรใช้ช้อนของหวานอย่างเดียว สำหรับของหวานที่เสิร์ฟในถ้วยหรือจานเล็กๆ จะใช้ช้อนชาในการรับประทาน ช้อนชาที่ใช้กับถ้วยชา กาแฟ หลังจากใช้เสร็จแล้วควรวางในจานรองถ้วยชา/กาแฟ อย่าวางบนโต๊ะซึ่งจะทำให้ผ้าปูโต๊ะเปรอะเปื้อน แต่ถ้ากาแฟถูกเสิร์ฟในถ้วย MUG (ถ้วยใหญ่ไม่มีจานรอง) อาจวางช้อนกาแฟคว่ำบนจานขนมปังหรือจาน DINNER ได้
    - มีดเนย จะอยู่ในจานขนมปังด้านซ้าย และจะใช้สำหรับทาเนยบนขนมปังแต่ละชิ้นที่จะรับประทาน การตัดเนยจากจานกลางมาไว้บนจานขนมปังของท่าน ให้ใช้มีดเนยใหญ่ในจานเนยกลางเท่านั้น การทาเนยบน ขนมปังนั้นจะต้องใช้มีดเนยอย่างเดียวอย่าใช้มีดเนื้อหรือมีดปลา
    - ส้อมสลัด จะมาคู่กับมีดสลัด ตำแหน่งในการวางจะขึ้นอยู่กับว่า สลัดจะเสิร์ฟก่อนหรือหลังอาหารหลัก
    - มีดปลา จะเป็นมีดปลายมน ไม่มีสันคม เหมาะแก่การเลาะก้างปลาและรับประทานปลา

    ระหว่างนั่งโต๊ะอาหาร มีข้อพึงปฏิบัติและข้อพึงระวังเพิ่มเติมพอสังเขป ดังนี้

    - เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ไม่ควรจับต้องเครื่องเงินเล่นหรือพลิกจานชามเพื่อดูยี่ห้อ
    - ฝ่ายชายมีหน้าที่ดูแลคนที่นั่งด้านขวามือเป็นหลัก ทั้งในการบริการส่งต่อหรือในการสนทนา ตลอดระยะเวลาที่นั่งอยู่ในโต๊ะอาหาร แต่ก็ไม่ควรละเลยบุคคลด้านซ้าย
    - โดยปกติในโต๊ะรับประทานอาหารจะมีแก้ววางอยู่ทางขวามือ 3-4 ใบ ใบแรกจะใช้ดื่มไวน์ขาว นิยมรับประทานคู่กับปลา ใบถัดไปใช้กับไวน์แดงนิยมรับประทานคู่กับเนื้อ ใบที่สามจะเป็นแก้วน้ำเย็น และในกรณีที่มีใบที่ 4 จะเป็นแก้วแชมเปญ การใช้แก้วหรือจัดลำดับแก้วตามที่กล่าวนี้ คือเรียงจากนอกเข้าใน เช่นเดียวกับการใช้มีดหรือส้อม
    - หากต้องการเกลือ พริกไทย หรือของส่วนกลางบางอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะแต่หยิบไม่ถึง ให้ใช้วิธี ขอให้ส่งผ่าน ไม่ควรใช้การเอื้อมหรือลุกขึ้นยืนหยิบ เมื่อใช้เสร็จแล้วควรส่งต่อเวียนขวา ถ้าเป็นการส่งต่อ เกลือ พริกไทย ควรส่งต่อพร้อมกัน
    - เครื่องเคียงทุกอย่างรวมถึงผักดองควรวางไว้ข้างจาน และตักแบ่งใส่อาหาร ทีละคำ จะมีเฉพาะเนยแข็งบด พริกไทย เกลือ ที่จะโรยบนอาหารทั้งจานโดยตรง พึงหลีกเลี่ยงการขออะไรที่ไม่ ได้เตรียมไว้บนโต๊ะเพราะเท่ากับเป็นการต่อว่าเจ้าภาพว่าเตรียมโต๊ะไม่พร้อม และถ้าเจ้าภาพไม่มี เจ้าภาพจะยิ่ง ไม่สบายใจ
    - อย่าใส่เครื่องปรุงอาหารก่อนชิม เพราะเป็นการดูถูกว่ารสอาหารที่ปรุงมาไม่พอดี ควรชิมอาหารเสีย ก่อนจึงค่อยเติมเครื่องปรุงอาหาร
    - อย่านำเครื่องปรุงส่วนตัว เช่น น้ำปลา พริกป่น ไปในงานเลี้ยงรับประทานอาหาร
    - การรับประทานอาหารให้หมดจานเป็นการแสดงออกถึงความอร่อยของอาหาร และเป็นการ ให้เกียรติแก่เจ้าภาพ ไม่ควรที่จะจงใจเหลืออาหารไว้ในจาน หรือตักมากเกินไปจนเหลือมากแสดงถึงความ ฟุ่มเฟือย ไม่มัธยัสถ์
    - ถ้ามีอาหารบางอย่างที่รับประทานไม่ได้ (เช่น เพราะแพ้อาหาร นั้น) ควรแจ้งเจ้าภาพตั้งแต่ ตอนตอบรับคำเชิญ แต่หากทำไม่ได้ควรเลือกรับประทานอย่างอื่นในจาน และหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ หรือถ้าเป็นแบบเสิร์ฟ ท่านสามารถตักของที่แพ้เพียงแต่น้อย และตักอย่างอื่นเพิ่มขึ้นชดเชย การปฏิเสธ WINE ไม่ถือว่าเป็นการผิดมารยาทแต่ประการใด
    - ไม่ควรคุยเสียงดังหรือคุยข้ามโต๊ะ โดยเฉพาะหัวโต๊ะและท้ายโต๊ะ ควรจะคุยระหว่างคนข้างเคียง
    - หลังจากได้รับบริการอาหารแล้ว อย่าส่งต่ออาหารให้ผู้อื่น เพราะการเสิร์ฟอาหารเป็นหน้าที่ ของบริกร
    - การดื่มน้ำควรใช้ผ้าเช็ดปากซับปากเสียก่อนเพื่อป้องกันคราบอาหารติดที่ขอบแก้ว
    - อย่าแลกอาหารหรือแบ่งอาหารบางส่วนของตนให้ผู้อื่นแม้จะอยู่ในโต๊ะอาหารเดียวกัน
    - ไม่ควรใช้ไม้จิ้มฟันในโต๊ะอาหาร
    - ไม่เรียกเครื่องดื่มที่ตนชอบมารินอีกเมื่ออาหารและเครื่องดื่มชุดนั้นผ่านไปแล้ว
    - กิริยาอาการบางอย่างในการรับประทานอาหารเป็นสิ่งที่ไม่สุภาพ เช่น การพูดในระหว่างมีอาหารเต็มปาก การทำเสียงในระหว่างเคี้ยวหรือกลืน การรับประทานอาหารคำใหญ่เกินไป หรือการเรอเสียงดัง
    - ในระหว่างการรับประทานอาหาร หากสุภาพสตรีด้านขวามือลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะต้องรีบลุกขึ้นและเลื่อนเก้าอี้ให้สุภาพสตรีผู้นั้น หากท่านมีกิจธุระจำเป็นจะต้องลุกจากโต๊ะ ควรขอโทษเจ้าภาพ ก่อนลุกขึ้นไปทำธุระ
    - การพักระหว่างรับประทานอาหารให้วางเครื่องเงินบนจาน ส้อมและมีดควรวางทำมุมกันประมาณ 100 องศา โดยคว่ำส้อมและหันคมมีดไปทางซ้าย อย่าวางกับผ้าปูโต๊ะ หรือ รวบส้อมมีดซึ่งหมายถึงการอิ่มคอร์สนั้น

    ลำดับการเสิร์ฟอาหาร

    โดยทั่วไป จะเป็นตามขั้นตอน คือ ขนมปังและเนย ซุป สลัด อาหารจานหลัก ของหวาน ชา/กาแฟ

    ขนมปังและเนย

    จานขนมปังจะอยู่ด้านซ้ายของผู้นั่งและบนจานจะมีมีดเนยรูปทรงแบบปลายมน ใช้สำหรับตักเนยใน จานเพื่อทาขนมปังแต่ละชิ้นก่อนรับประทาน บริกรจะเสิร์ฟขนมปังรายบุคคลหรือวางตะกร้าขนมปังบนโต๊ะ ในกรณีที่เสิร์ฟรายบุคคล บริกรจะนำตะกร้ามาบริการทางซ้าย ท่านจะชี้หรือระบุว่าต้องการขนมปังใด (ถ้ามีให้ เลือก) ซึ่งบริกรจะตักวางบนจานขนมปังของท่าน ถ้าเป็นตะกร้าขนมปังให้ใช้ที่คีบหรือมือหยิบขนมปังที่ ต้องการวางบนจานขนมปังของท่าน พึงหลีกเลี่ยงการบีบหรือคลำขนมปังในตะกร้า (เพื่อตรวจสอบความนิ่ม หรือแข็ง) ชิ้นใดที่จับแล้วควรหยิบมารับประทาน การตักเนยจากเนยจานกลาง (นอกจากในกรณีที่ท่านเลือก GARLIC BREAD ซึ่งทาเนยและกระเทียมพร้อมแล้ว) ท่านจะต้องตักเนยจากเนยจานกลาง โดยทั่วไปเนยจานกลางจะจัดเป็นเนยก้อนๆ รูปสี่เหลี่ยม, เปลือกหอย ฯลฯ และมีมีดเนยกลางอยู่ ท่านจะใช้มีดเนยกลางตักเนยมาวางบนจานขนมปังของท่านก่อน หลังจากนั้นจึงจะใช้มีดเนยตนเองทาเนยบนขนมปัง อย่าตักเนยจากจานเนยกลางมาทาขนมปังโดยตรง มารยาทในการรับประทานขนมปังกับเนยคือ ทานเป็นคำ ดังนั้นท่านจะต้องฉีกขนมปังเป็นชิ้นพอดีคำก่อนและจึงทาเนยก่อนรับประทาน อย่ารับประทานโดยการกัดขนมปังนั้น โดยมารยาททั่วไปไม่ควรนำขนมปังมาเช็ดน้ำเกรวี่หรือน้ำซ้อสในจานอาหารหลัก (ENTREE) แต่ในบางประเทศ เช่น อิตาลี การนำขนมปังมาเช็ดซ้อส ถือว่าเป็นการให้เกียรติ แสดงความอร่อยจนหยุดสุดท้ายของน้ำซ้อส (พ่อครัวอาจออกมากอดท่านขอบคุณในการให้เกียรติอย่างสูง)

    ซุป

    เมื่อบริกรเสิร์ฟซุปแล้ว จะต้องรีบรับประทาน เพราะซุปจะเย็น และในการเสิร์ฟอาหารเป็นคอร์สนั้น บริกรจะรอแขกคนสุดท้ายรับประทานอาหารคอร์สนั้นๆ เสร็จแล้วจึงยกออก พึงหลีกเลี่ยงการ บิขนมปังจากจานขนมปังลงในซุป สำหรับซุปที่ควรมีขนมปังบิใส่ เช่น CLAM CHOWDER จะมีบริการขนมปังพิเศษเหมาะแก่การใส่ลงในซุปโดยบริกร หรือมีการจัดวางมาเป็นเครื่องเคียงซุปในจานรองซุปให้
    โดยทั่วไปผู้รับเชิญจะต้องรอจนอาหารแต่ละคอร์สได้วางตรงหน้าทุกคน และเจ้าภาพเชิญให้เริ่มรับประทานจึงจะรับประทาน แต่ในงานเลี้ยงใหญ่ เจ้าภาพฝ่ายหญิงอาจเชิญให้รับประทานทันทีที่ได้รับเสิร์ฟเพื่ออาหารจะได้ไม่เย็น ในกรณีนั้นควรรอให้พร้อมรับประทาน 3-4 คน ก่อน จึงเริ่มรับประทาน
    ซุบบางประเภท เช่น ซุปใส (CONSOMME) ที่เสิร์ฟในถ้วยมีหูสองข้าง สามารถจับหูทั้งสองยก รับประทานได้ นอกนั้นควรใช้ช้อนซุปในการรับประทาน ถ้าซุปเสิร์ฟในจานใหญ่ ให้วางช้อนไว้ในจานเมื่ออิ่มแล้วถ้าเสิร์ฟในถ้วยให้วางช้อนในจานรอง

    สลัด

    โดยส่วนมากแล้วสลัดผักในงานเลี้ยงรับประทานอาหารค่ำอย่างเป็นพิธีการ จะจัดมาแล้วทั้งชุด สลัด DRESSING และเนื้อ (ปู,ปลา,ไก่,กุ้ง,เนื้อ ฯลฯ) หากไม่นิยมหรือไม่ถูกกับประเภทเนื้ออาจเลือก รับประทานเฉพาะผัก และเหลือส่วนที่รับประทานไม่ได้ไว้ในจาน (ในบางวัฒนธรรม เช่น ฝรั่งเศส อาจนิยมสลับเสิร์ฟสลัดหลังอาหารหลัก)

    อาหารหลัก (ENTRÉE)

    หลังจากบริกรเก็บจานสลัดเรียบร้อยแล้ว จะทำการเสิร์ฟอาหารหลักซึ่งการเสิร์ฟอาจเสิร์ฟเป็นจาน (PLATE) หรือเสิร์ฟแบบจานเปล (PLATTER) ในการเสิร์ฟเป็นจานจะเสิร์ฟเป็นรายบุคคล โดยบริกรจะยก เสิร์ฟเข้าด้านซ้าย เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็เริ่มรับประทานได้ ในกรณีหลังเช่น การเสิร์ฟปลา บริกรจะนำจานเปลอาหารใช้เลือกรับประทานโดยเข้าทางด้านซ้าย แขกจะใช้ช้อนและส้อมใหญ่ในจาน เปลนั้น นำอาหารจากจานเปลมาไว้ที่จานตนเอง โดยทั่วไปอาหารจะหั่นเป็นชิ้นมาเรียบร้อยแล้วในจานเปล แต่ ถ้าไม่ได้หั่นก็สามารถใช้ช้อนใหญ่หั่นได้ สำหรับจานเปลที่เสิร์ฟอาหารประเภทผัก ช้อนตัก จะมีร่องเพื่อไม่ให้ส่วนประกอบที่เป็นของเหลวหยดเปรอะเปื้อนตอนตักใส่จาน การจับช้อนและส้อมเสิร์ฟนั้น
    ในกรณีที่อาหารหลักเป็นปลา มีดที่เจ้าภาพจัดให้จะเป็นมีดปลา ซึ่งมีปลายมนไม่มีสันคมเหมาะแก่การ เลาะก้างปลาและรับประทานปลา ซึ่งจะวางถัดจากมีดสลัดเข้ามา

    การเติมอาหารครั้งที่สอง

    เคยมีกฎว่าในการเลี้ยงอาหารแบบนั่งโต๊ะจะไม่มีการเติมครั้งที่สอง แต่ปัจจุบันเปลี่ยนไปตามลักษณะ และปริมาณของอาหาร มีเจ้าภาพจำนวนมากที่เสนออาหารให้เติมครั้งที่สอง เมื่อแขกได้รับการเสนอ ไม่ควรอายที่จะตอบรับ เพราะแสดงถึงความเอร็ดอร่อยของอาหารซึ่งถือเป็นการเยินยอเจ้าภาพ (โดยเฉพาะถ้าเจ้าภาพ ทำอาหารเอง) แต่หากอิ่มสามารถปฏิเสธได้ตามสบาย
    เมื่อรับประทานอาหารจานหลักเรียบร้อยแล้ว ให้รวบส้อมและมีดโดยหันคมมีดไปทางซ้าย ส้อมหงายขึ้น และวางเป็นแนวดิ่งกึ่งกลางของจาน บริกรจะเก็บจานจากทางขวาของผู้นั่ง

    กาแฟ

    ในการเสิร์ฟกาแฟ บริกรจะนำชาและกาแฟมาเสิร์ฟ โดยกาแฟจะอยู่ในภาชนะเงินขัดมันทรงสูง (ถ้าเป็นชาจะอยู่ในภาชนะทรงป้อม) การเติมน้ำตาลหรือครีมพึงใช้อุปกรณ์ที่จัดไว้นั้นคือใช้ปากคีบน้ำตามหรือช้อนน้ำตาลตักน้ำตาลและเทครีมใส่ถ้วยจากภาชนะเสิร์ฟ การคนกาแฟ ให้ใช้ช้อนชาของตนเอง ห้ามใช้ช้อนชาตักกาแฟมาชิม เมื่อคนเสร็จแล้วให้วางช้อนชาลงบนจานรอง อย่าทิ้งไว้ในถ้วย การดื่มให้ใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือจับที่หูถ้วย และยกขึ้นดื่ม โดยระวังไม่ให้มีเสียงดัง หากร้อนเกินไปให้คอย อย่าเป่า (โดยปกติเจ้าภาพจะไม่เสิร์ฟชาหลังอาหารค่ำ ยกเว้นจะได้รับการร้องขอจากแขกเป็นกรณีพิเศษ)

    อาหารอื่นนอกจากอาหารหลัก

    ธรรมเนียมแบบ ฝรั่งเศส เจ้าภาพจะจัดให้เสิร์ฟสลัดผักอยู่หลังอาหารจานหลัก นอกจากนั้นแล้วยังมีอาหารอีก 2-3 คอร์สที่ท่านอาจจะพบในงานเลี้ยง แบบตะวันตก คือ

    - Hors d’oeuvre ก็คืออาหารเรียกน้ำย่อย หรือใน MENU บางร้านอาหารเรียกว่า APPETIZER โดยทั่วไป แล้วจะเป็นอาหารจานไม่ใหญ่ และมักจะอร่อยเป็นพิเศษเพื่อเรียกน้ำย่อย เช่น SHRIMP COCKTAIL, SMOKED SALMON, OYSTERS หรือ CLAM สด
    - Sorbet หรือ Sherbet เป็นไอสกรีมผลไม้ ไม่ใส่นมหรือครีม บางครั้งปรุงรสด้วยสุรา โดยทั่วไปมักจะเสิร์ฟเป็นก้อนเล็กๆ ในถ้วยไอศกรีมก่อนอาหารจานหลัก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคั่นระหว่างอาหารคอร์สต่อ ไปที่จะเสิร์ฟ ให้กระเพาะได้พักผ่อนเล็กน้อย และเพื่อให้มีโอกาสพูดคุยระหว่างรับประทานอาหาร
    - เนยแข็ง หรือ cheese board จะประกอบด้วยเนยแข็งหลายๆ ประเภท โดยบริกรจะนำมาเสิร์ฟเพื่อให้ ผู้รับประทานเลือก เมื่อเลือกแล้วพนักงานจะตัดเนยแข็งเสิร์ฟพร้อมขนมปัง อาจเสิร์ฟก่อนผลไม้หรือหลังของ หวานขึ้นอยู่กับความประสงค์ของเจ้าภาพ

    เทคนิคพิเศษในการรับประทานอาหารชนิดต่างๆ

    โดยทั่วไปแล้ว คอร์สของอาหาร คือ Hors d’ oeuvres, Soup, Salad, Sorbet, Entree, Cheese, Dessert แต่รายละเอียดของอาหารย่อมแตกต่างกันออกไป อาหารบาง อย่างจะมีเทคนิคพิเศษในการรับประทาน

    - เนยแข็ง : ตัดทีละชิ้นเล็กๆ วางบนขนมปังหรือบิสกิต ใช้มือหยิบเข้าปาก บางคนชอบรับประทานขอบของ เนยอ่อน เช่น camembert ซึ่งเป็นความชอบเฉพาะตัว จะเลือกรับประทานหรือไม่ก็ได้

    - ปลา : มีความนิยมที่แตกต่างกันอยู่สองวิธีคือ แล่ปลาก่อนรับประทานหรือตัดรับประทานทีละคำ วิธีหลังถูกต้องกว่า แต่วิธีแรกรับประทานง่ายกว่า แม้ว่าจะมีปัญหาบ้างว่าจะวางก้างไว้ที่ไหน เจ้าของบ้านที่รอบคอบอาจ วางจานเปล่าไว้ให้ข้างๆ ถ้ามีก้างอยู่ในปากให้ใช้มือหยิบออกมาอย่างปกปิดที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ววางไว้ขอบ จาน ในบางโอกาสปลาจะได้รับการเลาะกระดูกและก้างมา เรียบร้อยแล้วเรียกว่า FILLET (without bones)

    - ผลไม้ : ผลไม้ที่มีเมล็ด เช่น เชอรี่ และองุ่น ใช้วิธีรับประทานด้วยมือ ยกมือปิดปากคายเมล็ดใส่ แล้ววาง ไว้ขอบจาน ถ้าในขนมพุดดิ้งมีผลไม้ที่มีเมล็ด คายอย่างไม่เปิดเผยลงในช้อนวางไว้ขอบจาน ถ้าเป็นผลไม้ที่มี เมล็ดโต เช่น พีช ใช้มีดแซะเมล็ดออก ตัดผลไม้เป็นส่วนๆ ด้วยมือแล้วรับประทาน

    - เนื้อ : ใช้มีดต่อเมื่อจำเป็นต้องตัด หรือใช้สำหรับกวาดของในจาน ตามปกติ Roast Beef หรือเสต็ก จะรับประทานโดยใช้ทั้งมีดและส้อม แต่ปลาใช้ส้อมอย่างเดียว

    - หอยแมลงภู่ : บางทีเสิร์ฟพร้อมกับหอยเชลล์ ชาวอังกฤษใช้มือข้างหนึ่งจับเปลือกหอยทีละตัว แล้วใช้ส้อม จิ้มเนื้อเข้าปาก ชาวฝรั่งเศสใช้เปลือกหอยเปล่าตักเนื้อหอยแทนส้อม

    - ถั่ว : มีสองวิธี วิธีแรกคือ ใช้ส้อมจิ้มถั่ว 2-3 เมล็ด แล้วใช้มีดเขี่ยถั่วอีกจำนวนหนึ่งขึ้นไปบนหลังส้อม อีกวิธีหนึ่งคือหงายส้อมขึ้น (ไม่ต้องเปลี่ยนมือ) แล้วตักถั่วโดยใช้มีดช่วยเขี่ยขึ้น เมื่อตัก เข้าปากแล้ววางส้อมคว่ำลงแล้วหงายขึ้นตักต่อไปอีก

    - พุดดิ้ง : ปัจจุบันนิยมรับประทานพุดดิ้งโดยใช้ส้อม แต่ถ้าตัดให้พอคำลำบากก็ใช้ช้อนและส้อม มีข้อยกเว้น สองอย่างคือไอศกรีมและ Sherbet ให้ใช้ช้อนเพียงอย่างเดียว

    - โรลส์ : ใช้มือบิ ไม่ใช้มีดตัดออกเป็นสองส่วน แบ่งเป็นชิ้นพอคำ ทาเนยถ้าต้องการ หยิบเข้าปาก

    - สลัด : ถ้าจำเป็นใช้ได้ทั้งมีดและส้อม

    - หอยทาก หรือเอสคาร์โกต์ (escargots) : เสิร์ฟพร้อมด้วยคีมพิเศษและส้อม 2 ซี่ ใช้มือซ้ายจับคีม คีบเปลือก หอยไว้ให้แน่น และใช้ส้อมจิ้มเนื้อหอยออกมา ถ้ามีขนมปังเสิร์ฟมาด้วย จะใช้ขนมปังกวาดซ้อส กระเทียมที่ เหลือในจาน ก็ถือว่าถูกต้องและเอร็ดอร่อยสำหรับการรับประทานหอยทาก

    - หอยนางรม : จะรับประทานสดๆ โดยใช้ส้อมหอยโดยเฉพาะ ใช้ส้อมจิ้มทั้งตัวและราดด้วยน้ำมะนาวหรือน้ำ ซ้อสค็อกเทล และรับประทานทั้งตัวในคำเดียว อย่าตัดแบ่งหอยนางรมบนเปลือกเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนรับประทานไม่ว่าหอยจะตัวใหญ่เท่าใดก็ตาม

     การกล่าว TOAST

    คำว่า TOAST นั้นมีประวัติอันยาวนานตั้งแต่อดีต ซึ่งในสมัยก่อนนั้นมีการนำขนมปังปิ้ง (TOAST) ใส่ลงในแก้ว BEER หรือเหล้า เมื่อขนมปังเปียกชิ้นขนมปังก็จะจมลงสู่ก้นถ้วย ถ้าในโต๊ะอาหารมีบุคคลใดท้าทาย “TOAST” ความหมายก็คือ เชิญชวนท้าทายดื่มจนหมดแก้วจนถึงชิ้น TOAST
    ในธรรมเนียมปัจจุบัน การดื่ม TOAST จะไม่นิยมดื่มจนหมดแก้ว จะนิยมดื่ม CHAMPAGNE หรือ WINE ในแก้วเพียง 1-2 จิบ (CHAMPAGNE หรือ WHITE WINE เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในการ TOAST ซึ่งกัน และกัน) การที่ดื่ม แต่น้อยก็เพราะการ TOAST มักจะมีต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ครั้ง คือจากการเชิญชวนของ เจ้าภาพ (เจ้าภาพจะเป็นคนกล่าว TOAST แขกเสมอตามธรรมเนียม) และจากการเชิญชวนของแขกผู้ได้รับเกียรติ
    การไม่ดื่ม TOAST ถือว่าผิดมารยาทเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่ดื่มแอลกอฮอล์ สามารถยกแก้วขึ้นแตะ ริมฝีปากพอเป็นพิธีได้
    ถ้าท่านเป็นผู้รับเกียรติในการ TOAST ท่านจะยังคงนั่งในโต๊ะอาหาร บุคคลอื่นที่ดื่มให้แก่ท่าน จะลุกขึ้นยืนให้เกียรติถ้าบุคคลที่ TOAST ให้ท่านซึ่งเป็นผู้ที่มีอาวุโสสูงหรือมีเกียรติยศสูง ท่านอาจจะยืนรับการTOAST แต่ท่านจะไม่ดื่มด้วยเพราะจะเป็นการดื่มให้แก่ตนเอง หลังจากทุกคนที่ดื่มให้แก่ท่านได้นั่งลงแล้ว ท่านอาจยืนและกล่าวขอบคุณพร้อมกับ TOAST ตอบแทนได้ ในกรณีท่านเป็นสุภาพสตรี ท่านอาจใช้วิธีกล่าว TOAST ตอบแทน หรือแค่ยกแก้ว และรับยิ้มรับทราบให้แก่ผู้ให้เกียรติท่านเป็นเชิงขอบคุณ
    โดยทั่วไปการกล่าว TOAST จะกล่าวหลังรับประทานอาหาร อาจเป็นระหว่างหรือหลังรับประทานของหวานก็ได้ คำ TOAST ต่างประเทศ ที่ง่ายที่สุดและนิยมใช้คือ TO YOUR HEALTH

    กาแฟและเหล้าหลังอาหาร

    อาจเสิร์ฟที่โต๊ะหรือนอกโต๊ะอาหาร ถ้ามีบริกรเป็นผู้เสิร์ฟ เขาจะรินกาแฟ ให้แขก และแขกจะเติมครีม, น้ำตาลเอง หรืออาจวางถาดกาแฟไว้ข้างๆ เจ้าภาพหญิง ซึ่งเธอจะเป็นผู้รินกาแฟ เอง (การเสิร์ฟกาแฟกับชา ต่างกันคือ ในการเสิร์ฟกาแฟแขกเป็นผู้เติมครีมและน้ำตาลเอง)
    เหล้าหลังอาหาร บรั่นดีและเหล้าหลังอาหาร (ถ้ามี) จะนำมาเสิร์ฟทันทีภายหลังการเสิร์ฟกาแฟ ถ้าเป็นการเสิร์ฟในห้อง นั่งเล่น เหล้าหลังอาหารและแก้วจะวางไว้ยังโต๊ะข้างฝา แต่ถ้าแขกยังคงอยู่แถว ๆ โต๊ะอาหาร เหล้าและแก้วจะถูกนำมาเสิร์ฟในถาด

    การนั่งอยู่ในโต๊ะอาหารต่อไป

    ถ้าหลังจากการเสิร์ฟกาแฟแล้ว แขกยังคงต้องการนั่งต่อไป ณ โต๊ะอาหารหรือไม่มีที่เพียงพอจะย้ายไปที่ อื่น แขกควรทำตัวตามสบายโดยการลุกขึ้นยืน เลื่อนเก้าอี้หรือเปลี่ยนท่านั่งกัน (โดยไม่ทำความลำบากใจให้ผู้ อื่น) วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ เจ้าภาพควรเป็นผู้ริเริ่มการเปลี่ยนที่นั่ง

    การอำลา

    ปกติแขกจะลากลับจากการเลี้ยงอาหารค่ำแบบนั่งโต๊ะตามเวลาในบัตรเชิญ หรือเวลาในกำหนดการที่พิมพ์ไว้ใน MENU รับประทานอาหารค่ำ ในกรณีที่ไม่กำหนดเวลาเสร็จสิ้นงานรับประทานอาหาร แขกควรเริ่มอำลาเจ้าภาพได้หลังจากลุกจากโต๊ะอาหารมารับประทานเครื่องดื่มหลังอาหารประมาณ 15 - 30 นาที สำหรับในงานเลี้ยงอาหารค่ำอย่างเป็นทางการ เจ้าภาพอาจมีเทคนิคในการแสดงนัยของการจบงานเพื่อให้แขกลากลับได้ ด้วยการส่งสัญญาณให้ดนตรีหยุดแสดงหรือเปิดไฟสว่างขึ้นหรือมีพิธีกรกล่าวปิดงาน เป็นต้น

    การขอบคุณ

    นอกจากขอบคุณเจ้าภาพตอนลากลับแล้ว แขกควรเขียนจดหมายขอบคุณ ที่เหมาะสมคือส่งให้ใน วันถัดไป (อนุโลมภายใน 1 อาทิตย์) ในจดหมายควรแสดงความขอบคุณในการต้อนรับ และ ให้เอ่ยถึงจุดหนึ่งหรือสองจุดในงานเลี้ยงที่แขกพึงพอใจมากเป็นพิเศษ
    ในงานเลี้ยงหากมีวงดนตรีหรือการจัดแสดงเป็นพิเศษ แขกเกียรติยศควรหาโอกาสเดินไปกล่าวขอบคุณหัวหน้าวงดนตรี หรือหัวหน้านักแสดงด้วย จังหวะที่ เหมาะสมคือก่อนจะอำลาเจ้าภาพเพื่อกลับ หรือเมื่อนักดนตรี/นักแสดงกล่าวอำลาเมื่อจบการแสดง






    บทเรียนที่ 3 การแนะนำให้คนรู้จักกัน


    การแนะนำคนให้รู้จักกัน

    1. ต้องแนะนำชายแก่หญิง

    2. เพศเดียวกันต้องแนะนำผู้น้อยให้ผู้ใหญ่รู้จัก

    3. ต้องขออนุญาตหญิงก่อนที่จะแนะนำชายให้หญิงนั้นรู้จัก

    4. หญิงต้องไม่ยื่นมือให้จับเมื่อได้รับการแนะนำชายให้รู้จัก นอกจากเป็นเจ้าภาพหญิง แค่โค้งคำนับกันก็พอ

    5. ควรแนะนำพร้อมด้วยบอกคุณสมบัติพิเศษที่ทั้งสองฝ่ายอาจถูกใจกัน เช่นเป็นคนชอบต้นไม้ด้วยกัน

    6. การได้รับเชิญไปยังบ้านใดบ้านหนึ่งพร้อมกัน แม้ไม่ได้รับการแนะนำก็ถือว่าทำความรู้จักกันได้โดยตนเอง เพราะเจ้าภาพย่อมเป็นประกันได้ว่าทั้งสองฝ่ายเป็นคนดี

    7. ในงานที่มีการเต้นรำ เจ้าบ้านหญิงสามารถแนะนำชายให้หญิงรู้จักกันได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตหญิงก่อนล่วงหน้า

    8. เพื่อนอาจแนะนำเพื่อที่ไปพบกันในบ้านที่คุ้นกันได้ แต่ทางที่ดี ให้เจ้าบ้านหญิงเป็นผู้แนะนำดีกว่า

    9. ในงานปาร์ตี้เล็ก ๆ แขกอาจได้รับการแนะนำให้รู้จักกันโดยเรียกเพียงชื่อ แต่ถ้าเป็นงานที่มีลักษณะเป็นแบบพิธีต้องแนะนำด้วยชื่อสกุล

    10. ถ้าไปในงานแล้วมีการประกาศ(แนะนำ) โดยใช้ชื่อผิด หรือการประกาศไม่ได้ยินเสียง เพราะเสียงอื่นกลบเสียงหรือเพราะเหตุอื่นใด ท่านสามารถแจ้งให้เจ้าภาพหญิงทราบและแก้ไขให้เรียบร้อยโดยแนะนำตนเองโดยชื่อตัว การกระทำดังนี้ต้องทำอย่างง่าย ๆ และมีการเอ่ยถึงฐานันดรอย่างน้อยที่สุด






    บทเรียนที่ 4 ธรรมเนียมนิยมของชนชาติต่างๆ

    1. การสัมผัสมือ ชาวอาหรับ ชาวสเปนหรืออเมริกาใต้ และชาวกรีซ นิยมสัมผัสมือหลาย ๆ ครั้งระหว่างพบปะสนทนากัน ชาวฝรั่งเศสจะสัมผัสมือเพียงเบาและรวดเร็ว และไม่นิยมสัมผัสมือกับผู้อาวุโสกว่า ชาวเยอรมันนิยมสัมผัสมือกับทุกคนทั้งเมื่อแรกพบและลาจากกัน และในการสนทนาทั่วไปที่ไม่เป็นทางการนั้น สุภาพบุรุษจะสัมผัสมือกับสุภาพสตรีได้ต่อเมื่อได้สัมผัสมือผู้อาวุโสในงานนั้นแล้ว

    2. ระยะห่างของคู่สนทนา ชาวอเมริกันจะยืนสนทนาห่างกันประมาณ 1 ฟุต ถึง 3 ฟุต ชาวสเปนหรือละตินอเมริกัน และชาวตะวันออกกลางจะยืนสนทนากันอย่างใกล้ชิด แต่ชาวเอเชียและอาฟริกันจะเว้นระยะห่างจากกันมาก เช่นเดียวกันกับการยืนสนทนากับสุภาพสตรี

    3. การสัมผัส การสนทนาโดยทั่วไปควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแตะต้อง ชาวมุสลิมถือว่ามือข้างซ้ายเป็นมือที่สกปรก ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงที่จะสัมผัสหรือแตะต้องด้วยมือข้างซ้าย

    4. การสบสายตา ชาวตะวันออกกลาง ชาวสเปน และชาวยุโรปนิยมมองสบตาเมื่อสนทนากันชาวเอเชียโดยเฉพาะชาวญี๋ปุ่น การมองสบตาถือเป็นการไม่สุภาพก้าวร้าวและอาจทำให้คู่สนทนาไม่พอใจได้

    5. การใช้มือ ชาวตะวันออกกลางและชาวตะวันออกไกลถือว่าการชี้นิ้วเป็นกิริยาที่ไม่สุภาพ การผายมือควรเป็นสิ่งที่ควรกระทำมากกว่า ขณะเดียวกันการยกหัวแม่มือขึ้นถือเป็นกิริยาที่ไม่สุภาพสำหรับชาวออสเตรเลีย การใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ทำสัญลักษณ์เป็นวงกลมประเทศในแถบละตินอเมริกันถือเสมือนว่าเป็นการให้นิ้วกลางของชนอเมริกันในประเทศญี่ปุ่นหมายความว่า เงินทอง ในประเทศฝรั่งเศสหมายถึง ไร้สาระ

    6. การนั่งไขว่ห้าง ชาวอาหรับถือว่าเป็นกิริยาที่น่ารังเกียจมาก ที่นั่งยื่นเท้าข้างหนึ่งไปข้างหน้าต่อหน้าคู่สนทนา เท้าควรวางราบไปกับพื้นทั้งสองข้างจึงจะเป็นการสุภาพ

    7. การให้นามบัตร การพิมพ์นามบัตร นามบัตรที่ดีไม่ควรพิมพ์อักษรย่อ ด้านหลังของบัตรควรพิมพ์รายละเอียดที่ติดต่อได้เป็นภาษาอังกฤษ การพิมพ์ยศหรือตำแหน่งเป็นเรื่องที่ควรกระทำเพราะจะเป็นที่ประทับใจแก่ผู้ที่ได้รับ เมื่อจะมอบนามบัตรให้ผู้ใดไม่ควรใช้มือซ้าย ในประเทศญี่ปุ่นเมื่อจะมอบนามบัตรให้ใคร เป็นธรรมเนียมที่จะต้องถือด้วยมือทั้งสองข้างเมื่อจะมอบให้

    8. การสนทนาด้วยเรื่องทั่ว ๆ ไป เป็นหัวข้อที่ควรกระทำก่อนสนทนาเรื่องของธุรกิจอย่างจริงจังชาวญี่ปุ่นถือเป็นธรรมเนียมที่ต้องปฏิบัติให้ความรู้สึกที่ดีโดยนิยมดื่มน้ำชากันก่อนวกเข้าหาเรื่องของธุรกิจต่อไป

    9. การสวมกอด การสวมกอดกันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของชนประเทศแถบละตินอเมริกาและชาวสลาฟโดยทั่วไป เช่นชายกอดชาย หญิงกอดหญิง เป็นรูปแบบแสดงความยินดีต่อกันเปรียบได้กับการสัมผัสมือของชาวตะวันตก อย่างไรก็ตามธรรมเนียมดังกล่าวนี้หากเป็นชาวต่างชาติอื่น ๆ การจะกระทำกิริยาดังกล่าวต้องใคร่ครวญอย่างรอบคอบและดูความเหมาะสมด้วย







     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×