ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Divine Epic (มหากาพย์เทพประยุทธ์)

    ลำดับตอนที่ #7 : เอซสายต่อสู้ระยะไกลแห่งศาสนจักรจอมเวทย์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 685
      0
      25 มิ.ย. 53



                    วิหารชาร์เตรอส์ (Chartres) ตั้งอยู่กลางศาสนจักรจอมเวทย์ เป็นโบสถ์แบบโกธิค (Gothic) ที่งดงามตระการตา มีแสงเรืองรองหลากสีสันเปล่งออกมาจากผนังโบสถ์ที่ใสราวกับผิวอัญมณี

                    บนยอดโบสถ์มีแสงสีฟ้าอ่อนๆ แผ่ออกไปทุกทิศทั่วอาณาเขตของศาสนจักรจอมเวทย์

                    ข้างในโบสถ์ยังวิจิตรโอ่โถง วัสดุทุกอย่างเปล่งแสงสีนวลอร่าม ทำให้ภายในสว่างไสวโดยไม่ต้องพึ่งแสงไฟ

                    บรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์นี้ทำให้ผมขนลุกทันทีที่ก้าวเข้ามาข้างใน

                    ทางเดินภายในโบสถ์ที่ยาวสุดลูกหูลูกตา มีพวกผู้ใหญ่แต่งชุดขุนนางสูงศักดิ์ยืนเรียงแถวตลอดแนวทั้งซ้ายขวา

                    อาเรสเดินนำผมและพวกอลิเซียไปอย่างผึ่งผาย สายตามองตรงไปข้างหน้า ผมรู้สึกได้ว่าสายตาทุกคู่กำลังจับจ้องมาที่ผม จนรู้สึกเกร็งไปทั้งตัว

                    ในตอนนั้นเองอลิเซียก็สะกิดไหล่ผม

                    “กฤษณ์ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ”

                    อลิเซียยิ้มให้ผม เมื่อหันหลังไปก็เห็น ฟริกก้าและนามิเดินตามมาด้วยท่าทีสบายๆ ทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา

                    สักพักพวกเราก็เดินมาถึงแท่นบัลลังก์อันงามสง่า ที่หน้าแท่นบัลลังก์มีชายร่างใหญ่ที่ดูน่าเกรงขามแววตาองอาจ สวมเสื้อคลุมสีม่วงเข้ม ศีรษะไม่มีผม ไว้หนวดเคราสีน้ำตาลเข้มตัดสั้น

                    “เจ้ารึ บุตรของไวส์ที่ว่า” ชายวัยกลางคนถามผม

                    “ค... ครับ!”

                    ทันใดนั้นก็มีชายชราคนหนึ่งโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ เขามีผมเผ้าหนวดเคราสีขาวยาวรุงรัง สวมผ้าคลุมสีน้ำตาลปอนๆ

                    “อืมๆ” ชายแก่คนนั้นเดินเข้ามาสำรวจรอบๆ ตัวผมอยู่สองสามรอบ

                    “ฮ่าๆๆๆ เจ้าหนุ่มนี่น่าสนใจแฮะ!” จู่ๆ เขาก็โพล่งขึ้นมาเสียงดังก้องไปทั่ววิหาร ทำลายความเงียบอันศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์

                    ค..ใครกัน ตาแก่นี่!?

                    จู่ๆ ชายคนนั้นก็หันควับ ดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้ขนคิ้วสีขาวจ้องมาที่ผมราวกับจะมองทะลุเข้าไปถึงข้างใน แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างเล็กๆ นั้นทรงพลังท่วมท้นกว่าเจ้ายักษ์ฮรุงนีร์เสียอีก!

                    “ใครน่ะรึ ข้าก็คือ...”

                    “ท่านอูรานอส!” อาเรสแทรกขึ้น “เมื่อวานก็หายตัวไปทั้งวัน วันนี้ก็โผล่มาในชุดซอมซ่อแบบนี้อีก ท่านเป็นถึงประมุขแห่งศาสนจักรจอมเวทย์ หัดทำตัวให้เป็นที่เคารพสมฐานะหน่อยสิครับ”

                    “ข้าจะไปทำอะไรที่ไหนมันก็เรื่องของข้าไม่ใช่เรอะ ไอ้ตำแหน่งหัวโขนนี่ก็ไม่ได้อยากจะเป็นสักหน่อย ยกให้อีเรบัสซะก็หมดเรื่อง” อูรานอสหันไปทางชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมสีม่วง

                    “ท่านปู่คะ” อลิเซียโผเข้าหาอูรานอส

                    “จ๋าจ้ะ หลานรัก” ท่าทีของอูรานอสเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ชายชราอ้าแขนโอบกอดอลิเซีย “ไม่ได้เจอกันซะตั้งนาน  เหนื่อยไหมไปทำภารกิจกลับมา”

                    “ไม่ได้เจอตั้งนานอะไรล่ะครับ อลิเซียเพิ่งไปโลกมนุษย์มาแค่สองวันเอง” อาเรสขัดขึ้น คิ้วทั้งสองของเขาย่นลงมาเล็กน้อย

                    ที่แท้อูรานอสก็คือตาแก่เห่อหลานดีๆ นี่เอง... แต่เฮ่ย อย่าเพิ่งสิ ถ้างั้นอลิเซียเป็นหลานของประมุขแห่งศาสนจักรจอมเวทย์น่ะสิ!

                    “เอาล่ะ เจ้าคงมีคำถามอยากจะถามข้ามากมายเลยสินะ” แล้วอูรานอสก็หันมาพูดกับผม

                    “แม่ของผมยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมครับ” คำพูดนั้นหลุดออกมาจากปากโดยไม่ต้องคิด

                    "เรื่องนั้นเรายังไม่อาจยืนยันได้"

                    อูรานอสชี้ขึ้นไปที่ยอดโบสถ์ เมื่อเงยหน้าขึ้นไปผมก็เห็นคทาซึ่งมีอัญมณีส่องประกายเป็นสีรุ้งแวววาววางอยู่ใต้ฐานของคริสตัลแห่งชีวิต

                    “นั่นคือคทาโฮลี่เรเดียนซ์ของไวส์ซึ่งเราพบหลังการระเบิดครั้งใหญ่ที่เฮลไฮม์ การที่มันยังเปล่งแสงอยู่ อาจเป็นไปได้ว่าผู้ใช้ยังไม่ตาย"

                    “ถ้างั้นทำไมไม่ส่งคนไปตามหาล่ะครับ”

                    อูรานอสทอดสายตาลงต่ำ

                    “หลังมหาสงครามเมื่อแปดปีก่อน พวกเราได้ทำการปิดผนึกประตูนรกของอาณาจักรเฮลไฮม์เพื่อไม่ให้เหล่าอสูรกายขึ้นมาเพ่นพ่านบนดินแดนแห่งเทพกรณัม และไม่มีใครเปิดประตู้นั้นอีกเลย จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ดูเหมือนว่าข่ายมนต์ที่ปิดผนึกประตูนรกจะเริ่มเสื่อมลงจึงมียักษ์อย่างฮรุงนีร์ และนักรบมฤตยูออกมาอาละวาด”

                    “ต้องขอโทษเจ้าด้วยที่พวกเราศาสนจักรจอมเวทย์ไม่อาจให้ความช่วยเหลือไวส์ แต่แม่ของเจ้าเป็นคนเข้มแข็ง กล้าหาญและมีปฏิภาณไหวพริบ หากนางยังมีชีวิตอยู่ข้าเชื่อว่าต้องสามารถเอาตัวรอดได้แน่”

                    ว่าแล้วชายชราเอามือวางลงบนบ่าของผม

                    “ไม่ต้องห่วงหรอก... อีกไม่นานประตูนรกนั้นจะเปิดเอง แม้ไม่มีใครในดินแดนแห่งเทพปกรณัมอยากให้มันเปิดก็ตาม ขอให้เจ้าอดทนรอจนกว่าเวลานั้นจะมาถึงก็แล้วกัน”

                    "เอาล่ะ พักเรื่องซีเรียสไว้แค่นี้ก่อน" ว่าแล้วอูรานอสก็หันไปประกาศกับคนอื่นๆ ด้วยเสียงอันดัง "ข้าว่าพวกเราในที่นี้คงอยากเห็นความสามารถของบุตรแห่งไวส์กันแล้วจริงไหม!" ผมมารู้ทีหลังว่าอูรานอสใช้เวทย์มนต์ทำให้เสียงนี้ได้ยินไปทั่วทั้งศาสนจักรฯเลยทีเดียว

                    "ฉะนั้นข้าจะขอจัดงานประลองเพื่อต้อนรับ 'กฤษณ์' บุตรชายของไวส์!"

                    "ต้องอย่างงี้สิ!" ฟริกก้าครึกครื้นขึ้นมาทันที

                    "งานประลอง?"

                    "ไม่ต้องตกใจหรอก ก็แค่ให้เจ้าเสี่ยงทายเลือกจอมเวทย์คนหนึ่งในศาสนจักรจอมเวทย์นี้มาเป็นคู่ประลองเท่านั้นเอง ส่วนการประลองก็แค่ให้สู้กันฉันมิตร หากเห็นว่าไม่ไหวก็ขอยอมแพ้ได้ทันที" อาเรสอธิบาย "แต่เจ้าคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกใช่ไหม" แล้วก็ไม่วายดักคอผม

                    "นี่เป็นโอกาสที่เจ้าจะได้แสดงฝีมือให้คนที่นี่ยอมรับด้วยนะ" อูรานอสยิ้ม ดูก็รู้ว่าที่จัดงานประลองแบบไม่ให้ตั้งตัวก็เพื่อความสนุกของตัวเองมากกว่าเพื่อตัวผม

                    เฮ่ๆ เดี๋ยวก่อนสิ! นี่ผมเพิ่งมาที่ศาสนจักรจอมเวทย์ได้วันเดียวก็จะให้ประลองกับเหล่าจอมเวทย์อาชีพแล้วเรอะ! เวทย์มนต์ก็ยังไม่รู้ ต่อสู้ก็ไม่เป็น ถ้าจับคู่เจอจอมเวทย์ระดับฟริกก้าหรือนามิละก็ ผมมิตายหยั่งเขียดเรอะ!

                    "เอาล่ะลองวางมือลงบนลูกแก้วนี้" อาเรสจัดแจงยกถาดซึ่งมีลูกแก้วยื่นให้ผมทันที "ชื่อของคู่ประลองที่เหมาะสมกับเจ้าจะปรากฏขึ้น"

                    ผมทำตามอย่างว่าง่าย (มีทางเลือกที่ไหนล่ะ!) ในใจได้แต่ภาวนาขออย่าให้มีชื่อฟริกก้า นามิ อาเรส อูรานอส อีเรบัส... เอ่อ..ก็รู้จักอยู่แค่นี้แหละ!

                    แล้วตัวอักษรก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนลูกแก้ว A - L - I - C - I - A

                    อลิเซีย...! ไม่น่าเชื่อ เทวดา(?)ตอบรับคำขอของผมแล้ว!

                    เฮ้อ... ค่อยยังชั่วหน่อย ถ้าเจออลิเซียคงไม่เท่าไรมั้ง

                    ผมนึกถึงใบหน้าอันอ่อนโยนของเธอ ข่ายมนต์เฮฟเวนลี่ดรีม และความสามารถในการรักษาบาดแผลให้กับอ.ฉัตรชัย เท่าที่เห็นเธอ..ก็ไม่ได้มีท่าโจมตีที่รุนแรงเหมือนฟริกก้าหรือนามิซะด้วย

                    "ว้า---! เสียดายๆ นึกว่าจะได้ซัดกับเจ้าซะหน่อย แต่ให้เจอกับพี่อลิเซียนี่ก็น่าสนุกเหมือนกันแฮะ" ฟริกก้าเท้าสะเอว พลางก้มลงมาดูลูกแก้ว "อย่าชะล่าใจล่ะ เพราะพี่อลิเซียเก่งสุดๆ เลยนะจะบอกให้"

                    "เอ๋... หมายความว่าไงฟริกก้า?"

                    ขณะนั้นเองก็มีลำแสงพุ่งผ่านหน้าผม เมื่อเหลียวไปมองตามสัญชาตญาณก็เห็นลำแสงนั้นเลี้ยววกมาจากสุดทางประตูพุ่งกลับมาหาผม แล้วแตกเป็นประกายสลายไปต่อหน้า ก่อนจะถึงตัวผมเพียงไม่กี่นิ้ว

                    ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในพริบตา โดยที่ผมไม่ทันได้ขยับตัวด้วยซ้ำ...!

                    เมื่อได้สติ ผมก็ค่อยๆ หันกลับไปยังทิศที่ลำแสงนั้นพุ่งมา อย่าบอกนะว่า...!?

                    ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเห็นอลิเซีย... หญิงสาวที่ดูอ่อนโยนคนนั้น กำลังยืนถือคทารูปปีกนางฟ้าในท่าร่ายเวทย์

                    ลำแสงเมื่อครู่นี้เป็นฝีมือของอลิเซียจริงๆ ด้วย!

                    "ยินดีที่ได้ประลองกับกฤษณ์จ้ะ ฉันอลิเซียและนี่คทาแองเจลิกเฟเธอร์ (Angelic Feather) ต้องขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยน้า" อลิเซียยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนเช่นเคย

                    ง่า... ทางนี้ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวเช่นกันจ้า... วันประลองก็อย่าลืมออมไม้ออมมือกันบ้างน้า...

                    "หึๆ อลิเซียเป็นเอซสายต่อสู้ระยะไกล และเป็นจอมเวทย์ที่มีทักษะในการควบคุมเวทย์มนต์ดีที่สุดคนหนึ่ง เจ้าคงไม่มีเวลามาโล่งอกหรอกมั้ง... เพราะการประลองจะมีขึ้นในอีกห้าวันข้างหน้า ขอให้โชคดี!" อาเรสยิ้มกระหยิ่ม

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------

    โปรดติดตามตอนต่อไปครับ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×