ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Divine Epic (มหากาพย์เทพประยุทธ์)

    ลำดับตอนที่ #28 : ณ ก้นบึ้งแห่งความโศกเศร้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 178
      0
      10 ส.ค. 53


                    ข้าขอโทษ... ไททาเนีย... พี่อัลเบอริช... เหล่าภูตทุกตน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้าแท้ๆ . . .



                    ภาพความทรงจำอันเรืองรองของราชาโอบีรอนเปลี่ยนไป นับจากวันนั้นโลกของเขาก็กลายเป็นสีเทา

                    โอบีรอนซึ่งนอนอยู่บนเตียง เฝ้าโทษตัวเองมาตลอดจนกระทั่งนิมะเวโผล่ออกมาและยื่นขอเสนอที่จะพาเขาหลุดออกไปจากความรู้สึกผิดนั้น

                    เขารับเมล็ดพันธุ์แห่งความมืดจากมือของนางและกลืนมันลงไป โดยมิได้สนใจถึงแผนการอันชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง

                    พลังแห่งความมืดแทรกซึมเข้าไปถึงทุกอณูของวิญญาณ ครอบงำทั้งกายและใจของโอบีรอน รังสีออร่าสีดำพวยพุ่งออกมาจากตัวเขาแผ่ปกคลุมไปทั่วห้อง

                    ไลแซนเอดร์ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ก็ได้เป็นสักขีพยาการแห่งการกำเนิดของนักรบมฤตยู...

     

                    ถึงตรงนี้โลกแห่งจิตใจของโอบีรอนก็มีม่านหมอกสีดำปกคลุมทำให้ผมดำดิ่งลงไปลึกว่านี้ไม่ได้ แสดงว่าจากนี้ตรงนี้ไปเป็นตัวจิตสำนึกของโอบีรอนจริงๆ แล้ว

                    หมอกสีดำนี้เอง ที่เป็นเหมือนกำแพงขวางกั้นผมไว้

                    “อย่าพยายามเจาะเข้าไป” เสียงของท่านผู้เฒ่าดังขึ้นในหัวผมอีกครั้ง “เจ้ามีธาตุแห่งความมืดจากเมล็ดพันธุ์ฯที่เจ้ากินเข้าไป ฉะนั้นเจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ให้ตั้งสมาธิแล้วทำใจให้กลมกลืนกับความมืด ปล่อยให้ธาตุแห่งความมืดในตัวเจ้ากับของท่านโอบีรอนเรียกหากันเอง”

                    ผมทำตามที่ท่านผู้เฒ่าว่า ไม่นานม่านสีดำนั่นก็เป็นฝ่ายดูดผมเข้าไปเอง

                    ในม่านหมอกนั่นผมสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าว ประหนึ่งอกจะฉีกขาดเป็นชิ้นๆ

                    ตัวหมอกดำนี่เองคือก้อนความปวดร้าวระทมของราชาโอบีรอน เป็นบรรยากาศเดียวกับที่ผมสัมผัสได้เมื่อย่างเท้าเข้าในยังดินแดนแห่งนี้ ที่ใจกลางของมันจะต้องมีจิตสำนึกของโอบีรอนอยู่แน่นอน

                    ผมแหวกหมอกนั้นเข้าไป ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความอึดอัดที่ชวนให้รู้สึกโศกเศร้าปริ่มจะขาดใจ จนแทบจะก้าวต่อไปไม่ไว้

                    แต่ผมเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ความทุกข์ทรมานที่เหมือนกับจมลงไปในมหาสมุทรแห่งความเศร้าที่ไร้ก้นบึงนี้ ตอนที่ผมเสียคุณแม่ไปผมก็โกรธแค้นโชคชะตา ส่วนราชาโอบีรอนเองก็โกรธแค้นตัวเอง ไม่อาจยกโทษให้ตัวเอง จนกระทั่งก้อนความเศร้าหมองได้ขยายดั่งห้วงมหรรณพอันกว้างใหญ่ กลายเป็นรังสีออร่าสีดำปกคลุมไปทั่วอาณาจักรวูดแลนด์

                    แท้จริงแล้วใจของเราเองนั่นแหละ ที่เป็นผู้สร้างความมืดขึ้นมา

     

                    ในที่สุดผมก็พบร่างของโอบีรอน ณ ก้นบึ้งที่ลึกที่สุด แววตาของเขาปราศจากความรู้สึกใดๆ ไม่ต่างอะไรกับคนตาย เมื่อผมพยายามเข้าไปใกล้ก็ปรากฏว่ามีม่านใสๆ ที่มองไม่เห็นขวางกั้นอยู่อีกชั้นหนึ่ง

                    “ราชาโอบีรอน” ผมตะโกนเรียกจากตรงนี้ แต่ก็ไม่มีการตอบสนอง

                    เมื่อครู่นี้ผมได้รู้เรื่องราวของราชาโอบีรอนและได้สัมผัสความโศกเศร้าของเขาแล้ว จึงรู้ดีว่าความโศกเศร้าของเขานั้นมันลึกล้ำเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจ ผมรู้ดีว่า คำพูดของผมอาจจะไม่สามารถส่งไปถึงเขาได้เลย แต่ถึงยังงั้นก็ต้องพูดออกไป

                    “ราชาโอบีรอน ท่านได้ยินข้าใช่ไหม” ผมร้องเรียกอีกครั้ง “ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยท่านและอาณาจักรวูดแลนด์ ขอท่านได้โปรดรู้สึกตัวด้วยเถอะ"

                    ร่างนั้นยังคงนิ่งเงียบ

                    "ไม่ใช่แค่ข้า แต่ทั้งไลแซนเดอร์ ทั้งผู้เฒ่ารัมเปล และภูตตนอื่นก็เป็นห่วงท่านอยู่นะ"

                     "ถ้าท่านอยากจะจมอยู่กับความเสียใจอย่างนี้ต่อไปมันก็เรื่องของท่าน แต่ท่านรู้ไหมว่าความเสียใจของท่านมันไม่ได้ทำลายแค่ตัวท่านเอง แต่ยังทำลายแม้กระทั่งทุกคนที่ท่านรักด้วย ท่านต้องการให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ"

                    ผมก็เคยเป็นเช่นราชาโอบีรอน ขังตัวเองอยู่ในโลกสีเทา หวนหาอดีตที่ไม่มีวันย้อนกลับมา จนมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ตอนนั้นผมได้คุณพ่อ มีอลิสาช่วยประคับประคองไว้ แต่ผมกลับไม่รู้ถึงคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น จึงกระทั่งต้องจากพวกเขามายังดินแดนแห่งเทพปกรณัม

                    เวลาของผมเริ่มเดินอีกครั้ง ตอนที่รู้ว่าคุณแม่ยังไม่ตาย ในตอนนั้นเองที่ผมมองย้อนกลับไปแล้วเพิ่งได้ตระหนักว่า ช่วงเวลาเจ็ดปีแห่งโศกเศร้านั้นช่างว่างเปล่าสิ้นดี

                    คนที่จมอยู่กับอดีตก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาย เพราะคนเป็นจะต้องก้าวไปข้างหน้า
     


                    "และที่สำคัญ... ราชินีไททาเนียยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือไง!!" ผมร้องตะโกน

                    “ท... ไททาเนีย” เสียงนั้นออกมาจากปากของโอบีรอน

                    ทันใดนั้นเอง ก็มีแสงเป็นประกายสีรุ้งส่องลงมายังก้นทะเลอันมืดมิด พร้อมๆ กับเสียงอันไพเราะกังวานที่ดังเข้ามา

                    "โอบีรอน"

                    “ไททาเนีย!” แววตาของโอบีรอนเปลี่ยนไป แล้วม่านหมอกในใจของโอบีรอนก็ค่อยๆ สลายไป


     
                    ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งที่ห้องภายในปราสาทอัลเบอร์ทาร์ และเห็นราชินีไททาเนียยืนอยู่ รอบตัวเธอมีรัศมีสีทองเปล่งปลั่ง ดูงดงามยิ่งกว่าตอนที่ถูกผนึกอยู่ในคริสตัลอย่างเทียบกันไม่ได้

                    นี่อลิเซียทำสำเร็จแล้วเหรอ... ถ้างั้นอลิเซียล่ะ

                    ผมมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าไลแซนเดอร์กลับมาแล้ว แต่ไม่เห็นอลิเซีย

                    “ไททาเนีย...” โอบีรอนเอ่ยขึ้น แววตาของเขาเริ่มกลับมามีชีวิตชีวา

                    "โอบีรอน... ท่านคงทรมานมากสินะ"

                    ไททาเนียยิ้มแล้วตรงเข้าไปหาโอบีรอนซึ่งยังถูกรากไม้ตรึงอยู่

                    แล้วพริบตานั้น ก็มีลูกศรพุ่งเข้าไปปักอกโอบีรอน!



                    “โอบีรอน!”

                    เมื่อผมหันไปทางทิศที่ลูกศรพุ่งมา ก็มีศรอีกลูกพุ่งเข้ามาเสียบอกผม!


                    ชายคนที่โผล่ออกมาจากด้านหลังสวมผ้าคลุมสีดำ มีดวงตาดั่งเหยี่ยว ถือคันธนูสีทองอร่ามประดับประดาไปด้วยเพชรพลอย

                    และที่สำคัญ... เขามีใบหน้าเหมือนผมเสียด้วย!



                    “สวัสดีกฤษณ์ ในที่สุดเราก็ได้พบกันเสียที” เขาฉีกยิ้ม

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------

    โปรดติดตามตอนต่อไปครับ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×