ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Divine Epic (มหากาพย์เทพประยุทธ์)

    ลำดับตอนที่ #1 : กฤษณ์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 987
      0
      23 พ.ค. 53


                   
    ตอนเด็กๆ คุณแม่ของผมมักจะเล่านิทานให้ฟังก่อนนอน ถึงจะเป็นนิทานก่อนนอน แต่เรื่องที่คุณแม่เล่าให้ผมฟังนั้นมีตั้งแต่นิทานสำหรับเด็กอย่างสโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด หนูน้อยหมวกแดง ซานตาคลอส ไปจนถึงเทพปกรณัมของชาติต่างๆ อย่างการผจญภัยของเพอซีอุส สงครามเมืองทรอย หรือแม้แต่รามายณะ

                    นอกจากนิทานเหล่านี้จะทำให้ผมตื่นเต้นไปกับการผจญภัยของเหล่าวีรบุรุษในตำนานแล้ว พอเล่าจบคุณแม่ก็จะถามผมว่าเรื่องเหล่านี้สอนอะไรผมบ้าง แน่นอนตอนจบของเรื่องหากพวกผู้ร้ายไม่ถูกฝ่ายพระเอกปราบ ก็ต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อสอนเราว่าธรรมะย่อมคุ้มครองคนดีและลงโทษอธรรม

                    ผมเองก็เชื่อเช่นนั้นมาตลอด จนกระทั่งอายุได้ 7 ขวบ...

     
                    วันที่ 25 เดือนธันวาคม ปี 2012... เครื่องบินที่คุณแม่นั่งประสบอุบัติเหตุระเบิดกลางอากาศ ลูกเรือและผู้โดยสารสองร้อยกว่าคนเสียชีวิตทั้งหมด

                     ตอนที่รู้ข่าวนี้ผมร้องไห้อยู่หนึ่งอาทิตย์เต็มๆ กว่าจะทำใจยอมรับได้ว่าคุณแม่ได้ตายจากไปแล้วจริงๆ

                    วันนั้นคุณแม่ได้ตายจากผมไป... และเทพปกรณัมก็ได้ตายจากผมไปด้วยเช่นกัน...

                    หากคำสอนในเทพปกรณัมที่คุณแม่เล่าเป็นความจริง คนดีๆ อย่างคุณแม่ก็จะต้องไม่ตายสิ!



    ************ ************ ************



    ปี 2020



                    “กฤษณ์... พ่อไปทำงานก่อนนะ ลูกก็อย่าไปโรงเรียนสายล่ะ” คุณพ่อร้องบอกผมซึ่งอยู่บนชั้นสองก่อนจะขับรถออกจากบ้านไป

                    ตอนนี้ผมอยู่ม.3 และถึงเวลาต้องเลือกว่าจะเรียนสายอะไรต่อ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นสายวิทย์เพราะผมชอบวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็กแล้ว

                    วิทยาศาตร์คือคือความรู้ของมวลมนุษยชาติที่เปิดเผยความจริงของโลกใบนี้

                    ก็ไม่ใช่เพราะวิทยาศาตร์เรอะ มนุษย์ถึงได้เดินทางไปอวกาศได้...

                    ไม่ใช่เพราะวิทยาศาตร์เรอะ คุณพ่อถึงมีรถขับไปทำงาน...

                    ไม่ใช่เพราะวิทยาศาสตร์เรอะ เราถึงมีแอร์เย็นๆ ไว้ใช้...

                    “ปังๆ!”

                    ขณะนั้นเองก็มีนกสีเขียวตัวหนึ่งบินมาเคาะกระจก

                    ผมทำเป็นไม่สนใจ มันคงไม่รู้ล่ะมั้งว่ามีกระจกกั้นอยู่ อีกเดี๋ยวคงเลิกไปเอง

                    “ปังๆๆๆๆๆ!!!!!”

                    เสียงชักจะดังและถี่ขึ้น จนผมเริ่มหงุดหงิด

                    ก็เพราะนกมันโง่ยังงี้แหละนะ พวกมันถึงไม่มีอารยธรรมเหมือนมนุษย์

                    ผมเดินไปเปิดหน้าต่าง ตั้งใจจะใช้มือไล่มันไปให้พ้นๆ แต่ราวกับว่าเจ้านกตัวนี้มันจะรู้ ทันทีที่ผมเปิดหน้าต่าง มันก็บินหลบฝ่ามือผมเข้ามาในห้อง ก่อนจะร่อนลงบนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างสง่างาม

                    “ออกไปชิ่วๆ” ผมเดินเข้าไปไล่มัน

                    “พอได้แล้ว ไอ้เด็กบ้า!”

                    จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงทุ้มใหญ่ เหมือนเสียงเวลาผู้ใหญ่ดุเด็ก

                     ผมมองไปนอกบ้านก็ไม่เห็นมีใครยืนอยู่แถวนี้

                    “ทางนี้เจ้าหนู” เสียงเดิมดังขึ้น

                    ผมหันไปทางโต๊ะเขียนหนังสือที่เป็นต้นเสียง ก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจาก...

                    “ข้านี่แหละ ที่กำลังพูดเจ้าอยู่”

                    เจ้านกสีเขียว!

                    เจ้านกขนสีเขียวซึ่งมีลายคาดแดงตรงปีก มองผมด้วยแววตาคมกริบ ซึ่งดูฉลาดเกินนกธรรมดาๆ

                    แม่เจ้า! นกพูดได้... ผมต้องฝันไปแหงๆ!

                    “โอ๊ย!”

                    เจ้านกตัวนั้นบินมาจิกหัวผม

                    “ไม่ได้ฝันเฟ้ย! เจ้างั่ง”

                    เฮ่ๆ เมื่อกี้ผมยังไม่ทันจะพูดออกมาเลยนะ... นี่มันอ่านใจผมได้รึไง

                    “เป็นไปไม่ได้!”

                    “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ก็มันเกิดขึ้นตรงหน้าเจ้าอยู่นี่ไง”

                    “ก็มัน... ผิดหลักวิทยาศาตร์”

                    “วิทยาศาตร์เรอะ... นี่เจ้ากลายเป็นคนน่าเบื่อขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไร เจ้าคงไม่ได้ลืมเรื่องของพวกภูตตัวจิ๋วที่เคยเล่นกับเจ้าที่สวนหลังบ้านไปหมดแล้วใช่ไหม”

                    “ภูตตัวจิ๋วอะไรกัน มันก็แค่สิ่งที่ข้าสร้างขึ้นจากจินตนาการเพ้อฝัน”

                    “หึ... ทั้งที่ตัวเองมีสัมผัสที่ช่วยให้เข้าถึงความลี้ลับของจักรวาลได้แท้ๆ แต่กลับทิ้งมันไป ช่างโง่จนเกินเยียวยาจริงๆ”

                    เจ้านกสีเขียวมองผมอย่างผิดหวัง

                    หมดกันตรู โดนนกด่าด้วย...



                    ในตอนนั้นเองเสียงนาฬิกาลูกตุ้มก็ตีบอกเวลาเจ็ดโมง หากออกจากบ้านช้ากว่านี้ต้องไปไม่ทันเข้าแถวเคารพธงชาติแน่

                    “นี่เจ้าเขียว นายจะเป็นตัวอะไรไม่รู้ล่ะ แต่ออกไปได้แล้ว ฉันจะไปโรงเรียน” ผมบอก

                    “ก็ได้... ยังไงเจ้าก็หนีชะตากรรมของตัวเองไม่พ้นหรอก” พูดเสร็จเจ้านกตัวนั้นก็บินจากไป

    ... ... ...

     

                    รถเมล์จอดที่ป้ายหน้าโรงเรียน ผมมองนาฬิกา อืม... เจ็ดโมงสี่สิบห้านาที เฮ้อ..มาถึงโรงเรียนทันฉิวเฉียด

                    ผมถอนใจขณะเดินเข้าไปในโรงเรียน รู้สึกเบลอๆ ขณะก้าวไปบนพื้นสนามหญ้าภายในโรงเรียน ไม่แน่ใจว่าตัวเองตื่นรึยัง ถ้าทั้งหมดนี่คือโลกความเป็นจริง ก็แสดงว่าเมื่อเช้าผมได้คุยกับนกจริงๆ น่ะสิ... มันจะเป็นไปได้ยังไง ถึงจะมีนกบางชนิดเช่นนกแก้วและนกขุนทองที่สามารถเลียนเสียงคนได้ แต่พวกมันก็ไม่ได้ฉลาดขนาดที่จะสนทนาโต้ตอบกับคนได้สักหน่อย

                    “ผัวะ!”

                    ทันใดนั้นก็มีของแข็งไม่ทราบสัญชาติกระแทกเข้าที่ท้ายทอยผม จนโลกหมุนเคว้งคว้าง เมื่อหันไปก็เห็นลูกรักบี้หล่นอยู่ใกล้ๆ

                    “เฮ้! พวกเรา เจ้างั่งกฤษณ์ว่ะ” คนพูดคือเจ้าโย หัวโจกของชั้นม.3 เขายืนอยู่กับเพื่อนๆ อีกสี่ห้าคน

                    “นี่เจ้าหนอนหนังสือกฤษณ์ เดินเหม่อเพราะมัวแต่คิดถึงแม่รึไง” เจ้าเจตน์ลูกน้องของโยเดินเข้ามาหาผม

                    “อะไร! มองหน้าหาเรื่องเรอะ อย่าคิดว่าแค่เรียนเก่ง เป็นที่รักของอาจารย์ แล้วจะมาเบ่งได้นะเว้ย!” เจตน์ขยับหน้าเข้ามาชิดจนได้กลิ่นลมหายใจที่เหม็นควันบุหรี่

                    “นี่พวกนายทำอะไรกันน่ะ!” ใครคนหนึ่งร้องขึ้น

                    เด็กผู้หญิงที่ไว้ผมยาวดำขลับ เดินหน้าดุเข้ามาหาพวกผม... อลิสานั่นเอง

                    “พวกเราเผ่นเว้ย! ผู้ปกครองเจ้ากฤษณ์มาแล้ว” โยบอกเพื่อนๆ

                    “เจ้ากฤษณ์หน้าไม่อาย ต้องให้ผู้หญิงคอยปกป้อง กลับบ้านไปซบอกแม่ไป๊!” เจตน์พูดทิ้งท้าย ก่อนจะหนีไปพร้อมกับคนอื่นๆ

                    “เดี๋ยวเถอะพวกนาย! บอกแล้วไงว่าอย่าพูดเรื่องแม่ของกฤษณ์” อลิสาว่า

                    อลิสาเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่รู้จักกันมาตั้งแต่ป.1 นอกจากนี้เธอยังเคยเจอกับคุณแม่ด้วย

                    “จริงๆ เล้ย เจ้าพวกปากเสียนั่น.... กฤษณ์ไม่เป็นไรใช่ไหม” เธอหันมาถาม

                    “อืม... เรื่องของคุณแม่ฉันทำใจได้ตั้งนานแล้ว”

                    “ทำไมไม่สู้พวกนั้นบ้างล่ะ”

                    “สู้ก็เจ็บตัว ไม่สู้ก็เจ็บตัวเหมือนกัน เลยไม่รู้จะสู้ทำไมให้เหนื่อย เผลอๆ ถ้าสู้จะเจ็บตัวมากกว่าด้วยซ้ำ”

                    อลิสาส่ายหน้า

                    “งั้นก็ตามใจ... แต่ฉันคงปกป้องนายไม่ได้ทุกครั้งหรอกนะ” พูดเสร็จเธอก็เดินนำหน้าไปก่อน

                    “อลิสา”

                    “หือ...” สาวน้อยหันกลับมา

                    “ขอบใจนะ”

                    เธอหน้าแดงแป๊ด ดวงตากลมโตคู่นั้นหลุกหลิกไปมา ก่อนที่เจ้าตัวจะเฉมองไปทางอื่น

                    “ม...มาขอบใจทำไม! ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา เอ้า รีบไปเข้าห้องเรียนได้แล้ว!”

    ... ... ...

     

                    และแล้วเวลาก็ผ่านไปจากเข้าแถวเคารพธงชาติเสร็จก็โฮมรูม โฮมรูมเสร็จก็มาคาบแรกที่ผมรอคอย วิชาวิทยาศาตร์ของอ.ฉัตรชัยนั่นเอง

                    อ.ฉัตรชัยเป็นชายร่างผอมสูง สวมแว่นตากรอบสี่เหลี่ยมอันบ๊ะเริ่ม และชอบใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว วิธีการสอนของเขาแตกต่างจากครูคนอื่นๆ เพราะนอกจากจะสอนทฤษฎีในตำราแล้ว อ.ฉัตรชัยก็มักจะมีเรื่องเล่าและเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับนักวิทยาศาตร์คนดังมาเล่าให้ฟังอยู่เสมอ

                    ผมเคยเรียนกับเขาตอนม.1 จะว่าไปก็เพราะอ.ฉัตรชัยนี่แหละที่ทำให้ผมหลงรักวิชาวิทยาศาตร์ ยิ่งปีนี้มีอ.ฉัตรชัยเป็นอ.ประจำชั้น ผมจึงมีโอกาสคุยกับอาจารย์มากขึ้น

                    แล้ววันนี้ก็เช่นกัน ขณะที่สอนเรื่องกฎแรงโน้มถ่วงอยู่นั้น อาจารย์ก็เล่าเรื่องของเซอร์ไอแซค นิวตันให้ฟัง

                    “ขณะที่กำลังนั่งอยู่ใต้ต้นแอ๊ปเปิ้ลนั่นเอง นิวตันก็เห็นแอ๊ปเปิ้ลหล่นลงมาจากต้น เขาจึงฉุกคิดได้ว่าโลกนี้มีแรงโน้มถ่วง หรือก็คือมีแรงที่โลกกระทำต่อวัตถุ... วัตถุทุกชนิดบนโลกย่อมถูกแรงที่ว่านี้ดึงกลับมาสู่พื้นโลก ไม่ว่าจะเป็นแอ๊ปเปิ้ล ปุยนุ่น หยดน้ำ หรือฝุ่นละออง”

                    “อาจารย์คะ แล้วคนล่ะคะ” นักเรียนคนหนึ่งยกมือถาม

                    “แน่นอนว่าคนก็ด้วย หากไม่อาศัยอุปกรณ์การบิน คนก็ต้องตกลงมาสู่พื้นโลกเช่นกัน”

                    “แต่คน... เอ่อ...” นักเรียนคนนั้นอ้ำอึ้ง

                    “คนมันทำไมเหรอ”

                    “คนกำลังลอยอยู่บนฟ้าค่ะ!”

                    สิ้นเสียงนักเรียนคนนั้น ทุกคนในห้องก็มองไปนอกหน้าต่างเป็นตาเดียวกัน ก่อนจะมีเสียงฮือฮาระงมไปทั่วทั้งอาคารเรียน

                    ผมก็หันไปมองเช่นเดียวกัน

                    คน...! มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังลอยอยู่บนฟ้าจริงๆ ด้วย!!

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------

    โปรดติดตามตอนต่อไปครับ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×