ตอนที่ 8 : บทที่ ๕ นางพญาบุปผา (ฉบับร่าง 100%)
A/N เพิ่มรูปค่ะ ตอนนี้ดอกไม้สวยๆเยอะมากกกกกก รูปก็เลยเยอะมากกกกกกก อุอุอุอุอุ
บทที่ ๕
นางพญาบุปผา
ช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่อาณาจักรจันทราทองเย่วจินหรงจะล่มสลาย กิเลนจันทร์แห่งความมืดเย่วเทียนอ๋าวได้ร่ำสุราปรารภกับกิเลนจันทร์แห่งแสงสว่างเย่วเทียนหมิง ในราตรีที่ท้องฟ้ากระจ่างดาษดาไปด้วยหมู่ดารา สายลมพัดโชยสดชื่น มวลบุปผาพร้อมใจกันบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมเย็นยวนใจชวนให้ยุวราชแห่งเผ่ากิเลนทั้งสองระลึกถึง “นางพญาบุปผา” ยิ่งนัก
อาทิตย์ทรงกลดฉายแสงชัดอยู่เหนือศีรษะของเหล่าขุนนางแห่งพิภพกิเลน ณ.ลานว่าราชการกลางแจ้งแห่งเย่วจินหรง ขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู้นับร้อยนายคุกเข่าเข้าเฝ้าราชินีกิเลนผู้รั้งตำแหน่งเทพพิทักษ์ทั้งสอง ชูเจินอวี้เหวินและมู่ตานกุ้ยฮวานั่งอยู่บนบังลังก์ซ้ายขวาฟังฏีกาถวายงาน
“ยามนี้ก็ย่างเข้าขวบปีที่สามที่องค์ชายน้อยกิเลนจันทร์ลงมาจุติเป็นมิ่งขวัญแห่งเย่วจินหรง นับแต่ สารทใบไม้ร่วง หิมะเหมันต์ คิมหันต์ผันผ่าน วสันต์แย้มบาน อีกไม่นานก็จะถึงงานฉลอง ‘นางพญาบุบฝา’ ผู้น้อยเห็นสมควรว่าเป็นโอกาสอันดีที่องค์ชายน้อยทั้งสองจะได้สัมผัสโลกภายนอกแล้วพะย่ะค่ะ”
เสียงกราบทูลอย่างนอบน้อมจากเสนาบดีฝ่ายขวาดังขึ้น
“ขุนนางทุกท่านเห็นพ้องเช่นนั้นหรือ”
ชูเจินอวี้เหวินถามเรียบเรื่อยพลางกวาดตามองข้าราชบริพารนับร้อยด้านล่าง ในขณะที่มู่ตานกุ้ยฮวาเผยยิ้มแล้วยกชายแขนเสื้อปิดปากแสร้งหัวเราะแต่กลับแอบหาวไปทีหนึ่ง
“ภูติบุปผาของข้าก็อยากเห็นหน้าเจ้ากิเลนน้อยทั้งสองเช่นกันพี่ชูเจิน”
นางกิเลนบุปผาว่านัยน์ตาสีชมพูเป็นประกายด้วยหยาดน้ำตาแห่งความง่วงงุน
‘โอสวรรค์ ใครสอนให้เจ้าพวกตาแก่น่าเบื่อเหล่านี้พูดจาแต่ละทียืดยาวยิ่งกว่าน้ำท่วมทุ่ง’
เหตุที่เกิดการประชุมในวันนี้เกี่ยวเนื่องมาจากกรณีปีศาจพ่ายรักเมื่อไม่กี่ปีก่อน เพื่อเป็นการตัดปัญหาห่วงหวงของกิเลนแม่ลูกอ่อนที่นับวันจะรุนแรงยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ของชูเจินอวี้เหวินและมู่ตานกุ้ยฮวา ราชันย์กิเลนเย่วหรงเต๋อจึงออกราชโองการแก่เหล่าขุนนางว่าองค์ชายกิเลนจันทร์ทั้งสองจะไม่เผยตัวต่อธารกำนัลจนกว่าสองราชินีกิเลนจะเอ่ยอนุญาต
ราชินีกิเลนวารียังคงสงบนิ่งอย่างสง่างามอยู่บนบังลังก์ นางมิได้เอ่ยความใดเพียงปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปครู่ใหญ่ ชูเจินอวี้เหวินพริ้มนัยน์ตาสีฟ้าใสมองขุนนางหลากวัยทั้งหลายส่งสายตาแวววับจับจ้องด้วยใจระทึกระคนคาดหวัง
เสนาบดีฝ่ายขวาผู้นำกราบทูลในตอนแรกได้แต่เพียงคุกเข่าชันกายใต้แสงอาทิตย์แรงกล้า เม็ดเหงื่อระบายไปทั่วใบหน้า เคราสีขาวงดงามที่เลี้ยงให้ยาวจนภาคภูมิใจว่ายิ่งใหญ่กว่าหนวดมังกรเหนียวหนึบไปด้วยหยาดเหงื่อที่หลั่งออกมาจนแห้งแล้วแห้งอีก ในใจพร่ำบริภาษไปถึงต้นตระกูลของนายช่างผู้ออกแบบท้องพระโรงหลวงแห่งอาณาจักรกิเลนที่เป็นผู้นำแนวคิด
“กิเลนผู้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ”
มาใส่ในผลงานจนบังเกิดเป็นลานเข้าเฝ้ากลางแจ้งที่มีเพียงพลับพลาขององค์ราชาและราชินีเท่านั้นที่อยู่ในร่ม โดยไม่ต้องเหลียวไปมองให้เสียเวลา มหาเสนาบดีทราบดีว่าขุนนางทั้งหลายก็คงคิดมิผิดแผกกัน
“เช่นนั้นเราอนุญาต”
ท้ายที่สุดชูเจินอวี้เหวินจึงเอ่ยปาก นางลุกขึ้นยืนพร้อมยื่นมือให้มู่ตานกุ้ยฮวา
“เราจะนำเรื่องนี้ไปกราบทูลฝ่าบาทหรงเต๋อพร้อมกับมู่ตานเอง ฏีกาที่เหลือวานเป็นธุระของพวกท่านเถิด”
ราชินีกิเลนวารีกล่าวอย่างไร้จิตใจอันแปลความหมายได้ว่า
“พวกเจ้าก็จงประชุมกลางแดดต่อไปเถิดนะ”
มู่ตานกุ้ยฮวาลอบเห็นพี่สาวร่วมสาบานหยักยิ้มมุมปาก แวบหนึ่งนางนึกสงสารขุนนางทั้งหลายที่ต้องเผชิญกับการกลั่นแกล้งอย่างร้ายกาจและแนบเนียนของชูเจินอวี้เหวิน แต่ทว่าพวกนางรู้ดีนอกจากเหตุผลที่กล่าวอ้างมาข้างต้นแล้ว ที่บรรดาขุนนางพากันกระตือรือล้นอยากจะยลโฉมของกิเลนน้อยเย่วเทียนหมิงและเย่วเทียนอ๋าวนั้น ก็เพื่อที่จะได้มีเรื่องไปคุยอวดโอ่ในการประชุมสุรากับชนชาวพิภพอื่นนั่นเอง
วันงานฉลองนางพญาบุปผา ณ.ศาลาชมวารีใจกลางบึงน้ำใสรายรอบไปด้วยบุปผานที
เย่วหรงเต๋อนั่งผ่อนคลายอยู่บนฟูกนิ่มสองแขนโอบประคองบุตรชายทั้งคู่ ราชบุตรกิเลนน้อยเติบโตมาได้อย่างน่ารักน่าชังยิ่ง
เย่วเทียนหมิงมีผมและนัยน์ตาสีเงินบริสุทธิ์ โครงหน้าและจมูกเล็กๆที่น่าหลงใหลถอดแบบมาจากชูเจินอวี้เหวิน นัยน์ตาหงส์กลมโตมีแววอ่อนโยนและฉลาดเฉลียวเหมือนบิดา ฟันซี่เล็กๆสีไข่มุกรับกันกับริมฝีปากอิ่มสีแดงสด กิเลนจันทร์แห่งแสงสว่างมักยิ้มแย้มอารมณ์ดีเสมอทั้งยังติดน้องชายไม่ห่าง
ในขณะที่เย่วเทียนอ๋าวมีผมและนัยน์ตาสีดำสนิท ใบหน้างามถอดแบบมาจากมู่ตานกุ้ยฮวา แววตาดื้อรั้นระคนเชิดหยิ่ง ริมฝีปากสีชมพูอ่อนมักแยกเขี้ยวเล็กๆสีขาวสะอาดพร้อมทำนัยน์ตาขวางใส่พี่ชาย
“เทียนอ๋าว กอดหน่อย”
กิเลนน้อยเทียนหมิงพยายามกอดรัดน้องชายด้วยวงแขนอวบอ้วนนุ่มนิ่มไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวัน ใบหน้าอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาเผยยิ้มซุกซน
“ไม่ ป้ะป๋า” เทียนอ๋าวพยายามสลัด “การโจมตีอันน่าพรั่นพรึง” ออกด้วยการขอความช่วยเหลือจากเย่วหรงเต๋อ ฝ่ามือเล็กๆดึงเรือนผมสีน้ำตาลสลวยพยายามปีนป่ายขึ้นไปที่ไหล่ของบิดา สีหน้าน่ารักที่กำลังหนักใจอย่างยิ่งยวดชวนให้ราชันย์กิเลนอดหอมแก้มเข้าฟอดหนึ่งไม่ได้
“ปาปา เทียนหมิงด้วยสิ เทียนหมิงด้วย”
บุตรชายคนโตร่ำร้องก่อนปีนขึ้นไปที่ไหล่อีกข้าง แขนเล็กๆโอบรอบคอราชันย์กิเลนก่อนถูแก้มสีชมพูใสเข้าที่คางของบิดา เย่วหรงเต๋อหัวเราะชอบใจก่อนประทานจุมพิตลงบนกลางหน้าผากมน ไล่จมูกซุกไซ้ซอกคอกิเลนน้อยเรียกเสียงหัวเราะคิกคัก
เทียวอ๋าวน้อยที่มองดูตาใสแจ๋วอยู่ฝั่งตรงข้ามเบ้ปากไม่พอใจทันทีเมื่อ “ของเล่นชิ้นโปรด” โดนพี่ชายแย่งความสนใจไป
“เจ้ากิเลนน้อยจอมซนวันนี้ป้ะป๋าจะพาไปเที่ยวนะ” เย่วหรงเต๋อกล่าวยิ้มอารมณ์ดี
“ไปเที่ยว!?”
กิเลนน้อยทั้งสองประสานเสียงเล็กๆอ่อนเยาว์ ดวงตาสุกใสสองคู่เป็นประกายวิบวับ เนื่องด้วยไม่เคยได้พบเห็นโลกภายนอกรั้วกั้นบุปผานที
“ใช่ ออกไปข้างนอก งานฉลองนางพญาบุปผาวันนี้มีดอกไม้สวยๆให้เทียนหมิงกับเทียนอ๋าวชมเยอะแยะเลย”
ราชันย์กิเลนอุ้มบุตรชายทั้งสองเดินออกจากเก๋งจีนริมน้ำ ตลอดทางเดินทอดยาวบุปผานทีสองข้างทางพากันทอดตัวเข้าหากิเลนศักดิ์สิทธิ์ กลีบดอกบอบบางไหวระริกส่งกลิ่นหอมกำจายอย่างมีความสุข
งานฉลองนางพญาบุปผาที่จัดขึ้นทุกๆหนึ่งร้อยปีนั้นคือเทศกาลที่มวลบุปผาสวรรค์จะพร้อมใจกันเบ่งบานเผยประกายความงามโดยไม่คำนึงถึงฤดูกาล เป็นงานชุมนุมเข้าเฝ้าราชวงค์กิเลนของภูติบุปผาทั้งหลายเพื่อขอประทานตำแหน่งอันทรงเกียรติสูงสุด “นางพญาบุปผา” ให้แก่ดอกไม้ที่งดงามที่สุด
ท้องพระโรงหลวงแห่งราชวงค์กิเลนประดับไปด้วยพฤกษาสีเขียวสดนานาพันธุ์ ลานหินขัดมันคราคร่ำไปด้วยฝูงชนชาวกิเลนและภูติบุปผา บุปผาสวรรค์งดงามอ่อนช้อยหลายร้อยนางพากันแต่งองค์ทรงเครื่องอลังการงานสร้าง ดวงหน้าเล็กๆยิ้มพริ้มเพราอย่างมีจริต สรรพางค์กายแต่งแต้มไปด้วยสีสันหลากหลาย เมื่อมองรวมกันแล้วก็เหมือนดั่งสายรุ้งนับร้อยสีพาดสู่ผืนดิน
ต้นไผ่สวรรค์ถูกนำมาตกแต่งเป็นกอไผ่หนาทึบขนาดย่อมโดยรอบ เหตุเพราะเหล่าขุนนางกิเลนผู้แยบยลต้องการปราการซ่องสุม “กำลังพลซุ่มดู” เหล่าภูติบุปผา ในมือขุนนางหนุ่มและแก่แต่ละท่านถือกระดาษและพู่กันเพื่อบันทึกอันดับนางในดวงใจ
บางคนพูดคุยหยอกล้อหัวร่อสนุกสนาน หัวข้อสนทนานั้นทำให้หญิงรับใช้ที่เดินผ่านไปผ่านมามีสีหน้าแดงระเรื่ออย่างช่วยไม่ได้
“องค์ราชันย์เสด็จๆ ๆ ๆ”
เสียงนางกำนัลขานรับกันทอดยาว ราชินีกิเลนทั้งสองที่ประทับคอยท่าอยู่แล้วพากันลุกขึ้นถวายบังคมอ่อนหวาน เหล่าข้าราชบริพารและภูติบุปผาพร้อมใจกันจับจ้องราชันย์กิเลนและองค์ชายน้อยทั้งสองในอ้อมแขนไม่วางตา
องค์ชายน้อยเย่วเทียนหมิงเกาะไหล่บิดาจ้องมองผู้คนแปลกหน้ายิ้มแย้ม รอยยิ้มสว่างไสวแฝงพลังหยางอบอุ่นพาให้ฝูงชนเคลิ้มฝัน ถึงขนาดมีขุนนางหัวใสบางคนรีบจัดตั้งแฟนคลับเพื่อรวบรวมสาวๆ
ในขณะที่องค์ชายน้อยเย่วเทียนอ๋าวเพียงปรายตาเหยียดมองเย่อหยิ่งด้วยแววตาน้ำแข็งแฝงพลังหยินหนาวเหน็บ ส่งผลให้ภูติบุปผาบางตนถึงกับใจละลายเพ้อฝัน
‘ได้โปรดมองหม่อมฉันด้วยแววตาเย็นชากว่านี้อีกเถิดเพคะ’
ราชันย์กิเลนอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มชื่นชมในความเป็นที่นิยมของบุตรชาย โดยหารู้ไม่ว่าแค่พระองค์หยักยิ้มก็พาให้สาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลายแทบจะขาดใจตายไปกับรอยยิ้มที่สว่างไสวจนตาพร่านั้น
“เมื่อองค์ชายน้อยมาถึงแล้วเช่นนี้ก็ได้เวลาเริ่มงานฉลองนางพญาบุปผาอย่างเป็นทางการเสียที ข้าน้อยภูติโบตั๋นจะเป็นผู้แนะนำเหล่าภูติบุปผาเองเจ้าค่ะ”
อนงค์น้อยหน้าตาน่ารักท่าทางคล่องแคล่วนางหนึ่งกระโดดลงมาด้านหน้าว่องไว ผมสีดำของนางเกล้าเป็นมวยสองข้างประดับด้วยดอกโบตั๋นสีชมพูสดดอกใหญ่ นางเดินอย่างร่าเริงขึ้นบันไดตรงไปหากิเลนน้อยทั้งสองที่นั่งอยู่บนตักของบิดา
เมื่อห่างเพียงเอื้อมจึงหยุดเท้าลงพร้อมปรบมือเล็กๆเป็นจังหวะสนุกสนาน เสียงกำไลข้อมือกระทบกัน กริ๊ก~กริ๊ก~ ภูติโบตั๋นวาดเท้าไปด้านหลังย่อตัวโค้งคำนับอย่างงดงาม มือทั้งคู่ประนมกลางหน้าอกจากนั้นจึงวาดออกเผยให้เห็นดอกโบตั๋นสีแดงสดสองดอกบนฝ่ามือ
“งานฉลองนางพญาบุปผาครั้งนี้ขอประทานเกียรติจากฝ่าบาทกิเลนจันทร์ทั้งสองเป็นผู้ตัดสินเพคะ”
โบตั๋นสองดอกน้อยลอยอย่างนิ่มนวลไปทางกิเลนน้อยเทียนหมิงและเทียนอ๋าว กลีบดอกละเอียดซ้อนกันนับร้อยชั้นแผ่วพริ้วเบาๆเริงร่า
เทียนหมิงเบิกตากว้างยิ้มรับดอกโบตั๋นอย่างไร้เดียงสา
ส่วนเทียนอ๋าวหรี่ตามองครู่หนึ่งก่อนหันไปทางมารดา เมื่อมู่ตานกุ้ยฮวาส่งยิ้มพร้อมพยักหน้ากิเลนน้อยจึงรับดอกโบตั๋นแต่โดยดี
“หากองค์ชายน้อยพอใจภูติบุปผาตนไหนขอทรงโปรดประทานดอกโบตั๋นอันได้รับการแต่งตั้งเป็นนางพญาบุปผาในครั้งที่แล้วให้แก่นางพญาบุปผาคนใหม่เถิดเพคะ”
ภูติโบตั๋นกล่าวพลางเหลียวมองไปยังสองราชินีกิเลนที่นางแอบชื่นชมใบหน้าแดงระเรื่อ จากนั้นจึงกระโดดลงไปยืนด้านล่างอย่างรวดเร็ว
“เอ้าแขกผู้มีเกียรติทุกท่านจับตาดูให้ดีภูติบุปผาแต่ละนางในปีนี้งามหยาดฟ้ามาดินทั้งนั้น”
“จริงรึๆ” เหล่าขุนนางกิเลนตาลุกวาว
“ข้าเอาหัวเป็นประกัน ท่านเสนาบดีใหญ่ทั้งหลายอย่าพึ่งหัวใจวายตายไปก่อนล่ะ”
ภูติโบตั๋นตอบขึงขังเป็นการเป็นงาน
“ขอเบิกตัวสี่อนงค์นางแรก ภูติบุปผาประจำฤดูกาล เริ่มด้วยข้าโบตั๋นแห่งฤดูใบไม้ผลิ”
ภูติโบตั๋นสะบัดเสื้อคลุมแล้วหมุนตัวรอบหนึ่ง
“ต่อไป เหอฮวาแห่งฤดูร้อน จวี๋ฮวาแห่งฤดูใบไม้ร่วง เหมยฮวาแห่งฤดูหนาว”
เสียงพลุถูกจุดขึ้น ควันสีขาวหอมกลิ่นดอกไม้กรุ่นกระจายไปทั่ว ภูติบุปผาสามนางยืนหันหลังชนกันปรากฏร่างอย่างอลังการกลางแสงสีของไฟเย็นที่เต้นระยับจากพื้นสู่อากาศ เหอฮวาประคองดอกบัวสีขาวไว้แนบอก จวี๋ฮวาหอบดอกเบจญมาศสีเหลืองสดเต็มสองแขน เหมยฮวาถือกิ่งเหมยประดับดอกเหมยช่อเล็กๆสีชมพูอ่อนดูน่ารักน่าทนุถนอม สี่บุปผาผู้ยิ่งใหญ่ (เพราะเป็นตัวเก็งครองตำแหน่งทุกครั้ง) ออกโรงมาพร้อมเสียงฮือฮาด้วยความชื่นชม
‘เว่อร์จริงๆ’
“ต่อไปคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามอง กุ้ยฮวาผู้บานหอมไปทั้งสิบทิศ ตู้จวนฮวาสมญาสีแดงสะท้อนภูเขา สุ่ยเซียนฮวานางฟ้าบนเกลียวคลื่น”
เสียงดนตรีประโคมเพลงเปิดตัวดังกระหึ่ม บุปผาเยาว์วัยสามนางร่ายรำตามจังหวะออกมายืนเทียบเคียงบุปผาประจำฤดูกาล
สายตาหกคู่ประสานกันส่งประกายไฟแล่นเปรี๊ยะๆ
“กุ้ยฮวาคือดอกไม้แห่งแดนสวรรค์โดยแท้ กลิ่นหอมเพียงนิดก็สามารถปลุกดอกไม้อื่นให้พร้อมใจกันเบ่งบาน”
ภูติกุ้ยฮวาผู้ถือช่อดอกหอมหมื่นลี้สีส้มเย็นตากล่าว
“ถึงจะหอมเช่นไรเจ้าก็ไม่อาจบานในฤดูหนาว เป็นได้เพียงกิ่งไม้ไร้ดอกกลางหิมะพิสุทธิ์”
ภูติเหมยฮวาตอบโต้
“พวกท่านคิดน้อยไปแล้วกระนั้น หอมแล้วอย่างไร เบ่งบานในขณะที่ผู้อื่นหลับใหลวิเศษตรงไหน ตู้จวนฮวาสิคือขุมทรัพย์แห่งหุบเขา สมุนไพรล้ำค่าที่ได้รับการยกย่องเป็นยอดหญิงงามในขณะที่ดอกบัวเป็นได้แค่เพียงหญิงชราน่าเกลียด”
ภูติตู้จวนฮวาผู้ประดับเรือนกายไปด้วยดอกนกแขกเต้ากล่าวท้าทายส่งผลให้ภูติเหอฮวาหันขวับมาจ้องเขม็ง บรรยากาศเริ่มมาคุ
ราชินีกิเลนทั้งสองเพียงปิดปากหัวเราะคิกคักกับการโต้คารมของเหล่าบุปผาสวรรค์ ส่วนราชันย์กิเลนได้แต่ยิ้มบางๆพลางนึกในใจว่า จะเป็นศึกไหนก็ไม่ทรงหวั่นยกเว้นศึกวาจาของสตรีเท่านั้นที่จะขอยอมแพ้โดยดุษณี
“ไม่ต้องทะเลาะกันๆ ยังมีภูติบุปผาตนอื่นรอให้องค์ชายน้อยคัดเลือกอีก ขอเบิกตัวเถาฮวาแห่งดอกท้อ หลานฮวาแห่งดอกกล้วยไม้ เหมยกุยแห่งดอกกุหลาบ ม่อลี่แห่งดอกมะลิ...”
ภูติโบตั๋นสมแล้วที่รั้งตำแหน่งนางพญาบุปผามีพรสวรรค์ในการเพิกเฉยความตึงเครียดได้ชะงัดนัก จากนั้นบรรดาสาวงามทั้งหลายก็เดินขบวนออกมากันอย่างสนุกสนาน
องค์ชายน้อยเทียนหมิงจับจ้องผู้เข้าประกวดตาแป๋ว กระแซะเบียดน้องชายพร้อมเกี่ยวแขนชี้ชวนดูเหล่าบุปผาภูติที่ออกมาร้องเพลง เต้นรำ ว่ากลอน เล่นกายกรรม แสดงกลต่างๆแล้วแต่จะสรรหาเพื่อที่จะได้เป็นผู้ชนะ
“เทียนอ๋าวดูนั่นสิๆ อ้าๆ~ ยอดไปเลยๆ”
ฝ่ายองค์ชายน้อยเทียนอ๋าวกลับนั่งหน้ามุ่ยในใจนึกรำคาญที่ต้องมานั่งเบียดกับพี่ชายแถมยังต้องช่วยกันเลือกนางพญาบุปผาอีก ยิ่งถูกมือเล็กๆเกาะเกี่ยวติดหนึบก็ยิ่งหงุดหงิด
เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนแดดอ่อนแสงลงมากแล้วภูติบุปผานับร้อยตนยืนอยู่เบื้องหน้าองค์ชายน้อยรอการตัดสิน ทว่ากิเลนน้อยเทียนหมิงผู้มีท่าทีพออกพอใจกับภูติบุปผาทุกตนขมวดคิ้วมุ่นนัยน์ตาสีใสมีแววครุ่นคิด หาทางที่จะแบ่งโบตั๋นดอกน้อยในมือให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
กลับกันกิเลนน้อยเทียนอ๋าวกลับมีสีหน้าเย็นชาเรียบเฉย กิเลนจันทร์แห่งความมืดไม่ใคร่พิศวาสเหล่าดอกไม้ที่เปล่งประกายสว่างเจิดจ้าเหล่านี้ แสงสว่างนั้นน่ารำคาญน้อยไปกว่าพี่ชายข้างๆเท่าไรกันเล่า? เทียนหมิงที่เห็นเทียนอ๋าวไม่ยอมตัดสินใจก็ทำหน้าเลิ่กลั่กบอกไม่ถูก ใบหน้าอ่อนเยาว์แฝงรอยลำบากใจเสียแปดส่วน
“องค์ชายน้อยแห่งความมืดย่อมไม่อาจสำราญใจกับบุปผาแห่งแสงสว่าง เช่นนั้นแล้วฝ่าบาทโปรดประทานโอกาสให้แก่เหล่าบุปผาแห่งความมืดดูเถิดเพคะ”
เสียงหวานบาดหูทว่าเย็นเยียบเสียงหนึ่งดังขึ้นในความคิดของเย่วเทียนอ๋าว พลังด้านลบแสนคุ้นเคยผุดขึ้นมาเป็นระลอกราวกับน้ำพุที่ผุดรดผืนดินแห้งผาก
กิเลนจันทร์จันทร์แห่งความมืดแสยะยิ้ม เอนตัวพิงบิดาเท้าคาง สีหน้าสนุกสนาน
“เราอนุญาต”
เย่วเทียนอ๋าวกล่าวเรียบๆให้ผู้ที่ได้ยินงงงวย ไม่ทันขาดคำแผ่นดินก็สั่นไหวน้อยๆพื้นหญ้าสีเขียวเหี่ยวเฉาลงทันที เสียงฝีเท้าเบาบางเหยียบย่ำใบหญ้าแห้งกรอบดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ขบวนของบุปผาแห่งความมืดอันลึกลับระคนงดงามปรากฏในยามโพล้เพล้ ตะวันสีส้มแดงฉายฉานเคลือบรอยยิ้มอาบยาพิษของพวกนางแนบเนียน
“ภูติบุปผาแห่งราตรีกาล”
ภูติโบตั๋นกล่าวน้ำเสียงเจือกังวล ควรทราบว่าบุปผาแห่งทิวาและราตรีนั้นไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ด้วยเหตุว่าพวกนางต่างดูดซับพลังฟ้าดินในเวลาต่างกัน บุปผาแห่งแสงสว่างเติบโตด้วยพลังหยางในขณะที่บุปผาแห่งความมืดหล่อเลี้ยงตนด้วยหลังหยิน งานฉลองนางพญาบุปผาของฝั่งแสงสว่างจึงไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากบุปผาแห่งความมืดมาก่อน
ผู้นำขบวนของบุปผาแห่งความมืดนับร้อยตนนั้นคือสตรีน้อยนางหนึ่งผู้มีผมและนัยน์ตาสีม่วงลึกล้ำ สีม่วงนั้นหม่นเข้มจนเกือบดำ หากมองผ่านก็สามารถกลืนหายไปในราตรีกาลโดยง่าย
ในมือของนางถือดอกไม้ช่อหนึ่งรูปร่างประหลาดตา พิศมองผิวเผินดูคล้ายโคมไฟส่องแสงนวลตา ทว่าหากจ้องให้ดีแล้วโคมไฟนั้นคือดอกไม้ดอกน้อย ก้านอ่อนสีเขียวสดทิ้งตัวลงล่างตัดกับกลีบดอกสีม่วงเข้ม ลวดลายนูนแดงราวเส้นเลือดแตกแขนงบนกลีบดอกดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก กลางดอกคือพู่เกสรสีชมพูสดสุกใสราวกับประทีป
“เติงหลงฮวา คารวะองค์ชายน้อยกิเลนจันทร์เพคะ”
เมื่อได้ยินเสียง กิเลนจันทร์แห่งความมืดทราบได้ทันทีว่านางภูติดอกโคมไฟผู้นี้เองคือผู้ที่สื่อสารผ่านจิตกับตน
เย่วเทียนอ๋าวจับจ้องดอกโคมไฟอย่างหลงใหล ราวกับประทีปแห่งแสงอันมืดมิดบริสุทธิ์ฉายชัดจับนัยน์ตา โดยไม่สนใจเย่วเทียนหมิงที่เกาะกุมตน กิเลนน้อยแห่งความมืดสะบัดตัวออกจากวงแขนเดินลงมาหาเติงหลงฮวา มือน้อยๆขาวสะอาดยื่นดอกโบตั๋นไปด้านหน้าประทานแก่นางภูติราตรี
“เจ้าคือนางพญาบุปผา”
----------------------------------------------------------------
A/N ดอกไม้จีนนี่สีสวยๆทั้งนั้นเลยค่ะ ได้รูปมาเพียบ *0* ชอบมากๆ อิอิ ขอบอกว่าชอบเติงหลงฮวามากๆ ดอกอะไรสวยจัง *0* จริงๆดอกนี้มีหลายสีนะคะ ในนิยายนี่เอามาผสมกัน+จินตนาการจ้ะ
2. อิมเมจของภูติโบตั๋น (ซ้าย) กับ เติงหลงฮวา (ขวา)
3. ตู้จวนฮวาหรือดอกนกแขกเต้า
4. เหมยฮวาหรือดอกเหมย
6. สุ่ยเซียนฮวา ดอกจุ้ยเซียน ถ้าจำไม่ผิดมันคือ แดฟโฟดิล(นาร์ซิสซัส) จ้ะ
7. เถาฮวาหรือดอกท้อ
8. หลานฮวาหรือดอกกล้วยไม้
9. อิมเมจภูติบุปผาในงานจ้ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ปลื้มอ๋าวมาก~
มันเขียนว่า "ก่อนที่อาณาจักรจันทราทองเย่วจินหลงจะล่มสลาย"
จะเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย ท่านพ่อท่านแม่ และกิเลนน้อยทั้งสาม จะเป็นอะไรมั้ยหน่อ
ภาค 2! เรื่องนี้จะมีซักกี่ภาคครับเนี่ย
อ้าว แบบนี้ก็ต้องแบ่งฝ่ายสินะ นางพญาบุปผาราตรี กับนางพญาบุปผาทิวา
คุณเธออัพไวค่อดๆ ไปเลยค่า!!!! เยี่ยมไปเลยค่ะที่รัก!!
(ZZ ไม่ละอายใจเลย 555+)
เขียนดีขึ้นเยอะนะ ฟารา ประมาณว่าติดลมกับตัวละครไปแล้วใช่ไหมล่ะ อิ้อิ้ ดีมากๆ อัพเยอะๆ นะ จะคอยตามอ่าน อิ้อิ้
ปล.ส่วนตัวฉบับจริง คาดว่าจะทยอยอัพเรื่อยๆ ภายในสัปดาห์หน้านี่ค่ะ ^^" (จะแบ่งเวลายามค่ำคืนที่ไซต์งานมานั่ง proof ให้นะคะ หึหึ)
ปล.2 ZZ หายไปหมกมุ่นกับที่ไซต์งานกับปั่นนิยายของตัวเองอยู่...เลยไม่ค่อยได้มาตอบเม้นท์เท่าฟารา ที่เป็นสาวออฟฟิสหน้าตาดีนะคะ อิ้อิ้ แต่อย่างไรก็ตาม ZZยังติดตามหน้านิยาย(ของฟารา) อยู่เสมอค่ะ (ของตัวเองไม่กล้าเข้า ฮือๆๆ)
ขอบใจมากจ้ามาอ่านด้วยวันนี้ *0* พอดี ZZ เค้าชอบฉากเซอร์วิสน่ะค่ะ XD ฟาราเลยจัดให้ หุหุ
เขียนเองอายเอง ต้ายชั้น (>////<)
จะพยายามอัพให้ครบ100% เร็วๆนี้จ้า >.<
แค่1 คอมเม้นต์ก็ช่วยต่อกำลังใจ แบบมีคนชอบที่เราเขียนเว้ยเฮ้ย *0* (เว่อร์ซะ)
อ๊ายยย
รักเด็ก ขอเข้าไปร่วมวงด้วยคนค่า~~~~ <<<ในใจนี่หวังฮุบปะป๋า 555