ตอนที่ 45 : บทที่ ๓ ไหสุราบนผ้าแพร (๒) (ฉบับร่าง 100%)
ฟารา : 100% เสียเวลาระลึกชาติอยู่นานทีเดียว ในที่สุดวิญญาณกิเลนฯ ก็กลับมาสิงฟาราอีกครั้ง เย้! _/l\_ ขอบพระคุณทุกท่านที่ยังรอกันอยู่นะคะ
บทที่ ๓
ไหสุราบนผ้าแพร (๒)
เฮ่อเหลียนหย่งเล่อพินิจมองกิเลนผู้เยาว์ตรงหน้าด้วยแววตาสงบนิ่งประดุจผิวน้ำไร้ระลอกคลื่น สิ่งที่นัยน์ตาของผู้ยิ่งใหญ่แห่งพิภพเทพมองเห็นนั้นมิใช่เพียงรูปลักษณ์ของเอกบุรุษที่เป็นเครื่องปรุงแต่งภายนอก แต่ยังรวมถึงกระแสปราณแห่งแสงสว่างที่เจิดจ้าและบริสุทธิ์เข้มข้นที่สุดเท่าที่เคยประสบมาในชั่วชีวิตนี้
“ท่าร่างนับว่าเข้มแข็งพอใช้ได้ พื้นฐานไม่เลวเลยทีเดียว” จักรพรรดิเทพเป็นฝ่ายเปิดปาก “ประกายมุ่งมั่นในแววตานั้นก็น่าชมนัก” ว่าพลางบิดข้อมือคราหนึ่ง เทียนหมิงก็ไถลตามมาครึ่งก้าว เฮ่อเหลียนหย่งเล่อขมวดคิ้วน้อยๆ คิ้วมังกรที่พาดเฉียงขึ้นยิ่งทำให้ใบหน้าแห่งจอมคนแลดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น “เสียดาย ยังควบคุมพลังปราณได้ไม่ถึงแก่นแท้”
เปรี้ยง! เฮ่อเหลียนหย่งเล่อใช้เพียงปลายนิ้ว ระเบิดพลังปราณโลหะอันเป็นแก่นธาตุของตนใส่เทียนหมิงโดยไม่ปรานี ส่งผลให้โอรสกิเลนที่อยู่สุดปลายอีกด้านหนึ่งของผ้าแพรกระเด็นออกไปทั้งๆ ที่แขนยังถูกพันธนาการอยู่
“องค์ชายเทียนหมิง!” นางภูติดอกโบตั๋นหวีดร้องขึ้นด้วยความเป็นห่วงเหลือประมาณ สุ้มเสียงสั่นเครือผสานกับเสียงตีปีกของสกุณานับร้อยที่โผบินขึ้นฟ้าโดยไม่คิดชีวิต ชาวบ้านที่มีปัญญาโดยรอบต่างรีบถอยหนีกันอุตลุด กระแสปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของเฮ่อเหลียนหย่งเล่อทั้งรุนแรงและกดดัน กระทั่งกิ่งก้านเพรียวบางของหลิวต้นใหญ่ที่เคยทิ้งตัวลงสู่พื้นยังถูกตีให้กลับตาลปัตร ม่านไม้สีเขียวสดปลิดปลิวขึ้นด้านบนจนดูคล้ายว่าหลิวต้นนั้นงอกออกมาจากท้องฟ้าอย่างไรกระนั้น
‘คนผู้นี้ใช้พลังปราณควบคุมผ้าแพรได้ดุจแขนขาของตนเอง ทั้งยังรู้ว่าผ้าแพรสวรรค์สามารถยืดหดได้ตามใจนึก จึงใช้มันต่างโซ่ล่ามเราไว้ในขณะที่โจมตีโดยไม่ลังเล’
เทียนหมิงคิดในขณะที่ถูกผลักให้ลอยอยู่กลางอากาศ ร่างกายล้อมรอบด้วยข่ายมนต์สีเงินสว่างไสว ในตอนที่ถูกโจมตี โอรสกิเลนรีบปลดปล่อยพลังปราณธาตุแสงเข้าต้านรับ พร้อมกันนั้น มือซ้ายที่เป็นอิสระก็ขยับปลายนิ้ววาดข่ายอาคมอารักษ์แปดทิศอย่างคล่องแคล่ว จึงรอดพ้นจากการบาดเจ็บสาหัสได้อย่างหวุดหวิด
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนมุมปากของผู้ปกครองพิภพเทพ “ชั่วเวลาแค่พริบตา กลับป้องกันไว้ได้งั้นรึ ดูท่าว่า ข้าคงจะต้องประเมินเจ้าใหม่เสียแล้วกระมัง” กระนั้น ท่านผู้ยิ่งใหญ่ก็เพียงสะบัดข้อมือ ลากเทียนหมิงที่เพิ่งจะแตะปลายเท้าพร้อมคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นกลับมาได้อย่างง่ายดาย
“ผู้อาวุโสกล่าวเกินไปแล้ว พลังที่ท่านใช้เพียงแค่ลองเชิง กลับทำให้ข้าต้องใช้อาคมป้องกันที่ดีที่สุด” เทียนหมิงอยู่ในท่าตั้งเข่า ยกมือซ้ายขึ้นพร้อมใช้ปลายนิ้วโป้งปาดหยดเลือดสายหนึ่งที่ไหลออกมาจากมุมปาก มือขวาพยายามรั้งผ้าแพรกลับจนสุดกำลังเพื่อรักษาระยะห่าง เทียนหมิงไม่แน่ใจว่าหากถูกดึงเข้าประชิด จะสามารถต้านรับพลังปราณร้ายกาจนั้นได้หรือไม่
“พลังปราณรุนแรงยิ่งกว่าเพลิงระเบิดแต่กลับไม่สร้างความเสียหายให้กับผ้าแพรแม้แต่น้อย ทักษะควบคุมอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ นับว่าวันนี้ผู้น้อยได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
แท้จริงแล้ว ทักษะโคจรควมคุมพลังปราณถือเป็นพื้นฐานของพื้นฐาน ผู้ใช้พลังธาตุกำเนิดทุกคนย่อมต้องเรียนรู้ ทั่วสามพิภพสี่เขตแดนสวรรค์ เผ่ามารได้รับการยกย่องว่าเป็นอันดับหนึ่งในด้านการควบคุมการไหลเวียนของกระแสปราณ ในขณะที่เผ่าเทพกลับขึ้นชื่อด้านปริมาณมหาศาลของพลังปราณเสียมากกว่า
หากกระแสปราณเปรียบดั่งสายน้ำ พลังปราณของเผ่ามารย่อมจะเป็นทะเลสาบสงบนิ่ง ในขณะที่พลังปราณของเผ่าเทพคือมหาสมุทรคลุ้มคลั่ง
เมื่อมีพลังธาตุภายในมหาศาล การควบคุมก็ย่อมยากขึ้นเป็นทวีคูณ เฮ่อเหลียนหย่งเล่อได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้กำเนิดมาพร้อมกับพลังปราณที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์พิภพเทพ แต่กลับควบคุมพลังปราณสายนั้นลำบากเพียงพลิกฝ่ามือ ในเมื่อสามารถทำเรื่องที่ไม่ถนัดที่สุดได้คล่องแคล่วที่สุดเช่นนี้ คำกล่าวสรรเสริญทั้งหลายจึ่งย่อมมีเค้าความจริงเป็นแน่แท้
เทียนหมิงเม้มปากลง ดูเหมือนอีกฝ่ายจะผ่อนแรงดึงแล้ว เขาจึงรีบใช้โอกาสนั้นรวบรวมพลังปราณไว้ที่ดวงตา เพ่งเนตรจิตมองร่างของบุรุษปริศนาที่พันธนาการตนไว้ เมื่อมองทะลุผ่านแผ่นอกกว้างไปถึงตำแหน่งหัวใจ จึงได้เห็นแก่นแห่งธาตุกำเนิดที่ดูคล้ายเตาไฟโลหะรูปทรงกลมลอยนิ่งอยู่
‘ธรรมดากว่าที่คิด’ เทียนหมิงเผลอถอนใจ ทว่า ชั่วขณะที่หย่อนสมาธิลง ดวงไฟที่จับจ้องอยู่นั้นกลับเปล่งรังสีพิฆาตวาบหนึ่ง
“อึก!” เทียนหมิงยกสองแขนขึ้นมากันด้านหน้าทันที... ทั้งๆ ที่ไม่ได้โดนโจมตี แต่ทั่วร่างกลับเหมือนถูกทิ่มแทงด้วยเข็มโลหะที่ลุกเป็นไฟ หยดเหงื่อเย็นเฉียบไหลโทรมกาย กระทั่งปลายนิ้วก็สั่นจนหยุดไม่ได้
‘ยอดยุทธ’ กิเลนแห่งแสงไม่กล้าประมาทอีกต่อไป “ผู้อาวุโสเป็นชาวพิภพเทพใช่หรือไม่?”
“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น?” เฮ่อเหลียนหย่งเล่อมั่นใจในวิชา ‘พรางจิตปราณผสานร่าง’ ของตนเป็นที่ยิ่ง กลิ่นไอของปราณแห่งเทพสมควรถูกซ่อนไว้ได้อย่างหมดจด หาไม่แล้ว เหล่าผู้ติดตามจากพิภพเทพ อันรวมไปถึงน้องชายผู้มักจะรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของเขา ‘เฮ่อเหลียนหย่งไท่’ คงปรากฏร่างออกมาตั้งแต่กระบวนท่าแรกที่ประมือกับเยว่เทียนหมิงแล้ว
“ที่ข้าปลีกตัวออกมาด้วยเพราะไม่ต้องการผู้ติดตาม แต่กระทั่งทารกกิเลนยังมองออก ดูท่า... ข้ายังฝึกฝนมาไม่พอกระมัง” จักรพรรดิเทพเอ่ยคล้ายจะเปรยกับตนเอง
“หาเป็นเช่นนั้นไม่ วิชาพรางจิตของท่านสมบูรณ์พร้อม หากแต่ไอปราณคุกคามที่แข็งกร้าวนั้นดูราวกับดวงอาทิตย์คลั่ง ผู้ชะล่าใจย่อมจะถูกแผดเผาเป็นเศษเถ้าธุลีดิน ปราณภายในที่ทรงอานุภาพเช่นนี้ คงไม่สามารถคาดเดาเป็นอื่นได้” เทียนหมิงมั่นใจว่า ‘ดวงไฟ’ ที่เห็นเมื่อครู่ เป็นเพียงภาพลวงตาจากวิชา ‘พรางจิตปราณผสานร่าง’ แห่งธาตุทอง... พลังที่แท้จริงของยอดคนตรงหน้า... มิอาจประเมินได้
เฮ่อเหลียนหย่งเล่อหลับตาลงครู่หนึ่ง จิตสังหารก็พลันมลายหายไปสิ้น “ไหวพริบไม่เลว... เห็นแก่ปัญญาของเจ้า ข้าจะให้โอกาสแก้ตัว” ว่าพลางสะบัดมือข้างซ้าย ไหสุราที่ยังไม่ได้เปิดบนโต๊ะก็ลอยลิ่วเข้ามา “หากเจ้าสามารถทำให้สุราไหนี้แตกได้ ข้าจะปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระ” เขาหิ้วสายเชือกสีแดงสดที่ใช้มัดไหสุราด้วยท่าทางสบายๆ
เทียนหมิงได้ยินก็ตรึกตรองทันที คนผู้นี้ช่างเป็นผู้อาวุโสที่ทระนงใช่ย่อย คิดจะสั่งก็สั่งโดยไม่ถามความสมัครใจ ที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้น เขายังสามารถ ‘ออกคำสั่ง’ ได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ราบกับว่าเกิดมาเพื่อบงการฟ้าดินโดยแท้
“ไม่ต้องกังวล ข้าจะต่อให้เจ้าโดยใช้เพียงกระบวนท่า จะไม่ใช้พลังปราณแม้เพียงเศษเสี้ยว” เฮ่อเหลียนหย่งเล่อยื่นข้อเสนอ
อันผู้ฝึกยุทธย่อมสนใจในเพลงยุทธ ยิ่งบุรุษตรงหน้าเปรียบดั่งกำแพงสูงใหญ่ที่ข้ามไปไม่ได้ ก็ยิ่งท้าทาย “ผู้อาวุโสกล่าวถึงขนาดนี้ เห็นทีข้าคงไม่อาจปฏิเสธได้” เทียนหมิงหันไปทางภูติโบตั๋น ส่งสายตาบอกให้ถอยห่างออกไป เมื่อมั่นใจว่านางจะไม่โดนลูกหลงจึงเริ่มเปิดฉากบุก
เขาก้าวเดินวนเป็นวงกลมเพื่อหลอกล่อไม่ให้รู้ว่าจะโจมตีจากทิศไหน ในใจคิดคำนวณถึงกระบวนท่าที่ฝ่ายตรงข้ามจะแสดงออกมา โอกาสประมืออย่างจริงจังกับยอดยุทธที่หาได้ยากยิ่งทำให้โอรสกิเลนที่เพิ่งจะกำเนิดมาได้เพียงสิบหกปี รู้สึกหวั่นเกรงและยินดีในขณะเดียวกัน
เฮ่อเหลียนหย่งเล่อหยักยิ้มเมื่อเห็นท่าก้าวเท้าของกิเลนแห่งแสง “กิเลนเหยียบบุปผา วิชาของมู่ตานสินะ”
ท่าก้าว ‘กิเลนเหยียบบุปผา’ เป็นวิชาเฉพาะของ ‘เทพพิทักษ์สงครามแห่งพิภพกิเลน มู่ตานกุ้ยฮวา’ ว่องไว เงียบกริบ และงามสง่า ทุกท่วงท่าไม่มีจังหวะสูญเปล่า ฝีเท้าเฉียบคมไร้น้ำหนักราวกับผู้ใช้กำลังเยื้องย่างอยู่บนกลีบบุปผากระนั้น
“ท่านรู้จักท่านแม่มู่ตานด้วยหรือ?” เทียนหมิงอดถามไม่ได้ในขณะที่ฟาดสันมือซ้ายใส่ไหสุรา ใช้เวลาชั่วพริบตาก้าวประชิดเข้ามาจากมุมอับ
“อา... นางเป็นสหายเก่าแก่ของข้าเอง” เฮ่อเหลียนหย่งเล่อตอบพร้อมลดมือซ้ายที่ถือไหสุราลง เขาตวัดมือขวาที่ยังกำผ้าแพรขึ้นมาแล้วใช้ข้อมือปัดการโจมตีของเทียนหมิงให้แฉลบออกไป
เทียนหมิงรู้สึกชาที่สันมือทันที แต่ก็ไม่ยอมรามือโดยง่าย “เช่นนั้นขอล่วงเกินท่านแล้ว” ใช้มือขวาที่ถูกพันธนาการและผ้าแพรให้เป็นประโยชน์ ตวัดแขนอย่างรวดเร็วคราหนึ่ง ผ้าแพรก็ม้วนวนรัดแขนขวาของคู่ต่อสู้พร้อมกระชากให้ปะทะกันในระยะประชิด ทั้งสองดึงรั้งกันผ่านทางผ้าแพรเพื่อสกัดอีกฝ่ายมิให้ใช้มือขวาได้
“โฮ่ บังคับให้ข้าต้องสู้โดยใช้มือซ้ายเพียงข้างเดียวงั้นรึ” เฮ่อเหลียนหย่งเล่อพลิกผ่ามือซ้ายหมุนไหสุราเข้าด้านใน ใช้หลังมือรับพลังดรรชนีของเทียนหมิงอย่างไม่ทุกข์ร้อน
เทียนหมิงกัดฟันกรอด งอปลายนิ้วเป็นตะขอ พยายามทะลวงให้ถึงไหสุรา ‘ฝ่ายที่ป้องกันควบคุมกระบวนท่าได้ยากกว่า เราน่าจะได้เปรียบเพราะแค่ต้องทำให้แตกเท่านั้น...’ ทั้งสองรุกรับกันด้วยมือซ้าย วิชาดรรชนีของโอรสกิเลนมิใช่ชั่ว กระบวนท่าทรงพลังสมบูรณ์พร้อม น่าแปลกที่เฮ่อเหลียนหย่งเล่อยังมิได้ขยับปลายนิ้วที่ใช้หิ้วไหสุราแม้แต่น้อย ใช้เพียงหลังมือและข้อมือบิดพลิกพลิ้วถ่ายแรงโจมตี การเคลื่อนไหวโอนอ่อนไร้แรงต้านราวกับหลิวลู่ลม ปัดการโจมตีออกไปได้อย่างงดงามราวกับกำลังร่ายรำ
โรมรันกันได้สักพัก เทียนหมิงก็เริ่มขมวดคิ้ว ท่าร่างที่รัดกุมไร้ช่องว่างของอีกฝ่ายทำให้เขาต้องลับสมาธิให้เฉียบคม ไม่สามารถละสายตาได้แม้แต่น้อย
“หึ กระบวนท่านับว่าถูกต้องแล้ว ทว่ายังขาดการพลิกแพลง” เฮ่อเหลียนหย่งเล่อใช้เพียงสามนิ้วกำเชือกไว้ ดรรชนีชี้และกลางปล่อยออกสวนกลับใส่ดรรชนีของเทียนหมิง ชั่วขณะที่ปลายนิ้วปะทะกันพลันเกิดพลังระเบิดสายหนึ่ง พลังธาตุกำเนิดของจอมคนวิ่งเข้าสู่ร่างของเทียนหมิงราวกับมีชีวิต
เทียนหมิงไถลออกไป ยังดีที่มือขวารั้งผ้าแพรไว้ได้ทันจึงไม่กระเด็นไปปะทะกับต้นไม้ใหญ่ เส้นเลือดทั่วร่างถูกขยายออกก่อนจะบีบตัวลงอย่างรวดเร็ว เจ็บร้าวราวกับถูกแส้หนามโลหะบีบรัด “เมื่อกี้มันอะไรกัน” เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นคู่ต่อสู้เปลี่ยนไปถือไหสุราด้วยมือขวาแล้ว เขาละสายตาจากเทียนหมิงมาจับจ้องดรรชนีซ้ายของตนอย่างครุ่นคิด
“ไหนท่านบอกว่าจะไม่ใช้พลังปราณ?” เทียนหมิงถามพร้อมก้าวเท้าวนเวียนเข้าโจมตีอีกระลอก
“ข้ามิได้ใช้” เฮ่อเหลียนหย่งเล่อกล่าวเรียบๆ น้อยครั้งนักที่จะเกิดเรื่องเหนือการควบคุมเช่นนี้ และท่านผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่ใคร่ชอบใจนัก
เทียนหมิงมิได้สาวความต่อ ใช้โอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามเปิดช่องว่างส่งมือซ้ายดุจหอกทะลวงใส่ไหสุรา เฮ่อเหลียนหย่งเล่อจะชักมือขวากลับ เทียนหมิงก็รู้เท่าทัน กระชากผ้าแพรให้เสียจังหวะ ทว่าเฮ่อเหลียนหย่งเล่อก็ยังใช้มือซ้ายรับการโจมตีไว้ได้ ในจังหวะที่คิดว่าป้องกันได้หมดจดแล้ว เทียนหมิงก็เตะเท้ากระแทกเข่าขวาขึ้นมา หวังทำลายไหสุราจากด้านล่าง
จักรพรรดิเทพถึงคราวเอาจริง เพิ่มแรงรั้งแขนขวาแล้วโยนไหสุราขึ้นฟ้า รอดพ้นปลายเข่าเทียนหมิงได้หวุดหวิด “ขอถอนคำพูดที่ว่าเจ้าไม่รู้จักพลิกแพลง”
เทียนหมิงเผยรอยยิ้มให้ในชั่วขณะที่ทั้งสองสบตากัน จากนั้นก็คลายพลังที่รั้งผ้าแพรออก เขาเงยหน้ามองไหสุราที่อยู่สูงลิบพร้อมกระโดดเหยียบเท้ากลางอากาศ ใช้วิชาตัวเบาไต่ขึ้นไปด้านบนทันที
เฮ่อเหลียนหย่งเล่อไม่รอช้าทะยานร่างตามติด เงาร่างสีขาวและน้ำเงินพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าราวกับลูกศร หมัดซ้ายของเทียนหมิงปะทะกับฝ่ามือของเฮ่อเหลียนหย่งเล่อ ไหล่ขวายกขึ้นแล้วตีศอกออกตามหวังโจมตีศีรษะ แต่ก็ถูกกันไว้ได้ด้วยท่อนแขนแกร่ง แรงปะทะทำเอาโอรสกิเลนได้ยินเสียงกระดูกตนเองลั่นอยู่ในหู เท้าสองคู่เตะกระหวัดหวังเกี่ยวให้ฝ่ายตรงข้ามเสียหลัก
โดยไม่มีใครยอมใคร ทั้งคู่ไต่อากาศขึ้นมาหลายจ้าง กระทั่งยอดไม้ก็ยังไหวเอนอยู่ด้านล่าง เทียนหมิงทะยานตัวขึ้นสูงในอึดใจ กระแทกฝ่ามือหมายทำลายไหสุราที่กำลังตกลงมา
มิคาด เฮ่อเหลียนหย่งเล่อกลับไวกว่า มือขวาสะบัดแถบผ้าแพรม้วนกระชากไหสุราออกจากวิถี ในขณะที่มือซ้ายโจมตีกลับ เปรี้ยง! ฝ่ามือของทั้งสองปะทะกันเข้าอย่างจัง พลังธาตุทองอีกสายไหลเข้าสู่ร่างกายโอรสกิเลนอีกครั้ง แต่ครานี้มีผลทำให้ชะงักเท่านั้น
‘ไม่ใช่บังเอิญแล้ว...’ เฮ่อเหลียนหย่งเล่อสะบัดมือซ้ายไพล่หลังขณะทิ้งร่างลง ปลายเท้าแตะพื้นในจังหวะเดียวกับที่เทียนหมิงตีลังกากลับหลังหมุนร่างลงพื้นเช่นกัน
“กิเลนจันทร์ ดูเหมือนร่างกายของเจ้าจะสามารถดูดซับพลังธาตุกำเนิดของข้าได้... น่าสนใจจริงๆ”
เทียนหมิงกลืนเลือดลงคอแล้วไม่ตอบกระไร ทั้งสองกระตุกผ้าแพรในจังหวะเดียวกัน แถบผ้าจึงรัดรั้งไหสุราไว้ตรงกลาง กิเลนแห่งแสงดึงพร้อมก้าวเข้าหา หวังจะเพิ่มแรงให้แถบผ้าบีบไหสุราให้แหลก
ทว่า ท่านผู้ยิ่งใหญ่ไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น บาทาไร้เงาก้าวพริบตามาอยู่ตรงหน้า ไหสุราที่ตกลงมาเพราะผ้าหย่อนลง ถูกปลายนิ้วกระแทกเบาๆ ให้ลอยขึ้นไป “รับมือ” นิ้วมืออีกข้างงอเป็นกรงเล็บ ตะปบทะลวงจุดตายไม่ให้ตั้งตัว
นัยน์ตา ลำคอ หัวใจ ชายโครง เทียนหมิงแค่โยกตัวหลบพร้อมวาดแขนปัดป้องก็เต็มกลืนแล้ว แต่บุรุษตรงหน้าช่างน่ากลัวนัก มือหนึ่งโจมตี อีกมือดีดไหสุราที่ตกลงมาให้กลับขึ้นไป จากนั้นใช้สองมือโจมตีพร้อมกัน แล้วตวัดมือไปผลักไหสุราที่เพิ่งตกลงมาให้ลอยขึ้นอีกครั้ง เช่นนี้สลับไปมาไม่หยุด สร้างความปวดหัวให้เทียนหมิงไม่น้อย
ทุกกระบวนท่าที่ปะทะ ประกายแสงสีทองจักระเบิดขึ้น “อึก!” เทียนหมิงถูกฝ่ามือกระแทกหน้าอกสองครั้งพลังธาตุแข็งแกร่งก็ไหลเข้ามาทันที ร่างกายกึ่งซึมซับกึ่งต่อต้าน กล้ามเนื้อทุกส่วนเขม็งตึงจนปวดร้าว พลังปราณธาตุแสงและทองหมุนวนไปทั่วร่างเป็นวัฏจักรแปลกประหลาด เริ่มแรกขัดแย้ง ครู่หนึ่งจึงผสาน จากนั้นกลับมาเป็นปรปักษ์ ทว่าไม่นานก็กลมกลืนกัน
‘พลังนี้กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรา’ เทียนหมิงสงบจิตพร้อมโคจรลมปราณ ชั่วขณะกลับยาวนานในความรู้สึก นัยน์ตาแฝงประกายสีทอง เริ่มตอบโต้ช่วงชิงจังหวะ คล้ายสามารถคาดเดากระบวนท่าในอนาคตได้ ในที่สุดก็โจมตีโดนเป้าหมายเป็นครั้งแรก ‘ไม่พลาดแล้ว’ ความฮึกเหิมเป็นแรงผลัก ยิ่งสู้ก็ยิ่งสนุกสนานราวกับถูกพลังปราณสายใหม่ดึงดูด
เฮ่อเหลียนหย่งเล่อเผยสีหน้าประหลาดใจ ดีดตัวออกพร้อมดึงผ้าแพรเพื่อคุมเชิง ไหสุราหมุนกลิ้งไปมาตามแนวผ้าอย่างน่าอัศจรรย์
จากสายตาคนนอก ภูติโบตั๋นมองเห็นริ้วพลังสีทองแล่นไปตามเส้นชีพจรทั่วร่างของโอรสกิเลน ‘ใบหน้าขององค์ชายไร้สีเลือดแล้ว พลังปราณธาตุทองกำลังกร่อนทำลายอวัยวะภายในอยู่’ ภูติโบตั๋นพลันตระหนักถึงอันตรายร้ายแรง นางกลืนน้ำลาย... ด้วยระดับฝีมือเท่าที่มี หากสอดมือเข้าไปก็เหมือนรนหาที่ตาย
ยอดยุทธทั้งสองผลัดกันสะบัดผ้าแพร หนึ่งดึงหนึ่งผ่อน แถบผ้าขยับไหลไปมาดุจสายน้ำ ไหสุราตั้งขึ้นแล้วหมุนติ้วๆ อยู่ตรงกลางราวกับลูกข่าง ถึงจะพอตอบโต้ได้บ้างแต่เทียนหมิงก็ยังไม่กล้าชะล่าใจ หากผลีผลามเข้าไปอาจกลายเป็นการเปิดช่องว่าง
โอรสกิเลนย่อเข่าสืบเท้าไปด้านหน้า ท่าร่างหนักแน่นดั่งภูผา แขนขวายกตั้งฉากพร้อมกระชากแถบผ้าแพรให้ตึงเป็นเส้นตรง มือซ้ายงอเป็นกรงเล็บเลียนแบบกระบวนท่าของฝ่ายตรงข้าม สายตาแน่วแน่หยุดที่ไหสุรา... การโจมตีครั้งต่อไปจะเป็นการตัดสิน
เฮ่อเหลียนหย่งเล่อพุ่งสมาธิไปที่จุดเดียวกัน ไหกระเบื้องดินเผาหมุนช้าลงราวกับเวลาค่อยๆ ถูกแช่แข็ง พริบตาที่ปลายเชือกถักสีแดงสะบัดผ่านหางตา เงาร่างสองสายก็วูบไหวเข้าหากัน รวดเร็วจนทิ้งภาพติดตาละม้ายไอหมึกละลายในบรรยากาศ ท่วงท่าทั้งลี้ลับและงดงามประหนึ่งภาพวาด
เทียนหมิงคิดจะสละแขนขวารับกรงเล็บของคู่ต่อสู้พร้อมทำลายไหสุราในจังหวะเดียวกัน ‘ขอเพียงซื้อเวลาได้ แค่ทำให้ชะงักก็พอ’
“ไม่นะ!” มิคาด ชั่วจังหวะที่จะปะทะภูติโบตั๋นกลับกระโดดเข้ามาขวาง นางหลับตาแน่น ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อเม้มลงด้วยความหวาดหวั่น กระนั้นสองแขนบอบบางก็ยังกางกั้น คิดใช้ร่างต่างโล่คุ้มกันโอรสกิเลน
“ภูติโบตั๋น!?!” เทียนหมิงชะงักการโจมตีก่อนคว้าร่างของนางเข้ามากอด เขาหมุนตัวก้าวเท้าพลิกกลับให้ตนเองกับภูติโบตั๋นสลับตำแหน่งกันทันที ‘บ้าจริง!’ เทียนหมิงนึกโทษตัวเอง ‘เทียนอ๋าว หลานหลาน เกอเกอคงไปหาพวกเจ้าไม่ได้เสียแล้วกระมัง’
“ยอมสละตัวเองเพื่อปกป้องข้ารับใช้งั้นรึ” เฮ่อเหลียนหย่งเล่อถามเสียงเย็นในขณะที่กระแทกฝ่ามือใส่แผ่นหลังของเทียนหมิง พลังแสงสีทองระเบิดสว่างวาบไปทั่วบริเวณราวกับพระอาทิตย์ขนาดย่อม
“แค่ก แค่ก” โอรสกิเลนกระอักโลหิตออกมา ร่างกระเด็นไถลหมดท่าไปกับพื้น กระนั้นก็ยังกระชับอ้อมแขนเพื่อปกป้องภูติโบตั๋นที่อยู่ในอ้อมกอด
“องค์ชาย ทำไมท่านจึงกันข้าไว้ นั่นเป็นหน้าที่ของข้าต่างหาก!” ภูติโบตั๋นน้ำตาปริ่ม นึกสาปแช่งตนเองเป็นพันๆ ครั้ง นางลุกขึ้นนั่งพลางประคองเทียนหมิงให้ทรงตัวเกาะไหล่ของตนไว้
“ข้ารู้ว่าเจ้าภักดี แค่ก... แต่จะให้ใช้สตรีต่างโล่ ข้า... เยว่เทียนหมิงไม่อาจทำได้”
“ผิดแล้ว นางมิได้ปกป้องเจ้าในฐานะสตรี นางปกป้องเจ้าในฐานะบ่าวต่างหาก” จักรพรรดิเทพเดินเข้ามาช้าๆ มือขวาถือเชือกผูกไหสุราไว้หลวมๆ “บ่าวปกป้องนายเป็นเรื่องสมควรแล้ว หากเมื่อสักครู่เจ้ายอมใช้นางต่างโล่ ก็คงไม่พ่ายแพ้หมดท่าเช่นนี้”
“ท่านตำหนิข้าที่ทำให้ภูติโบตั๋นร้องไห้ แต่กลับส่งเสริมให้ใช้นางดั่งสิ่งของ ผู้อาวุโสช่างมีความคิดพลิกแพลงยากแท้หยั่งถึงนัก” เทียนหมิงตอบเสียงขุ่น เงยหน้ามองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตากร้าวกล้า... ไม่บ่อยนักที่กิเลนแห่งแสงจะแสดงกิริยาเช่นนี้
เงาร่างของเฮ่อเหลียนหย่งเล่อดูราวกับเทพสงคราม เส้นผมสีดำยาวพลิ้วไหว ใบหน้าหล่อเหลาเชิดขึ้น ดวงตาสีดำอมประกายน้ำเงินมองลงต่ำ เสมือนพญาราชสีห์กำลังพินิจเหยื่อที่หมดทางหนีกระนั้น
“ข้ามีคำถาม” ท่านผู้ยิ่งใหญ่พูดเรียบๆ “ข้าบอกว่าจะไม่ใช้พลังปราณก็จริง แต่ก็มิได้ห้ามเจ้าใช้ เหตุใดจึงไม่ใช้พลังปราณของตนเพื่อชิงความได้เปรียบเล่า?”
เทียนหมิงขมวดคิ้ว “ในเมื่อท่านไม่ใช้ ข้าก็ไม่ใช้ ไม่เช่นนั้นก็เป็นการต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรมใช่หรือไม่?”
แวบแรก ใบหน้างามสง่าเรียบเฉยจนยากจะอ่านอารมณ์ ทว่าครู่ต่อมา รอยยิ้มก็ปรากฏพร้อมเสียงหัวเราะลั่น “หึ หึ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดี! ตอบได้สมกับเป็นกิเลนแห่งแสงจริงๆ” ความรู้สึกพึงใจเมื่อแรกพบในป่าเหมยย้อนกลับมาอีกครั้ง
แท้จริงแล้ว... ด้วยระดับชั้นในตอนนี้ ต่อให้เทียนหมิงใช้พลังทั้งหมดสู้กับเฮ่อเหลียนหย่งเล่อที่ไม่ใช้พลังเลย... ก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่า ‘เป็นการต่อสู้ที่ยุติธรรม’
เฮ่อเหลียนหย่งเล่อสืบเท้าเข้ามาใกล้ ภูติโบตั๋นแม้จะหวาดเกรงแต่ก็ยังตั้งท่าป้องกันเต็มที่ “หลบไปเถิด” สุ้มเสียงทรงอำนาจสั่งเพียงแค่นั้น นางก็ชะงักค้างดั่งรูปปั้น
ปึก! ปึก! เขาสกัดจุดบนหน้าอกเทียนหมิงในพริบตา ชักมือกลับแล้วยืนรออย่างสงบนิ่ง
“อุ๊ก อ๊อก แค่ก แค่ก” เทียนหมิงกระอักลิ่มเลือดสีดำออกมา ทว่าร่างกายกลับค่อยๆ คลายความเจ็บปวด พลังปราณสองสายไหลเวียนในเส้นชีพจร หนุนนำกันอย่างต่อเนื่อง
“ข้าเปิดจุดชีพจรให้แล้ว พลังปราณกำลังรักษาร่างของเจ้า รอสักพักอาการคงทุเลาขึ้น”
“ทำไม?” โอรสกิเลนถามด้วยความประหลาดใจ
“ชั่วขณะที่ข้าโจมตี พลังปราณของข้ากลับปะทุขึ้นมาจากร่างของเจ้า ดูดซับพลังโจมตีให้เป็นศูนย์” จักรพรรดิเทพคลายผ้าแพรออกจากแขนของเทียนหมิงแล้วยื่นให้ภูติโบตั๋นอย่างปรานี
“ปราณของข้าคือธาตุทอง ส่วนของเจ้าคือธาตุแสง ซึ่งถือเป็นปราณพิเศษ นอกจากเทพผู้สร้างแล้วก็มีเพียงกิเลนจันทร์ที่ได้ครอบครอง... แสงมิใช่ทอง ทองมิใช่แสง ทว่าเจ้ากลับสามารถหลอมรวมพลังปราณที่แตกต่างกันให้เป็นหนึ่งได้ ทั้งยังทำโดยมิได้ตั้งใจ ในโลกนี้ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีผู้ที่สามารถดูดซับพลังธาตุกำเนิดของผู้อื่นไปเป็นพลังของตนได้...”
ควรทราบว่า สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ ล้วนถูกเทพบิดาและเทพมารดาร่วมกันสรรค์สร้างขึ้นมาด้วย ‘กฎแห่งธาตุกำเนิด’ หรือก็คือ ‘กฎแห่งธรรมชาติที่ไม่อาจล่วงละเมิด’ สรรพสิ่งมีธาตุกำเนิดได้เพียงหนึ่งและไม่สามารถใช้พลังปราณธาตุอื่นที่มิใช่ธาตุของตน ยกเว้นการใช้อาคมหยิบยืมพลังฟ้าดิน ซึ่งต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อด้วยพลังปราณของผู้ใช้อาคม
ทว่าบัดนี้ กิเลนจันทร์กลับทำลายกฎเกณฑ์นั้นจนสิ้น เฮ่อเหลียนหย่งเล่อทราบความนัยนี้ตั้งแต่แรกปะทะ “ข้าปล่อยให้เจ้าดูดซับพลังธาตุกำเนิดของข้าโดยตั้งใจ แก่นของทองคือ ‘ความแข็งแกร่ง’ มีอานุภาพทำลายได้แม้กระทั่งผู้ครอบครองพลังปราณเอง... ข้ามอบพลังให้ หากเจ้าตกตายก็ถือว่าไร้วาสนา แต่ดูท่า เดิมพันครั้งนี้ข้าคงมีชัยต่อเทพแห่งโชคชะตาแล้วกระมัง”
“นั่นคือสาเหตุที่ท่านช่วยข้า?”
“นั่นเป็นข้อแรก” เฮ่อเหลียนหย่งเล่อยกนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว จากนั้นก็งอนิ้วแรกลง “หนึ่ง ข้าคิดว่าเจ้าน่าสนใจ มีค่าควรแก่การส่งเสริม”
เขายกไหสุราขึ้นมาตรงหน้าเทียนหมิง ผิวกระเบื้องดินเผาแตกร้าวราวกับใยแมงมุม นิ้วที่สองงอลงเพียงนิดไหสุราก็แหลกเป็นจุณ ได้กลิ่นสุราชั้นดีหมักดอกท้อหอมฟุ้งกำจาย “สอง ถึงจะบังเอิญแต่เจ้าก็สามารถทำลายไหสุราได้ตามเงื่อนไข พลังปราณที่ระเบิดออกมาในครั้งสุดท้ายช่วยเจ้าไว้หลายเรื่องทีเดียว”
จักรพรรดิเทพปรายตามองภูติโบตั๋นแวบหนึ่งแล้วจึงเอ่ยต่อ “สาม แม้ยังขาดคุณสมบัติของผู้ปกครอง แต่ก็มีคุณสมบัติของลูกผู้ชายที่น่ายกย่อง ตอนที่เจ้าเลือกปกป้องนางภูติน้อยตนนี้ ก็ถือว่าผ่านการทดสอบของข้าแล้ว”
เทียนหมิงพิจารณาผู้ยิ่งใหญ่ตรงหน้า จะว่าไปแล้ว เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเขาจัดการได้ไม่เหมาะสม กระทั่งตอนนี้ก็ยังรู้สึกละอายใจที่ตัดรอนภูติโบตั๋นอย่างเย็นชา เมื่อได้รับการเตือนสติ ความรู้สึกนับถือจึงเต็มตื้นขึ้นมาจนไม่อาจประเมินได้ โอรสกิเลนประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่สอนสั่ง!”
เฮ่อเหลียนหย่งเล่อเพียงยิ้มที่มุมปาก “เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ เยว่เทียนหมิง” เขาหลับตาลงแล้วหมุนกายเดินจากไป “แล้วพบกันใหม่...”
‘ในอนาคตอันใกล้ ที่แม้แต่เจ้าเองก็คงคาดไม่ถึง’
-------------------------------------------
A/N คิดถึงฟารากันไหมจ้า! อยากบอกว่าที่หายไปเพราะตอนนี้ฟาราได้เป็นนักเขียนประจำของสนพ. แห่งหนึ่ง และกำลังวางโครงเรื่องของซีรีย์ใหม่ค่ะ ทำให้ต้องเขียนกิเลนฯกับเรื่องอื่นๆ ในเด็กดีน้อยลง แต่เพราะหลายคนที่ยังติดตามและทวงถามในหน้านิยายอยู่เสมอ ก่อนที่ฟาราจะกลับเข้าถ้ำไปทำงานต่อ ฟาราขอมอบหลงกิเลนจันทร์ตอนใหม่ ให้เป็นของขวัญค่ะ มาแบบเต็มๆ 100% กันเลยทีเดียว อิ้อิ้
สำหรับหลงกิเลนก็ยังรอไรท์เตอร์ ZZ รีไรท์เพื่อส่งสนพ. ค่ะ (ได้ข่าวว่านานมาก แต่ต้องเข้าใจ zz ค่ะ เธองานเยอะมาก ขนาดนิยายตัวเองยังไม่มีเวลาเขียน)
ส่วนตัวฟาราเองก็กำลังมีโครงการออกหนังสือเรื่องอื่น จะเป็นเรื่องอะไรแนวไหนนั้น ถ้าตีพิมพ์และสามารถเผยแพร่ข้อมูลได้เมื่อไหร่ ฟาราจะมาแจ้งอีกทีนะคะ
อ่านตอนนี้คงหายคิดถึงหมิงกันแล้ว แต่ถ้าใครรออ๋าวอยู่ต้องขอให้รอตอนต่อไปจ้า ด้านล่างเป็นรูปที่เจอตอนท่องเนต อิมเมจใกล้เคียงอยู่นะเนี่ย XD
เทียนหมิง (หล่อน่ารักจังเลย *0*)
ภูติโบตั๋น (น่ารัก+ร่าเริงดีค่ะ)
เหมือนเธอจะบอบบาง แต่จริงๆ แล้วก็แสบใช่ย่อย...
อย่าโดนรูปลักษณ์ภายนอกหลอกตา ไม่รู้พวกภูติบุปผาเป็นแบบนี้ทุกตนหรือเปล่านะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รอคอยตอนต่อไปนะคะ
หมิงรอดหวุดหวิด
สรุปว่าพี่แกจะส่งเสริม หรือกะฆ่าให้ตายกันแน่เนี่ย - -
แล้วยังจะมาพรากน้องสาวไปจากอกอีกนะ ชิ!!
สรุปว่าหมิงอ๋าวมีแต่เสียกับเสียนะคะ XD
แล้วก็ต้องรอต่อไป -_-"
เป็นกำลังใจให้เทียนอ๋าว เทียนหมิง
และไรเตอร์คร้า สู้ๆนะค่ะ ^^
เดี่ยวเผลอไม่รู้ตัว ทั้งอาหมิงกับหลานหลานจะถูกสองพี่น้องเจ้าเล่ห์ลักพาตัวไป
แล้วหย่งเล่อจะทำอะไรกะเทียนหมิงล่ะเนี่ย
ตอนแรกนึกว่าเทียนอ๋าวจะมาเห็นเหตุการณ์สะอีก อิอิ
คิดถึงเทียนอ๋าว หลานเอ๋อร์ ^^
แล้วก็ไรเตอร์คนสวยด้วยคร้า มาอัพๆๆ ตอนต่อไปอีกนะคร้า
เป็นกำลังใจให้คร้าไรเตอร์ นะคร้า สู้ๆๆ คร้า
ปล.ดูแลสุขภาพด้วยนะคร้า เด๋วจะป่วย
คิดถึงเรื่องนี้ที่สุดเลย
เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^
บทนี้บู๊กระจายกันเลยน้า
อนาคตอันใกล้ที่คาดไม่ถึง น่ากลัวจริง ๆ แต่เทียนหมิง
สามารถดูดซับพลังธาตุอื่นได้ เทียนอ๋าวก็คงจะทำได้เหมือนกัน
ใช่ไหม แต่ตอนหน้าของเทียนอ๋าวจะเจอใครล่ะเนี่ย หลานหลานเอง
ก็ยังอยู่กับเทียนอ๋าวด้วยสิ
สู้ๆ เพื่อรีดเดอร์นะคะ (ให้กำลังใจแบบหวังผลค่ะ 55)
ป.ล. ขอบคุณ ZZ ที่ช่วยตอบเม้นจ้ะ *0*