ตอนที่ 33 : บทที่ ๒๖ ปณิธานของราชันกิเลน (ฉบับร่าง 100%)
A/N 100% แว้ววววว T^T ร้องไห้ทั้งน้ำตา เด็จพ่อจะโชว์ความเทพได้ขนาดไหนไปดูกัน *0*
บทที่ ๒๖
ปณิธานของราชันกิเลน
นับแต่เมื่อครั้งที่กิเลนจันทร์ถือกำเนิดขึ้นมาจนถึงวัยที่จำความได้ มิเคยมีครั้งใดที่โอรสกิเลนผู้สูงส่งสว่างไสวทั้งสองจะได้สัมผัสกับอารมณ์มืดดำฝ่ายต่ำอันอึดอัดบีบคั้นและน่าชิงชังเหลือจะกล่าวเท่านี้มาก่อน
เมฆหมอกในจิตใจตั้งเค้าพายุฝนดำทะมึน แปรเปลี่ยนเป็นความมืดลึกล้ำยิ่งกว่าความมืดดำใดๆ หัวใจที่สั่นระรัวเร็วกระตุกแรงจนเจ็บแปลบ เจ็บยิ่งกว่าเจ็บ
เย่วเทียนหมิงกัดฟัดแน่นจนริมฝีปากสีท้อซีดจางลงไปอย่างน่าใจหาย หยาดน้ำอุ่นใสเอ่อคลอนัยน์ตาสีเงินหม่นแสง แพขนตายาวสีขาวสว่างเปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา
กิเลนแห่งแสงสว่างถอนหายใจยาวก่อนเค้นเสียงรอดไรฟัน พยายามอย่างยิ่งยวดให้ฟังดูหนักแน่น ไร้ซึ่งเสียงคร่ำครวญสะอื้นไห้ใดๆมาเจือปน
เสด็จพ่อโปรดอภัยที่ลูกไร้สามารถ ยามนี้ลูกคับแค้นและชิงชังตนเองยิ่งนัก แม้ทั่วหล้าพากันยกย่องกิเลนจันทร์เป็นสัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนสวรรค์ ทว่าแท้จริงแล้วข้าหาได้วิเศษดั่งคำกล่าวอ้างอวดโอ่เช่นนั้นแม้เพียงเศษเสี้ยว ข้าเป็นเพียงบุตรอ่อนแอคนหนึ่งที่จำต้องให้บิดาเสียสละปกป้องมากมาย
ถ้าหาก..ถ้าหาก ข้ามีพลังมากกว่านี้ล่ะก็ หากข้าสามารถมากกว่านี้ล่ะก็ ท่านก็คงไม่จำเป็นต้องตกปากรับคำทำสัญญาไปเช่นนั้น ท่านก็คง..ไม่ต้องสูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่งเพื่อพวกเราเช่นนี้
เทียนหมิงกำลังเคียดแค้นในความไร้พลังของตนเองอย่างที่สุด ทุกคำพูดจึงถูกกลั่นกรองมาจากก้นบึ้งของจิตใจอย่างไม่ปิดบัง กระแสความเศร้าสลดหดหู่ที่แผ่ออกมาจากกิเลนแห่งแสงค่อยๆครอบงำบรรยากาศโดยรอบช้าๆ ความมีชีวิตชีวาแห่งพระราชวังจันทราทองได้เหือดแห้งไปทีละน้อย
ฉับพลัน! ในขณะที่ท้องพระโรงหลวงได้ถูกปกคลุมด้วยความหม่นเศร้า เสียงตวาดกัมปนาทอย่างโกรธเกรี้ยวบ้าคลั่งก็ดังกึกก้องทำลายขวัญทุกผู้คน
ไม่! ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอมให้เป็นเช่นนี้ ไม่ยอมรับเด็ดขาด!
เย่วเทียนอ๋าวระเบิดเสียงแห่งความชิงชัง นัยน์ตาสีนิลวาวโรจน์ราวเหล็กดำกลางเปลวไฟ คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันจนเครียดเขม็ง รู้สึกได้ว่าดวงตากำลังร้อนจัด ร้อนราวกับถูกไฟกรดแผดเผา เนื้อตาสีขาวได้แปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ราวกับดวงตาของเทพอสูรผู้ถูกทรมานในนรกโลกันต์กระนั้น
กิเลนแห่งความมืดขืนตัวอยู่ในอ้อมกอดของบิดา ใบหน้าอันบิดเบี้ยวไปด้วยอารมณ์เผยชัดแก่อาคันตุกะจากเผ่ามังกรทั้งสองที่อยู่อีกฟากของคันฉ่องวารี เทียนอ๋าวมองข้ามไหล่กว้าง สายตาจับจ้องไปยังหลงหวางไห่ด้วยความอาฆาตแค้น
ต่อให้ต้องควักดวงตาของหลงฟงหลาง ข้าก็จะเอานัยน์ตาของเสด็จพ่อกลับคืนมา ยิ่งกว่านั้นข้าจะควักดวงตาทั้งสองของเจ้าราชันมังกร! ให้เจ้าได้ลิ้มรสการอยู่อย่างอัปยศพิกลพิการสักครั้งหนึ่ง ข้าจะควักมันออกมาและบดขยี้จนไม่เหลือกระทั่งเศษซากชิ้นเนื้อใดๆ!
การระเบิดโทสะของเทียนอ๋าวทำเอาเย่วหรงเต๋อแทบใจหาย นับเป็นครั้งแรกที่ราชันกิเลนได้ตระหนักถึงพลังอินที่เคี่ยวกรำจนมืดดำล้ำลึกไร้ก้นบึ้งในตัวบุตรชาย
สิ่งนั้นคือพลังมารด้านลบอันบ้าคลั่งที่แทบจะกรีดวิญญาณให้แหลกสลาย
ด้วยความสัตย์จริง นี่คือครั้งแรกที่เทียนอ๋าวได้ปล่อยตัวปล่อยใจไปในกระแสแห่งมารปีศาจ ยอมให้ความโกรธและความเกลียดชังเป็นนายของตน เทพกิเลนผู้งดงามเย่อหยิ่งแปรเปลี่ยนเป็นมารอสูรแห่งโทสะ สีหน้านัยน์ตาแกร่งกร้าวทำลายขวัญเหยียดมองดูถูกชิงชังพ่อลูกสกุลหลงอย่างที่สุด
ราวกับจะตอบสนองต่อจิตใจเคียดแค้นสุดหยั่งถึงของกิเลนแห่งความมืด และความโศกาอาดูรลึกซึ้งสุดแสนของกิเลนแห่งแสง กำไลแห่งฉงฉีที่ข้อมือซ้ายพลันเปล่งประกายสีดำมะเมื่อมไหววูบ
คึ คึ
ได้ยินเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำอ่อนแรง กระซิบหัวเราะชั่วร้ายอย่างยินดีปรีดายิ่งแว่วมา
โกรธเข้าสิ เติมไฟแห่งความพิโรธให้มากกว่านี้ ให้มากพอจนแผดเผาสติจนสูญสิ้นสมประดี ทั้งความทุกข์โศกที่บีบคั้นทรมานวิญญาณของกิเลนอีกตัวนั้นก็หอมหวานนัก
นับเป็นโชคดีที่โอรสกิเลนจ่อมจมอยู่ในห้วงความคิดของตน ทั้งสองจึงไม่สามารถสดับฟังคำยุแยงใดๆได้ อีกทั้งราชันและรัชทายาทมังกรก็อยู่ห่างไกลเกินไปที่เวทย์สะท้อนมิติจะส่งผ่านเสียงไปถึง
เหลือเพียงราชันกิเลนที่ยืนนิ่งงัน เพียงแค่ได้ยินเสียงอันเจ้าเล่ห์มุ่งร้าย เย่วหรงเต๋อก็ถึงกับขนลุกชันไปทั่วสรรพางค์กาย ก้มลงมองบุตรชายทั้งสองในอ้อมแขนก็ให้สะท้อนใจนัก เทียนอ๋าวเผยท่าทีบ้าคลั่งเป็นศัตรูชัดในขณะที่เทียนหมิงถูกกลืนไปในห้วงแห่งความเสียใจสุดจะกล่าว
ในห้วงแห่งความสับสน ไม่ทันที่เย่วหรงเต๋อจะได้คิดคำนวณอันใด ราชินีกิเลนทั้งสองที่จับกระแสแห่งความผิดปกติของบุตรชายได้ก็รีบวิ่งทะยานตัวเข้ามา
เทียนหมิง! เทียนอ๋าว!
พวกนางร้องเรียกขึ้นพร้อมกัน เมื่อได้เห็นบุตรสุดที่รักมีสภาพตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย ชูเจินอวี้เหวินถึงกับยกสองมือป้องปาก นัยน์ตาสีฟ้าใสฉายแววตระหนก ความเยือกเย็นดุจน้ำแข็งเหมันต์ที่มีอยู่เป็นนิจพลันละลาย ราวกับนางได้ยอมอนุญาตให้ตนเองสามารถแสดงความอ่อนแอเป็นครั้งแรก นับแต่เย่วหรงเต๋อได้ยอมสละดวงตากระนั้น
ฝ่ายมู่ตานกุ้ยฮวาก็กำหมัดจิกแน่นทั้งสองมือ ทั่วร่างสั่นระริก แผ่นอกที่หอบขึ้นลงสะท้อนไปด้วยแรงโกรธาไม่แพ้บุตรชาย จ้องมองสามพ่อลูกก็พาลให้น้ำตาหยดใสเอ่อรื้นท่วมนัยน์ตาสีชมพูอ่อนแสง
ยังมีความจริงที่ราชันและราชินีกิเลนได้ตกลงใจเก็บงำไว้อยู่ส่วนหนึ่ง ค่าตอบแทนที่มอบให้แก่รัชทายาทแห่งวังมังกรนั้นมิใช่แค่เพียงดวงตา แต่ยังรวมไปถึงพลังฤทธิ์กึ่งหนึ่งซึ่งจะค่อยๆถูกถ่ายโอนไปพร้อมกับอาคมเชื่อมชีวิต
ผลกระทบของการเสียสละในครั้งนี้ ก็เปรียบดั่งระลอกคลื่นเล็กๆที่สะท้อนต่อเนื่องจนกลายเป็นคลื่นใหญ่ มีผลพัดพาให้ชะตากรรมของอาณาจักรเย่วจินหรงแปรเปลี่ยนไปในกาลภายหน้า
ความหวั่นไหวที่ถูกแสดงออกมาทั้งทางสีหน้าและกิริยาของชายาและบุตรชาย ทำให้จอมคนแห่งเผ่ากิเลนได้ตระหนักถึงภาระหน้าที่ในการปกป้องครอบครัวอันเป็นที่รัก
โดยเฉพาะบุตรชายคนเล็กที่แสดงตัวเป็นศัตรูกับหลงหวางไห่ ราชันมังกรผู้ได้รับสมญานามจ้าวมังกรสวรรค์สยบเมฆาย่อมมิได้มีดีแค่เพียงชื่อ เย่วเทียนอ๋าวในเวลานี้ ก็เป็นได้แค่ทารกกิเลนตัวจ้อยที่หาญกล้าต่อกรกับพญามังกรเท่านั้น
ยิ่งเย่วหรงเต๋อได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเบาๆของหลงหวางไห่ก็ยิ่งรู้สึกขัดใจ มิใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อบุตรชายและราชินีทั้งสองที่มิควรจะต้องเจ็บช้ำน้ำใจไปมากกว่านี้ ราชันกิเลนจึงรวบโอรสในอ้อมกอดแน่น พลางเบือนหน้าไปยังราชันมังกรพร้อมเอ่ยปาก
หลงหวางไห่ มีปัญหาธรรมข้อหนึ่งซึ่งข้าใช้เวลาขบคิดมานานเท่าไรก็คิดไม่ตก จึงอยากจักสนทนาหารือกับท่าน ไม่ทราบว่าเทพมังกรผู้ยิ่งใหญ่จะยอมเสียสละเวลามาให้คำชี้แนะหรือไม่
สุ้มเสียงจริงจังของราชันกิเลน แฝงไว้ด้วยความท้าทายคุกคามห้าส่วน เป็นปรปักษ์เย็นชาอีกห้าส่วน แววตาที่อ่อนโยนสุภาพเป็นนิจกลับคมกล้า เปล่งประกายน่าหวาดผวาอย่างจอมราชัน
หลงหวางไห่ถึงกับขนลุกขนชันไปชั่วแวบหนึ่ง ทว่าก็ยังสามารถรักษากิริยาอวดโอ่ถือดีไว้ได้ มือกร้านที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลายกขึ้นลูบเคราสีขาวพวงยาวของตนอย่างเชื่องช้า สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสงบงามสง่าราวเทพปราชญ์ผู้รู้แจ้งในปัญญากระนั้น
ย่อมได้ กั่วเหริน[1]เมื่ออายุมากเข้าก็เริ่มมีดวงตาเห็นธรรม เบื่อหน่ายการศึกสงครามลงไปไม่น้อย เป็นเกียรตินักที่ราชันกิเลนมีใจจะร่วมสนทนาปัญหาธรรม
แม้ไม่ทราบว่าเย่วหรงเต๋อจะมีแผนการอันใด แต่หลงหวางไห่ผู้หยิ่งทรนงย่อมไม่มีทางหวาดเกรง
ฝ่ายหลงฟงหลางที่คุกเข่าอยู่เบื้องหลัง เมื่อได้ยินคำพูดของบิดาก็ถึงกับกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างเหยียดหยัน
เทียนหมิง เทียนอ๋าว จงฟังบิดาให้ดี
เย่วหรงเต๋อเอ่ยอย่างหนักแน่นทั้งยังเยือกเย็น ฝ่ามือกว้างลูบไล้ศีรษะบุตรชายทั้งสองแผ่วเบาราวกับจะปลอบ ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาได้เรียกสติรู้คิดของโอรสกิเลนให้กลับคืนมาส่วนหนึ่ง บุตรทั้งสองจึงเริ่มสงบท่าทีลง ใบหน้าเงยขึ้นจับจ้องอย่างสับสน เงี่ยหูตั้งใจฟังคำกล่าวของผู้เป็นบิดา
เย่วหรงเต๋อปลดปล่อยพลังปราณแห่งปฐพีอันเป็นธาตุกำเนิด กระแสปราณสีน้ำตาลอมทองได้แผ่กระจายโอบล้อมท้องพระโรงหลวง พลังกดดันอันแข็งแกร่งทว่าอ่อนโยนช่วยปัดเป่ากลืนกินอารมณ์มืดดำหดหู่ทั้งปวง ทั้งยังลอบสะกดไอมารด้านลบที่แผ่ออกมาจากกำไลแห่งฉงฉีได้อย่างแยบยลไปในเวลาเดียวกัน
ผู้นำแห่งราชวงศ์กิเลนพิจารณาราชันมังกรครู่หนึ่ง แล้วจึงเริ่มเอ่ยเนิบช้าทว่ากระจ่างชัดทุกถ้อยคำ
ในพิภพมนุษย์ยังมีเรื่องเล่า นักปราชญ์ผู้หนึ่งได้แต่งงานมีครอบครัวกับภรรยาสาว ทั้งคู่มีบุตรชายวัยเยาว์อยู่หนึ่งคน
เช้าวันหนึ่งภรรยาของนักปราชญ์ได้บรรจงแต่งตัวแต่งหน้าเพื่อเตรียมตัวออกไปชมงานเทศกาล บุตรชายได้เห็นก็นึกสนุก อ้อนวอนดื้อรั้นขอตามไปด้วย ทว่าผู้เป็นมารดามิได้นำพา นางจึงเอ่ยกับบุตรที่กำลังร้องไห้โยเยว่า
เจ้าจงเป็นเด็กดีรออยู่ที่บ้านเถิด เมื่อใดที่มารดากลับมา มารดาจะฆ่าแกะสักตัวเพื่อตุ๋นน้ำแกงให้เจ้ากิน
คำกล่าวได้ผลชะงัดนัก เมื่อได้ยินว่าจะได้กินของโปรด บุตรชายจึงกลับเข้าไปรอในบ้านอย่างเชื่อฟัง สีหน้าเปี่ยมความหวังตั้งใจรออย่างใจจดใจจ่อ
เย็นวันนั้นเมื่อมารดากลับมาถึงบ้าน ยังไม่ทันจะก้าวเท้าเข้าประตูก็ได้ยินเสียงแกะร้องดัง เมื่อวิ่งไปดูจึงพบว่านักปราชญ์ผู้เป็นสามีกำลังเตรียมเชือดแกะเพื่อนำมาทำเป็นอาหารให้กับบุตรชาย นางจึงรีบเข้าไปขัดขวางพลางร้องว่า
แกะพวกนี้เราล้วนเลี้ยงไว้เพื่อใช้ขนอันอ่อนนุ่ม อีกทั้งพี่ท่านก็เป็นบัณฑิตที่เคยจับแต่พู่กัน ไยจึงต้องมาจับมีดเชือดแกะเล่า หรือเพราะถือเอาคำกล่าวที่ข้าใช้หลอกล่อบุตรเรามาคิดเป็นจริงเป็นจัง
นักปราชญ์ได้ยินก็เพียงส่ายหน้า ตั้งท่าจะลงมือฆ่าแกะต่อไปเท่านั้น
กล่าวมาถึงตรงนี้เย่วหรงเต๋อก็หยุดคำพูดลง แล้วจึงเอ่ยถามขึ้นช้าๆ
เรื่องเล่าจบลงเท่านี้ และยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่ผู้สนทนาธรรม ราชันมังกรโปรดช่วยชี้แนะได้หรือไม่ว่า เหตุใดนักปราชญ์จึงไม่ยอมฟังเหตุผลของภรรยา
หลงหวางไห่หรี่ตาลงข้างหนึ่ง นัยน์ตาสีเทาราวเมฆฝนกลิ้งกลอกไปมา กระตุกมุมปากขึ้นหนึ่งครั้ง ริ้วรอยยับย่นบนใบหน้าก็ขยับไหว กอปรกับลำแสงอ่อนจางที่สาดสะท้อนมาจากทางด้านหลัง พญามังกรในร่างมนุษย์ก็แลดูทรงอำนาจน่าเกรงขามในทันใด
หึหึ ช่างเป็นคำถามที่ง่ายดายอะไรเช่นนี้ คำตอบก็คืออำนาจอย่างไรเล่า เพราะนักปราชญ์ต้องการแสดงอำนาจเหนือภรรยา เมื่อนางได้ออกปากสัญญากับบุตรเช่นนั้นแล้ว สามีผู้เป็นประมุขของครอบครัวก็ย่อมต้องรับผิดชอบคำกล่าวของภรรยา เพื่อให้ผู้คนทั่วไปได้รู้ว่า ผู้นำที่แท้จริงก็คือผู้ที่มีอำนาจ และย่อมต้องใช้พลังอำนาจนั้นปกครองบริวารได้อย่างเด็ดขาดเฉียบคมเสมอ เช่นนี้แล้วเหตุผลของภรรยาที่ได้กล่าวมาจึงไม่มีค่าอันใด
หลงหวางไห่กล่าวพลางกระหยิ่มยิ้มย่อง เชื่อมั่นลำพองจนถึงที่สุด
ช่างเป็นคำตอบที่สมกับตัวท่าน ในฐานะราชันมังกรเสียจริง
เย่วหรงเต๋อยิ้มน้อยๆ ฝ่ามือทั้งคู่กดลงบนไหล่ของบุตรชายทั้งสองที่อยู่เบื้องล่าง
หากข้าเป็นนักปราชญ์ผู้นั้นข้าก็คงได้แต่กล่าวว่า
ต่อหน้าบุตรนั้น เราไม่อาจกล่าวคำเท็จ เพราะบุตรที่ไร้เดียงสามักจะเรียนรู้สิ่งต่างๆจากบิดามารดา หากเราได้กล่าวสิ่งใดหลอกลวงเขา ก็จะไม่ต่างจากการสอนเขาให้ไปหลอกลวงผู้อื่น แม้ว่าคำหลอกของเราจะได้ผลในยามนี้ แต่ต่อไปเมื่อเขาได้ทราบว่าถูกหลอก ก็จะไม่ยอมเชื่อฟังคำพูดของเราอีก และเราก็จะไม่สามารถอบรมบุตรได้อีกต่อไป
ราชันกิเลนเว้นคำพูดไปช่วงหนึ่งก่อนกล่าวต่ออย่างไร้น้ำใจ
จะว่าไปก็คล้ายกับที่ท่านเคยมอบความหวังให้กับหลงช๊วงวู๋ แล้วเหยียบย่ำทำลายมันด้วยตนเอง จนกระทั่งบังเกิดเป็นโศกนาฏกรรมที่เลื่องลือไปทั่วแดนสวรรค์ใช่หรือไม่
เจ้า!!
หลงหวางไห่ถึงกับชะงัก สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมดำทะมึน หลงฟงหลางเองก็กำมือแน่นโดยไม่รู้สึกตัว
หลงหวางไห่ วิถีแห่งชนชาวกิเลนและเทพมังกรนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ท่านอาจจะอนุญาตให้พี่น้องเข่นฆ่ากันเพื่อชิงความเป็นหนึ่ง บัลลังก์มังกรจึงอาบย้อมชโลมไปด้วยธารโลหิตของผู้ร่วมสายเลือดเดียวกัน แต่ทว่าพวกข้าไม่มีเคยความคิดที่จะทำลายตนเองเช่นนั้น ฉะนั้นขอได้โปรดเก็บถ้อยคำของท่านไว้ เพื่อใช้เจรจากับผู้ที่มีอุดมการณ์ต้องกันเสียจะดีกว่า
ปึง!!
รอยร้าวแผ่กระจายไปทั่วกระจกวารี พลังกดดันกราดเกรี้ยวของราชันมังกรคุกคามมาจากอีกฟากของมิติ
ทว่าเย่วหรงเต๋อกลับยืนนิ่งไร้ความกลัวเกรง ดวงตาสีเขียวมรกตที่เหลือเพียงข้างเดียว จ้องกลับไปยังหลงหวางไห่อย่างทระนง
ประมุขแห่งราชวงศ์มังกรรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าฉาดหนึ่ง ไม่เคยมีครั้งใดที่จะมีผู้หาญกล้าวิจารณ์การกระทำของตนเช่นนี้ ใบหน้าบิดเบี้ยวจึงเขียวคล้ำด้วยความโกรธา
เย่วหรงเต๋อ! จงอย่าสำคัญตนนัก ถึงเจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่จนกว่าจะถึงวันที่อาคมเชื่อมชีวิตจะเสร็จสมบูรณ์ แต่ก็ใช่ว่าข้าจะยอมให้เจ้าเอ่ยวาจาโอหังเช่นนี้ได้!
ว่าทั้งๆที่หอบจนตัวโยน
เสด็จพ่อ สุขภาพของท่านเป็นเรื่องสำคัญ โปรดระงับอารมณ์แล้วปล่อยให้ลูกจัดการเถอะพะย่ะค่ะ
หลงฟงหลางแทรกคำขึ้น นัยน์ตาสองสีเปล่งประกายเฉียบขาด
หึ..เช่นนั้น เย่วหรงเต๋อ เจ้าก็จงดูแลบุตรที่เกิดมาภายใต้คำทำนายแห่งหายนะให้ดีเถิด ข้าจะเฝ้ารอดูความล่มสลายของพิภพกิเลนในสักวัน
หลงหวางไห่จากไปแล้ว ภาพสะท้อนจากเบื้องหลังคันฉ่องวารีที่แตกร้าวจึงเหลือเพียงเทพมังกรวัยเยาว์ผู้มีผมสีแดงเพลิงเท่านั้น
ราชันกิเลน ขอได้โปรดอย่าถือสา พระบิดาย่อมเอ่ยไปตามอารมณ์เท่านั้น
เย่วหรงเต๋อเพียงส่ายหน้า
รัชทายาทมังกร ข้าต้องขอขอบคุณในความมีน้ำใจของท่าน ตราประทับแห่งคงถงที่ได้รับมอบมามีค่าต่อราชวงศ์กิเลนยิ่งนัก โปรดรักษาดวงตาและพลังที่ข้ามอบให้และใช้มันไปในทางที่เหมาะสมเถิด
หลงฟงหลางพยักหน้า เหลือบตามองไปยังโอรสกิเลนครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย
เช่นนั้น ข้าขอลา
รัชทายาทมังกรประสานมือคารวะคราหนึ่ง คันฉ่องวารีก็พลันสลายไป
เย่วหรงเต๋อถอนใจช้าๆ ก่อนหันไปหาแล้วเผยรอยยิ้มอบอุ่นเปี่ยมเสน่ห์ให้แก่บุตรชาย
เทียนหมิง เทียนอ๋าว บิดาได้ตัดสินใจไตร่ตรองเป็นอย่างดีถึงผลของการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ สามารถกล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า เพื่อปกป้องพวกเจ้า สิ่งที่สูญเสียไปก็นับได้ว่าคุ้มค่าแล้ว
เทียนหมิงที่นิ่งเงียบมาตลอดเบิ่งนัยน์ตากว้าง ราวกับแสงสว่างได้สาดส่องลงมาในจิตใจมืดหม่น กิเลนแห่งแสงรั้งชายเสื้อคลุมของบิดาแน่น แพขนตาที่กระพริบไหวคลอด้วยหยาดน้ำเป็นประกายสีเงิน
ผู้ให้กำเนิดก็คือแบบอย่างของบุตร ดังนั้นสัญญาจึงต้องเป็นสัญญา ดวงตาของท่านจึงมิใช่สิ่งที่พวกเราสมควรทวงถามอีกต่อไป
เทียนหมิงน้อมศีรษะลงยอมรับในการตัดสินใจของบิดาโดยดุษณี
ฝ่ายเทียนอ๋าวแม้จะยังมีท่าทีขัดขืน แต่เมื่อถูกจับจ้องด้วยแววตาเปี่ยมเมตตา ใบหน้าดื้อรั้นจึงแดงซ่านด้วยความขัดใจ ทว่าด้วยความเคารพรักที่มีต่อบิดา ริมฝีปากสีสดจึงเม้มแน่นพลางพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้
เสด็จพ่อ..ได้รับการสอนสั่งจากท่านในวันนี้ ข้าขอน้อมรับด้วยความยินดี..
ไม่ทันจะขาดคำดีกิเลนแห่งความมืดก็รีบวิ่งผลุนผลันจากไป
เทียนอ๋าว!
เทียนหมิงเรียกด้วยความเป็นห่วง เมื่อได้รับการพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตจากบิดา จึงรีบผละตามน้องชายไปทันที
๏
เปิดค่ายกลหมื่นบุปผา!
เสียงกร้าวตะโกนมาแต่ไกล เงาร่างสีรัตติกาลกระโจนผ่านเข้ามาในลานเทพบุปผาซึ่งตั้งอยู่ณ.ใจกลางตำหนักส่วนตัวของมู่ตานกุ้ยฮวา
เหล่านักรบสตรีที่รั้งตำแหน่งองครักษ์หลวงแห่งพระราชวังจันทราทองพากันถอยออกเป็นวงกว้าง พวกนางตั้งกระบวนเพื่อรับมือกับผู้ที่บุกรุกเข้ามาอย่างกระทันหันโดยสัญชาตญาณ หอกปลายแหลมประดับพู่สีแดงเลือดนกระดมแทงมาด้านหน้า บังเกิดเป็นภาพลวงตาของกลีบดอกท้อแย้มบานยามเมื่อเหลียวมองลงมาจากเบื้องบน
ทว่าเมื่อได้เห็นร่างที่กระโดดลงมายืนนิ่งอยู่ณ.กึ่งกลางคมหอกอย่างไร้ความกลัวเกรง องครักษ์สาวทั้งหลายก็พากันทิ้งอาวุธคุกเข่าลง
อะ..องค์ชายเทียนอ๋าว กลับมาแล้วหรือเพคะ
สตรีผู้หนึ่งท่าทางเป็นหัวหน้าเอ่ยด้วยความยำเกรง
เปิดค่ายกลหมื่นบุปผามรณะ ข้าจะเก็บตัวฝึกวิชา
โดยไม่สนใจบรรดาองครักษ์สาวแม้แต่น้อย เทียนอ๋าวจับจ้องไปยังบานทวารเบื้องหน้า ลายสลักบุปผาสีแดงแห่งคนตายสะท้อนอยู่บนแก้วตา
สตรีคนเดิมมีท่าทีอึกอัก ก่อนรีบตอบด้วยความลำบากใจ
องค์ชายโปรดอภัย หากเทพพิทักษ์สงครามไม่เอ่ยอนุญาต ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเข้ารับการทดสอบได้เพคะ
ข้าไม่สนใจ ข้าบอกให้เปิดพวกเจ้าก็จงเปิดเดี๋ยวนี้!
น้ำเสียงแหบตะคอกไร้เมตตา กิเลนแห่งความมืดที่อยู่เบื้องหน้าปลดปล่อยพลังปราณกดดัน ไอมารสีดำเจือจางคละคลุ้งวนเวียนอยู่รอบกาย นัยน์ตาสีนิลเปล่งประกายคมกล้า ดั่งเทพอสูรผู้กระหายในการเข่นฆ่าได้ลงมาจุติกระนั้น
ใบหน้างามคมที่ถอดแบบมาจากมารดาเครียดเขม็ง ริมฝีปากหยักยิ้มแลดูอันตรายแต่กลับเปี่ยมเสน่ห์ร้ายกาจ ล่อลวงให้สตรีทุกนางพากันหวาดเกรงระคนลุ่มหลง
ราวกับโดนยาพิษต้องห้ามสีดำสนิทเข้าครอบงำ เพียงอึดใจพวกนางก็พากันเบิกบานทวาร ปล่อยให้กิเลนแห่งความมืดเดินผ่านเข้าไปโดยง่าย
ครู่ต่อมา เย่วเทียนหมิงที่ตามมาก็ยืนหอบน้อยๆอยู่เบื้องหน้าทวารแห่งบุปผามรณะ
เทียนอ๋าว..เจ้าจากมาไม่ยอมพูดจา แถมยังเบิกค่ายกลต้องห้ามเช่นนี้คิดจะทำอะไรกันแน่
รำพึงพลางจ้องไปยังบานทวาร
ฉับพลันกลีบดอกไม้สีแดงที่หยักยาวราวเล็บของคนตายก็สั่นไหว ภาพสะท้อนจากในค่ายกลหมื่นบุปผามรณะฉายชัดออกมา องครักษ์สตรีที่ได้เห็นพากันขนลุกขนชันตัวสั่นหวาดเกรง มีเพียงแต่เทียนหมิงเท่านั้นที่ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง
ในบ่อน้ำพุร้อนสูงแค่ข้อเท้าที่ล้อมรอบไปด้วยบุปผาอาถรรพ์ เย่วเทียนอ๋าวกำลังต่อสู้อยู่อย่างบ้าคลั่งท่ามกลางหุ่นกระบอกไม้นับพัน ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดสีสดไหลอาบย้อมผิวสีขาว หลั่งรินไปตามสายน้ำ
แม้จะถูกรุมซัดจนกระเด็น ร่างกระแทกพื้นจนผืนน้ำแตกกระจาย แต่กิเลนแห่งความมืดผู้ดื้อรั้นก็ลุกขึ้นมาใหม่
เข้ามาอีก! เทียนอ๋าวตะโกน
ข้าจะจัดการพวกเจ้าให้สิ้นซาก ข้าจะต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้ มากพอที่จะทำลายทุกอย่างที่มาทำร้ายคนสำคัญของข้า
เทียนอ๋าวประกาศเจตนารมย์ชัดแจ้ง โดยไม่รู้ว่าถูกเฝ้าดูอยู่จากภายนอก
องค์ชายเทียนหมิง ถ้าอย่างไรให้หม่อมฉันไปเรียนองค์ราชินีดีไหมเพคะ
หัวหน้าองครักษ์เอ่ยถาม
ไม่เป็นไร ตอบอย่างเยือกเย็น
ลูกผู้ชายตัดสินใจไปแล้วย่อมสมควรได้รับการส่งเสริม ให้เทียนอ๋าวได้ฝึกฝนตามที่ตนตั้งใจเถอะ
รัศมีแห่งความสงบได้แผ่กระจายออกมาจากร่างของกิเลนแห่งแสง ใบหน้าหวานซึ้งอ่อนละมุนของชูเจินอวี้เหวินได้ซ้อนทับกับโครงหน้าคมคายของบุตรชาย กอปรเป็นความงามสง่าและพิสุทธิ์ดุจดั่งเทพเซียนเหนือโลกีย์
สีหน้ากึ่งหม่นเศร้ากึ่งทอดถอนใจได้สะกดวิญญาณของหญิงสาวทั้งหลายในที่นั้น พวกนางพากันร่ำไห้เพราะจิตใจถูกสั่นคลอนด้วยพลังปราณสีขาวที่เจือกระแสโศกเศร้าบีบคั้น
พลันเย่วเทียนหมิงก็มีสีหน้าขึงขัง ก้าวเดินออกไปโดยไม่ยอมหันกลับมามองภาพอันสะบักสะบอมของน้องชาย
ข้าจะเร้นกายฝึกวิชาในหอตำรา ห้ามให้ใครมารบกวนเด็ดขาด เรียนเสด็จพ่อเสด็จแม่ด้วยว่า หากเทียนอ๋าวออกมาจากค่ายกลเมื่อไร ก็ให้ไปเรียกข้าออกมาเมื่อนั้น
๏
ภายในห้องกว้างที่เต็มไปด้วยม้วนตำรา โคมไฟกระดาษส่องแสงนวลตาได้สาดสะท้อนใบหน้าที่มุ่งมั่นของเย่วเทียนหมิง ปลายนิ้วสีแดงกำลังจับพู่กัน ออกแรงตวัดอย่างเข้มแข็งทว่าอ่อนช้อย ก็ปรากฏตัวอักษรสีชาดเขียนขึ้นอย่างงดงามว่า แข็งแกร่ง
หากสังเกตให้ดี ม้วนตำราทั้งหลายล้วนถูกเขียนคัดลอกเป็นตัวอักษรตัวเดียวกันทั้งสิ้น ส่วนหมึกที่ใช้ก็หาใช่หมึกธรรมดาไม่ ของเหลวสีแดงข้นนั้นคือเลือดของกิเลนแห่งแสงที่หลั่งไหลจากปลายนิ้ว ผสานกลายเป็นหยดหมึกโลหิตสู่ปลายพู่กัน
อักษรสีแดงแสดงความคับแค้นใจแปรเปลี่ยนเป็นคำปฏิญาณอันแน่วแน่
เทียนอ๋าว เกอเกอก็จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน แข็งแกร่งเพื่อปกป้องคนสำคัญของพวกเรา เพื่อปกป้องเจ้ามิให้เกิดความเศร้าเช่นนี้อีกครั้ง เกอเกอให้สัญญา
-------------------------------------------
A/N ตอนนี้แต่งนานจริงๆไม่ใช่เล่นๆเลย ^_^ ดีใจจังที่ยังมีคนรอ พออัพแล้วก็มาเม้นเลย อิอิ XD รักนะจุ้บๆ
ช่วงของเด็จพ่อเขียนยากที่สุดค่ะ เรื่องที่เล่าดัดแปลงมาจากนิทานจีนเรื่อง ฆ่าสุกรสอนบุตร เนื้อเรื่องคล้ายๆกันค่ะ พอฟาราอ่านแล้วเกิดปิ้งไอเดียขึ้นมา
และด้วยแรงสนับสนุนจาก ZZ *0* ทำให้เราคลอดบทนี้ออกมาสำเร็จจนได้ พบกันตอนหน้า ปัจฉิมบท ค่ะ~
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เทียนอ๋าวจัดการให้เละเลยลูก
เด็จพ่อเท่มากกกกกก โฮกกก ซึ้งๆ
พูดได้กินใจสุดๆเลยค่ะ T^T
บังอาจมากนิสัยอวดดีจริงจัง
(ก็เขามีดีให้อวด..)
สงสารเสด็จพ่อกิเลน TT
เทียนอ๋าว...
ใจเย็นๆลูก
ยิ่งอ่านยิ่งสนุกมมากเลยค่ะ แล้วเป็นเพราะสาเหตุนี้หรือปล่าวที่เป็นสาเหตุให้เกิดการวิบัตต่างๆ
แต่เด็จพ่อทรงพระเท่มาก
อย่างนี้สิ!!! ราชันย์!!!!
ฮุเรๆๆ ฟาราสู้ๆๆ
สะใจ!!! แม้จะไม่มากก็เถอะ (ท่านพ่อกิเลนน่าจะตอกให้หนักกว่านี้ หึหึ)
อย่าว่าแต่ หมิง-อ๋าว แค้นใจ คนอ่านก็โคตรจะคับแค้น~~~ ฮึ่ม!!
รอคอยฉากจุดจบของราชันมังกร จนแทบจะรอไม่ไหว!!
ปล. คิดถึง 2 กิเลน
ปลล. เรื่องสั้น พยายามเข้าเน้อ~~
ปลลล. แล้วก็ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ ฟาราขา~~
แจ้งข่าวค่ะ ช่วงนี้ฟารากำลังแต่งเรื่องสั้นเพื่อส่งเข้าประกวด
เพราะงั้นกิเลนจะออกช้าหน่อยนะคะ
เมื่อไหร่เทียนอ๋าวกับเทียนหมิงจะโตอ่าคะ
ตอนต่อไป ปัจฉิมบท โตขึ้นรึเปล่า
ถ้าโตก็ดีสิ อยากอ่านม้ากกมากเลย >.<
Ps.. มาอัพเร็วๆน้าค๊าา จะรอจ้าา
แต่จะแข็งแรงเพื่อปกป้องคนสำคัญ นี่สิสุดยอดเลย
เกอเกอถึงจะไม่ได้ใช้กำลังรุนแรงแต่ก็โหดในแบบตัวเอง
หมิงอ๋าวแตกต่างกันจริง ๆ สมแล้วที่เป็นหยินกับหยาง
บทต่อไปยิ่งน่าติดตาม ใกล้จบแล้ว Y Y รู้สึกเหมือนผ่านไปแปปๆเอง
รอ ๆฟาราอัพ ฟาราสู้ > <
พี่น้องคู่นี้รักกันจริงๆ>///< อุวะฮ่าๆๆๆ น่ารัก กิ้วๆๆ
เอาเลยค่ะ ฟารา ณ ขณะนี้ZZกำลังไล่อ่านหนังสือข้อมูลไว้รออยู่บ้างแล้วววว แว้ววว
คิดถึงฟาราจัง ตอนนี้ sella งานยุ่งมากเลย
เป็นกำลังใจให้นะคะ
แต่ที่สำคัญคือ อ๊างงง ทำไมถึงชอบเทียบหมิงเพิ่มขึ้นล่ะเนี่ย?
หนูอ๋าวโกรธแรงจังนิ อยากเข้มแข็งเพื่อทำลายทุกอย่างที่มาทำร้ายคนสำคัญของตัวเอง..
โอ๊ยโหย!...รู้สึกมีเงาทะมึนทาบทับชวนให้ขนลุกชันขึ้นมายังไงก็ไม่รู้...
ส่วนพี่หมิงก็น่ารักจริงๆ อยากเข้มแข็งเพื่อปกป้องคนสำคัญ เพื่อไม่ให้น้องต้องเศร้า ประเสริฐแท้น้อ...
หนึ่งทำลาย หนึ่งปกป้อง สองพี่น้องแสงและเงา(มืด)จะเป็นยังน้อ...
ตอนหน้าก็ปัจฉิมแล้วนิ ต่อไปก็จะโตแล้วสินะ ...รอๆๆๆ รอด้วยใจ อิอิ
เรื่องสั้นน่าสนุกจัง ขออวยพรให้สำเร็จและชนะการประกวดนะจ๊ะ
พี่น้องกิเลนเก็บตัวฝึกวิชา
^o^
สู้ๆเป็นกำลังใจ เกอเกอ เทียนอ๋าวสู้ๆ
ระ ระ ระ ร้อยแล้วนะจ้า~ ไม่เคยดีใจกะตัวเองขนาดนี้มาก่อน *0*
มีโครงการเขียนเรื่องสั้นส่งประกวดของ สนพ. พูนิก้าอะ อิอิ
ขอโฆษณาหน่อย
'Stigma ตราประทับอันตราย'
สติกมา ผู้ครอบครองพลังแห่งบาป 7 ประการ การต่อสู้ภายใต้นามแห่งพระเจ้าและจอมปีศาจ
รักสามเส้าของ ตัวตลก สตรีศักดิ์สิทธิ์ และตัวแทนแห่งความริษยา!!
เสียดายโพสให้อ่านไม่ได้ เพระเค้าห้ามเผยแพร่ =.=
จนกว่าจะรู้ผล
ป๊ะป๋าพูดได้สะใจมาก นิ่งเงียบเฉียบ เอาใจไปเลย
ดูท่าเรื่องนี้จะไม่จบง่าย ๆ แต่ตอนนี้ก็คงจะไม่มีอะไร
ร้าย ๆเกิดขึ้นแล้วใช่ไหม T T เทียนอ๋าวหนีไปไหนแล้ว
เทียนหมิงรีบไปตามน้องกลับมานะ เทียนอ๋าวคงจะไม่ทำอะไร
วู่วามนะ อยากอ่านที่เหลือแล้ว รอฟาราอัพ ฟาราสู้ ๆ < 3
xx ช่วงนี้ไม่ค่อยได้แวะมาเลย TT งานเยอะมาก ๆ เรียนก็หนัก
อะไรไม่รู้เยอะแยะ ฟาราก็รักษาสุขภาพด้วยน้า
555+
^O^
แอบสะใจนิด เสด็จพ่อวาจาเชียบคมยิ่ง
อิอิ
ตอกหน้าตาราชันมังกรซะเจ็บเลย
ราชันกิเลนช่างเป็นตัวอย่างที่ดีของลูกจริงๆ หนูหมิงดวงตาเห็นธรรมไปเลย!
แต่ทำไมหนูอ๋าวมีปฏิกิริยาอย่างนั้นล่ะ?!!
ไม่ได้การ...หนูหมิง รีบไปตามน้องกลับมาด่วน!!
หุหุ...80% ที่รอคอย...นิมิตที่มาเยือน ขอบคุณฟาราที่ถักทอนิมิตนั้นออกมาให้ได้ชม
และจะรอคอย 20% ที่เหลือด้วยความระทึกในดวงหทัยพลันเน้อ....