ตอนที่ 24 : บทที่ ๒๐ ลิขิตฟ้ากำหนดชะตาชีวิต (๒) (ฉบับร่าง 100%)
A/N 100% ปูมหลังองค์ชายห้าแห่งเผ่ามังกรมาแล้วจ้ะ
บทที่ ๒๐
ลิขิตฟ้ากำหนดชะตาชีวิต (๒)
กงหยางจื่อหงเขม้นนัยน์ตาสีม่วงแดงเรืองจ้ามองผ่านห้วงเวลาที่หยุดนิ่งอันมืดมิดอนธการ อาจเป็นเพราะกลิ่นไอพลังกดดันแห่งพิภพมารที่อาศัยมาแต่กำเนิด ผู้สูงศักดิ์แห่งเผ่ามารจึงปรับตัวเข้ากับเขตแดนที่เป็นดั่งห้วงนภาไร้สิ้นแสงของฉงฉีได้ก่อนใคร
ในมิติเวลาที่ไร้การเคลื่อนไหว จื่อหงมองเห็นกลุ่มก้อนมืดดำพุ่งเข้าหาเทียนอ๋าวอย่างมุ่งร้าย กลุ่มควันอ้าปากมหึมาเผยให้เห็นคมเขี้ยวสีดำสนิทส่องประกาย มันพุ่งเข้าหมายฉีกกระชากกิเลนแห่งความมืด
!!!
จื่อหงร้องตะโกนทว่ากลับไม่มีเสียงเล็ดลอดผ่าน ราวกับเขตแดนได้จำกัดแสงสีเสียงและกาลเวลากระนั้น
โดยไม่ต้องคิด จื่อหงรีบโผตัวทะยานเข้าขวางระหว่างเทียนอ๋าวและสัตว์ร้ายในทันที
๏
ขาว... ขาวโพลนไปหมด ขาวสว่างราวกับหิมะภายใต้เงาหมอก ทั้งผืนฟ้าและแผ่นดินล้วนถูกปกคลุมไปด้วยสีแห่งความพิสุทธิ์
น่ารังเกียจเสียจริง เข้ามาในห้วงคิดของผู้อื่นเช่นนี้เจ้ากิเลนแห่งแสง
สุ้มเสียงรำคาญแลไว้ตัวดังขึ้นรอบทิศ ร่างของหลงช๊วงวู๋ยืนหยัดอยู่อย่างสงบนิ่งด้านหน้า ท่วงท่าสง่างามสมกับชาติกำเนิดสูงศักดิ์ ใบหน้างามคมเหยียดยิ้มเย่อหยิ่ง
ขออภัย ไม่ทราบว่าท่านว่ากระไรนะ?
เย่วเทียนหมิงพลันรู้สึกถึงร่างกายตน ทั่วร่างเปล่งแสงใสสว่างตัดผ่านสีขาวธรรมดาทั้งหมด
นี่เป็นความฝันรึ? หรือความจริง?
เทียนหมิงถามพลางก้มลงมองฝ่ามือของตนเองอย่างพินิจ ไม่อาจบอกความแตกต่าง ร่างนี้ให้ความรู้สึกแปลกแยก ราวกับมิใช่ตัวตนที่แท้จริง เหมือนร่างจิตที่ถูกสะบั้นขาดจากกายากระนั้น
เจ้าบุกรุกเข้ามาในจิตสำนึกของข้าแต่กลับไม่รู้ตัวอย่างนั้นรึ
ช๊วงวู๋กล่าวทอดถอน ด้านหลังพลันปรากฏบัลลังก์น้ำแข็งประดับไปด้วยไอเย็นฟุ้งกระจาย โอรสมังกรลำดับห้าทิ้งตัวลงนั่งพลางยกมือขึ้นเท้าคาง
ก็ดี เมื่อคิดว่าจักต้องดับสูญไปอย่างเดียวดายก็ชวนให้รู้สึกเงียบเหงาอยู่สักหน่อย ข้าจึงไม่รังเกียจที่จะมีเพื่อนคุยไปจนสุดทาง
ดับสูญ? กิเลนแห่งแสงทำท่าครุ่นคิดก่อนเบิกตากว้าง
ตราประทับคงถง! ท่านสังเวยมันแก่ฉงฉีแต่เหตุใดท่านจึงต้องตาย?
ช๊วงวู๋มองเทียนหมิงด้วยแววตาปรานี
นั่นเพราะข้าคือคนตายอย่างไรเล่า ชีวิตที่ได้รับจากตราประทับคงถงก็ย่อมหมดไปเมื่อสูญเสียมัน
เมื่อเห็นกิเลนผู้เยาว์ยังคงมีสีหน้าพิศวงช๊วงวู๋จึงวาดมือขึ้น ฉับพลันพื้นใต้เท้าของทั้งคู่ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นกระจกน้ำแข็งสะท้อนภาพราวกับเหตุการณ์จริง เงาเบื้องล่างคือไอหมอกสีขาวที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนแล้วจึงแปรสภาพกลายเป็นละครฉากหนึ่ง
หลงช๊วงวู๋ผู้มีรูปร่างหน้าตาไม่ผิดเพี้ยนไปจากตอนนี้แม้แต่น้อยกำลังยืนอยู่หน้าบัลลังก์มังกร สีหน้ากราดเกรี้ยวทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ถูกเคี่ยวกรำด้วยอารมณ์จนมัวหมอง
ไม่เหมาะสม!? ข้าผู้ที่ท่านชื่นชมมาตลอดกลับไม่เหมาะสมที่จักได้รับตราประทับคงถง พระบิดาสิ่งนี้คือคำตัดสินของท่านหรืออย่างไร?
หลงช๊วงวู๋บุตรข้า ตราประทับคือสัญลักษณ์แห่งราชันย์มังกร มันจึงไม่มีทางเป็นสมบัติของเจ้าได้แม้แต่น้อย ไม่ว่าจักด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม
จ้าวมังกรเฒ่าตอบเด็ดขาด ราชันย์แห่งตระกูลหลงประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ประดับรูปปั้นมังกรทองคำ แม้ภายนอกจักดูร่วงโรยราวไม้ใกล้ฝั่ง เส้นผมแลหนวดเคราขาวโพลน ทว่านัยน์ตากลับคมกล้าทั้งเต็มไปด้วยประกายเย็นชา
ไอพลังกดดันของหลงหวางไห่แผ่กระจายไปทั่วบริเวณ น่าหวาดเกรงสมกับที่ได้รับสมญา จ้าวมังกรสวรรค์สยบเมฆา ราชันย์มังกรผู้โหดเหี้ยมที่ครั้งหนึ่งเคยนำทัพประกาศสงครามหมื่นปีจนบังเกิดเป็นยุคเข็ญ หายนะในครั้งนั้นได้กลายเป็นตำนานโลหิตชโลมท้องฟ้าอาบย้อมแผ่นดิน เล่าขานโจษจันผ่านเวลานับแสนปีจวบจนปัจจุบัน
ใจกลางท้องพระโรงหลวงอันวิจิตรคือลานทองคำสลักลวดลายเทพมังกรห้าเล็บพุ่งทะยานสู่เวหา แผ่นเกล็ดละเอียดรูปร่างกลมแบนนับล้านชิ้นล้วนประกอบจากมรกตและไพลินเลอค่า ดวงเนตรทับทิมไร้ชีวิตของมันจับจ้องไปที่โอรสมังกรลำดับห้า
หลงช๊วงวู๋ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว สายตาของผู้ร่วมบิดารายรอบส่อแววตำหนิดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง ราวกับกำลังมองดูธุลีดินกระนั้น มีเพียงแค่หลงฟงหลางและพี่น้องไม่กี่คนที่ยังคงรักษากิริยาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์
ความเงียบดำเนินอยู่นานจนบังเกิดเสียงเอะอะจากภายนอก สตรีสูงศักดิ์ผู้หนึ่งวิ่งถลาเข้ามา ใบหน้างดงามที่สามารถสะกดคนจนลืมหายใจนองไปด้วยน้ำตา นางคุกเข่าลงเบื้องหน้าบัลลังก์พลางร้องอย่างปวดร้าว
โอ ราชันย์มังกรผู้ยิ่งใหญ่ โปรดเมตตาบุตรชายของเราด้วยเถิดเพคะ หากไม่ทรงประทานตราประทับอมตะให้แก่ช๊วงวู๋แล้ว ชีวิตของลูกก็คงจะหาไม่
หลงหวางไห่ถอนใจคราหนึ่งก่อนสะบัดมือขวาเบาๆ ร่างของสตรีนางนั้นก็ล้มเซไป ใบหน้าเนียนปรากฏรอยแดงแถบหนึ่ง
เรื่องนี้มิใช่กงการอันใดของเจ้า จ้าวมังกรสมุทรอุดรจงถอยออกไป
ทว่าสตรีโฉมงามกลับไม่ยอมรามือ นางเพียงคุกเข่าร่ำร้องรำพันอย่างสิ้นอาย
เหตุนี้เองเทียนหมิงจึงได้รับทราบตื้นลึกหนาบางในราชวงศ์มังกรอย่างเสียไม่ได้ แต่ก่อนที่หลงฟงหลางจะกำเนิดมานั้น หลงช๊วงวู๋ถือเป็นโอรสคนโปรดลำดับต้นๆ เนื่องด้วยพรสวรรค์ที่เจนจัดในสรรพวิชาความรู้ เชี่ยวชาญการยุทธการปกครองเหนือกว่าพี่น้องคนใด ทั้งวาทศิลป์และน้ำเสียงละมุนละไม ทั้งเค้าหน้าที่ถอดแบบมาจากมารดาอยู่หลายส่วน กอปรเป็นความภาคภูมิใจอย่างใหญ่หลวงแก่ราชันย์และราชวงศ์มังกร
จะอาภัพอยู่เพียงสองเรื่องเท่านั้น...สองเรื่องเท่านั้นเองจริงๆ
หนึ่งคือหลงช๊วงวู๋มิได้กำเนิดมาในครรภ์มังกรสวรรค์ เพราะเลือดที่ต่ำชั้นอยู่ครึ่งหนึ่งจึงไม่มีผู้ใดยอมรับให้เป็นรัชทายาท ส่วนสาเหตุที่สองนั้น...
ฝ่าบาท แค่ตราประทับคงถงเท่านั้น...โปรดประทานให้ช๊วงวู๋เถิดเพคะ
นางมังกรสมุทรยังคงพยายามอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร ไม่ว่าราชันย์มังกรจะเมินเฉยอย่างไรนางก็ไม่ยอมท้อถอย
ออกไปซะ ข้าจะเตือนเป็นครั้งสุดท้าย
ราชันย์มังกรเฒ่าเอ่ยราวกับจะหมดความอดทน ยิ่งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเพียงส่ายหน้าอย่างดื้อรั้นเอาเป็นเอาตายก็ให้บังเกิดความพิโรธ
หลงหวางไห่ถึงกับพลั้งมือทุบกำปั้นลงบนที่ท้าวแขนของแท่นบัลลังก์จนเกิดเสียงดังก้องกัมปนาท พายุแหลมคมราวกับเคียวหมุนวนขึ้นโอบล้อมจ้าวแม่มังกรสมุทรอย่างดุร้าย ร่างกายของนางจึงกลายสภาพเป็นตุ๊กตาขาดวิ่น
เสด็จแม่!!
ช๊วงวู๋คำรามพร้อมจับจ้องบิดาด้วยโทสะ ผู้เป็นบุตรโผเข้ากอดประคองมารดาก่อนซัดพลังปราณมังกรเยือกแข็งระเบิดทำลายสายลม เหลือเพียงเกล็ดน้ำแข็งระยิบระยับโปรยปรายลงมาไม่หยุด
อั้ก!!
โอรสมังกรลำดับห้ากระอักเลือดออกมาสายหนึ่ง ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ลมหายใจเริ่มติดขัดราวกับกำลังกลืนกินหินเผาไฟร้อนระอุ
มาถึงขีดจำกัดแล้วสินะ ใช้พลังปราณเพียงเท่านี้ก็ถึงกับธาตุไฟย้อนกลับ
ราชันย์มังกรเอ่ยอย่างไม่เมตตา แววตาฉายความผิดหวังชัด
นางมังกรสมุทรร่ำไห้ปิ้มว่าจะขาดใจ ซบร่างลงแทบเท้าบุตรชาย
โรคร้ายที่เจ้าเป็นอยู่นี้เพราะแม่ไม่ดีเอง ไม่สามารถให้กำเนิดร่างกายที่แข็งแรงแก่เจ้าได้ หวังเพียงพึ่งตราประทับอมตะช่วยต่อชีวิตเท่านั้น ฮึก ฮือๆ
นั่นถือเป็นชะตา ฟ้าลิขิตไม่อาจฝืน ตราประทับเป็นสมบัติของรัชทายาทเท่านั้น หากจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าไร้วาสนา
หลงหวางไห่ตอบอย่างไร้เยื่อใย
ลิขิตฟ้ากำหนดชะตาชีวิตงั้นรึ...ฮะๆ ฮ่าๆๆ
ท่ามกลางม่านละอองน้ำแข็งที่กำลังสะท้อนแสงเจ็ดสีเจิดจ้าจับนัยน์ตานั้น หลงช๊วงวู๋ผู้ยืนนิ่งดุจรูปสลักน้ำแข็งพลันระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความเหยียดหยันระคนขมขื่นออกมาไม่หยุด
๏
ราชันย์มังกรเลือกที่จะละทิ้งชีวิตของบุตรชายหรือนี่!?
เทียนหมิงที่ได้รับชมเหตุการณ์ถึงกับรำพึงอย่างสะทกสะท้อนใจพร้อมจับจ้องไปยังหลงช๊วงวู๋
พลังที่มองไม่เห็นสายหนึ่งฟาดผ่านอากาศด้านหน้าเทียนหมิงทันที
จง อย่า ช๊วงวู๋เอ่ยเสียงเย็น
บังอาจจับจ้องข้า เน้นหนักอย่างแกร่งกร้าวทีละคำพูด
ด้วยสายตาเวทนาเช่นนั้น นัยน์ตาสีเทาสงบนิ่งจนน่าอึดอัด
แวบหนึ่งเทียนหมิงสัมผัสได้ถึงความคับแค้นใจที่เอ่อทะลักออกมา องค์ชายมังกรลำดับห้าเพียบพร้อมด้วยทุกสิ่งยกเว้นวาสนา
เหตุนี้ท่านจึงทำร้ายน้องชายตนเองทั้งยังอัญเชิญหายนะจากบรรพกาลมาสร้างวิบัติแก่ผู้คน เสียแรงที่ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้แตกฉานในปัญญาแต่กลับไม่รู้จักคิดหาหนทางที่ดีกว่า
เทียนหมิงเอ่ยไม่ไว้หน้า ทว่าช๊วงวู๋เพียงยิ้มละไม
เจ้าใช้อะไรตัดสินว่าแบบไหนคือหนทางที่ดีกว่า? เหตุใดจึงคิดว่าเจ้ามีสิทธิประณามการกระทำของข้า?
เมื่อเห็นกิเลนแห่งแสงผงะไปเล็กน้อยช๊วงวู๋จึงกล่าวท้าทาย
ผู้เปี่ยมปัญญาก็เสมือนผู้หลงอยู่ในหมอกน้ำค้าง นัยน์ตามืดบอดทั้งที่เห็นเป็นสีขาว เพราะตัวปัญญานั่นเองเป็นเครื่องกั้นมิให้เห็นสัจธรรม ซึ่งต้องอาศัยศรัทธาในการเข้าถึง ข้าได้แสดงศรัทธาของข้าแก่เจ้าจนกระจ่างแจ้งแล้ว เช่นนี้ศรัทธาแห่งสัจธรรมของเจ้าล่ะอยู่หนใด?
กิเลนแห่งแสงทบทวนคำพูดนั้นอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยเอ่ยปาก
ท่านทำร้ายทุกอย่างเพื่อทำลายลิขิตฟ้า อย่างไม่ต้องกังขาศรัทธาของท่านแน่วแน่นัก ทว่าหากเปลี่ยนข้าเป็นท่าน ข้าจักเชื่อมั่นในตัวน้องชายให้มากกว่านี้ หลงฟงหลางไม่มีวันทอดทิ้งท่าน
หึ! เจ้าจะรู้อะไร?
ข้าเองก็เป็นพี่คน ข้าเชื่อใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเทียนอ๋าวก็จะไม่มีวันทอดทิ้งข้า
น่าสนุกนี่ แล้วตอนนี้ที่ดวงจิตของเจ้าติดอยู่ภายในกายหยาบของฉงฉี น้องชายเจ้าหนีหายไปไหนเสียล่ะ
!!? เทียนหมิงเผยสีหน้างุนงง
ฉงฉีกลืนกินข้าเข้ามาแล้ว ถึงไม่ทราบว่าเหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ แต่ข้าแน่ใจว่าเจ้าจะไม่ได้กลับออกไป ฮะ ฮะ
เป็นครั้งแรกที่เย่วเทียนหมิงตระหนักถึงสถานการณ์ตรงหน้า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะกลับคืนสู่ร่างอย่างไร ทว่ากิเลนแห่งแสงกลับรักษากิริยาสงบนิ่งพลางเอ่ยหนักแน่น
เทียนอ๋าวจะมา เขาจะหาข้าจนเจอเพื่อกลับออกไปด้วยกัน
ราวกับสวรรค์จะตอกย้ำถึงความแน่ใจของเย่วเทียนหมิงและเหยียบย่ำความมั่นใจของหลงช๊วงวู๋ เงาร่างสีดำล้ำลึกร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังเทียนหมิง
เกอเกอ มาอยู่นี่เองข้าตามหาท่านตั้งนาน
เย่วเทียนอ๋าวรั้งร่างพี่ชายไว้แน่นพลางจดจ้องลงไปในนัยน์ตาของหลงช๊วงวู๋ แล้วโอรสกิเลนสวรรค์ทั้งสองก็พลันจางหายไป
๏
เทียนหมิงกระพริบตาปริบๆเพื่อให้สายตาคุ้นชินกับแสง ได้ยินเสียงถอนใจอย่างโล่งอกของน้องชายจากด้านบน
เฮ้อ เกอเกอข้าเป็นห่วงท่านแทบแย่
เทียนอ๋าวก้มลงมองพี่ชายที่กำลังนอนหนุนศีรษะอยู่บนตักตน สองมือประคองขมับคนที่พึ่งได้สติแผ่วเบา
เทียนหมิงค่อยๆลุกขึ้นพลางเหลียวมองรอบด้าน ใกล้ๆเทียนอ๋าวปรากฎข่ายมนต์รูปทรงกลมที่กำลังลอยอยู่เหนือพื้นดินเล็กน้อย เมื่อมองผ่านผนังสีดำใสเข้าไปจึงเห็นจื่อหงนอนนิ่งอยู่ ทั่วร่างในอาภรณ์สีม่วงเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีเข้ม นัยน์ตาขององค์ชายมารปิดสนิท ลมหายใจแม้จะติดขัดขาดช่วงอยู่บ้างแต่ก็แสดงให้เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่
เจ้าโง่นี่เอาตัวเข้ามาปกป้องข้าเลยเจ็บหนักอย่างที่เห็น
แม้น้ำเสียงจะแข็งกระด้าง ประกายตาคมกล้าแสดงอารมณ์ไม่พอใจ แต่เย่วเทียนอ๋าวก็ยอมสละพลังส่วนหนึ่งกางกั้นเขตอาคมเพื่อคุ้มครองจื่อหง
แล้วหลงฟงหลางล่ะ?
แทนคำตอบ เทียนอ๋าวเพียงพยักพเยิดไปทางฟากฟ้าด้านบน เทียนหมิงจึงมองไล่ตามสายตา
คราแรกท้องฟ้าขมุกขมัวราวกับหยดหมึกสีเข้ม แต่เมื่อพินิจให้ดีสีนิลทมิฬนั้นหาใช่ท้องนภาไม่ เงาดำดั่งขุนเขาปกคลุมแผ่นฟ้ากลับเป็นร่างมหึมาของฉงฉี
ร่างพยัคฆ์ที่ลอยเด่นบดบังดวงตะวันจนแทบสิ้นแสงนั้นสามารถคะเนขนาดจากศีรษะจรดปลายหางกว้างใหญ่ยาวเสมอผืนฟ้า ขนที่เคยขาวสว่างแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ทั่วกายาสลักลายพาดกลอนสีแดงเข้มดั่งโกเมน
ได้ยินเสียงฉงฉีคำรามคราหนึ่ง พื้นดินก็สั่นไหวราวกับคลื่นน้ำ ไม่ไกลเท่าใดปรากฏลูกไฟสีเพลิงลุกไหม้คล้ายกับดวงดารากำลังถูกแผดเผา สิ่งนั้นคือมังกรอัคคีหลงฟงหลางอย่างไม่ต้องสงสัย การโจมตีของบุตรมังกรไม่แม้แต่จะสร้างรอยแผลให้แก่จอมปีศาจจากบรรพกาล
น่าเสียดายที่เวลาหยอกล้อสนุกสนานกับเหยื่อได้หมดลง ฉงฉีสะบัดร่างเคลื่อนแผ่นฟ้าทีหนึ่งขนแหลมกลางหลังของมันก็พุ่งกระจายออกไปทั่วทุกทิศ พายุหนามสะบัดแทงรัชทายาทมังกรให้ปลิวหายลับไปจนสุดขอบฟ้า ได้ยินเพียงเสียงปฐพีระเบิดสะเทือนดังกึกก้องกัมปนาทตามมา
บรรยากาศรอบด้านหนักอึ้ง สายลมหยุดพัดไหว ผืนไพรสีเขียวสดค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมเทา สรรพสัตว์พากันวิ่งหนีพลางส่งเสียงร้องครางอย่างหวาดกลัวไม่หยุด
เย่วเทียนหมิงจ้องหน้าน้องชายพลางเอ่ยหนักแน่น
เห็นทีการครั้งนี้จะเกินกำลังพวกเราพี่น้อง ทว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยไปตามยถากรรมได้ ไม่ต้องสงสัยว่าฉงฉีเตรียมพร้อมที่จะทำลายฟ้าดิน มิใช่แค่ตราประทับอมตะที่พวกเราต้องเป็นกังวล แต่ยังรวมไปถึงหายนะที่จะบังเกิดแก่ผู้คนอีกด้วย
ในความเป็นจริงแล้วเย่วเทียนอ๋าวสามารถตอบได้อย่างซื่อสัตย์ว่า ตัวเขามิได้สนใจหากฟ้าดินจะล่มสลายหรือผู้คนมหาศาลจักต้องล้มตาย ทว่ากิเลนแห่งความมืดกลับเพียงเหลือบมองจื่อหงอย่างชั่งใจแล้วจึงหันกลับมาตอบรับพี่ชาย
เจ้าเสือไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงตัวนี้ก็น่ารำคาญไม่น้อย หากปล่อยไปมันก็คงจะได้ใจจึงสมควรได้รับการสั่งสอนสักทีหนึ่ง
พี่น้องกิเลนเห็นพ้องต้องกันดังนี้แล้วจึงไม่ลังเลที่จะท้าทายฉงฉี ทั้งสองทะยานตัวขึ้นสูงจนมองเห็นเป็นเพียงดวงไฟสีขาวและดำบินวนเวียนอยู่หน้าพยัคฆ์ร้าย
เมื่อผู้ท้าทายทั้งสองปรากฏในครรลองสายตา ฉงฉีก็แสยะยิ้มแยกเขี้ยวขู่ขวัญ
เจ้าลูกกิเลนมารนหาที่ตายเองเลยรึ
นัยน์ตาของพยัคฆ์บรรพกาลแปรเปลี่ยนจากสีอำพันกลายเป็นผลึกโกเมนขุ่นมัว กลางหน้าผากของมันปรากฏแสงสะท้อนสีเงินวาววับ
ตราประทับคงถงอยู่นี่เอง
เทียนหมิงเอ่ยพลางรู้สึกถึงจิตมารมุ่งร้ายเสียดแทงออกมาจากนัยน์ตาสีเลือดไม่หยุด
ฉงฉีกำลังครุ่นคิด...ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งเพื่อทบทวนสถานการณ์ตามหลักเหตุและผลด้วยความตั้งใจอย่างยิ่งยวด
น่าแปลก...สัตว์ร้ายแห่งบรรพกาลที่สมควรเป็นเพียงเดรัจฉานกลับตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด
แรกเริ่มเมื่อครั้งผานกู่เบิกฟ้าผ่าพิภพ ผืนฟ้าและแผ่นดินดุจดั่งคนรักพึ่งแยกจาก สรรพพิภพล้วนแล้วแต่วุ่นวายสับสนไร้ความมั่นคง ตัวมันเองก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนั้น
ฉงฉีคะนึงถึงชีวิตในช่วงต้น ซึ่งอาจนิยามได้อย่างไม่ลังเลว่า เต็มเปี่ยมไปด้วยสัญชาติญาณ...สัญชาติญาณของสัตว์ร้ายที่มีชีวิตอยู่เพื่อกลืนกินผู้อื่นเท่านั้น
เจตจำนงค์บริสุทธิ์ของนักล่าแห่งวัฏจักรสงสาร เช่นฆ่า ทำลาย ฉีกกระชาก ดื่มกินภักษาหาร ทั้งหมดเป็นเพียงผลที่เกิดจากเหตุคือสัญชาติญาณ
น่าเสียดาย...ในตอนนั้นตัวมันยังอ่อนเยาว์เกินไป ไร้เดียงสาและผ่านโลกมาน้อยเกินไป มันจึงหลงระเริงกับการปลดปล่อยสัญชาติญาณ เดือดร้อนไปถึงเทพผู้สร้างและพระผู้โปรดทั้งหลาย สามจักรพรรดิสี่ราชันย์สวรรค์แห่งบรรพกาลได้ร่วมมือกันผนึกมันและสัตว์ร้ายตัวอื่นไว้ในห้วงเวลานิรันดร์
หลังจากถูกผนึกผ่านกาลเวลานับแสนนับล้านขวบปี ฉงฉีจึงได้มีเวลาคิดใคร่ครวญ มันเฝ้ามองสรรพชีวิต เพื่อเรียนรู้ เพื่อทำความเข้าใจ และบางครั้งก็ถึงกับยอมรับในอุดมการณ์หลากหลายที่ผ่านเข้ามาราวกับสายน้ำไหล จึงกล่าวได้ว่า ฉงฉีใช้เวลาไปกับการเติบโตทางอารมณ์ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
นับแต่ครั้งที่ถูกปลดปล่อยจากคุกคุมขังอันยาวนานมาจนถึงบัดนี้ เมื่อเทพมังกรห้าเล็บยอมสละร่างสังเวยแก่ตน ฉงฉีก็ได้รู้สึกถึงพัฒนาการ ที่ก่อร่างสร้างฐานมาในจิตวิญญาณของมันอย่างแช่มช้าทว่ามั่นคง พันธะสัญญาหรือก็คือข้อแลกเปลี่ยน
เสียสละสิ่งหนึ่งเพื่อบรรลุสิ่งหนึ่ง เป็นสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ที่จักล่วงละเมิดมิได้...
ครุ่นคิดได้ดังนี้ ฉงฉีจึงเปล่งเสียงแห่งจิตที่สะท้อนก้องสะเทือนฟ้าดินไปทั่วสามพิภพสี่เขตแดนสวรรค์
สิ่งมีชีวิตทั้งหลายจงสดับฟัง ข้าฉงฉีแห่งบรรพกาลได้รับชีวิตของเทพมังกรหลงช๊วงวู๋มาเป็นดาบเพื่อสะบั้นคำสาปแห่งผนึกพันธนาการ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ด้วยเกียรติและวิญญาณ ข้าขอสาบานว่าจักทำลายสรรพสิ่งให้สิ้นซาก!
---------------------------------------------------
A/N โอ้ฟาราเข็นจบซะที ช่วงฉงฉีเผยความในใจนี่คิดอยู่นานทีเดียว เพราะไม่อยากให้มันเป็นตัวละครที่แบนเกินไป จึงได้ปรึกษาZZและพยายามใส่มิติลงไป หวังว่าผู้อ่านจะถูกใจไม่มากก็น้อย
เนื้อเรื่องส่วนกลางได้รีไรท์เพิ่มเติมบางประโยคตามที่นักอ่านที่รักบอกว่าไม่เข้าใจว่าช๊วงวู๋มีปมหลังยังไง =.= (ได้แค่นี้แหละค่ะ ฟาราไม่อยากเขียนเผยไปแบบ 1 2 3 4 คิดว่าจากคำพูดของตัวละครก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากแล้ว)
ตอนท้ายจะมีการกล่าวถึง ผานกู่เบิกฟ้าผ่าพิภพ อันนี้คือการกำเนิดโลกของจีนค่ะ แรกเริ่มมาท้องฟ้ากับแผ่นดินรวมตัวกันเป็นหนึ่งเหมือนไข่ในเปลือก จนท่านเทพผานกู่ใช้ขวานผ่าแยกทั้งสองสิ่งออก แล้วใช้ร่างตนค้ำยันไม่ให้มันตกมาเชื่อมติดกัน (คล้ายๆยักษ์แอตลาสแบกโลกในตำนานกรีกเลยนะ)
ฉงฉีที่ว่าจะอาละวาดก็ไม่อาละวาดสักกะที แต่สัญญาค่ะ ตอนหน้าถล่มทลายๆสุดๆกันไปเล้ย~
รูปประกอบตอนนี้ เทพมังกรน้ำแข็งหลงช๊วงวู๋ ร่างมังกรจ้า~
ก่อนหน้านี้ฟาราได้ไปเข้าคลับนักเขียนในเด็กดี (ในฐานะนักวิจารณ์) ก็สนุกดีค่ะแต่เบียดเบียนเวลาแต่งนิยายไปหน่อย 555 แล้วก็ลองไปใช้บริการวิจารณ์นิยายของน้องจุ้นจ้านวุ่นวาย (ครั้งแรกเลยอยากรู้ว่าจะเป็นยังไง) แปะแบนเนอร์ให้เข้าไปชมกันนะคะทั้งสองที่เลย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ชอบจังเลยฉากต่อสู่แบบเนี่ย ><
สู่ๆนะค่าาาาาาาาา
รีบไปอ่านตอนต่อไปอย่างรวดเร็ว..
เทียนอ้๋าว น่ารัก~
รักเกอเกอแบบนี้ตลอดไปนะ ><
ปล. แต่ถึงจะดูเป็นเด็กน้อย แต่อายุจริงนี่ไม่น้อยเลยน้า ^^"
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 15 พฤษภาคม 2553 / 14:19
อ้อ ชื่อจื่อหงนี่เอง จำไม่ได้ 555 จำได้แค่ว่าของเล่นของเทียนอ๋าว 555
ว่าแต่มังกรตัวที่ไม่ดี ก็น่าสงสารเนอะ มีพ่อแบบนี้ ถึงได้เปนคนไม่ดี โทษพ่อซะงั้น 555
น่ารักมากเลยยยย!!
คู่พี่น้องง~
คราวนี้เทียนหมิงกับเทียนอ๋าวจะร่วมกันสู้แล้ว
ฟงหลางปลิวหายลับไป จื่อหงก็เจ็บเพราะปกป้อง
เทียนอ๋าว T T ทั้งสองคนจะเป็นอะไรไหม
ตอนหน้าฉงฉีจะอาละวาดเต็มที่ แอบเห็น
โหวตตอนพิเศษเป็นโอรสมังกรกันเยอะเลย T T
แต่ไม่เป็นไร เรื่องของใครก็อ่านหมด ><
รออ่านตอนหน้า ฟาราสู้ ๆ : )
ติดตามตอต่อไปคร๊า~~
ชอบสองพี่น้องเทียนหมิง เทียนอ๋าว มากๆเลยงัฟ
.....\^0^/.....
พี่น้องอยู่พร้อมหน้าป้าคิดถึงจริงๆ^[]^
น้องอ๋าวน่ารักมาก ว่าช่วย เกอเกอ แล้วสิน้า
น่ารักที่สุดเลยสองพี่น้อง >_<
เป็นอย่างนี้ตลอดไปน้า
> < พี่น้องมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
แต่ ฉงฉีกำลังจะโจมตีเทียนอ๋าวนี่นา
แล้วเทียนอ๋าวมาช่วยเทียนหมิงได้ยังไง
รออ่านเปอร์เซ็นต์ที่เหลือ ฟาราสู้ ๆ
พี่น้องมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าแล้วค้า~!
เจ้ก็คิดถึงอ๋าวน้อยเหมือนกันนะ จุ๊บๆ >3<
ไม่ต้องน้อยใจ เดี๋ยวเจ้จะเอาไปนอนกอดทั้งคู่เลย อิๆๆ -v-
ไม่เป็นไร รออีก 40% ที่เหลือแล้วกันเนอะ^^
(ZZ เป็นพวกบ้ามังกรค่ะ!! XD)
ฟารามาอัพซะดีๆน้า....อยากรู้ อยากรู้
จะบอกว่าเอาคอมไปทำเลยเพิ่งมาเม้นได้
สัตว์ร้ายจะโจมตีเทียนอ๋าว แต่จื่อหงเข้าไปขวาง
จื่อหงน่าห่วง (แต่แบห่วงเทียนอ๋าวมากกว่านิดนึง)
เทียนหมิงเข้าไปในจิตสำนึกของช๊วงวู๋ อย่างนี้
จะเป็นอะไรไหม T T แล้วที่บอกว่าถ้าไม่มอบตรา
ประทับให้ชีวิตจะหาไม่ แสดงว่าช๊วงวู๋เป็นอะไร
สักอย่างหรือเปล่า ยังไงก็ตามรออ่านตอนที่เหลือ
ฟาราบอกปวดหัว พักผ่อนบ้างน้า เดี๋ยวจะไม่สบาย T T
ช่วงนี้อากาศแปรปรวณ เขียนได้นิดเดียวก็ไม่เป็นไร
ค่อย ๆ อัพก็ได้ยังไงก็รอได้ ฟาราสู้ ๆ > 3 <
ปล.ดูเรือนซ่อนรักเหมือนกันเลย >< ดูแล้วติดงอมแงม