ตอนที่ 20 : บทที่ ๑๖ การยุทธมิหน่ายเล่ห์กล (๑) (ฉบับร่าง 100%)
A/N 100% มีตัวละครใหม่แต่เก่าออกโรงจ้า XD งงมั้ยหว่า
บทที่ ๑๖
การยุทธมิหน่ายเล่ห์กล (๑)
ได้ยินคำร่ำลือว่าเมื่อไม่นานมานี้จักรพรรดิแห่งแดนมนุษย์ได้จัดงานประลองยุทธโดยมีรางวัลเป็นสิ่งวิเศษที่จะบันดาลความเป็นอมตะ อย่างไรหากบรรพบุรุษน้อยสนใจก็เชิญเสด็จไปยังพิภพมนุษย์เถิด
ไม่เสียแรงที่เซียนปีศาจนกเค้ากู่อยู่มานับหมื่นปี เพียงแค่เสียงเล่าลืออันไร้รายละเอียดก็สามารถนำมาโน้มน้าวให้เย่วเทียนอ๋าวออกเดินทางสู่พิภพมนุษย์เพื่อสานต่อภารกิจตามหาของกำนัลแด่น้องสุดท้องได้
แม้จะลิงโลดต่อการจากไปของเจ้าตัวร้าย เซียนปีศาจก็ยังไม่อาจหลีกพ้นความเสียใจ เพราะองค์ชายผู้เมตตาของมันกลับติดตามไปด้วยเสียนี่!
เย่วเทียนอ๋าวและกงหยางจื่อหง บุตรผู้สูงศักดิ์แห่งสองพิภพนั่งอยู่บนอาชาสวรรค์ที่โผบินอย่างคึกคักกลางฟากฟ้า ขนสีดำสนิทเป็นประกายเรียบลื่นดูน่าสัมผัส
จื่อหงเหลียวมองทิวทัศน์รอบด้านอย่างตื่นตาตื่นใจ ราวกับเด็กที่ได้เผชิญโลกเป็นครั้งแรกกระนั้น
เจ้านี่ไม่เคยออกมาภายนอกเลยหรือไง...เพราะมีแม่แบบนั้นนี่นะ~
เทียนอ๋าวหัวเราะเบาๆให้กับความคิดร้ายกาจของตนเอง
นี่ ที่ข้าพาเจ้ามาด้วยเพราะเห็นว่ามีประโยชน์หรอกนะ ถ้าพวกเราลงแข่งงานประลอง ด้วยฝีมือระดับเจ้าก็คงชนะได้ง่ายๆ เสร็จแล้วก็เอารางวัลมาให้ข้า สบายจะตายไป~
แน่นอนว่าเรื่องสะดวกสบายที่กล่าวมานั้นย่อมหมายถึง การเคี่ยวกรำใช้งานจื่อหงในขณะที่ตนเองพักผ่อนอย่างสุขสำราญนั่นเอง
บุตรแห่งพิภพมารจ้องมองแผ่นหลังเบื้องหน้าด้วยแววตาสีใส ก่อนพยักหน้ารับคำอย่างไม่คิดอะไร
ฮื่อ เพื่อเพื่อนข้าทำได้อยู่แล้ว
เย่วเทียนอ๋าวในเวลานี้ไม่อาจกลั้นรอยยิ้มร้ายกาจที่กลั่นมาจากใจ ควรจดจำไว้ หากท่านติดค้างบุญคุณความแค้นแก่กิเลนแห่งความมืดแล้วไซร้ ย่อมจะได้รับการทดแทนเป็นเท่าตัว
ฉางอันเทียนโกว อาณาจักรสวรรค์สงบสุขนิรันดร์แห่งแดนมนุษย์
เมืองหลวงแห่งความรุ่งโรจน์ที่เปรียบเสมือนหัวใจอันหล่อเลี้ยงแผ่นดิน ทุกหย่อมหญ้าล้วนอยู่ใต้ผืนฟ้าในอาณัติแห่งราชวงศ์ จูเก่อ ตระกูลแห่งจักรพรรดิจอมอาคมผู้ปกครองพิภพมนุษย์มาหลายชั่วอายุคน
ปราชญ์แลกวีทั้งหลายล้วนกล่าวขานด้วยความภาคภูมิระคนตื้นตันว่า
หากสรวงสวรรค์แต่งแต้มฟากฟ้า ฉางอันเทียนโกวก็ประดับประดาผืนดิน แม่น้ำแลถนนหนึ่งหมื่นสองพันสายตัดผ่าน ประตูสู่มหาสมุทร เมืองทองแห่งการค้าและสรรพวิชาของผู้เดินดิน
เมื่อเย่วเทียนอ๋าวและจื่อหงเดินทางมาถึง ก็ให้นึกชื่นชมความรุ่งเรืองของเมืองหลวงแห่งนี้อยู่หลายส่วน
จักรพรรดิแห่งแดนมนุษย์นี่มีรสนิยมไม่เลวเลยจริงๆ
เทียนอ๋าวเอ่ยพร้อมทอดตามองพระราชวังแดงอันโอ่อ่าที่ตั้งอยู่บนยอดผา ด้านข้างคือทิวทัศน์ของมหาสมุทรสีเขียวคราม ลมทะเลพัดสดชื่น ประกายคลื่นระยับจับตายิ่งนัก
เทียนอ๋าวไม่เคยเห็นทะเลงั้นรึ?
จื่อหงถามประหลาดใจเมื่อเห็นเทียนอ๋าวจับจ้องผืนน้ำเนิ่นนาน
ทว่าอีกฝ่ายเพียงขมวดคิ้ว
เจ้าเคยเห็น?
จื่อหงพยักหน้าจึงเกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง
ป้อก!
โอ้ย ทำอะไรน่ะ
จื่อหงลูบศีรษะตนเองด้วยความตกใจเมื่อเทียนอ๋าวใช้กำปั้นเขกอย่างสายฟ้าแลบ
โทษฐานรู้ดีนัก
เทียนอ๋าวพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉยพลางเดินแหวกฝูงชนสู่สถานที่จัดงานประลองอย่างรวดเร็ว
จูเก่อเฟยเสวียนนับเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังโดยแท้ งานประลองยุทธที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ได้รับการกล่าวขานไปทั่วสามพิภพสี่เขตแดนสวรรค์ ฝูงชนมากมายหลั่งไหลมาราวกับน้ำป่าทะลักหลากในช่วงวัสสานฤดู
ลานกลางเมืองแปรสภาพเป็นซุ้มงานประลองยุทธขนาดมโหฬาร ภายในประกอบด้วยเวทีสีขาวรูปทรงจัตุรัสหลายร้อยเวทีตั้งเรียงกันอย่างมีระเบียบ นายทะเบียนแลเจ้าหน้าที่พิธีการของงานจะประจำอยู่ทุกๆแปดช่วงเวที หากผู้ใดสนใจเข้าร่วมการประลองก็ให้ลงชื่อกับนายทะเบียนเพื่อขอรับป้ายชื่อแกะสลัก
เทียนอ๋าวเดินนำจื่อหงมาหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้าสู่โต๊ะลงทะเบียน น่าแปลกที่แม้มีผู้มุงดูมากมายแต่กลับไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปประกาศชื่อตน กิเลนแห่งความมืดจับสัมผัสคุกคามได้ทันที พลังปราณมุ่งร้ายเสียดแทงออกมาจากด้านในราวกับเข็มน้ำแข็งเสียดกระดูก
โฮ่ นี่เองที่ทำให้เจ้าพวกนี้ไม่กล้าเดินเข้าไป
เย่วเทียนอ๋าวเปรยเรียบๆ น้ำเสียงดูแคลนพร้อมท่าทางจองหองเรียกความไม่พอใจได้ไม่น้อย พลังด้านลบจากฝูงชนกอปรกับพลังกดดันที่แผ่ออกมาล้วนแล้วแต่ฉุดรั้งบรรยากาศให้เลวร้าย ทว่าไหนเลยเย่วเทียนอ๋าวจะสนใจ สองเท้ายังคงก้าวต่อไปอย่างไม่ยี่หระ
โฮะๆ มีหนูน้อยหน้าตาน่ารักสองคนมาร่วมประลองด้วยรึนี่
สตรีสาวผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างรื่นเริง นางอยู่ในชุดคลุมแนบเนื้ออันขับเน้นส่วนเว้าส่วนโค้ง ชายเสื้อปักลวดลายสกุณาเริงร่าบุปผาเป็นสีสันสดใส หมวกบัณฑิตของนางประทับด้วยรูปวิหคตัวน้อยอันเป็นตราประจำตำแหน่ง นายทะเบียน แห่งลานประลอง
นางนั่งไขว่ห้างผ่อนคลายอยู่บนโต๊ะไม้ขัดมัน ด้านข้างซ้ายขวาคือสตรีที่งดงามไม่แพ้กันอีกสองนางในตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิธีการ
จงใจปล่อยปราณกดดันเพื่อลดจำนวนผู้เข้าประลองสินะ
จื่อหงเอ่ยพลางเดินมาหยุดอยู่ข้างเทียนอ๋าวด้วยท่าทางสบายๆ
ฉลาดนี่หนูน้อย พวกเจ้าดูคนที่อยากร่วมงานสิ ถ้าให้พวกเราต้อนรับทั้งหมด ไม่คิดว่าจะเป็นการเกินแรงไปหน่อยหรือ
นางตอบพร้อมกรีดนิ้วที่เคลือบด้วยสีแดงไปทางฝูงชน
แต่อย่าคิดว่า แค่ใจกล้าเดินเข้ามาแล้วจะได้ป้ายชื่อนะจ้ะ
นายทะเบียนสาวล้วงป้ายไม้ขนาดครึ่งฝ่ามือออกมาจากอกเสื้อ ก่อนหมุนมันไปมา
เจ้าต้องแย่งไปจากมือข้าให้ได้ด้วยจ้ะ ถึงจะได้รับการสลักชื่..
ไม่ทันขาดคำจื่อหงก็เร้นกายดุจเงาเข้าประชิด อย่างไม่ทันตั้งตัวมือซ้ายของจื่อหงคว้ามือข้างที่ว่างของสตรีสาวไว้เพื่อยื้อยุดมิให้ถอยหนี ในขณะที่มือขวาคว้าจับป้ายชื่อ
เสียดายวิทยายุทธของผู้ควบคุมการประลองมิใช่ชั่ว จึงกลายเป็นว่าฝ่ายหนึ่งพยายามไขว่คว้าในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งกระชากมือหนี รวดเร็วจนสายตาคนธรรมดามองไม่ทัน มีเพียงเย่วเทียนอ๋าวและเจ้าหน้าที่สตรีที่เหลือเท่านั้นที่มองออก
ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในห้วงสมาธิ นายทะเบียนดูเป็นฝ่ายได้เปรียบด้วยพลังปราณกดดันที่แผ่ออกมาไม่น้อย ทว่าจื่อหงกลับไม่มีทีท่าร้อนใจ ไม่จำเป็นต้องเผยไอมารด้วยซ้ำ
นี่สีเคลือบเล็บของเจ้าหลุดแล้วน่ะ
จื่อหงเอ่ยเรียบๆทะลุกลางปล้อง อาศัยจังหวะที่สตรีสาวชะงักไปเสี้ยวหนึ่งชิงป้ายชื่อมาได้อย่างงดงามและง่ายดาย
นายทะเบียนเพียงเบิกตาอย่างคาดไม่ถึงก่อนหัวเราะคิกคัก
อา เจ้าหนูน้อยฉลาดนัก ขอทราบชื่อได้หรือไม่
นางยกพู่กันพร้อมยื่นมือขอรับป้ายคืนเป็นทำนองว่าจะสลักชื่อให้
จื่อหง..กงหยางจื่อหง
สตรีทั้งสามนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วลอบกระซิบกันด้วยความตกใจก่อนนายทะเบียนจะเอ่ย
ที่แท้องค์ชายแห่งตระกูลกงหยางนี่เอง นัยน์ตาสีม่วงแดงเช่นนี้ไม่ผิดแน่แล้ว
ควรทราบว่าดวงเนตรสีม่วงแดงนั้นคือสัญลักษณ์ของผู้สูงศักดิ์แห่งพิภพมาร มีเพียงมารปีศาจชั้นสูงในตระกูลกงหยางเท่านั้นที่จักมีสิทธิ์ครอบครอง
นายทะเบียนนำป้ายสลักชื่อจื่อหงไปแขวนตรงฐานของกระดานไม้รูปทรงสามเหลี่ยมแปดชั้นที่ตั้งอยู่ด้านข้าง
กฎการประลองมีเพียงหนึ่งเดียว หากเจ้าต้องการผ่านเข้ารอบถัดไป ก็ต้องชนะให้ครบแปดครั้งทั้งแปดเวทีโดยไม่พ่ายแพ้ ขึ้นไปอยู่ด้านบนสุดของแปดลำดับขั้น
จื่อหงเพียงพยักหน้ารับรู้ เหลียวมองรอบกายก็ยังไม่พบคู่ต่อสู้ที่ดูตึงมือ
แล้วหนูน้อยอีกคนจะลงแข่งด้วยหรือไม่จ้ะ นายทะเบียนสาวถามด้วยกิริยาหยอกเย้า
เย่วเทียนอ๋าวเพียงกวาดตามองลานประลองอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนหลับตาบิดขี้เกียจ
คู่ต่อสู้ระดับนี้ให้เจ้านี่สู้ก็พอแล้ว
อ้าว! เทียนอ๋าวไม่ลงประลองอย่างงั้นรึ
เสียงอ่อนเยาว์เต็มเปี่ยมไปด้วยความอาทรเอ่ยขึ้นด้านหลัง
ก็ใช่น่ะสิ ยังไงรางวัลก็เป็นของข้าอยู่แล้ว เอ้ะ!?
เทียนอ๋าวใช้เวลาชั่วอึดใจก่อนรู้ตัวว่าคำถามนั้นมิได้มาจากจื่อหง เมื่อระลึกได้ถึงเสียงอ่อนโยนอันคุ้นเคยจึงรีบเหลียวมองหลัง
เกอเกอ!
กิเลนแห่งความมืดผู้หยิ่งผยองกลับทำหน้าเหรอหราเมือพบว่าพี่ชายยืนอยู่ด้านหลัง
การที่เกอเกอเข้ามาใกล้โดยที่ข้าไม่ทันรู้สึกตัวเช่นนี้ นับว่าฝีมือรุดหน้าไปมาก
เย่วเทียนหมิงเพียงหรี่ตาสีเงินสุกใสด้วยความเอ็นดูก่อนใช้แขนกอดคอน้องชายจากด้านหลัง
ถ้าเทียนอ๋าวไม่ลง แปลว่าเจ้ายอมให้เกอเกอชนะการแข่งขันของเราสินะ
ว่าพลางอวดป้ายทองคำบริสุทธิ์สลักนาม เย่วเทียนหมิง ตรงหน้าน้องชาย
ถ้าชนะครบแปดครั้ง พอผ่านเข้ารอบต่อไปป้ายชื่อไม้จะกลายเป็นทองคำล่ะ
เทียนหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นกับอาคมแปรธาตุอันมหัศจรรย์ของเผ่ามนุษย์
จื่อหงจ้องมองผู้มาใหม่อย่างพินิจ ด้วยพรสวรรค์ของเนตรมารจึงมองทะลุถึงร่างจริงของบุคคลตรงหน้า
กิเลนขาว? พี่ชายของเทียนอ๋าว?
สายตาของจื่อหงประสานกับเทียนหมิงครู่หนึ่ง ก่อนกิเลนแห่งแสงจะเผยรอยยิ้ม
ข้าเห็นพวกท่านตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว น่าตกใจจริงๆที่มีคนทนเจ้าตัวร้ายได้
เย่วเทียนอ๋าวใช้เวลาครู่หนึ่งจึงได้ตั้งสติ จากนั้นก็รีบสะบัดตัวจากการเกาะกุมของพี่ชาย พุ่งเข้าหานายทะเบียนทันที
ถ้าเกอเกอลงแข่ง ข้าก็จะแข่งด้วย ฮึ
สีหน้าจริงจังขึงขังขัดกับใบหน้าอ่อนเยาว์ของกิเลนแห่งความมืดถึงกับกระตุกหัวใจของนายทะเบียนให้เต้นผิดจังหวะ
เห็นแก่ที่เจ้ามีแววจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี(?) ข้าจะยกป้ายให้โดยไม่คิดมูลค่า
นางเอ่ยนัยน์ตาเพ้อฝัน มือข้างหนึ่งถือป้ายชื่ออีกข้างจรดพู่กัน รอฟังนามที่จะเอ่ย
เย่วเทียนอ๋าว
เมื่อนายทะเบียนสลักชื่อเสร็จเทียนอ๋าวก็ชิงคว้าแผ่นป้ายมาก่อนที่นางจะทันแขวนลงบนกระดาน
ข้าจะไปแข่งที่ลานอีกฟาก จื่อหงเจ้าห้ามแพ้ล่ะ!
เทียนอ๋าวกำชับเสียงเข้ม ไฟแห่งการต่อสู้ลุกโชน
รอก่อนเถอะเกอเกอ กล่าวพลางทะยานร่างจากไปราวกับสายลม
เทียนอ๋าวเนี่ยน้า~ ถ้าแข่งที่ลานประลองนี้กลัวจะต้องสู้กับเพื่อนสินะ
เทียนหมิงมองตามร่างเล็กๆในชุดดำอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ไม่ทันที่จะเอ่ยอะไรต่อ เสียงกรีดร้องของบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ก็ดังขึ้นไล่หลัง
อ้ะๆ อยู่นี่เอง พวกเรา! คุณชายเทียนหมิงอยู่นี่ล่ะ~
ดรุณีน้อยนางหนึ่งตะโกนอย่างลิงโลด ด้านหลังคือขบวนสาวงามที่ไล่ตามมาไม่ห่าง
อ่า ตามมาทันแล้วรึ...ข้าคงต้องขอตัวก่อนล่ะนะทุกท่าน
เย่วเทียนหมิงประสานมือคารวะก่อนเตรียมตัวเร้นกายหนีการติดตามของบรรดาพี่สาวน้องสาวที่เริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่ตัวเขามาเยือนฉางอันเทียนโกว
กิเลนแห่งแสงไม่ลืมที่จะหันมากล่าวกับจื่อหงอย่างสุภาพก่อนออกวิ่ง
ท่านกงหยาง ขอบคุณที่ช่วยดูแลน้องชายข้า โอกาสหน้าคงได้ร่วมสนทนาซักครั้ง
คุณชายเย่วเทียนอ๋าว เป็นฝ่ายชนะเจ้าค่ะ
เจ้าหน้าที่พิธีการผู้ควบคุมงานประลองร้องขึ้นอย่างเด็ดขาดหลังจากเย่วเทียนอ๋าวจัดการซัดศัตรูคนสุดท้ายของลานประลองที่แปดจนพ่ายแพ้หมดรูป จอมยุทธโชคร้ายได้แต่นอนหมดสภาพอยู่นอกเวที
เทียนอ๋าวคว้าป้ายทองคำสลักชื่อตนมาจากลำดับบนสุดของกระดานสามเหลี่ยม ก่อนทะยานตัวกลับไปยังลานประลองของจื่อหง
หวังว่าจะได้เรื่องนะ
เมื่อมาถึงก็พบเงาร่างสว่างไสวของพี่ชายกำลังยืนทอดตามองลานประลองที่อึกทึกที่สุดอยู่ไม่ห่าง
อ้าว เทียนอ๋าวมาแล้วเหรอ เพื่อนของเจ้ากำลังตึงมืออยู่เลยเชียว
เทียนหมิงหันมากล่าวยิ้มๆ
คู่ต่อสู้คือแม่นางเยี่ยนจี๋ เทพพิทักษ์สงครามแห่งแดนมนุษย์เชียวนะ
เทียนอ๋าวเหลียวมองไปตามคำพูดของพี่ชายก็พบว่าจื่อหงกำลังยืนคุมเชิงอยู่บนเวที ท่าร่างรัดกุมไร้ช่องโหว่ รังสีกดดันฉายชัด
ฝั่งตรงข้ามของลานประลองปรากฎสตรีสาวผู้ครอบครองเกาฑัณฑ์โลหะประดับทองคำขาว ผมสีทองยาวสยาย ชุดเกราะเบาสีเขียวอ่อนสลับขาวสลักลวดลายพฤกษาขลิบทอง เสื้อคลุมขนสัตว์พองฟูอ่อนนุ่ม เสื้อผ้าน้อยชิ้นนั้นดูคล่องแคล่วไม่เลวทีเดียว
ผิดกับจื่อหงที่เต็มไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เยี่ยนจี๋เพียงยิ้มแย้มพลางมองดูผู้เยาว์แห่งเผ่ามารด้วยความชื่นชม
คุณชายน้อยช่างน่ารักเสียจริง แม้รู้ตัวว่าสู้ไม่ได้แต่ก็ไม่ยอมถอยหนี
เยี่ยนจี๋เอ่ยทีเล่นทีจริง ควรทราบว่าเทพพิทักษ์สงครามมิใช่เพียงตำแหน่งเรียกขาน แต่เป็นยศศักดิ์ที่ได้มาจากการเข่นฆ่าศัตรู อาบเลือดยอดยุทธชโลมกาย
ในเวลานี้ผู้ชมแบ่งพรรคแบ่งพวกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือเหล่าชายหนุ่มผู้ติดตามด้วยใจภักดี
ท่านเยี่ยนจี๋ น่ารักที่สุดๆ โอ้วๆ
อีกฝ่ายหนึ่งคือเหล่าสตรีไร้เดียงสาที่มาเปิดหูเปิดตาในงานประลอง
คุณชายน้อยสู้ๆนะเจ้าคะ ตาสีสวยจังเลย อ้าย~
ทั้งคู่ดูราวกับแมวหยอกหนู ธนูโลหะหลายร้อยดอกปักอยู่บนพื้นลานประลอง เยี่ยนจี๋ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับแม้เพียงนิดในขณะที่จื่อหงพลิ้วกายหนีการโจมตีไม่หยุด
หลบเก่งนะคะ แต่จะหลบได้ตลอดไปรึเปล่านี่สิ
เอี้ยนเยี่ยนจี๋ใช้ลำแขนบอบบางง้างสายเกาฑัณฑ์หนักอึ้งออกง่ายดาย เห็นเพียงเงามือของนางไหววูบก่อนฝนธนูโลหะจะแหวกพุ่งมุ่งสู่จื่อหง
เก้าร้อยเก้าสิบเก้าครั้งในชั่วพริบตา ยอดยุทธโดยแท้
เย่วเทียนหมิงเอ่ยชื่นชม หากไม่ได้รับการฝึกสอนเคี่ยวกรำจากเย่ยิงและเยี่ยนจี๋ ฝีมือเขาก็คงไม่รุดหน้าแบบก้าวกระโดดเช่นนี้
เทียนอ๋าวมองตามแล้วขมวดคิ้ว
บนเวที จื่อหงรู้ตัวว่าไม่อาจวาดกระบี่ปัดป้องลูกธนูพันดอก ไวเท่าความคิด โอรสแห่งพิภพมารกรีดเฉือนพื้นหินลานประลองก่อนกระแทกเท้าดังปัง! แผ่นหินลอยเด่นอยู่กลางอากาศกลายเป็นเกราะกำบังชั้นเยี่ยม เยี่ยนจี๋มิได้ผนึกปราณลงในดอกเกาฑัณฑ์ แผ่นหินธรรมดาจึงกันการโจมตีของนางได้โดยง่าย
จื่อหงไม่ยอมเสียจังหวะใช้พลังผลักดันแผ่นหินไปด้านหน้าหวังพิชิตเยี่ยนจี๋ในดาบเดียว แผ่นหินถูกกรีดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แตกกระจายราวสะเก็ดระเบิด
ทว่าเบื้องหน้าจื่อหงมีเพียงความว่างเปล่า
ลูกไม้ตื้นๆ ใช้ไม่ได้หรอกนะคะ คุณชายน้อย
นางกล่าวทั้งที่ยังลอยตัวกลับหัวอยู่กลางอากาศ เกาฑัณฑ์ขยายขนาดขึ้นเท่าตัว ความยาวเกินช่วงแขนจะง้าง
อย่างไม่คาดคิด เยี่ยนจี๋เสกลูกเกาฑัณฑ์ออกมาจากฝ่ามือ สองมือรั้งสายเอ็นตึงแน่นในขณะที่เท้าข้างหนึ่งถีบง้างเกาฑัณฑ์จนสุด
เกาฑัณฑ์ประหารเทวะ! นางร้องปิดฉากพร้อมปล่อยธนูสัตโลหะ
จื่อหงไม่หลบหนีให้มากความ เพียงปลดปล่อยไอมารเป็นอิสระ ประกายสายฟ้าสีม่วงแดงแล่นปลาบไปทั่วร่าง พริบตากระบี่ในมือก็ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีน้ำเงิน
เกาฑัณฑ์โลหะปะทะกระบี่อัคคีดัง เปรี๊ยง! ก่อนถูกหลอมละลายไปในเปลวเพลิง ไอโลหะร้อนพวยพุ่งคละคลุ้งไปในอากาศ
เยี่ยนจี๋หยัดเท้าลงสู่พื้นมองอย่างตกตะลึง นางเผยรอยยิ้มก่อนหลับตาพร้อมตั้งฝ่ามือจรดหน้าอก อาคมพิชัยยุทธที่ห่อหุ้มร่างถูกคลายออก ชุดเกราะและลูกธนูสลายกลายเป็นฝุ่นผงสีทอง เหลือเพียงสตรีสาวอ่อนหวานในชุดกระโปรงขนสัตว์
ไหวพริบไม่เลวคุณชายน้อย! ใช้ธาตุไฟเข้าข่มโลหะ ข้าขอยอมแพ้" พลางถอนหายใจทีหนึ่ง
"จริงๆข้าก็ไม่ได้อยากจะลงแข่งแต่แรกแล้ว องค์จักรพรรดิน่ะสิเจ้ากี้เจ้าการ
นางกล่าวหน้ามุ่ย ใบหน้ากระเง้ากระงอดเล็กน้อยราวกับลูกแมวแสนงอน นับเป็นท่าไม้ตายอันเลื่องชื่อที่แม้แต่นักพรตผู้ทรงศีลทั้งหลายก็มิอาจไม่เผลอใจหลงใหล
จื่อหงยังคงยืนนิ่ง พลังสายฟ้าและไอมารเข้มข้นได้สลายไปแล้ว อย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างเล็กๆขององค์ชายแห่งพิภพมารก็ถูกอุ้มลอยขึ้นราวกับตุ๊กตา ในอ้อมกอดรัดแน่น เทพพิทักษ์สงครามแห่งแดนมนุษย์กระซิบเบาๆ
เกือบไปแล้วไหมล่ะ ถ้าท่านระเบิดพลังมารบริสุทธิ์ที่นี่ล่ะก็ งานประลองจะต้องล่มแน่ๆ
เยี่ยนจี๋กระพริบตาให้ทีหนึ่ง ทว่าจื่อหงกลับเพียงหัวหมุนอยู่ในอ้อมแขนพลางร้องประท้วงไร้เสียง
..นิ่มๆที่เบียดหน้าข้าอยู่นี่มันอะไร เอาออกไปนะ!
ไม่ทันที่ทุกคนจะเอ่ยอะไร อนงค์น้อยในชุดองค์รักษ์นางหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบมาจากอีกฟากของงานประลอง
แฮ่กๆ ท่านเยี่ยนจี๋! ท่านเยี่ยนจี๋เจ้าคะ ท่านเย่ยิงกำลังแย่แล้วเจ้าค่ะ!
บรึ้ม!
เสาเพลิงสูงเสียดฟ้าแผ่พุ่งจากพื้นขึ้นสู่อากาศ ด้านหลังองค์รักษ์สาวถูกย้อมไปด้วยแสงอัคคีเจิดจ้า เอี้ยนเยี่ยนจี๋พลิ้วกายไปทางต้นเพลิงอย่างรวดเร็วทั้งยังลากจื่อหงไปด้วย เทียนหมิงที่ได้ยินว่าเย่ยิงกำลังลำบากก็รีบทะยานตามไปโดยไม่ลืมดึงมือเทียนอ๋าวมาอีกคน
ห่างออกไปไม่ไกล ท่ามกลางลานประลองที่ตกอยู่ในเปลวเพลิงปรากฎเงาร่างของผู้เข้าประลองสองคน หนึ่งคือเทพพิทักษ์ปัญญานามเยี่ยเย่ยิง นางอยู่ในชุดเกราะรัดรูปสีดำสนิท ใบหน้าหวานคมจับจ้องคู่มือไม่วางตา
เบื้องหน้าคือขุนศึกน้อยในชุดเกราะมังกรเพลิงเต็มยศ คะเนด้วยสายตาน่าจะมากวัยกว่าบุตรกิเลนไม่เกินสองปี ท่าร่างเข้มแข็งราวกับนักรบเจนศึก ง้าวเหล็กกล้าประดับมังกรเลื้อยพันส่องประกายอันตรายไม่หยุด แม้เปลวไฟจะเผาไหม้แต่กลับไร้ไอร้อน
เปลวเพลิงของท่านคำรามทะลุฟากฟ้าแต่กลับเมตตาผู้เดินดิน มีเพียงหนึ่งเดียวที่ครอบครองอัคคีศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ได้ เผ่าเทพมังกรอมตะสินะ
เย่ยิงกล่าวพลางกระชับมีดสั้นในมือทั้งสองแน่น
ขุนศึกเยาว์วัยเพียงถอดหมวกเกราะออก เส้นผมสีแดงยาวสยายสะท้อนแสงเพลิง รูปหน้าคมเหมาะเจาะไร้ที่ติราวกับเทพเจ้าบรรจงปั้น สีหน้าคาบเกี่ยวระหว่างความสุขุมแลหยิ่งผยอง
นัยน์ตาซ้ายขวาแบ่งแยกเป็นสองสี
หนึ่งแดงเจิดจ้าราวเปลวไฟ หนึ่งเขียวสว่างใสราวห้วงสมุทร
ดวงเนตรคู่นั้นราวกับเทพมังกรที่เหาะเหินอยู่บนฟากฟ้าทอดตามองลงมายังผืนดิน
สมแล้วที่เป็นเทพพิทักษ์ผู้รอบรู้ ข้า หลงฟงหลาง รัชทายาทแห่งแห่งวังมังกรจักขอรับชัยชนะไป!
---------------------------------------------------
A/N ศึกงานประลองจะมีสองตอนตามสูตรฟาราค่ะ ฮ่าๆ ฉากต่อสู้นี่เหมือนจะง่ายแต่บิ้วอารมณ์นานเหมือนกันนะ =.= หัวข้อ การยุทธมิหน่ายเล่ห์กล ขอได้รับอุปการะคุณจาก ZZ และขอบอกว่า ทำให้ฟาราแต่งยากขึ้นเยอะ ต้องแจกบทให้ตัวละครสู้ด้วยไหวพริบด้วย (แบบจื่อหงตอนชิงป้าย)
ชื่อเมืองหลวงแห่งพิภพมนุษย์ในตอน นี้ตั้งยากพอสมควรทีเดียว เพราะฟาราอยากได้ความหมายงามๆ แต่ความรู้ภาษาจีนมีจำกัด(มากๆ) เลยต้อง google เอา ได้ชื่อเมืองสำคัญๆของจีนจริงๆมาผสมกัน ฉางอัน = สงบสุขนิรันดร์ เทียนโกว =
พูดถึงตัวละครใหม่แต่เก่า รัชทายาทแห่งวังมังกรคนนี้มีการเอ่ยถึงในบทก่อนๆหลายรอบเลยทีเดียว ในที่สุดน้องหลงฟงหลางก็ได้ออกโรงซะที ^_^ (ยัง หารูปไม่ได้เลยยยยย แง้)
รูปประกอบบทนี้เป็นโบนัสค่ะ เทียนอ๋าวเวอร์ชั่นdoll!! เย้ๆ (จริงๆฟารากำหนดให้เทียนอ๋าวผมสั้นนะคะตอนนี้ แต่ใครจะจิ้นผมยาวก็ไม่ว่ากัน)
~~
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

> #1,452
โอ้วมันอ่านต่อ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 5 มิถุนายน 2553 / 23:12
ชอบเยี่ยนจี๋จังเลยค่ะ...น่ารักมากๆ
เย้ หลงฟงหลางชนะ อัพอีกๆ สู้ๆนะค่ะ ว่างๆมาเม้นมาอ่านนิยายเค้าบ้างเน้อ
น่าร้ากกกกกกกกก
ปล. ขอสมัครเป็นแม่ยกเทียนอ๋าวนะค่ะ เทใจให้เต็มร้อย ชอบนิสัย หยิ่งๆ เชิ่ดๆ เอาแต่ใจ แถมยังเจ้าเล่ห์นิดๆ (??)
อ๊ากกกก น่ารักน่ากอดสุดๆๆ
เซียนปีศาจที่กำลังลิงโลดต่อการจากไปของปีศาจตัวน้อยเสียใจ
ส่วนคำว่า เสียใจ ถ้าใส่ตรงอื่นน่าจะเข้าใจง่ายกว่านี้นะครับ
ตอนพี่ชายกอดน้องชาย ทำไมเราเห็นไอสีม่วงหว่า - -"
แรงจินตนาการมันพาไป...
ชอบทั้งเทียนหมิงและเทียนอ๋าวเลย
รักฟารามากมาย
ชอบเรื่องเนี่มากกกกกกกกกก
ต้องเปิดดูทุกยี่สิบนาทีเลย
รักมากมาย จุ๊บ จุ๊บ
อ๋าาา น่ารักทุกคนเล้ยเจ้าค่า แบบนี้อ้อมกอดของป้าคงไม่พอแล้วล่ะ โฮะๆๆๆ
เกอเกอ มาน้องอ๋าวเนี่ยย กระตือรือร้นซะจริ๊งง สู้ๆๆๆ
เอ๋...หรือสาวๆจะไม่กล้าจีบกิเลนดำเพราะคุณแม่มู่ตานจริงๆนะ
ป.ล. เรื่องรูปนั้นรีดเดอร์ใช้ print screen จัดเก็บไปเรียบแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะไรท์เตอร์มากมายจริงๆที่เอื้อเฟื้อ ไรเตอร์น่ารักมากเลยค่ะ
จื่อหง หนูเป็นมารน้อยไร้เดียงสาจริงๆ เมื่อไรจะรู่ตัวเนี่ย
อาหมิงไปแอบทำอะไรมาเอยสาวๆ ติดตรึม ถ้าเทียนอ๋าวมาเห็นเดี่ยวมีวีนหรอก
>_<~~ย๊าาา....
"นี่ สีเคลือบเล็บของเจ้าหลุบแล้วน่ะ" จื่อหงรู้จักหาจุดอ่อนของผู้หญิง(ที่ไม่ใช่เตย)จริงๆเลยแฮะ
แถมได้ป้ายมาแบบนิ่มๆอีกต่างหาก ถ้าเป็นเทียนอ๋าวจะเอามาแบบไหนกันน้า
เทียนอ๋าวอิจฉาอ่ะดิ
อาวร้ายกาจ แต่ก็น่ารักดี
จื่อหงก็น่ารัก
สรุปน่ารักทั้งคู่
ว่าอาหมิงซื่อแล้วนะ
แต่จื่อหงซื่อออออออออออออออ กว่าอีกง่ะ