ตอนที่ 12 : บทที่ ๙ แรกพบในป่าเหมย (ฉบับร่าง 100%)
A/N 100%ค่ะ เพลงประกอบตอนนี้เพราะๆมาก ความหมายก้อ อ้ายยย >/////< ต้องฟังค่ะต้องฟัง
บทที่ ๙
แรกพบในป่าเหมย
ต้นปีที่แปดที่กิเลนจันทร์ถือกำเนิดมายังดินแดนสวรรค์ อย่างซ่อนเร้นเงียบงันชะตากรรมได้เริ่มเผยโฉมหน้าอันเย็นชาพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยัน ฟันเฟือนแห่งพรหมลิขิตที่ค่อยๆหมุนแผ่วเชื่องช้า บัดนี้กลับถูกเร่งจังหวะให้รวดเร็วยิ่งขึ้นอย่างตั้งอกตั้งใจ
เสียงฝีเท้าเหยียบย่ำไปบนพื้นหิมะอย่างร่าเริงดังสะท้อนทั่วป่าเหมย ดอกเหมยสีชมพูสดเบ่งบานกลางหิมะขาวพิสุทธิ์ละลานตา รอบด้านในทุกทิศล้วนแล้วแต่ถูกโอบล้อมไปด้วยต้นเหมยสวรรค์ที่ออกดอกเบ่งบานชูช่อท้าหิมะเหมันต์ สีสันอ่อนหวานอันบรรจงแต่งแต้มไปทั่วผืนป่านั้นคือทิวทัศน์อันงดงามราวกับภาพฝัน
“อ้ะ~ เกอเกอรอข้าด้วยสิ”
กิเลนน้อยเย่วเทียนอ๋าววิ่งตามหลังพี่ชายไม่หยุด ฝ่าเท้าเล็กๆวิ่งตัดผ่านหิมะดังสวบสาบ ชายเสื้อสีดำพลิ้วไหวไปตามจังหวะการเคลื่อนไหว หากเย่วเทียนอ๋าวคือเงาสีดำอันล้ำลึกตัดกับผืนหิมะสีขาวแล้วไซร้ เย่วเทียนหมิงผู้วิ่งนำอยู่ด้านหน้าก็คือเงาสีขาวบริสุทธิ์ผู้กลืนหายไปในห้วงหิมะนั่นเอง
เย่วเทียนหมิงเหลียวหลังไปมองน้องชายก่อนหยักยิ้ม นัยน์ตาสีเงินใสหรี่ลงด้วยความเอ็นดู กิเลนแห่งแสงสว่างหยุดเท้าแล้วหันกลับมาพลางอ้าแขนรอรับ
เทียนอ๋าวผู้ไม่คาดคิดว่าเกอเกอจะหยุดวิ่งกระทันหันจึงเสียหลักถลาเข้าสู่อ้อมกอดของพี่ชาย ทว่าด้วยแรงปะทะที่มีมากเกินกว่าที่คาดไว้และความลื่นของพื้นหิมะทำให้เย่วเทียนหมิงเสียหลักหงายหลังลงบนพรมหิมะนิ่ม สองพี่น้องกิเลนจันทร์จึงได้ลงไปนอนวัดพื้นนับดาวที่กำลังหมุนติ้วๆอย่างสนุกสนาน
“อุ้บ ฮ่าๆๆๆ”
“ฮะ ฮะๆๆๆๆ”
กิเลนน้อยทั้งสองประสานเสียงร่าเริง เย่วเทียนอ๋าวยันตัวขึ้นจ้องมองด้านล่างก็เห็นใบหน้าของพี่ชายที่หัวเราะจนแดงก่ำ กิเลนแห่งความมืดเผยยิ้มอ่อนโยนพลางยื่นมือให้พี่ชาย
“เกอเกอนี่ร้ายนัก ไล่จับครั้งนี้ไม่นับว่าข้าชนะเพราะท่านหยุดก่อนที่ข้าจะไล่ทัน”
เย่วเทียนหมิงยังคงหัวเราะพลางดึงมือน้องชายที่ลุกขึ้นแล้วให้ล้มลงมาคลุกหิมะเป็นเพื่อนเขาใหม่อีกครั้ง
“ก็เกอเกออยากให้เทียนอ๋าวจับได้นี่ เกอเกอจะได้เป็นฝ่ายไล่มั่ง”
เทียนหมิงพูดพลางก็ช่วยปัดเกล็ดหิมะออกจากปอยผมของน้องชายอย่างรักใคร่
“ไม่รู้ล่ะตอนแรกพวกเราไล่ตามเหยี่ยวหิมะมา แต่มันหายไปไหนแล้วไม่รู้ถึงต้องมาเล่นไล่จับกันเองเช่นนี้ ข้าไม่ยอมหรอกนะถ้าจะชนะเพราะท่านออมมือให้ ข้าจะนับหนึ่งถึงร้อยอีกรอบ ครั้งนี้ท่านหาที่ซ่อนให้ดีๆเถอะ”
เย่วเทียนอ๋าวว่าพลางสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของพี่ชาย แล้วจึงเลือกต้นเหมยขนาดกำลังพอดีต้นหนึ่งเป็นจุดเริ่มต้น กิเลนน้อยแห่งความมืดหันหลังให้พี่ชายพร้อมปิดตาตนเอง
“ข้าจะนับแล้วล่ะนะ หนึ่ง... สอง... สาม...”
เย่วเทียนหมิงถอนหายใจเบาๆ เหลียวซ้ายแลขวาสายตาก็บังเอิญไปปะกับเหยี่ยวหิมะสีขาวบริสุทธิ์ที่กำลังจับจ้องการละเล่นของสองพี่น้องอย่างตั้งอกตั้งใจ เหยี่ยวตัวนี้เองที่โผบินอย่างงามสง่าน่าหลงใหลจนพวกเขาพี่น้องอดไม่ได้ที่จะควบอาชาสวรรค์ไล่ตามมาจากเขตพระราชวังแห่งเย่วจินหรง
ซึ่งนับเป็นโชคดีที่มันบินนำมาจนถึงป่าดอกเหมยสวรรค์แห่งนี้ ผืนป่าอันงดงามที่ปกคลุมไปด้วยหิมะพิสุทธิ์ตัดกับดอกเหมยสีชมพูอ่อนใสที่ผลิบานสะพรั่งถูกอกถูกใจสองพี่น้องยิ่งนัก เหล่ากิเลนน้อยผู้ซุกซนจึงได้พบสถานที่เล่นแห่งใหม่ให้เล่นสนุกกันอย่างเพลิดเพลิน
“สี่... ห้า... หก...”
พร้อมๆกับเสียงใสๆของเย่วเทียนอ่าวพญาเหยี่ยวหิมะก็เริ่มโผบิน เย่วเทียนหมิงมองแผ่นหลังเล็กๆของน้องชายทีหนึ่งก่อนตัดสินใจ
‘หากจับเหยี่ยวตัวนี้มาให้เทียนอ๋าวได้ เจ้าตัวร้ายก็คงจะดีใจไม่น้อย’
เย่วเทียนหมิงจึงวิ่งไล่ตามเหยี่ยวขาวเข้าไปในป่าลึกพลางนึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มดีใจของน้องชายอย่างมีความสุข
ยิ่งวิ่งก็ยิ่งทิ้งระยะห่าง เสียงอันไพเราะของเย่วเทียนอ๋าวกลายเป็นเสียงแว่วดังแผ่วมาแต่ไกลๆ เย่วเทียนหมิงไล่ตามเหยี่ยวขาวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่นานก็พบเหยี่ยวขาวเกาะอยู่บนกิ่งเหมยริมโพรงต้นไม้ใหญ่ ต้นเหมยขนาดชายฉกรรจ์สิบคนโอบยืนชูกิ่งก้านอย่างสงบนิ่งน่าเกรงขามราวกับเจ้าแห่งพงไพร
โดยไม่คิดให้มากความกิเลนน้อยเย่วเทียนหมิงสะกิดปลายเท้าเหินทะยานไปยืนอยู่บนกิ่งไม้กิ่งเดียวกับพญาเหยี่ยว มือเล็กๆเอื้อมคว้าปลายขนสีขาวแผ่วเบา แรกสัมผัสนั้นเย็นเยียบทว่าอ่อนนุ่มยิ่งกว่าปุยไหม
เย่วเทียนหมิงมองเหยี่ยวตัวใหญ่อย่างพึงใจ ทว่าขณะกำลังจะก้าวเข้าใกล้นั้นเองฝ่าเท้าน้อยๆก็พลันเสียหลักเพราะลมตีกลับที่พัดมาวูบหนึ่ง เหมือนกับถูกมือลึกลับดึงรั้งเย่วเทียนหมิงจึงตกลงไปในโพรงไม้มืดมิดนั้น
น่าแปลกถึงแม้จะตกลงมาด้านล่างโดยไม่คาดคิดทว่าเย่วเทียนหมิงกลับไม่รู้สึกตกใจ อาจเป็นเพราะสายลมอันอ่อนโยนที่ช่วยประคองร่างให้ดำดิ่งลงอย่างนุ่มนวล เสียงกระซิบกระซาบของเหล่าภูติแห่งแสงสว่างดังขึ้นริมโสต
“องค์ชายน้อย..องค์ชายน้อยแห่งแสงสว่าง..ยินดีเหลือเกินที่ได้พบ ยินดี...”
ควรทราบว่าเมื่อมีเย่วเทียนอ๋าวอยู่ใกล้ ไอมืดอันลึกล้ำนั้นก็คือพิษกรดร้ายที่สามารถกัดกร่อนวิญญาณเหล่าภูติที่แสนบริสุทธิ์ และภายใต้เงื่อนไขเดียวกันเมื่อเย่วเทียนหมิงออกห่างเหล่าปีศาจชั่วช้าที่หวาดเกรงพลังหยางอันแผดเผาคมกล้าก็มีโอกาสได้เข้าใกล้กิเลนแห่งความมืดเช่นกัน
การที่สองพี่น้องผู้ไปมาดุจดั่งเงาของกันและกันถูกแยกออกห่างจากกันเช่นนี้ จึงคล้ายเป็นการเปิดโอกาสให้วิญญาณแห่งความมืดและแสงสว่างได้มีโอกาสเข้าใกล้เพื่อยุแยงนายเหนือหัวของตน
เย่วเทียนหมิงเดินไปตามทางเถาวัลย์ใต้ดินอันปูลาดด้วยหิมะขาวสะอาดตามการชี้นำของเหล่าภูติแห่งแสงสว่าง สุดปลายทางคือลานขนาดเล็กอันมีเปลือกไม้ปิดทึบเป็นผนังรอบด้าน ทำให้กิเลนน้อยได้รู้ว่าตนเองอยู่ ณ. ใจกลางของต้นเหมยยักษ์นั่นเอง
ผนังทั้งหมดงอกจรดจากผืนดินแล้วจึงโค้งเข้าหากัน เหนือขึ้นไปด้านบนคือท้องฟ้าเปิดกว้าง กิ่งก้านที่เต็มไปด้วยดอกเหมยพาดผ่านแสงสว่างลงมาอย่างน่ามอง
ลมแห่งเหมันต์พัดพาเกล็ดหิมะเนื้อเนียนละมุนให้บรรจงร่วงหล่นลงจากช่อดอกเหมยช้าๆ กิเลนน้อยมองตามเกล็ดหิมะที่เริงร่าไปตามสายลม พลันสายตาก็สะดุดกับเงาร่างร่างหนึ่งที่ถูกม่านหิมะปกคลุมจนแทบจะกลืนหายไปในแสงสว่างสีขาว
ร่างของคนผู้นั้นนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นหิมะโล่ง ท่าร่างดูองอาจทว่าสงบนิ่งราวกับราชันย์แห่งผืนไพร แม้จะโดนเกล็ดหิมะเกาะเกี่ยวจนเกือบมิดแต่ทว่าท่าทางกลับบ่งบอกถึงระดับอันเหนือธรรมดา
“ยินดีต้อนรับกิเลนจันทร์ ข้ารออยู่นานแล้ว เหยี่ยวของข้านำทางเจ้ามาใช่หรือไม่?”
เสียงบุรุษหนุ่มเอ่ยอารมณ์ดี เสียงนั้นหนักแน่นดั่งภูผาทั้งยังเปี่ยมสเน่ห์อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เป็นเสียงแห่งราชันย์ที่แฝงพลังปรานแข็งกล้าจนอาจเทียบเคียงได้หรือกระทั่งเหนือกว่าพลังกดดันแห่งเหล่าราชันย์สวรรค์!
ห่างออกมาช่วงหนึ่ง เย่วเทียนอ๋าวที่กำลังวิ่งวุ่นตามหาพี่ชายอย่างเอาเป็นเอาตายก็รู้สึกสังหรณ์ใจก่อนบ่นอย่างหงุดหงิด
“เฮอะ! เจ้าพวกภูติแห่งแสงคงกำลังออดอ้อนเกอเกออยู่สินะ ข้าไม่อยู่ใกล้ๆแบบนี้”
พลันสายตาของกิเลนน้อยก็สะดุดกับก้อนขนปุกปุยสีขาวที่ขยับไหวน้อยๆอยู่ในกองหิมะที่สุมกันอยู่ริมโคนไม้ อย่างไม่ลังเลเทียนอ๋าวเคลื่อนตัวว่องไวราวกับสายลม ฝ่ามือน้อยๆที่แสนโหดร้ายดึงก้อนก้นกลมๆที่ดูราวกับขนมโมจิสีขาวออกมาจากบ้านหิมะของมันอย่างไม่ปรานี
“เฮือก!”
กระต่ายหิมะสีขาวที่ถูกหิ้วกลับหัวเบิ่งตาสีแดงใสแจ๋วของมันจ้องมองผู้บุกรุกอย่างตกใจเป็นที่สุด ใบหน้าเจ้าเล่ห์ที่ยิ้มแย้มอย่างร้ายกาจส่งผลให้หัวใจของกระต่ายตัวน้อยเต้นระรัวราวกับกลองรบ เจ้าปีศาจน้อยตรงหน้านี้จะจับมันกินเป็นอาหารหรือเปล่าหนอ?
“ฮ่าฮ่า เจ้ากระต่ายขี้ขลาดอย่างพึ่งตกใจตายไปก่อนล่ะ ให้ท่านเทียนอ๋าวผู้มีเมตตาคนนี้เอาเจ้าไปล่อเกอเกอออกมาก่อน”
เย่วเทียนอ๋าวรู้ดีเป็นที่สุดว่าพี่ชายผู้หลงใหลในสัตว์ตัวน้อยๆจะต้องติดกับของเขาอย่างแน่นอน โดยไม่ถามความสมัครใจเย่วเทียนอ๋าวก็หิ้วหูกระต่ายโชคร้ายเดินจากไปทันที
เย่วเทียนหมิงสัมผัสได้ถึงกระแสพลังอันน่าครั่นคร้ามแผ่กระจายอ่อนจางจากบุรุษเบื้องหน้า กิเลนน้อยประสานมือทักทายตามมารยาท
“คารวะผู้อาวุโส ข้าไม่ทราบว่าเหยี่ยวหิมะตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงของท่านจึงได้ไล่ตามมา ขออภัยที่ล่วงเกินแล้ว ไม่ทราบท่านต้องการพบข้าด้วยเหตุอันใด”
บุรุษในเงาหิมะเพียงหยักยิ้มบางเบากับกิริยาของโอรสกิเลน
“หากจะกล่าวว่าข้าต้องการพบเจ้านั้นถือว่าเป็นความจริงครึ่งหนึ่ง เท็จอีกครึ่งหนึ่ง”
เมื่อเห็นเย่วเทียนหมิงขมวดคิ้วกับคำตอบบุรุษแปลกหน้าจึงเฉลย
“เดิมทีข้าไหว้วานให้เหยี่ยวหิมะนำทางกิเลนจันทร์มาโดยมิได้เจาะจง จะได้พบพวกเจ้าพี่หรือน้องหรือทั้งสองคนนั้นก็ล้วนเท่าเทียมกัน ทว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้ามีเพียงเจ้า จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นพรหมลิขิตกระมัง”
บุรุษแปลกหน้าพิจารณากิเลนน้อย แม้ทิวทัศน์ตรงหน้าจะบริสุทธิ์ไปด้วยหิมะขาวทว่าเงาร่างของกิเลนแห่งแสงสว่างนั้นกลับขาวจรัสยิ่งกว่า ราวกับสีขาวเจิดจ้าที่ตัดผ่านสีขาวธรรมดาทั้งหมด
“วันนี้เป็นวันดี ไม่ทราบผู้เยาว์จะให้เกียรติมาร่วมสนทนากับข้าได้หรือไม่?”
เย่วเทียนหมิงเป็นผู้มีสัมผัสไวต่อพลังด้านลบด้วยเหตุว่าเป็นจิตวิญญาณแห่งแสงสว่าง เมื่อไม่สามารถสัมผัสจิตคุกคามจากบุรุษเบื้องหน้าได้กิเลนน้อยจึงเพียงยิ้มสดใส ด้วยพื้นฐานจิตใจที่โอบอ้อมอารีจึงยอมรับไมตรีของผู้อื่นไว้โดยง่าย
“ด้านนอกหิมะและเหมยกระจ่างนัยน์ตาเหตุใดผู้อาวุโสจึงหลบซ่อนตัวอยู่ในโพรงไม้เล่า”
“เพราะที่นี่เงียบสงบดีนัก หากข้าอยากชมเหมย เหมยก็ย่อมทอดตัวลงมา หากข้าอยากชมหิมะ หิมะก็ย่อมโปรยปราย”
แม้คำพูดจะฟังดูหยิ่งยโส ทว่ากลับไม่แฝงแววอวดโอ่
“ผู้อาวุโสกล่าวเสมือนทุกสิ่งในโลกล้วนเป็นไปตามที่ท่านประสงค์”
กิเลนน้อยถาม
“หาผิดไม่...สมัยก่อนข้าคือผู้มั่งคั่งด้วยอำนาจที่ล้วนแล้วแต่มีผู้คนเอาอกเอาใจ”
บุรุษแปลกหน้ายังคงสนทนาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยมิได้เจือปนด้วยความหยิ่งผยองแต่อย่างใด ชวนให้นึกถึงคำกล่าวที่ว่า
“บุคคลธรรมดาย่อมอวดอ้างตนเองอย่างหยิ่งยโส กลับกันผู้ที่อวดอ้างตนเองได้โดยไร้ความยโสนั้นย่อมมิใช่ธรรมดา”
“เช่นนั้นจะเล่าถึงความมั่งคั่งของท่านให้ข้าฟังได้หรือไม่”
เย่วเทียนหมิงถามกระตือรือร้น
“สถานที่ที่ข้าเคยอยู่นั้นสวยงามราวกับภาพฝัน อาหารการกินไม่เคยขัดสน ร่างกายไร้โรคภัย ทั้งยังมีผู้นับหน้าถือตามากมาย เรียกได้ว่ามีทุกสิ่งสมบูรณ์พร้อม”
บุรุษแปลกหน้าตอบ ด้วยเหตุว่าหิมะได้เกาะกุมใบหน้าเก้าในสิบส่วนของเขาไว้แน่น จึงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าได้
“วิเศษนัก แล้วเหตุใดท่านจึงมาอาศัยอยู่ในป่าเขาเช่นนี้เล่า?”
กิเลนแห่งแสงสว่างยังคงถามยิ้มแย้ม ลมหายใจอุ่นเป่ารดอากาศเป็นไอสีขาวจางๆ
“เมื่ออยู่ในห้องหับที่เต็มไปด้วยดอกกล้วยไม้นานเกินไป กลิ่นหอมหวนย่อมจางหาย”
บุรุษผู้ละทิ้งลาภยศตอบเรียบเรื่อย เกล็ดหิมะยังคงตกลงมารวมตัวกันบนร่างสูงสง่า
“หมายความว่าท่านมีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุขเกินไป จนไม่เห็นคุณค่าของมันหรือ?”
เย่วเทียนหมิงเอ่ยตามที่ใจคิดโดยไม่ปิดบัง สองมือยกขึ้นกอดอก คิ้วเรียวบนใบหน้าได้รูปขมวดเข้าหากันน้อยๆ
“หึหึ ผู้เยาว์รู้หรือไม่ เหตุใดหิมะและดอกเหมยจึงโปรยปรายและเบ่งบานในช่วงเวลาเดียวกัน?”
บุรุษแปลกหน้าเอ่ยด้วยความเอ็นดู นึกพอใจในความกล้าหาญของลูกกิเลนที่กล้าต่อคำโดยไม่เกรงกลัวพลังกดดันที่เขาจงใจปล่อยออกไปเสี้ยวหนึ่ง
เมื่อเย่วเทียนหมิงแสดงสีหน้าประหลาดใจแวบหนึ่งบุรุษนิรนามจึงเอ่ย
“หลายพันปีมาแล้ว ในป่าเหมยสวรรค์แห่งนี้ข้าได้พบกับนางซึ่งเป็นรักแรก โดยไม่รู้ฐานะพวกเราได้รักกันอย่างบริสุทธิ์ใจ ต่างเผ่าพันธุ์ ต่างอุดมการณ์ แต่กลับหลงใหลซึ่งกันและกัน เหมือนกับหิมะและดอกเหมยที่พยายามมาพบกันโดยผิดวิสัยธรรมชาติธรรมดา”
พูดถึงตรงนี้บุรุษแปลกหน้าก็เว้นจังหวะลง ฝ่ามือได้รูปยื่นออกมาด้านหน้าส่งริ้วพลังตวัดช่อดอกเหมยสีชมพูในอาภรณ์หิมะสีขาวให้ร่วงหล่นลงมาบนฝ่ามือนั้นอย่างนิ่มนวล แววตาของเขาอ่อนโยนลงเล็กน้อย จ้องมองดอกเหมยอ่อนหวานแล้วให้นึกถึงหญิงสาวในความทรงจำ สตรีผู้บอบบางทว่ากลับมีจิตใจห้าวหาญ เสียงหัวเราะอันร่าเริงและนัยน์ตาสุกสกาวไร้มลทิน
“ทว่าความรักนั้นเป็นดั่งภาพมายา ข้าและนางต่างทางเลือก ความรักของเราจึงจบลงเหมือนกับดอกเหมยต้องลาจากหิมะเมื่อใบไม้ผลิมาเยือน”
ว่าพลันหิมะในมือชายหนุ่มก็ระเหยกลายเป็นไอด้วยพลังปราณร้อนแรง แม้แต่ดอกเหมยสีสดก็พลันแห้งเฉาเป็นสีคล้ำลงในชั่วพริบตา
แต่สิ่งที่สะดุดใจกิเลนน้อยเย่วเทียนหมิงที่สุดก็คือน้ำเสียงเฉยชาไม่ยินดียินร้ายต่อสรรพสิ่ง
“ในวันที่นางเดินจากไปเพื่อเป็นของบุรุษอื่น นางเหลียวมองข้าแต่ก็ไม่ยอมกลับหลัง ข้าเองก็ยืนส่งนางแต่ไม่คิดไล่ตาม ปล่อยผ่านความรักนั้นไป”
“ทำไมล่ะ?”
เทียนหมิงถามทันทีโดยนึกไปถึงเทียนอ๋าว หากวันใดต้องแยกจากน้องชายเขาไม่มีวันยินยอมเป็นแน่
“เพราะมันช่างง่ายดายเกินไปอย่างไรล่ะ ข้าสามารถใช้กำลังแย่งชิงนางกลับมา ไม่ว่าสิ่งใดที่ข้าต้องการล้วนแล้วแต่ตกมาอยู่ในมือนี้ได้โดยง่าย หลังจากนั้นข้าจึงเข้าใจ ไม่ว่าลาภยศใดๆหรือแม้กระทั่งความรักก็ล้วนแล้วแต่ไร้ความหมาย”
บุรุษนิรนามจบเรื่องเล่าของตนเองลงช้าๆด้วยความเงียบงัน เหลือเพียงเสียงกระซิบของม่านหิมะขาวที่โปรยปรายลงมาอย่างอ่อนโยน
กิเลนน้อยเย่วเทียนหมิงจ้องมองบุรุษตรงหน้าตาไม่กระพริบ นัยน์ตาสีเงินใสแจ๋วสบกับนัยน์ตาสีดำอมน้ำเงินอย่างไม่หวาดเกรง
กิเลนน้อยนึกไปถึงน้องชายผู้น่ารัก เสด็จพ่อผู้อ่อนโยน เสด็จแม่ทั้งสองผู้เฉลียวฉลาดและเก่งกล้า ภาพครอบครัวอันอบอุ่นผุดขึ้นมาชวนให้เป็นสุข ริมฝีปากสีแดงสดจึงยิ้มละไมก่อนเอ่ย
“นั่นเพราะท่านยังไม่เคยรู้จักความรักที่แท้จริง”
ราวกับกาลเวลาได้หยุดลง บุรุษนิรนามพิจารณากิเลนแห่งแสงสว่างอีกครั้งเนิ่นนานแล้วจึงหัวเราะออกมากึกก้อง คลื่นเสียงแฝงพลังปราณเปี่ยมล้นละลายเกล็ดหิมะที่เกาะพราวตามร่างกายให้เริ่มร่วงหล่น เผยให้เห็นใบหน้าคมคายที่กำลังยิ้มแย้มอย่างสนุกสนาน ชายผู้งดงามยิ่งกว่าเทพเซียนจำแลงลุกขึ้นยืน พาร่างองอาจก้าวมาเบื้องหน้ากิเลนแห่งแสงสว่าง
“ฮ่า ฮ่า น่าสนุก น่าสนุกจริงๆ หากข้าไม่เคยรู้จักความรักที่แท้จริง เช่นนั้นแล้วผู้เยาว์จะช่วยชี้แนะได้หรือไม่”
บุรุษผู้งามสง่าโน้มตัวลงมาพลางไล่ปลายนิ้วแผ่วเบาลงบนโครงหน้าอ่อนเยาว์ราวกับจะจดจำใบหน้าไร้เดียงสานั้นไว้ แววตาสีดำเหลือบน้ำเงินล้ำลึกอันเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจส่งประกายท้าทายอย่างไม่ปิดบัง
ทว่าก่อนที่จะได้ตอบอะไร ก้อนปุกปุยกลมๆสีขาวๆก็ถูกขว้างมาตรงกลางระหว่างเย่วเทียนหมิงและบุรุษนิรนามอย่างไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่ชายผู้นั้นรับก้อนกลมๆที่ตัวสั่นดุ๊กดิ๊กอย่างน่าสงสารไว้ทันแล้วจึงค่อยๆส่งให้กิเลนน้อยข้างกาย
“แกเป็นใคร! จะทำอะไรเกอเกอ! ดีนะที่ข้าให้ปีศาจน้อยไปบีบคอเจ้าพวกภูติวิบวับนั่นถามทางจึงตามมาทัน!”
เย่วเทียนอ๋าวผู้เป็นมือมืดขว้างกระต่ายโชคร้ายร้องแยกเขี้ยวขู่ฟ่อก่อนชี้นิ้วที่สั่นระริกไปทางบุรุษแปลกหน้า กิเลนน้อยหน้าแดงก่ำเพราะพูดติดกันจนลืมหายใจ
ชายผู้มีนัยน์ตาอันน่าหลงใหลแย้มมองกิเลนน้อยแห่งความมืดผู้มาใหม่สลับกับกิเลนน้อยแห่งแสงสว่างอย่างเอ็นดู
“เจ้ามีน้องชายที่น่ารักนะ แล้วพบกันใหม่ทั้งสองคน...”
โดยไม่ฟังคำตอบรับการร่ำลา เกล็ดหิมะใสทั่วบริเวณก็พัดกระจายปลิวขึ้นจากพื้นสู่อากาศราวกับพายุ เมื่อแสงระยิบระยับของม่านหิมะจางลง บุรุษนิรนามก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
--------------------------------------------------------
A/N หุหุตอนนี้เขียนยากจริงๆตอนช่วงหลังๆ ไม่อยากเซอร์วิสมากไป - -‘’ กลัวมันจะ....เอ่อ ผิดคอนเซ็ป (ยังคงยืนยันไม่ Y และไม่ Y) ชายนิรนามที่ออกมาตอนนี้เป็นใครกัน! แล้วมีบทบาทยังไง! เป็นตัวละครหลักใช่หรือไม่! (ใช่สิ - -‘’) ตอนหน้าจะมาเฉลยค่ะ
พูดเรื่องการเขียนหน่อยค่ะ สำนวนฟาราบางทีมันก็มีคำปัจจุบันปนมาให้ท่าน ZZ บ่นเล่น แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยว ZZ ก็ไปแก้เอง (พูดไม่รับผิดชอบหน้าตาเฉย 555) (แค่คิดเรื่องก็เหนื่อยแล้วเฟ้ย!)
ตอนนี้จะมีการพูดถึงสำนวน ‘เมื่ออยู่ในห้องหับที่เต็มไปด้วยดอกกล้วยไม้นานเกินไป กลิ่นหอมหวนย่อมจางหาย’ หมายความประมาณว่าคนที่มีพร้อมทุกอย่าง บางทีมันก็มีเยอะจนเบื่อจนชินค่ะ
เพลงประกอบตอนนี้เพราะมากๆๆถึงมากที่สุด อิอิ ความหมายก็โดนด้วยไม่ฟังไม่ได้แว้ว >.<
Fate [ชะตากรรม]
เพลงประกอบหนังเรื่อง King and the clown (เพลงเทพจนอยากไปหาหนังมาดู =.=)
ฉันขอสัญญากับเธอ
เมื่อช่วงเวลานี้สิ้นสุดลง
เมื่อถึงวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง
ฉันจะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไปยืนอยู่เคียงข้างเธอ
เดินไปตามทางที่เหลืออยู่ด้วยกัน
ยังมีบางสิ่งที่เรียกว่า “ชะตากรรม”
ซึ่งฉันไม่อาจปฏิเสธมันได้
ฉันจะสามารถมีวันที่งดงามเช่นนี้อีกในชีวิตนี้ไหมนะ?
เธอคือของขวัญในเส้นทางแห่งชีวิตที่แสนเหน็ดเหนื่อย
ฉันจะเฝ้ารักษาความรักของเราไว้ให้เปล่งประกายไม่มัวหมอง
การเผชิญหน้ากันของเราเปรียบเสมือนเรื่องมัวเมาอันอื้อฉาวที่แสนสั้น
ถึงแม้ความรักของเราจะไม่ได้รับการยอมรับ, ฉันก็ไม่มีวันเสียใจ
เพราะไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน
ยังมีบางสิ่งที่เรียกว่า “ชะตากรรม”
ซึ่งฉันไม่อาจปฏิเสธมันได้
ฉันจะสามารถมีวันที่งดงามเช่นนี้อีกในชีวิตนี้ไหมนะ?
มีหลายสิ่งเหลือเกินที่ฉันอยากจะเอ่ย
แต่มันก็เป็นสิ่งที่เธอรู้ดีอยู่แล้ว
เมื่อถึงวันที่เราได้พบกันอีกครั้งในเส้นทางวกวนอันแสนยาวไกล
ได้โปรด, อย่าปล่อยมือฉันไป
ความรักที่เราไม่สามารถลิขิตได้ในชาติภพนี้
ชะตากรรมที่เราไม่อาจเป็นเจ้าของได้ในชีวิตนี้
เมื่อถึงวันที่เราได้พบกันอีกครั้งในเส้นทางวกวนอันแสนยาวไกล
ได้โปรด, อย่าปล่อยมือฉันไป
ภาพดอกเหมย+ต้นเหมยค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

http://writer.dek-d.com/exoplanet/writer/view.php?id=852750
ใครอีกล่ะเนี่ยยยย
จะใส่เครดิตให้
ขอบคุณมากๆค่ะ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 10 ธันวาคม 2553 / 19:39
ชอบตอนนี้จริงจังราชันย์เร้นกายปรากฏตัวได้
เท่ห์รุนแรงกริ้ดมาก > < ได้เห็นฉากเทียนอ๋าว
หวงพี่ชายด้วย เป็นอะไรที่ชอบมาก ชวนให้นึกถึง
ตอนโตจะหวงพี่ชายมากกว่าเดิมหรือเปล่าเนี่ย
รอ ๆ ฟาราอัพ ฟาราสู้ ๆน้า
ป.ล.โรงเรียนเลื่อนเปิด ดังนั้นก็มีเวลาแวะมาดูบ่อย ๆ
เหมือนเดิมแล้ว ฮี่ ๆ (แต่เลื่อนเปิดนานไปก็ไม่ดี เดี๋ยวเรียนไม่ทัน TT)
ว่าแต่
นี่น่ากลัวนะ เห็นเข้าหอลงโลงด้วยกันมาเยอะและ อิอิ
(คนเขียนเค้าก็บอกแล้วไงว่าไม่วายๆ นังคนนี้นี่ชักจะยังไง)
แต่ไม่เป็นไร...มิได้เป็นอุปสรรคต่อความรักของอะฮั้นฮ่ะ
ท่านก็หล่อดีนะฮะเรามาจดทะเบียนสมรสกันมิ(me//โดนถีบคว่ำ)
จะให้หนูหมิงชี้แนะเรื่องความรักแท้จริงให้หรือคะ แหมๆสนเขาแล้วล่ะซี่~(me//โดนกระโดดนถีบ)
กรี๊ดดด หนูอ๋าวมาขัดขวางหนทางรัก เอ้ย การเจรจาของเกอๆได้อย่างไร ไม่ดีเลยนะคะหนู
(พัมพัม//ป้าเลยอดจิ้นต่อเลย)
แต่ไม่เป็นไรฮ่า ยังไงดิฉันก็จิ้นต่อด้ายยย
คุณคนเขียนขาต่อไปจะมีบุรุษรูปงามท่านใดโผล่มา(ร่วมเข้าฮาเร็มหนูหมิง)อีกไหมฮ้า~!(me//โดนเทียนหมิงเอาขลุ่ยโขก)
จะรอตอนต่อไปเต็ม100เปอร์นะฮะ ไปก่อนล่ะ
ชายนิรนามผู้นั้นเป็นไผ!
ปล. สงสารน้องต่าย T^T
จะว่ามาทำนองไม่ได้แม่จะเอาลูกก็ไม่ใช่ แต่จะแย่งของลูกใช่ป่าวล่ะ
โอวว ในที่สุด....ในที่สุด...!!!!
"ท่านผู้นั้น" (อีกคน) ที่ ZZ เฝ้ารอคอยก็ปรากฏโฉมหน้าแล้ววว *0* !!!
กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดด!!! (ขออีกที---นังนี่ เป็นเอามาก ได้ข่าวว่าเป็นทีมแต่งเองนิ) แทบจะรอภาค 2 แทบมิไหวแย้วว XD
ปล. รีบชิ่งอย่างไว