คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : คำสารภาพ(รีไรท์)
ตอนที่ 9 คำสารภาพ
หมอเลนินมองหน้าของผู้พันหนุ่ม ก็รู้ว่าเขามีสีหน้าที่วิตกและสับสนจริงๆ และยังคงมองใบหน้าคมเข้มของเขาอย่างพิจารณาต่อไปอีก เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าผู้ชายคนนี้หล่อเข้ม ชอบใช้สายตามากกว่าคำพูด เขาจึงเป็นคนที่น่าค้นหา มีเสน่ห์ตรงที่เป็นคนพูดตรงๆ ประกายตาของเขาแสดงความจริงใจจนน่าคบ พันเอกศรัณย์มีผิวสีทองแดง เขาไม่ได้สูงมากนัก แต่ก็มีท่าทางสมาร์ตทำให้เขาดูดีในเครื่องแบบทหาร ก่อนที่หมอจะคิดอะไรต่อ ทั้งสองหนุ่มต่างอาชีพก็เดินมาถึงหน้าห้องที่ทรงประทับพอดี
หมอเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ที่ข้างเตียงบรรทม แล้วหันไปถามพยาบาล " ไข้ของพระองค์หญิงทรงขึ้นเท่าไหร่ "
" ขึ้นสูงมากค่ะ เกือบสามสิบเก้าค่ะหมอ ดิฉันถวายงานเช็ดพระวรกายให้แล้ว ไข้ลดลงมาหน่อยค่ะ และก็ทำแผลถวายให้ใหม่ แผลยังมีการอักเสบอยู่ด้วยค่ะ แต่ดิฉันยังไม่ได้ถวายโอสถแก้ไข้ รอหมอมาก่อนน่ะค่ะ " พยาบาลกล่าวรายงาน
องค์หญิงทรงขยับพระวรกายและทรงนิ่วพระพักตร์
" แผลแดงมากมั้ย ? " หมอถามพยาบาล
" ยังแดงมากอยู่ค่ะ "
" แล้วองค์หญิงเสวยพระโอสถมื้อเย็นหรือยัง ? " หมอถามพยาบาลพร้อมทั้งส่งสัญญาณให้พยาบาลเดินตามออกมา
" ยังค่ะ องค์หญิงเด็จกลับมาจากเข้าเฝ้าองค์สมเด็จ แล้วเด็จขึ้นกองบัญชาการไปตั้งแต่ตอนเย็น รับสั่งแต่ว่าจะไปแค่เดี๋ยวเดียว แต่ก็ไม่เห็นเด็จกลับมาสักที แล้วเมื่อตอนสี่ทุ่มกว่า พระคู่หมั้นก็ทรงอุ้มพระองค์มาที่นี่แหล่ะค่ะ " พยาบาลรายงาน
หมอย่นหัวคิ้วเข้าหากันส่ายหน้าน้อยๆ แล้วบอกพยาบาล " ไม่เป็นไรให้องค์หญิงเสวยพระโอสถนี่นะ โอสถแก้อักเสบติดเชื้อที่ให้มาแล้ว และก็โอสถแก้ไข้นี่ แล้ววิตามินบำรุงพระโลหิตด้วย พระวรกายของพระองค์ท่านต้องกา รการพักผ่อนมาก อีกวันสองวันคงทรงดีขึ้น แล้วห้ามไม่ให้พระองค์หญิงขึ้นไปทรงงานที่กองบัญชาการสักสองสามวันนะ ให้ท่านบรรทมพักให้มากที่สุด แล้วพระอาการก็จะดีขึ้นตามลำดับ ขอให้แค่ทรงพักผ่อนมากๆและเสวยโอสถตามกำหนดเท่านั้น และมีโอสถที่ออกฤทธิ์บรรทมหลับด้วยนะ ท่านจะได้ทรงพักอิริยาบถยาวเลย และก็ไม่ต้องกราบทูลว่าหมอให้ยานอนหลับนะ พรุ่งนี้เช้าตื่นบรรทมแล้ว พอเสวยพระกะยาหารก็ให้เสวยพระโอสถทุกขนานเลยนะ จะได้ทรงบรรทมหลับไม่ไปทรงงานอีก " หมอกล่าวกับพยาบาลและนางข้าหลวง
ผู้พัน ศรัณย์นั่งฟังอยู่ที่เก้าอี้เงียบๆ และลุกเดินไปนั่งคุกเข่าลงข้างพระที่ก้มลงมองพระพักตร์ ทรงขยับองค์น้อยๆลืมพระเนตรขึ้นช้าๆรับสั่งเหมือนจะทรงเพ้อ " รายงานสถานการณ์สิ " แล้วก็ทรงหลับพระเนตรลงอีกครั้งเหมือนจะบรรทมหลับ ผู้พันศรัณย์มองอย่างรู้สึกเป็นห่วง สีหน้าของเขานั้นแสดงความไม่สบายใจในพระอาการนัก
เขาและหมอลุกเดินออกมาข้างนอกห้อง เขานั่งลงข้างๆหมอที่เก้าอี๊ในห้องรับรอง หมอเลนินพยักหน้าเรียกพระพี่เลี้ยง และนางพยาบาลเข้ามาใกล้ๆแล้วกล่าว
" ต่อไปนี้ต้องห้ามไม่ให้พระองค์หญิงเสด็จขึ้นไปทรงงานที่กองบัญชาการนะ และยังไม่ต้องนำงานมาให้ทรงงานที่นี่ด้วย ให้ทรงพักอย่างเดียว พระองค์ท่านยังทรงอ่อนเพลียมาก พระพี่เลี้ยงปารองกับคุณพยาบาลพอจะปฏิบัติตามที่หมอบอกได้มั้ย ? " หมอถามพยาบาลทั้งสอง และพระพี่เลี้ยงปารองที่นั่งฟังอยู่ด้วย
พระพี่เลี้ยงปารองและพยาบาล ต่างมองหน้ากันแล้วหันมาส่ายหน้าน้อยๆ " เอ่อ.......ดิฉันคิดว่าคงยากค่ะที่จะห้ามพระองค์ท่านได้ พอทรงรู้สึกพระองค์ก็จะเสด็จไปทรงงานอย่างเดียว ทรงห่วงงานมากและใครล่ะคะ จะกล้าขัดพระหทัย " พยาบาลกล่าวตอบหมอ
" อืม.....ยังไงดีล่ะ " หมอทำสีหน้าครุ่นคิด และหันหน้ามาทางพระคู่หมั้นอย่างเพิ่งจะนึกได้ " อย่างนั้นต้องเป็นหน้าที่ของพระคู่หมั้นแล้วละครับ " หมอหันมามองหน้าผู้พัน
ผู้พันศรัณย์ยกมือชี้ตนเอง " ผมน่ะหรือครับหมอ จะให้ผมสั่งผู้การหรือครับ ผมมียศแค่ผู้พันนะครับ "
หมอหันมามองผู้พันแล้วยิ้มกริ่มให้เขา " ใช่.......คุณนั่นแหล่ะผู้พัน ตอนนี้คุณคือพระคู่หมั้นขององค์หญิงแล้ว คุณมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาที่ตำหนักนี้ได้ คุณต้องมาดูแลท่านและต้องห้ามท่านให้ได้ด้วย ห้ามท่านในฐานะพระคู่หมั้นน่ะครับ " เมื่อหมอเลนินกล่าวจบ หมอ พยาบาลและพระพี่เลี้ยงปารอง หันมาอมยิ้มให้กันอย่างเห็นทางออก
เขาทำหน้าเหมือนจะยุ่งยากใจขึ้นทันที " แล้วถ้าพระองค์หญิงไม่ทรงเชื่อผมล่ะ " ผู้พันย้อนถามหมอ
หมอหัวเราะหึๆในลำคอน้อยๆก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเย้าๆ " คุณไม่มีวิธีจัดการกับผู้หญิงเลยหรือไงผู้พัน "
เขามองหน้าหมอและยิ้มแหยๆ แต่แล้วก็พยักหน้าน้อยๆ " โอ เค ๆหมอ ผมจะลองดู " เขาตอบพลางพยักหน้าน้อยๆ
หมอกระซิบที่หูเขาเบาๆ " คุณต้องเริ่มที่จะใช้อำนาจกับว่าที่ภรรยาได้แล้วละผู้พัน " คำกล่าวของหมอทำให้เขายิ้มอย่างอิหลักอิเหลื่อ หมออมยิ้มอย่างนึกขำสีหน้าของเขา และหันมากล่าวกับนางพยาบาล " งั้นเอาอย่างนี้นะ คุณพยาบาล.....พอทรงรู้สึกพระองค์ก็ถวายพระโอสถแก้ไข้ด้วยนะ หมอจะกลับก่อนแล้วพรุ่งนี้เช้าจะมาเยี่ยมไข้อีกครั้ง "
" ค่ะ ดิฉันจะเปลี่ยนฉลองพระองค์ถวายให้ และให้ทรงเข้าบรรทมในห้องพระบรรทมเลยนะคะ " พยาบาลถามหมอ
" จัดการถวายได้เลย "
หมอกล่าวจบแล้วถือกระเป๋าเวชภัณฑ์หันหลังเดินกลับออกมา ทั้งสองหนุ่มเดินเงียบๆออกมาด้วยกัน ผู้พันศรัณย์หันมาสั่งทหารองครักษ์ที่ยืนยามหน้าประตูตำหนักชั้นนอก
" ทหาร........ดูแลอย่างเคร่งครัดนะจะจัดเพิ่มเวรยามขึ้นอีกกะหนึ่ง "
" ครับผม " ทหารรักษาพระองค์ชิดเท้าทำความเคารพ
หมอหนุ่มและผู้พันขึ้นรถมาลงที่หน้าตึกกองบัญชาการ ก่อนที่พลขับจะขับพาหมอไปส่งที่โรงพยาบาล ผู้พันศรัณย์ดึงหมอให้ลงมาคุยด้วย
" หมอ.......ผมไม่รู้จะปรึกษากับใครเลยเรื่องการอภิเษกน่ะครับ หมอ...ผมถามจริงๆเถอะ ผมควรจะทำอะไรบ้างตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกเลย ไม่รู้ว่าตนเองสมควรที่จะต้องทำอะไร พูดยังไง แบบที่เขาเรียกว่าพูดไม่ออก บอกไม่ถูกน่ะ แม้แต่กับพระองค์หญิงก็ยังไม่มีโอกาสทูลถามเรื่องนี้เลย ยังไม่ทราบว่าท่านจะทรงคิดยังไงด้วย " นายทหารหนุ่มปรับทุกข์ ด้วยสีหน้าและแววตาที่เป็นทุกข์จริงๆ
หมอเลนินหันมากล่าวยิ้มๆ " ผู้พันไม่เห็นจะต้องทำอะไรนี่ครับ อยู่เฉยๆ งานพิธีทางวังหลวงก็จะมีฝ่ายสำนักพระราชวังฝ่ายพิธีการจัดเตรียมพระราชพิธีทุกอย่างให้หมด และก็คงมีหมายกำหนดการต่างๆมาให้ และรอโปรดเกล้าพระราชทานพระบรมราชานุญาติ คุณก็เพียงเรียนให้ผู้ใหญ่ทางคุณรับทราบ และให้เตรียมตัวมาในงานเท่านั้นเอง "
เขากล่าวแย้งขึ้นมากับหมอตรงๆว่า " เรื่องนั้นผมก็ยังไม่กังวลเท่าไหร่หรอกนะหมอ แต่เรื่องที่ผมกังวลก็คือเรื่องที่ผมกับพระองค์หญิง ยังไม่ได้มีโอกาสคุยกันถึงเรื่องนี้เลย คนที่จะต้องแต่งงานกันอย่างปัจจุบันทันด่วน แต่ไม่เคยคุยเรื่องนี้กันแล้วจะเข้าใจกันยังไง ผมเองนั้นก็ไม่ทราบว่าองค์หญิงจะทรงพอพระหทัยในเรื่องนี้สักแค่ไหน ผมเป็นผู้ชายก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยสบายใจเลย แล้วพระองค์หญิงท่านจะทรงทำพระหทัยเรื่องนี้ยังไง ที่ต้องทรงมาอภิเษกกับสามัญชนอย่างผม แล้วผมก็ไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นทูลกับท่านยังไง มึนตึ๊บไปหมดเลยครับหมอ "
หมอเลนินกล่าวกับผู้พันด้วยสีหน้าเป็นงานเป็นการ " ผู้พัน....กฎก็คือกฎ ก็เหมือนกฎหมายในเมืองไทยที่ทุกคนต้องถือปฏิบัติ ใครจะฝ่าฝืนได้ ยิ่งองค์หญิงทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อย่างนี้ จะทำยังไงได้ ถ้าท่านจะฝืนกฎท่านก็ต้องสละราชบัลลังก์และต้องทรงเนรเทศพระองค์เอง ยังไงพระองค์หญิงก็ต้องยอมรับอยู่แล้ว "
แต่พันเอกศรัณย์กลับแย้งหมอว่า " ผมเข้าใจครับเรื่องนี้ แต่ที่ผมหมายถึงก็คือการที่คนสองคน หมายถึงผมกับองค์หญิง ต่างก็ยังไม่ได้มีใจผูกพันรักใคร่อะไรต่อกัน และในเวลาเพียงไม่กี่วันที่พบกันก็ต้องมาแต่งงานกัน มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มันตะขิดตะขวงยังไงๆพิกลนะครับหมอ "
หมอฟังเขาและนิ่งมองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามเขายิ้มๆ " ผู้พัน.......คุณอย่าบอกนะว่าคุณรับองค์หญิงรายาไม่ได้น่ะ พระองค์ท่านออกจะทรงพระสิริโฉมขนาดนั้น ตอนแรกก็เห็นว่าพระชนกของท่าน ได้มีสัญญาใจกับเมืองไพลินยา ตั้งแต่ทั้งสองพระองค์ยังทรงพระเยาว์ องค์ชายก็ทรงสนิทเสน่หาในพระองค์หญิงรายามาก และทั้งสองพระองค์ก็ทรงสนิทสนมกันมากด้วย แต่เมื่อองค์ชายทรงส่งผู้ใหญ่มาทาบทาม เรื่องขอหมั้น องค์หญิงกลับทรงผัดผ่อนอยู่เรื่อยมา องค์หญิงไม่ทรงโปรดเจ้าอิงภูหรือยังไงผมก็ไม่ทราบ องค์ชายน่ะทรงเป็นเจ้าชายที่ทรงสิริโฉม สง่างามมาก คุณก็เคยเข้าเฝ้าท่านมาแล้วและคงเห็นด้วยกับผม และความจริงแล้วแคว้นไพลินยาน่ะ ก็เป็นแคว้นที่ร่ำรวย เพราะมีเหมืองเพชรและพลอยต่างๆที่มีน้ำงาม และเป็นสินค้าส่งออกที่ทำรายได้เข้าแคว้นมากมายมหาศาล ไม่ได้ด้อยกว่าสวาติติตรงไหนเลย และยังเจริญกว่าด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจ ว่าทำไมพระองค์หญิงจึงไม่ทรงยอมรับหมั้นเจ้าอิงภู อาจจะเพราะท่านทรงเป็นห่วงบ้านเมืองที่ยังไม่มีใครปกครองก็เป็นได้ แต่พระเป็นเจ้าได้ลิขิตให้โอกาสเป็นของคุณ สวรรค์มาตกอยู่ตรงหน้า คุณยังจะปฏิเสธหรือครับผู้พัน "
คำบอกเล่าของหมอทำให้ผู้พันได้ช่อง " ก็ขนาดเจ้าชายอิงภูทรงพระสิริโฉม ทรงคู่ควรท่านยังทรงปฏิเสธ แล้วตัวผมล่ะเป็นใคร แค่สามัญชนมียศแค่นายทหารชั้นสัญญาบัตร หล่อก็ไม่ได้หล่อ ท่านไม่ต้องทรงกล้ำกลืนฝืนพระหทัย ที่จะต้องทรงมาอภิเษกด้วยหรือครับ แล้วมันก็รวดเร็วออกขนาดนี้น่ะหมอ " เขากล่าวด้วยสีหน้าเครียดขรึมเป็นกังวล
หมอเลนินมองหน้าเขาอย่างเข้าใจในความรู้สึกของเขา แล้วกล่าวเหมือนจะปลอบใจเขาว่า
" ที่คุณพูดมาน่ะก็จริงอยู่นะผู้พัน แต่ผมคิดว่าความรัก ถ้ามันจะเกิดขึ้นมันก็ไม่ใช่ว่าต้องใช้เวลา มันเกิดขึ้นได้ทุกหนทุกแห่งและทุกขณะ และมันก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่เราจะรักจะเป็นใครหรอก และอีกอย่างหนึ่งก็คือองค์หญิงรายาทรงมีคุณเป็นผู้ชายคนแรกที่แตะต้องพระวรกาย และเหมือนจะประทับอยู่กับอ้อมกอดของคุณ ตลอดทั้งคืนด้วยไม่ใช่หรือ " หมอเลนินกล่าวคล้ายจะถามเขาพร้อมทั้งยิ้มๆ และยังเล่าต่อว่า " คุณรู้มั้ยผู้พัน เมื่อตอนที่ท่านยังไม่ทรงรู้สึกพระองค์น่ะ ทรงรับสั่งเพ้อเรียกคุณตลอดเวลา จนผมเองยังนึกอิจฉาคุณอยู่เลย คุณเป็นผู้ชายคนแรกก็ว่าได้นะที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดด้วยอย่างนี้น่ะ ผมเชื่อว่าท่านทรงไม่รังเกียจคุณหรอก " และก่อนที่หมอจะลากลับหมอยังกล่าวเย้าอย่างอารมณ์ดีว่า " ขอโทษนะ.......ที่ผมไม่ได้ใช้คำราชาศัพท์กับพระคู่หมั้น แต่เจอกันคราวหน้าคงต้องใช้แล้วละ " แล้วหันหลังเดินไปขึ้นรถที่รออยู่ โบกมือให้เขานิดหนึ่ง พันเอก ศรัณย์ พยายามปรับสีหน้าที่ขัดเขินให้เป็นปรกติแต่ก็ยังไม่วายที่จะออกอาการ
กองบัญชาการของนาย
" ไอ้ อ่องเล มึงไม่มีน้ำยาที่จะสู้กับไอ้พวกทหารกระจอกๆของสวาติติเลยหรือไง มึงคุยนักหนาว่าอีกไม่นานจะบุกเข้าถึงในเมืองไงวะ ไอ้บัดซบแค่นี้ก็แพ้กระเจิง หนีมาเหมือนหมาถูกน้ำร้อน " นายพลราเปรียงทำหน้าถมึงทึง ด่ากราดเข้าใส่ลูกน้องคนสนิท
" ท่านนายพล......ตอนนี้พวกหาข่าวของเรา แจ้งเข้ามาว่าทางสวาติติ นำทหารไทยซึ่งเป็นหน่วยเฉพาะกิจที่เขาว่าเก่งมาก เชี่ยวชาญเรื่องการรบมาสู้กับเราเชียวนะ แล้วไอ้ผู้บังคับบัญชาของมันก็เก่งมากด้วย มันหลอกล่อจนไอ้พวกนั้นหัวปั่นไปหมด ผมนำกำลังเข้าล้อมมันไว้ทุกด้าน มันยังตีฝ่าออกมาจนได้ มันเก่งมาก เราคงต้องดำเนินแผนใหม่แล้วละเจ้านาย " อ่องเล ลูกสมุนมือขวาพูดอย่างหัวเสีย
" นังองค์หญิง เอาทหารไทยมาช่วยเลยหรือนี่ ร้ายกาจจริงๆ "
" ครับเจ้านาย เราเพิ่งได้รับข่าวครับผม แต่หน่วยข่าวของเราเพิ่งรายงานเข้ามาว่า คงไม่กี่กองร้อยครับผม แล้ววันนั้นที่เกือบจะได้ตัวองค์หญิงแล้วด้วย ผมก็เพิ่งรู้ว่าทหารที่มาจากเมืองไทยมาช่วยพอดีครับเจ้านาย "
" เวรละสิ.... แล้วแผนอะไรของมึงอีกล่ะไอ้อ่องเล เมื่อวานกูเสียกำลังไปเกือบสามสิบ และต้องถอยร่นลงมาอยู่ตรงนี้อีกด้วย ที่เราต้องการเมืองมัน ก็เพราะทำเลที่ตั้งมั่นมันไม่ทุรกันดารอย่างตรงนี้ ที่นี่น้ำก็ไม่มีกันดารจะตายห่ะ การผลิตของเราต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างนะโว้ย ขืนเราต้องปักหลักอยู่ตรงนี้เราก็ตายห่ะเท่านั้นแหละ แล้วไอ้โรงงานเล็กๆของเราก็ถูกทลายทุกวัน ต้องหนีต้องย้ายกันหัวซุกหัวซุน "
" เจ้านายใจเย็นๆ ผมกำลังให้คนของเราในเมือง หาลู่ทางที่จะบีบให้องค์หญิงรายายอมเราให้ได้ คนของเราส่งข่าวมาว่า กำลังจะหาทางติดต่อกับคนใกล้ชิดขององค์หญิงอยู่ครับ แต่ก็กำลังสืบว่าใครกันที่ใกล้ชิดที่สุด รับรองว่าสำเร็จครับเจ้านาย " อ่องเล สมุนคู่ใจกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างประจบ
" พวกมึงมันก็ได้แต่คุย ต่อไปนี้เราต้องรีบหาทางเผด็จศึกมันให้เร็วกว่านี้ อย่าให้กองกำลังของมันตั้งตัวได้ทัน แล้วไอ้เรื่องที่มึงบอกน่ะ ต้องเร่งให้ได้เรื่องเร็วที่สุดนะโว้ย มึงบอกพวกมันเลยว่าทางกูจ่ายไม่อั้น เอาเงินฟาดหัวมันไปเลย เท่าไหร่เท่ากันอยู่แล้ว แต่ต้องให้ได้เรื่องนะโว้ยไอ้อ่องเล อย่าให้เสียเรื่องอีกล่ะ กูเอามึงตายแน่ " นายพล ราเปรียงคำรามในคออย่างแค้นเคือง
องค์หญิงรายาทรงตื่นบรรทมขึ้นมาในตอนสายของวันใหม่ ทรงรู้สึกว่าพระองค์ได้หลับอย่างสบายที่สุดในชีวิต ทรงตกพระหทัยที่ทอดพระเนตรเห็นแสงแดดส่องเข้ามาทางหน้าต่างกระจก ผ่านม่านสีสวยเข้ามาในห้องบรรทมสว่างไสว องค์หญิงทรงรีบลุกประทับนั่งอย่างลืมพระองค์ แต่แล้วก็นิ่วพระพักตร์ด้วยพระอาการเจ็บที่แผล นางข้าหลวงและพระพี่เลี้ยงปารองที่เฝ้าอยู่ รีบลุกเข้ามาประคองและกราบทูล ให้ทรงค่อยๆประทับนั่ง เพราะแผลจะทรงอักเสบขึ้นมาอีก องค์หญิงทรงรับสั่งให้หาฉลองพระองค์ให้ ทรงรับสั่งบ่นว่าสายแล้ว ทำไมไม่มีใครปลุก ทรงรีบเข้าห้องสรงโดยมีนางข้าหลวงเดินตามเสด็จ และเข้าไปถวายการดูแลสรงน้ำให้ เมื่อทรงทำกิจในห้องน้ำแล้วทรงดำเนินออกมา พระพี่เลี้ยงปารอง นำฉลองพระองค์ลำลองมาวางถวาย องค์หญิงทอดพระเนตรแล้วทรงทำสีพระพักตร์แปลกพระทัย และรับสั่งให้ไปไปนำชุดทหารมา เพราะท่านจะขึ้นไปทรงงาน ข้าหลวงปารองรีบทูลว่าหมอสั่งไว้เมื่อคืน ให้ทรงพักผ่อนสักสองวันไม่ให้เสด็จไปทรงงาน เพราะเมื่อคืนทรงมีไข้สูงมาก และไม่รู้สึกพระองค์ จนผู้พันพระคู่หมั้น ต้องทรงอุ้มกลับมาที่พระตำหนักและทรงพาหมอมาตรวจ วันนี้หมอจึงสั่งไม่ให้เสด็จไปที่ตึกบัญชาการ ให้ทรงบรรทมพักจนกว่าจะทรงหายดี
พระองค์หญิงทรงชะงักนิดหนึ่ง แล้วรับสั่งถามเร็วปรื๋อ " ใครอุ้มเรามา ? "
" ก็พระคู่หมั้นไงเพคะ "
" ผู้พันเหรอ ? "
" ก็จะใครล่ะเพคะ ท่านทรงห่วงฝ่าบาทมากนะเพคะ ทรงดุหม่อมฉันกับคุณพยาบาลด้วยนะเพคะ แล้วก็ทรงเด็จมาแต่เช้าและก็ทรงประทับอยู่ครู่หนึ่งด้วยเพคะ และคงเด็จไปทรงงานแล้วละเพคะ บอกกับหม่อมฉันว่าจะเด็จมาตอนสายๆน่ะเพคะ เดี๋ยวคงเด็จมาอีกเพคะ " พระพี่เลี้ยงปารองทูลยิ้มๆเหมือนจะเย้าหน่อยๆ
องค์หญิงทรงประทับนั่งลงที่ข้างแท่นบรรทม แล้วรวบรวมพระสตินึกถึงว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง ใช่สินะเราได้รับรายงานเรื่องที่ผู้พันออกไปช่วยหน่วยลาดตะเวนที่เก้าปะทะกับ กองกำลังของนาย
องค์หญิงทรงหันพระพักตร์มาเห็นพอดี " ปารองยิ้มอะไรหรือ ? "
" เปล่ามังคะ แต่ฝ่าบาทของปารอง พระปรางทรงเป็นสีแดงเหมือนลูกตำลึงสุกเลยเพคะ ปารองไม่ต้องไปแอบดูแล้วใช่มั้ยเพคะ ทรงดำเนินมาให้เห็นถึงที่นี่เลย ปารองพบตั้งแต่ที่โรงพยาบาลแล้วมังคะ ท่านทรงหล่อมากด้วยนะเพคะ " พระพี่เลี้ยงปารองทูลแล้วยิ้ม
" มาแต่งตัวให้เราหน่อย เราจะไปทำงาน แล้วก็ไม่ต้องแต่ด้วย " องค์หญิงรับสั่งด้วยเสียงเข้มๆกลบเกลื่อนพระปรางที่ยังคงแดงเข้ม
ทรงฉลองพระองค์ชุดทหาร แต่ทรงฉลองพระองค์เสื้อยืดขาวอย่างทุลักทุเลเพราะยังคงทรงเจ็บแผลที่พระอังสาอยู่ และทรงสวมฉลองพระองค์ทหารแต่ทรงแค่คลุมพระอังสาไว้ข้างหนึ่งเท่านั้น เมื่อเรียบร้อยแล้วทรงหยิบพระมาลาเบเร่มาทรงถือไว้ แล้วดำเนินออกจากห้องบรรทมลงบันไดมาทันที ข้าหลวงปารองรีบเดินตามเสด็จลงมา เมื่อทรงดำเนินผ่านห้องพระสำราญก็ทรงพบว่า ผู้พัน ศรัณย์นั่งอ่านหนังสืออยู่ เขาเงยหน้าขึ้นทันที และรีบลุกขึ้นยืนถวายความเคารพ องค์หญิงทรงตะลึงมองเขานิ่ง จนทรงลืมที่จะรับการทำความเคารพของเขา เขารีบทูลถามทันที
" องค์หญิงจะเสด็จไปไหนหรือ กระหม่อม ? "
" ฉันชื่อ รายา " ทรงรับสั่งลอยๆ เหมือนจะเตือนความทรงจำของเขา
" รายา.....คุณจะไปไหนคุณต้องพักผ่อนนะครับ คุณไม่รักษาตัวเองแล้วเมื่อไหร่จะหาย " เขาเดินเข้ามาจนใกล้ กล่าวเบาๆด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
" ฉันค่อยยังชั่วแล้วค่ะผู้พัน ฉันเป็นห่วงงาน แล้วก็จะไปเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บเมื่อวานนี้ด้วย " ทรงรับสั่งตอบเรียบๆ เมินพระพักตร์หนีน้อยๆ
" คุณไม่มีงานอะไรต้องทำเพราะผมทำให้หมดแล้ว และผมก็ไปเยี่ยมทหารแทนคุณแล้วด้วย คุณขึ้นไปพักผ่อนนอนหลับได้เลย " เขากล่าวเรียบๆทำสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่รับรู้อะไร
" ฉันจะไปทำงาน " ยังทรงรับสั่งด้วยเสียงเรียบๆทรงรับสั่งยืนกรานเช่นกัน
" ถ้าคุณยังจะไปทำงาน ผมคงจะต้องทำโทษคุณ ที่คุณดื้อไม่ฟังคำสั่งของหมอ " เขายังคงทำเสียงเรียบๆและจ้องพระพักตร์ทำสีหน้าจริงจัง
" คุณมีสิทธิ์อะไร จะมาทำโทษฉัน ? " รับสั่งพร้อมกับเชิดพระพักตร์ขึ้นนิดหนึ่ง
" ผมจะลองดู ว่าสิทธิ์ในการเป็นคู่หมั้นจะทำโทษยังไงได้บ้าง ? " เขากล่าวเสียงเรียบๆ แต่สายตาของเขาวิบวับหยอกเย้า
องค์หญิงรายาทรงนิ่งอึ้งดำเนินเลี่ยงหนีเขาออกไปหน้าตำหนัก โดยไม่รับสั่งอะไรผู้พันหนุ่มเดินตามไปติดๆ แล้วกล่าวเบาๆ " ถ้าคุณขึ้นไปทำงาน ผมจะอุ้มคุณลงมาจากกองบัญชาการต่อหน้าทหารทุกคน คงจะโรแมนติคดีนะครับ " เขากล่าวด้วยเสียงเรียบๆ ด้วยสีหน้านิ่งๆแต่จริงจัง
" ผู้พัน......คุณ " ทรงหันมาและทรงหยุดทอดพระเนตรมองหน้าเขา ทำสายพระเนตรดุมองเขา
" รายา.......คุณอย่าทำตาดุๆ อย่างนี้สิผมกลัว " เขาทำเสียงอ้อนและยืนขวางหน้าไว้
" คุณจะเอายังไงกับฉันบอกมา ? " รับสั่งถามด้วยสีพระพักตร์ที่เริ่มกริ้ว
" รายา.....ผมเป็นห่วงคุณนะ เมื่อคืนนี้คุณเป็นไข้ ตัวร้อนจัดจนไม่รู้สึกตัว ผมตกใจมาก และหลังจากที่กลับไปจากที่นี่แล้ว ผมก็ยังเป็นห่วงคุณจนนอนไม่หลับ แล้ววันนี้แทนที่คุณจะพักผ่อน คุณกลับจะมาทำงานอีก คุณดื้อมากนะ หมอก็บอกว่าต้องการให้คุณพักผ่อนมากๆ เมื่อเช้าหมอก็มาเยี่ยมคุณนะ ทุกคนเป็นห่วงคุณแต่คุณไม่เคยห่วงตัวเองเลย " เขากล่าวเสียงอ่อนอย่างตัดพ้อ
" ฉันนอนไม่หลับแล้วนี่ แล้วฉันก็เพียงแต่อยากไปดูงานนิดหน่อยเท่านั้น " สุรเสียงรับสั่งอ่อนลงเช่นกัน
เขาตัดสินใจกล่าวออกมาทันที " รายา.......งั้นเรามาคุยเรื่องของเราดีกว่านะ เรื่องของเรามันก็เป็นงานเหมือนกันไม่ใช่หรือ สำหรับคุณน่ะ "
องค์หญิงรายาในฉลองพระองค์เครื่องแบบประทับยืนนิ่ง ทอดพระเนตรมองหน้าเขานิดหนึ่งแล้วทรงนิ่งคิด คนอะไรหน้าตาก็คมเข้ม หล่อเสียเหลือเกิน คนหน้าตาผิวพรรณแบบนี้ใช่มั้ย ที่เขาเรียกว่าหล่อเหมือนเทพบุตรกรีก แต่ทำเสียงน้อยใจเหมือนจะตัดพ้อต่อว่าก็เป็น พูดประชดประชันก็เก่ง
" เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆในอุทยานของคุณดีมั้ย รายา ? " เขาชวนแล้วผายมือให้ทรงดำเนินไปตามทางเดินในอุทยาน ซึ่งปูเป็นทางเดินด้วยแผ่นศิลาแลงภายในพระราชฐานวังหน้า
ทรงไม่รับสั่งตอบรับ เพียงแต่ดำเนินเคียงคู่ไปกับเขาทั้งสองเดินไปเงียบๆ จนถึงศาลาหกเหลี่ยมในอุทยานดอกไม้นานาพันธ์ ที่ออกดอกออกใบงดงาม ไม้ดอกหลากชนิดส่งกลิ่นหอมอ่อนๆจรุงใจนัก ทรงพระดำเนินขึ้นไปประทับนั่งบนม้ายาวที่ทำไว้เป็นที่ประทับนั่งบนศาลาพักร้อนกลางอุทยาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ประทับพักผ่อนอิริยาบถ เขานั่งลงใกล้ๆกับองค์หญิง ทั้งสองยังคงนิ่งเงียบ เขานิ่งคิดว่าจะเริ่มต้นยังไงดี เขาสูดลมเข้าปอดน้อยๆแล้วตัดสินใจกล่าวออกมาก่อน
" รายา.......ผมเสียใจนะที่เกิดเรื่องเมื่อคืนวันก่อน คงทำให้คุณต้องลำบากใจ และคงต้องเสื่อมเสียเกียรติยศ " เขากล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าขรึมๆเป็นการเป็นงาน
" ฉันต่างหากคะที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด และฉันก็คงต้องทำเหมือนกับว่าฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวนัก คุณคงคิดว่าบ้านเมืองของฉัน มีกฎหมายที่ล้าหลัง โบราณ ฉันอยากจะขอโทษคุณ แต่ก็ยังไม่กล้าพอ เมื่อคืนนี้ฉันคอยคุณและคิดว่าถ้าคุณกลับมา ฉันจะขอโทษคุณ แต่ก็หลับไปเสียก่อน " องค์หญิงรายารับสั่งเบาๆทอดพระเนตรมองหน้าเขา สายพระเนตรที่ทรงทอดมองมาที่เขานั้น แสดงความเสียพระหทัยนัก
" รายา......ผมไม่ได้คิดอย่างที่คุณพูดมาทั้งหมดเลยนะ เพียงแต่ว่า...ผมรู้สึกลำบากใจมากกว่า ที่ผมมีส่วนทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ผมทำให้คุณต้องเสื่อมเสียและดึงคุณให้ต่ำลงมา แทนที่คุณจะได้อภิเษกกับเจ้าชายผู้สูงศักดิ์และคู่ควรกับคุณ แต่คุณต้องมาแต่งงานกับคนสามัญธรรมดา มียศแค่นายพันทหารเท่านั้น ซึ่งไม่มีอะไรที่คู่ควรกับคุณเลย ถ้าคุณต้องลำบากใจที่จะต้องแต่งงานกับผม และมีทางออกอื่นที่ทำให้คุณสบายใจกว่านี้ผมก็ยินดี " เขากล่าวพร้อมกับก้มหน้าลงนิดหนึ่ง
" จะมีก็แต่ฉัน ต้องเนรเทศตัวเองออกไปจากเมืองนี้ แล้วอภิเษกสมรสกับเจ้าพี่อิงภู แล้วกลับมาครองแคว้นร่วมกัน คือต้องรวมแคว้นทั้งสองเข้าเป็นแคว้นเดียวกัน เพราะเราสองคนต่างก็มีภารกิจกับบ้านเมืองเหมือนกัน แต่ถ้าฉันทำอย่างนั้น ก็เหมือนฉันเป็นผู้รักษากฎแต่ก็เลี่ยงกฎนั้นเสียเอง ข้าราชบริพารจะมองว่าฉันขาดจริยธรรม แต่ถ้าคุณไม่ต้องการแต่งงานกับฉัน ฉันก็จะไปอยู่ที่อังกฤษและคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีก และก็คงต้องให้น้องหญิงเตขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนฉัน ฉันคงไม่บังคับใจคุณหรอกค่ะ " รับสั่งออกมาด้วยสีพระพักตร์ที่เศร้าซึม
" รายา......คงไม่มีผู้ชายคนไหนในโลก ที่จะปฏิเสธการแต่งงานกับคุณหรอก แต่ผมก็ไม่ต้องการเป็นผู้ชายที่ฉกฉวยโอกาสนั้น ถ้าคุณไม่ต้องการที่จะแต่งงานกับผมและมีทางเลือกที่ดีกว่า ก็ขอให้คุณตัดสินใจเลือกเพราะการที่คุณต้องลดตัวเองลงมาแต่งงานกับผม ผมรู้ว่าคุณคงต้องลำบากใจที่จะยอมรับผมได้ และผมก็ไม่คิดว่า การที่ต้องทนฝืนใจเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคุณ " เขาอธิบายถึงความรู้สึกของตนเอง
" ฉันตัดสินใจแล้วค่ะ ฉันจะแต่งงานกับคุณ เรื่องฐานันดรของฉัน ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ฉันคิดแบ่งแยกชนชั้น ฉันเกรงแต่ว่า ฉันจะเป็นผู้ที่ทำให้คุณต้องมาลำบากใจเหมือนถูกบังคับ คุณอาจจะมีใครที่คุณรักรอคุณอยู่ แต่คุณก็ต้องจำยอมเสียสละคนที่คุณรัก เพื่อคิดจะช่วยให้ฉันได้อยู่เมืองนี้ต่อไป โดยยอมแต่งงานกับฉัน ฉันรู้สึกไม่สบายใจและเสียใจมากค่ะ ที่คุณต้องยอม เพราะคุณคิดจะรับผิดชอบและคิดจะช่วยฉันและสวาติติ " เธอกล่าวแล้วมองหน้าผู้พันหนุ่ม สายตาของเธออ่อนเศร้าแสดงความเสียใจ
" รายาครับ ...ผมยังไม่มีใครที่ผมรักและคิดจะแต่งงานด้วย อย่างที่เคยบอกคุณไปแล้ว แต่คุณล่ะ....คุณมีองค์ชาย อิงภูเป็นคู่หมายอยู่แล้ว ผมรู้ว่าคุณคงเสียใจ และจำยอมเสียสละคนที่คุณรัก และต้องมาแต่งงานกับผมเพื่อรักษาบ้านเมืองและจริยธรรมของคุณ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดี และขอยกย่องในความเสียสละของคุณ แต่มันอาจจะทำให้คุณต้องมาเป็นทุกข์ในภายหลังนะครับ "
" ฉันกับเจ้าพี่อิงภู เป็นเพียงความคิดของผู้ใหญ่ ที่ต้องการให้เราทั้งสองคนได้แต่งงานกัน เพื่อคิดที่จะได้รวมบ้านพี่เมืองน้อง คือไพลินยาและสวาติติ มาเป็นทองแผ่นเดียวกันมากกว่าค่ะ ฉันบอกตรงๆว่าฉันไม่ได้คิดที่จะแต่งงานกับใครเลย คุณก็เห็นว่าฉันมีภาระกับบ้านเมืองมากมายแค่ไหน ฉันไม่เคยมีเวลาที่จะคิดเรื่องของตัวเองเลยสักนิด " ทรงรับสั่งความในพระทัยให้เขาฟัง
เขาเห็นพระพักตร์ที่งดงามขององค์หญิงที่ก้มลงมองพระหัตถ์ของพระองค์เองนั้นน้อยๆ แม่ดอกฟ้ารายาแม่ช่างทรงศิริโฉมงดงามเกินกว่าจะหาหญิงใดมาเปรียบได้ เขาคิดและถอนใจออกมาน้อยๆเหมือนจะให้สิ่งที่หนักอึ้งในอกของเขาให้คลายลงบ้าง ก่อนที่จะเอื้อนเอ่ย
" แล้วคุณคิดมั้ยว่าการที่คุณก็ไม่ได้รักผม จะทำให้การแต่งงานของเราไม่มีความสุข และคุณก็จะต้องทนอยู่กับผมอย่างเป็นทุกข์ตลอดไป " เขาทูลถามตรงๆ
" แล้วคุณล่ะคุณก็ไม่ได้รักฉัน แล้วคุณคิดมั้ยว่าคุณจะทนกับฉันได้หรือคะผู้พัน ทนผู้หญิงที่มีภารกิจมากมาย จนแม้แต่ตนเองก็ยังไม่มีเวลาให้เลย ? " ทรงย้อนถามเขาตรงๆเช่นกัน
" แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่ได้รักคุณล่ะ ถึงแม้ว่ามันอาจจะรวดเร็วเกินไปสำหรับคำว่ารัก แต่ผมก็ไม่มีคำอธิบายความรู้สึกของตัวเองในขณะนี้ ให้เป็นอย่างอื่นได้หรอกนะรายา " ผู้พันศรัณย์เปิดเผยความรู้สึกในใจของตนเองออกมา ซึ่งมีผลให้พระปรางทรงแดงจัดเข้มขึ้นจนเขาสังเกตเห็น ทรงแก้ขวยโดยแสร้งเมินพระพักตร์ออกไป ทอดพระเนตรมองต้นไม้ใบหญ้า
" คุณยังมีแก่ใจที่จะพูดเอาใจฉัน ในสถานการณ์อย่างนี้อีกหรือคะผู้พัน ฉันไม่คิดมากหรอกค่ะ ถึงคุณจะไม่บอกคำว่ารักกับฉัน ฉันเข้าใจดี " ทรงรับสั่งโดยยังไม่ทรงกล้าทอดพระเนตรมองหน้าเขา
" คุณเข้าใจผิดแล้วละรายา คำว่ารักของผม ผมคิดว่าเป็นคำที่มีความหมายสำหรับผมมากนะครับ คุณอาจจะฟังแล้วคิดว่า ผมพูดออกมาเพื่อเอาใจคุณ แต่ไม่ใช่หรอกนะรายา ผมปฏิเสธความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ ความรักมันเกิดขึ้นคู่กับความทุกข์ทรมาน " เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จ้องพระพักตร์องค์หญิงนิ่งๆ จนต้องทรงก้มพระพักตร์ลงหลบสายตาเขา
" ฉันไม่เข้าใจค่ะว่าทำไมความรัก จึงต้องเกิดคู่กับความทุกข์ทรมาน " รับสั่งถามเขาด้วยสีพระพักตร์ที่ทรงฉงน
" มันเกิดขึ้นกับผมตั้งแต่คืนนั้น พอรู้ตัวว่ารักแล้วก็เริ่มเป็นทุกข์เพราะรู้ว่าตัวเองคิดเลยเถิด และใฝ่สูงจนลืมศักดิ์ตัวเองไงล่ะครับเจ้าหญิง "
พระปรางแดงเข้มขึ้นอีกครั้ง เมื่อทรงได้ยินคำของเขา ทรงหลบสายตาคมกล้าหวานระยับของเขาน้อยๆ " ผู้ชายไทยช่างสรรหาคำพูดหวานๆมาปลอบประโลมได้มากมายเหลือเกินนะคะ แค่คุณบอกว่าจะแต่งงานกับฉัน ฉันก็รู้สึกว่าคุณเสียสละให้กับฉันมากมาย และฉันก็เป็นหนี้บุญคุณคุณ อย่างไม่ทราบจะหาสิ่งใดมาตอบแทนแล้วละค่ะ "
" อย่าพูดอย่างนี้สิครับรายา คุณทำให้ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้รักคุณ แค่นี้ก็พอแล้ว " เขากล่าวอย่างสารภาพมองพระพักตร์สวยคมซึ้งนั้นนิ่งๆ เหมือนจะให้ดวงตาของเขาเปิดเผยความในใจให้ทรงได้รับรู้
" ทำไมคะ ? " เสียงของเธอแผ่วเบา เงยพระพักตร์ขึ้นสบตากับเขา
" มันไม่มีเหตุผลหรอกนะรายา หลังจากคืนนั้นมา ผมก็เฝ้าแต่ถามตัวเองว่า ทำไม...ต้องคิดถึงคุณมากมายขนาดนี้ หลับตาก็เห็นแต่หน้าคุณ เป็นห่วงคุณอยากจะเจ็บแทนคุณเสียเอง หัวใจผมเปี่ยมสุขและทุกข์ทรมานไปพร้อมๆกัน " เขากล่าวเสียงอ่อน สารภาพความในใจ ทอดสายตามองพระพักตร์ และเอื้อมมือจับพระหัตถ์มากุมไว้
" ขอบคุณค่ะผู้พัน ฉันจะแต่งงานกับคุณ และเวลาจะพิสูจน์คำพูดของคุณค่ะ " รับสั่งแล้วพระปรางแดงระเรื่อขึ้นอีกครั้ง แต่ก็เงยพระพักตร์ขึ้นทรงสบสายพระเนตรกับเขา สายพระเนตรหวานคมซึ้งบอกอะไรบางอย่าง ที่ทำให้หัวใจของผู้พันหนุ่มพองโตจนแทบจะคับอก
เขาทูลถามเบาๆ " รายา.....บอกผมได้มั้ย ว่าในขณะนี้คุณคิดยังไงกับผม ? "
" ฉัน....ไม่กล้าคิดค่ะบอกไม่ถูก มันรวดเร็วเกินไปจนฉันกลัวที่จะคิด " รับสั่งคล้ายกับจะทรงปรารภ แต่ก็ก้มพักตร์ลงหลบสายตาที่จับจ้องของเขา
" รายา.....ผมเข้าใจ อยากให้คุณทำใจให้สบาย อย่าคิดอะไรมาก ในเมื่อเรื่องอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด " ผู้พันหนุ่มกล่าวด้วยเสียงมั่นคงหนักแน่นนัก จนองค์หญิงต้องเงยพระพักตร์ขึ้นมองเขา สายพระเนตรนั้นบอกความซาบซึ้ง
" ขอบคุณมากค่ะที่คุณเข้าใจฉัน "
" รายา.....จำไว้นะครับว่าผมรักคุณ และไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าหัวใจของคุณเท่านั้น " เขากล่าวแล้วมองหน้าเธอตรงๆส่งสายตาวิบวับวาวระยับให้เธอ
ทรงสบพระเนตรด้วยพระหทัยที่หวานหวาม ทรงแก้ขวยด้วยทรงเอื้อนเอ่ย " ฉันเพิ่งรู้ว่าทหารไทยไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญในการรบเท่านั้น แต่ก็เชี่ยวชาญที่จะปรนเปรอผู้หญิงด้วยคำพูดได้ไพเราะซาบซึ้งเหลือเกิน จะมีผู้หญิงไทยที่ต้องอกหักสักกี่คนคะ ที่คุณต้องมาแต่งงานกับฉัน และผู้หญิงที่สวาติตินี่คงต้องตรอมใจ ในคำหวานๆได้ในสักวันหนึ่งมั้ยคะผู้พัน ? "
" คำพูดทุกคำของผมได้กลั่นกรองมาจากหัวใจ ทหารที่อยู่กับสงครามและความรุนแรงคงไม่มีความหวานเท่ากับความจริงจากหัวใจหรอกครับ " นายทหารหนุ่มกล่าวเบาๆสบตากับองค์หญิงรายา เขายกพระหัตถ์พระองค์ขึ้นจุมพิต
ความคิดเห็น