ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรางรัก ลวงใจ (ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์สมาร์ทบุ๊ค)

    ลำดับตอนที่ #9 : คำสารภาพ(รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.88K
      7
      11 ก.พ. 52

    ตอนที่ 9  คำสารภาพ

              หมอเลนินมองหน้าของผู้พันหนุ่ม ก็รู้ว่าเขามีสีหน้าที่วิตกและสับสนจริงๆ  และยังคงมองใบหน้าคมเข้มของเขาอย่างพิจารณาต่อไปอีก  เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าผู้ชายคนนี้หล่อเข้ม  ชอบใช้สายตามากกว่าคำพูด เขาจึงเป็นคนที่น่าค้นหา มีเสน่ห์ตรงที่เป็นคนพูดตรงๆ  ประกายตาของเขาแสดงความจริงใจจนน่าคบ  พันเอกศรัณย์มีผิวสีทองแดง เขาไม่ได้สูงมากนัก แต่ก็มีท่าทางสมาร์ตทำให้เขาดูดีในเครื่องแบบทหาร  ก่อนที่หมอจะคิดอะไรต่อ ทั้งสองหนุ่มต่างอาชีพก็เดินมาถึงหน้าห้องที่ทรงประทับพอดี

             หมอเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ที่ข้างเตียงบรรทม  แล้วหันไปถามพยาบาล  " ไข้ของพระองค์หญิงทรงขึ้นเท่าไหร่  "

    " ขึ้นสูงมากค่ะ เกือบสามสิบเก้าค่ะหมอ ดิฉันถวายงานเช็ดพระวรกายให้แล้ว ไข้ลดลงมาหน่อยค่ะ และก็ทำแผลถวายให้ใหม่  แผลยังมีการอักเสบอยู่ด้วยค่ะ แต่ดิฉันยังไม่ได้ถวายโอสถแก้ไข้ รอหมอมาก่อนน่ะค่ะ  "  พยาบาลกล่าวรายงาน

    องค์หญิงทรงขยับพระวรกายและทรงนิ่วพระพักตร์

    " แผลแดงมากมั้ย   ? "  หมอถามพยาบาล 

    " ยังแดงมากอยู่ค่ะ  "                                              

    " แล้วองค์หญิงเสวยพระโอสถมื้อเย็นหรือยัง ?  "  หมอถามพยาบาลพร้อมทั้งส่งสัญญาณให้พยาบาลเดินตามออกมา

    " ยังค่ะ องค์หญิงเด็จกลับมาจากเข้าเฝ้าองค์สมเด็จ  แล้วเด็จขึ้นกองบัญชาการไปตั้งแต่ตอนเย็น  รับสั่งแต่ว่าจะไปแค่เดี๋ยวเดียว  แต่ก็ไม่เห็นเด็จกลับมาสักที แล้วเมื่อตอนสี่ทุ่มกว่า พระคู่หมั้นก็ทรงอุ้มพระองค์มาที่นี่แหล่ะค่ะ "  พยาบาลรายงาน 

    หมอย่นหัวคิ้วเข้าหากันส่ายหน้าน้อยๆ แล้วบอกพยาบาล " ไม่เป็นไรให้องค์หญิงเสวยพระโอสถนี่นะ โอสถแก้อักเสบติดเชื้อที่ให้มาแล้ว  และก็โอสถแก้ไข้นี่  แล้ววิตามินบำรุงพระโลหิตด้วย พระวรกายของพระองค์ท่านต้องกา รการพักผ่อนมาก อีกวันสองวันคงทรงดีขึ้น  แล้วห้ามไม่ให้พระองค์หญิงขึ้นไปทรงงานที่กองบัญชาการสักสองสามวันนะ ให้ท่านบรรทมพักให้มากที่สุด  แล้วพระอาการก็จะดีขึ้นตามลำดับ ขอให้แค่ทรงพักผ่อนมากๆและเสวยโอสถตามกำหนดเท่านั้น  และมีโอสถที่ออกฤทธิ์บรรทมหลับด้วยนะ ท่านจะได้ทรงพักอิริยาบถยาวเลย และก็ไม่ต้องกราบทูลว่าหมอให้ยานอนหลับนะ  พรุ่งนี้เช้าตื่นบรรทมแล้ว พอเสวยพระกะยาหารก็ให้เสวยพระโอสถทุกขนานเลยนะ จะได้ทรงบรรทมหลับไม่ไปทรงงานอีก  "  หมอกล่าวกับพยาบาลและนางข้าหลวง 

    ผู้พัน ศรัณย์นั่งฟังอยู่ที่เก้าอี้เงียบๆ  และลุกเดินไปนั่งคุกเข่าลงข้างพระที่ก้มลงมองพระพักตร์ ทรงขยับองค์น้อยๆลืมพระเนตรขึ้นช้าๆรับสั่งเหมือนจะทรงเพ้อ  " รายงานสถานการณ์สิ "  แล้วก็ทรงหลับพระเนตรลงอีกครั้งเหมือนจะบรรทมหลับ ผู้พันศรัณย์มองอย่างรู้สึกเป็นห่วง  สีหน้าของเขานั้นแสดงความไม่สบายใจในพระอาการนัก 

    เขาและหมอลุกเดินออกมาข้างนอกห้อง เขานั่งลงข้างๆหมอที่เก้าอี๊ในห้องรับรอง  หมอเลนินพยักหน้าเรียกพระพี่เลี้ยง และนางพยาบาลเข้ามาใกล้ๆแล้วกล่าว 

    " ต่อไปนี้ต้องห้ามไม่ให้พระองค์หญิงเสด็จขึ้นไปทรงงานที่กองบัญชาการนะ   และยังไม่ต้องนำงานมาให้ทรงงานที่นี่ด้วย  ให้ทรงพักอย่างเดียว พระองค์ท่านยังทรงอ่อนเพลียมาก พระพี่เลี้ยงปารองกับคุณพยาบาลพอจะปฏิบัติตามที่หมอบอกได้มั้ย  ?  " หมอถามพยาบาลทั้งสอง และพระพี่เลี้ยงปารองที่นั่งฟังอยู่ด้วย 

    พระพี่เลี้ยงปารองและพยาบาล ต่างมองหน้ากันแล้วหันมาส่ายหน้าน้อยๆ  "  เอ่อ.......ดิฉันคิดว่าคงยากค่ะที่จะห้ามพระองค์ท่านได้  พอทรงรู้สึกพระองค์ก็จะเสด็จไปทรงงานอย่างเดียว  ทรงห่วงงานมากและใครล่ะคะ จะกล้าขัดพระหทัย  "  พยาบาลกล่าวตอบหมอ

    " อืม.....ยังไงดีล่ะ " หมอทำสีหน้าครุ่นคิด  และหันหน้ามาทางพระคู่หมั้นอย่างเพิ่งจะนึกได้  " อย่างนั้นต้องเป็นหน้าที่ของพระคู่หมั้นแล้วละครับ  "  หมอหันมามองหน้าผู้พัน

    ผู้พันศรัณย์ยกมือชี้ตนเอง  "  ผมน่ะหรือครับหมอ จะให้ผมสั่งผู้การหรือครับ  ผมมียศแค่ผู้พันนะครับ  "

    หมอหันมามองผู้พันแล้วยิ้มกริ่มให้เขา  " ใช่.......คุณนั่นแหล่ะผู้พัน ตอนนี้คุณคือพระคู่หมั้นขององค์หญิงแล้ว คุณมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาที่ตำหนักนี้ได้  คุณต้องมาดูแลท่านและต้องห้ามท่านให้ได้ด้วย  ห้ามท่านในฐานะพระคู่หมั้นน่ะครับ " เมื่อหมอเลนินกล่าวจบ หมอ พยาบาลและพระพี่เลี้ยงปารอง  หันมาอมยิ้มให้กันอย่างเห็นทางออก

    เขาทำหน้าเหมือนจะยุ่งยากใจขึ้นทันที  " แล้วถ้าพระองค์หญิงไม่ทรงเชื่อผมล่ะ "  ผู้พันย้อนถามหมอ 

               หมอหัวเราะหึๆในลำคอน้อยๆก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเย้าๆ  " คุณไม่มีวิธีจัดการกับผู้หญิงเลยหรือไงผู้พัน "

               เขามองหน้าหมอและยิ้มแหยๆ แต่แล้วก็พยักหน้าน้อยๆ  " โอ เค ๆหมอ ผมจะลองดู "  เขาตอบพลางพยักหน้าน้อยๆ 

    หมอกระซิบที่หูเขาเบาๆ  " คุณต้องเริ่มที่จะใช้อำนาจกับว่าที่ภรรยาได้แล้วละผู้พัน  " คำกล่าวของหมอทำให้เขายิ้มอย่างอิหลักอิเหลื่อ หมออมยิ้มอย่างนึกขำสีหน้าของเขา  และหันมากล่าวกับนางพยาบาล  " งั้นเอาอย่างนี้นะ คุณพยาบาล.....พอทรงรู้สึกพระองค์ก็ถวายพระโอสถแก้ไข้ด้วยนะ  หมอจะกลับก่อนแล้วพรุ่งนี้เช้าจะมาเยี่ยมไข้อีกครั้ง " 

    " ค่ะ  ดิฉันจะเปลี่ยนฉลองพระองค์ถวายให้ และให้ทรงเข้าบรรทมในห้องพระบรรทมเลยนะคะ  "  พยาบาลถามหมอ

    " จัดการถวายได้เลย " 

    หมอกล่าวจบแล้วถือกระเป๋าเวชภัณฑ์หันหลังเดินกลับออกมา  ทั้งสองหนุ่มเดินเงียบๆออกมาด้วยกัน  ผู้พันศรัณย์หันมาสั่งทหารองครักษ์ที่ยืนยามหน้าประตูตำหนักชั้นนอก

     "  ทหาร........ดูแลอย่างเคร่งครัดนะจะจัดเพิ่มเวรยามขึ้นอีกกะหนึ่ง " 

               "  ครับผม "  ทหารรักษาพระองค์ชิดเท้าทำความเคารพ

    หมอหนุ่มและผู้พันขึ้นรถมาลงที่หน้าตึกกองบัญชาการ  ก่อนที่พลขับจะขับพาหมอไปส่งที่โรงพยาบาล ผู้พันศรัณย์ดึงหมอให้ลงมาคุยด้วย

     " หมอ.......ผมไม่รู้จะปรึกษากับใครเลยเรื่องการอภิเษกน่ะครับ   หมอ...ผมถามจริงๆเถอะ ผมควรจะทำอะไรบ้างตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกเลย  ไม่รู้ว่าตนเองสมควรที่จะต้องทำอะไร พูดยังไง  แบบที่เขาเรียกว่าพูดไม่ออก บอกไม่ถูกน่ะ  แม้แต่กับพระองค์หญิงก็ยังไม่มีโอกาสทูลถามเรื่องนี้เลย  ยังไม่ทราบว่าท่านจะทรงคิดยังไงด้วย  " นายทหารหนุ่มปรับทุกข์ ด้วยสีหน้าและแววตาที่เป็นทุกข์จริงๆ

    หมอเลนินหันมากล่าวยิ้มๆ  " ผู้พันไม่เห็นจะต้องทำอะไรนี่ครับ อยู่เฉยๆ  งานพิธีทางวังหลวงก็จะมีฝ่ายสำนักพระราชวังฝ่ายพิธีการจัดเตรียมพระราชพิธีทุกอย่างให้หมด   และก็คงมีหมายกำหนดการต่างๆมาให้ และรอโปรดเกล้าพระราชทานพระบรมราชานุญาติ  คุณก็เพียงเรียนให้ผู้ใหญ่ทางคุณรับทราบ และให้เตรียมตัวมาในงานเท่านั้นเอง "

      เขากล่าวแย้งขึ้นมากับหมอตรงๆว่า  " เรื่องนั้นผมก็ยังไม่กังวลเท่าไหร่หรอกนะหมอ  แต่เรื่องที่ผมกังวลก็คือเรื่องที่ผมกับพระองค์หญิง  ยังไม่ได้มีโอกาสคุยกันถึงเรื่องนี้เลย  คนที่จะต้องแต่งงานกันอย่างปัจจุบันทันด่วน  แต่ไม่เคยคุยเรื่องนี้กันแล้วจะเข้าใจกันยังไง  ผมเองนั้นก็ไม่ทราบว่าองค์หญิงจะทรงพอพระหทัยในเรื่องนี้สักแค่ไหน  ผมเป็นผู้ชายก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยสบายใจเลย  แล้วพระองค์หญิงท่านจะทรงทำพระหทัยเรื่องนี้ยังไง  ที่ต้องทรงมาอภิเษกกับสามัญชนอย่างผม  แล้วผมก็ไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นทูลกับท่านยังไง  มึนตึ๊บไปหมดเลยครับหมอ  "

    หมอเลนินกล่าวกับผู้พันด้วยสีหน้าเป็นงานเป็นการ   " ผู้พัน....กฎก็คือกฎ ก็เหมือนกฎหมายในเมืองไทยที่ทุกคนต้องถือปฏิบัติ ใครจะฝ่าฝืนได้ ยิ่งองค์หญิงทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อย่างนี้ จะทำยังไงได้ ถ้าท่านจะฝืนกฎท่านก็ต้องสละราชบัลลังก์และต้องทรงเนรเทศพระองค์เอง ยังไงพระองค์หญิงก็ต้องยอมรับอยู่แล้ว  "

     แต่พันเอกศรัณย์กลับแย้งหมอว่า " ผมเข้าใจครับเรื่องนี้  แต่ที่ผมหมายถึงก็คือการที่คนสองคน หมายถึงผมกับองค์หญิง  ต่างก็ยังไม่ได้มีใจผูกพันรักใคร่อะไรต่อกัน  และในเวลาเพียงไม่กี่วันที่พบกันก็ต้องมาแต่งงานกัน  มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน  มันตะขิดตะขวงยังไงๆพิกลนะครับหมอ "  

     หมอฟังเขาและนิ่งมองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามเขายิ้มๆ  " ผู้พัน.......คุณอย่าบอกนะว่าคุณรับองค์หญิงรายาไม่ได้น่ะ  พระองค์ท่านออกจะทรงพระสิริโฉมขนาดนั้น  ตอนแรกก็เห็นว่าพระชนกของท่าน  ได้มีสัญญาใจกับเมืองไพลินยา  ตั้งแต่ทั้งสองพระองค์ยังทรงพระเยาว์  องค์ชายก็ทรงสนิทเสน่หาในพระองค์หญิงรายามาก  และทั้งสองพระองค์ก็ทรงสนิทสนมกันมากด้วย  แต่เมื่อองค์ชายทรงส่งผู้ใหญ่มาทาบทาม  เรื่องขอหมั้น องค์หญิงกลับทรงผัดผ่อนอยู่เรื่อยมา องค์หญิงไม่ทรงโปรดเจ้าอิงภูหรือยังไงผมก็ไม่ทราบ  องค์ชายน่ะทรงเป็นเจ้าชายที่ทรงสิริโฉม สง่างามมาก คุณก็เคยเข้าเฝ้าท่านมาแล้วและคงเห็นด้วยกับผม  และความจริงแล้วแคว้นไพลินยาน่ะ  ก็เป็นแคว้นที่ร่ำรวย  เพราะมีเหมืองเพชรและพลอยต่างๆที่มีน้ำงาม  และเป็นสินค้าส่งออกที่ทำรายได้เข้าแคว้นมากมายมหาศาล ไม่ได้ด้อยกว่าสวาติติตรงไหนเลย และยังเจริญกว่าด้วยซ้ำ  แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจ  ว่าทำไมพระองค์หญิงจึงไม่ทรงยอมรับหมั้นเจ้าอิงภู อาจจะเพราะท่านทรงเป็นห่วงบ้านเมืองที่ยังไม่มีใครปกครองก็เป็นได้  แต่พระเป็นเจ้าได้ลิขิตให้โอกาสเป็นของคุณ  สวรรค์มาตกอยู่ตรงหน้า คุณยังจะปฏิเสธหรือครับผู้พัน  "

    คำบอกเล่าของหมอทำให้ผู้พันได้ช่อง  " ก็ขนาดเจ้าชายอิงภูทรงพระสิริโฉม ทรงคู่ควรท่านยังทรงปฏิเสธ  แล้วตัวผมล่ะเป็นใคร  แค่สามัญชนมียศแค่นายทหารชั้นสัญญาบัตร  หล่อก็ไม่ได้หล่อ  ท่านไม่ต้องทรงกล้ำกลืนฝืนพระหทัย ที่จะต้องทรงมาอภิเษกด้วยหรือครับ  แล้วมันก็รวดเร็วออกขนาดนี้น่ะหมอ "   เขากล่าวด้วยสีหน้าเครียดขรึมเป็นกังวล

     หมอเลนินมองหน้าเขาอย่างเข้าใจในความรู้สึกของเขา  แล้วกล่าวเหมือนจะปลอบใจเขาว่า

    " ที่คุณพูดมาน่ะก็จริงอยู่นะผู้พัน  แต่ผมคิดว่าความรัก ถ้ามันจะเกิดขึ้นมันก็ไม่ใช่ว่าต้องใช้เวลา มันเกิดขึ้นได้ทุกหนทุกแห่งและทุกขณะ  และมันก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่เราจะรักจะเป็นใครหรอก  และอีกอย่างหนึ่งก็คือองค์หญิงรายาทรงมีคุณเป็นผู้ชายคนแรกที่แตะต้องพระวรกาย  และเหมือนจะประทับอยู่กับอ้อมกอดของคุณ  ตลอดทั้งคืนด้วยไม่ใช่หรือ "  หมอเลนินกล่าวคล้ายจะถามเขาพร้อมทั้งยิ้มๆ  และยังเล่าต่อว่า " คุณรู้มั้ยผู้พัน เมื่อตอนที่ท่านยังไม่ทรงรู้สึกพระองค์น่ะ  ทรงรับสั่งเพ้อเรียกคุณตลอดเวลา  จนผมเองยังนึกอิจฉาคุณอยู่เลย  คุณเป็นผู้ชายคนแรกก็ว่าได้นะที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดด้วยอย่างนี้น่ะ  ผมเชื่อว่าท่านทรงไม่รังเกียจคุณหรอก  "  และก่อนที่หมอจะลากลับหมอยังกล่าวเย้าอย่างอารมณ์ดีว่า  " ขอโทษนะ.......ที่ผมไม่ได้ใช้คำราชาศัพท์กับพระคู่หมั้น  แต่เจอกันคราวหน้าคงต้องใช้แล้วละ "  แล้วหันหลังเดินไปขึ้นรถที่รออยู่  โบกมือให้เขานิดหนึ่ง พันเอก ศรัณย์ พยายามปรับสีหน้าที่ขัดเขินให้เป็นปรกติแต่ก็ยังไม่วายที่จะออกอาการ

     

    กองบัญชาการของนายพล ราเปรียง ใกล้เขตชายแดนของราชอาณาจักรสวาติติ  นายพลราเปรียงผู้มีใบหน้าอัปลักษณ์เพราะถูกสะเก็ดระเบิดจนตาขวาบอดสนิท เดินไปเดินมาอย่างหัวเสีย  เมื่อกองกำลังของเขาพ่ายแพ้แก่กองกำลังของสวาติติ  ที่ผู้พันศรัณย์ตีแตกกระเจิงและพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ  เขาหันมาชี้หน้าและตวาดลูกน้องคนสนิท 

    " ไอ้  อ่องเล  มึงไม่มีน้ำยาที่จะสู้กับไอ้พวกทหารกระจอกๆของสวาติติเลยหรือไง  มึงคุยนักหนาว่าอีกไม่นานจะบุกเข้าถึงในเมืองไงวะ  ไอ้บัดซบแค่นี้ก็แพ้กระเจิง หนีมาเหมือนหมาถูกน้ำร้อน  "  นายพลราเปรียงทำหน้าถมึงทึง ด่ากราดเข้าใส่ลูกน้องคนสนิท

    " ท่านนายพล......ตอนนี้พวกหาข่าวของเรา  แจ้งเข้ามาว่าทางสวาติติ  นำทหารไทยซึ่งเป็นหน่วยเฉพาะกิจที่เขาว่าเก่งมาก  เชี่ยวชาญเรื่องการรบมาสู้กับเราเชียวนะ  แล้วไอ้ผู้บังคับบัญชาของมันก็เก่งมากด้วย  มันหลอกล่อจนไอ้พวกนั้นหัวปั่นไปหมด  ผมนำกำลังเข้าล้อมมันไว้ทุกด้าน   มันยังตีฝ่าออกมาจนได้  มันเก่งมาก  เราคงต้องดำเนินแผนใหม่แล้วละเจ้านาย  " อ่องเล  ลูกสมุนมือขวาพูดอย่างหัวเสีย

    "  นังองค์หญิง  เอาทหารไทยมาช่วยเลยหรือนี่  ร้ายกาจจริงๆ "

    "  ครับเจ้านาย  เราเพิ่งได้รับข่าวครับผม  แต่หน่วยข่าวของเราเพิ่งรายงานเข้ามาว่า  คงไม่กี่กองร้อยครับผม  แล้ววันนั้นที่เกือบจะได้ตัวองค์หญิงแล้วด้วย  ผมก็เพิ่งรู้ว่าทหารที่มาจากเมืองไทยมาช่วยพอดีครับเจ้านาย "

    " เวรละสิ.... แล้วแผนอะไรของมึงอีกล่ะไอ้อ่องเล  เมื่อวานกูเสียกำลังไปเกือบสามสิบ และต้องถอยร่นลงมาอยู่ตรงนี้อีกด้วย  ที่เราต้องการเมืองมัน  ก็เพราะทำเลที่ตั้งมั่นมันไม่ทุรกันดารอย่างตรงนี้   ที่นี่น้ำก็ไม่มีกันดารจะตายห่ะ  การผลิตของเราต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างนะโว้ย  ขืนเราต้องปักหลักอยู่ตรงนี้เราก็ตายห่ะเท่านั้นแหละ  แล้วไอ้โรงงานเล็กๆของเราก็ถูกทลายทุกวัน  ต้องหนีต้องย้ายกันหัวซุกหัวซุน  " 

    " เจ้านายใจเย็นๆ  ผมกำลังให้คนของเราในเมือง  หาลู่ทางที่จะบีบให้องค์หญิงรายายอมเราให้ได้  คนของเราส่งข่าวมาว่า  กำลังจะหาทางติดต่อกับคนใกล้ชิดขององค์หญิงอยู่ครับ แต่ก็กำลังสืบว่าใครกันที่ใกล้ชิดที่สุด รับรองว่าสำเร็จครับเจ้านาย "  อ่องเล สมุนคู่ใจกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างประจบ 

    " พวกมึงมันก็ได้แต่คุย  ต่อไปนี้เราต้องรีบหาทางเผด็จศึกมันให้เร็วกว่านี้  อย่าให้กองกำลังของมันตั้งตัวได้ทัน  แล้วไอ้เรื่องที่มึงบอกน่ะ  ต้องเร่งให้ได้เรื่องเร็วที่สุดนะโว้ย  มึงบอกพวกมันเลยว่าทางกูจ่ายไม่อั้น  เอาเงินฟาดหัวมันไปเลย เท่าไหร่เท่ากันอยู่แล้ว  แต่ต้องให้ได้เรื่องนะโว้ยไอ้อ่องเล อย่าให้เสียเรื่องอีกล่ะ กูเอามึงตายแน่  " นายพล ราเปรียงคำรามในคออย่างแค้นเคือง 

     

    องค์หญิงรายาทรงตื่นบรรทมขึ้นมาในตอนสายของวันใหม่   ทรงรู้สึกว่าพระองค์ได้หลับอย่างสบายที่สุดในชีวิต ทรงตกพระหทัยที่ทอดพระเนตรเห็นแสงแดดส่องเข้ามาทางหน้าต่างกระจก  ผ่านม่านสีสวยเข้ามาในห้องบรรทมสว่างไสว  องค์หญิงทรงรีบลุกประทับนั่งอย่างลืมพระองค์   แต่แล้วก็นิ่วพระพักตร์ด้วยพระอาการเจ็บที่แผล   นางข้าหลวงและพระพี่เลี้ยงปารองที่เฝ้าอยู่  รีบลุกเข้ามาประคองและกราบทูล  ให้ทรงค่อยๆประทับนั่ง  เพราะแผลจะทรงอักเสบขึ้นมาอีก องค์หญิงทรงรับสั่งให้หาฉลองพระองค์ให้  ทรงรับสั่งบ่นว่าสายแล้ว  ทำไมไม่มีใครปลุก  ทรงรีบเข้าห้องสรงโดยมีนางข้าหลวงเดินตามเสด็จ  และเข้าไปถวายการดูแลสรงน้ำให้  เมื่อทรงทำกิจในห้องน้ำแล้วทรงดำเนินออกมา พระพี่เลี้ยงปารอง นำฉลองพระองค์ลำลองมาวางถวาย  องค์หญิงทอดพระเนตรแล้วทรงทำสีพระพักตร์แปลกพระทัย  และรับสั่งให้ไปไปนำชุดทหารมา  เพราะท่านจะขึ้นไปทรงงาน  ข้าหลวงปารองรีบทูลว่าหมอสั่งไว้เมื่อคืน ให้ทรงพักผ่อนสักสองวันไม่ให้เสด็จไปทรงงาน  เพราะเมื่อคืนทรงมีไข้สูงมาก  และไม่รู้สึกพระองค์  จนผู้พันพระคู่หมั้น ต้องทรงอุ้มกลับมาที่พระตำหนักและทรงพาหมอมาตรวจ  วันนี้หมอจึงสั่งไม่ให้เสด็จไปที่ตึกบัญชาการ  ให้ทรงบรรทมพักจนกว่าจะทรงหายดี

    พระองค์หญิงทรงชะงักนิดหนึ่ง  แล้วรับสั่งถามเร็วปรื๋อ  "  ใครอุ้มเรามา ?  " 

    " ก็พระคู่หมั้นไงเพคะ " 

    " ผู้พันเหรอ  ?  " 

    " ก็จะใครล่ะเพคะ  ท่านทรงห่วงฝ่าบาทมากนะเพคะ  ทรงดุหม่อมฉันกับคุณพยาบาลด้วยนะเพคะ  แล้วก็ทรงเด็จมาแต่เช้าและก็ทรงประทับอยู่ครู่หนึ่งด้วยเพคะ  และคงเด็จไปทรงงานแล้วละเพคะ  บอกกับหม่อมฉันว่าจะเด็จมาตอนสายๆน่ะเพคะ  เดี๋ยวคงเด็จมาอีกเพคะ "  พระพี่เลี้ยงปารองทูลยิ้มๆเหมือนจะเย้าหน่อยๆ

    องค์หญิงทรงประทับนั่งลงที่ข้างแท่นบรรทม  แล้วรวบรวมพระสตินึกถึงว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง ใช่สินะเราได้รับรายงานเรื่องที่ผู้พันออกไปช่วยหน่วยลาดตะเวนที่เก้าปะทะกับ กองกำลังของนายพล ราเปรียง และกำลังจะเดินทางกลับมาเรารอเขาจนหลับไปนี่ เราเป็นไข้หรือ แล้วเขาอุ้มเรามาที่ตำหนักอีกหรือนี่  น่าอายจัง องค์หญิงทรงนิ่งคิดกัดริมพระโอษฐ์น้อยๆ  พระปรางเป็นสีเข้มขึ้น  จนพระพี่เลี้ยงปารองและนางข้าหลวง ตลอดจนพยาบาลที่ถวายงานอยู่ เฝ้าลอบมองแล้วต้องอมยิ้ม

    องค์หญิงทรงหันพระพักตร์มาเห็นพอดี " ปารองยิ้มอะไรหรือ ? " 

    " เปล่ามังคะ แต่ฝ่าบาทของปารอง พระปรางทรงเป็นสีแดงเหมือนลูกตำลึงสุกเลยเพคะ  ปารองไม่ต้องไปแอบดูแล้วใช่มั้ยเพคะ ทรงดำเนินมาให้เห็นถึงที่นี่เลย ปารองพบตั้งแต่ที่โรงพยาบาลแล้วมังคะ ท่านทรงหล่อมากด้วยนะเพคะ " พระพี่เลี้ยงปารองทูลแล้วยิ้ม   

    " มาแต่งตัวให้เราหน่อย เราจะไปทำงาน แล้วก็ไม่ต้องแต่ด้วย "  องค์หญิงรับสั่งด้วยเสียงเข้มๆกลบเกลื่อนพระปรางที่ยังคงแดงเข้ม

    ทรงฉลองพระองค์ชุดทหาร  แต่ทรงฉลองพระองค์เสื้อยืดขาวอย่างทุลักทุเลเพราะยังคงทรงเจ็บแผลที่พระอังสาอยู่ และทรงสวมฉลองพระองค์ทหารแต่ทรงแค่คลุมพระอังสาไว้ข้างหนึ่งเท่านั้น  เมื่อเรียบร้อยแล้วทรงหยิบพระมาลาเบเร่มาทรงถือไว้  แล้วดำเนินออกจากห้องบรรทมลงบันไดมาทันที  ข้าหลวงปารองรีบเดินตามเสด็จลงมา  เมื่อทรงดำเนินผ่านห้องพระสำราญก็ทรงพบว่า ผู้พัน ศรัณย์นั่งอ่านหนังสืออยู่ เขาเงยหน้าขึ้นทันที และรีบลุกขึ้นยืนถวายความเคารพ  องค์หญิงทรงตะลึงมองเขานิ่ง จนทรงลืมที่จะรับการทำความเคารพของเขา เขารีบทูลถามทันที 

    " องค์หญิงจะเสด็จไปไหนหรือ  กระหม่อม  ?  " 

    " ฉันชื่อ   รายา "  ทรงรับสั่งลอยๆ  เหมือนจะเตือนความทรงจำของเขา

    " รายา.....คุณจะไปไหนคุณต้องพักผ่อนนะครับ คุณไม่รักษาตัวเองแล้วเมื่อไหร่จะหาย  "  เขาเดินเข้ามาจนใกล้  กล่าวเบาๆด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    " ฉันค่อยยังชั่วแล้วค่ะผู้พัน ฉันเป็นห่วงงาน แล้วก็จะไปเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บเมื่อวานนี้ด้วย "  ทรงรับสั่งตอบเรียบๆ เมินพระพักตร์หนีน้อยๆ

    " คุณไม่มีงานอะไรต้องทำเพราะผมทำให้หมดแล้ว  และผมก็ไปเยี่ยมทหารแทนคุณแล้วด้วย  คุณขึ้นไปพักผ่อนนอนหลับได้เลย "  เขากล่าวเรียบๆทำสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่รับรู้อะไร

    " ฉันจะไปทำงาน " ยังทรงรับสั่งด้วยเสียงเรียบๆทรงรับสั่งยืนกรานเช่นกัน 

    " ถ้าคุณยังจะไปทำงาน ผมคงจะต้องทำโทษคุณ  ที่คุณดื้อไม่ฟังคำสั่งของหมอ  " เขายังคงทำเสียงเรียบๆและจ้องพระพักตร์ทำสีหน้าจริงจัง

    " คุณมีสิทธิ์อะไร จะมาทำโทษฉัน ?  "  รับสั่งพร้อมกับเชิดพระพักตร์ขึ้นนิดหนึ่ง

    " ผมจะลองดู  ว่าสิทธิ์ในการเป็นคู่หมั้นจะทำโทษยังไงได้บ้าง ? "  เขากล่าวเสียงเรียบๆ แต่สายตาของเขาวิบวับหยอกเย้า

    องค์หญิงรายาทรงนิ่งอึ้งดำเนินเลี่ยงหนีเขาออกไปหน้าตำหนัก โดยไม่รับสั่งอะไรผู้พันหนุ่มเดินตามไปติดๆ แล้วกล่าวเบาๆ  " ถ้าคุณขึ้นไปทำงาน ผมจะอุ้มคุณลงมาจากกองบัญชาการต่อหน้าทหารทุกคน คงจะโรแมนติคดีนะครับ "  เขากล่าวด้วยเสียงเรียบๆ ด้วยสีหน้านิ่งๆแต่จริงจัง

    " ผู้พัน......คุณ  "  ทรงหันมาและทรงหยุดทอดพระเนตรมองหน้าเขา ทำสายพระเนตรดุมองเขา

    " รายา.......คุณอย่าทำตาดุๆ อย่างนี้สิผมกลัว  "  เขาทำเสียงอ้อนและยืนขวางหน้าไว้ 

    " คุณจะเอายังไงกับฉันบอกมา ?  " รับสั่งถามด้วยสีพระพักตร์ที่เริ่มกริ้ว

    " รายา.....ผมเป็นห่วงคุณนะ เมื่อคืนนี้คุณเป็นไข้ ตัวร้อนจัดจนไม่รู้สึกตัว ผมตกใจมาก และหลังจากที่กลับไปจากที่นี่แล้ว  ผมก็ยังเป็นห่วงคุณจนนอนไม่หลับ  แล้ววันนี้แทนที่คุณจะพักผ่อน  คุณกลับจะมาทำงานอีก คุณดื้อมากนะ หมอก็บอกว่าต้องการให้คุณพักผ่อนมากๆ เมื่อเช้าหมอก็มาเยี่ยมคุณนะ ทุกคนเป็นห่วงคุณแต่คุณไม่เคยห่วงตัวเองเลย "  เขากล่าวเสียงอ่อนอย่างตัดพ้อ

    " ฉันนอนไม่หลับแล้วนี่  แล้วฉันก็เพียงแต่อยากไปดูงานนิดหน่อยเท่านั้น "  สุรเสียงรับสั่งอ่อนลงเช่นกัน

    เขาตัดสินใจกล่าวออกมาทันที   " รายา.......งั้นเรามาคุยเรื่องของเราดีกว่านะ   เรื่องของเรามันก็เป็นงานเหมือนกันไม่ใช่หรือ  สำหรับคุณน่ะ  "   

    องค์หญิงรายาในฉลองพระองค์เครื่องแบบประทับยืนนิ่ง ทอดพระเนตรมองหน้าเขานิดหนึ่งแล้วทรงนิ่งคิด  คนอะไรหน้าตาก็คมเข้ม  หล่อเสียเหลือเกิน คนหน้าตาผิวพรรณแบบนี้ใช่มั้ย ที่เขาเรียกว่าหล่อเหมือนเทพบุตรกรีก  แต่ทำเสียงน้อยใจเหมือนจะตัดพ้อต่อว่าก็เป็น พูดประชดประชันก็เก่ง  

    " เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆในอุทยานของคุณดีมั้ย  รายา ?  "  เขาชวนแล้วผายมือให้ทรงดำเนินไปตามทางเดินในอุทยาน  ึ่งปูเป็นทางเดินด้วยแผ่นศิลาแลงภายในพระราชฐานวังหน้า

    ทรงไม่รับสั่งตอบรับ เพียงแต่ดำเนินเคียงคู่ไปกับเขาทั้งสองเดินไปเงียบๆ  จนถึงศาลาหกเหลี่ยมในอุทยานดอกไม้นานาพันธ์  ที่ออกดอกออกใบงดงาม  ไม้ดอกหลากชนิดส่งกลิ่นหอมอ่อนๆจรุงใจนัก  ทรงพระดำเนินขึ้นไปประทับนั่งบนม้ายาวที่ทำไว้เป็นที่ประทับนั่งบนศาลาพักร้อนกลางอุทยาน  ซึ่งเป็นสถานที่ที่ประทับพักผ่อนอิริยาบถ เขานั่งลงใกล้ๆกับองค์หญิง ทั้งสองยังคงนิ่งเงียบ  เขานิ่งคิดว่าจะเริ่มต้นยังไงดี  เขาสูดลมเข้าปอดน้อยๆแล้วตัดสินใจกล่าวออกมาก่อน 

    " รายา.......ผมเสียใจนะที่เกิดเรื่องเมื่อคืนวันก่อน  คงทำให้คุณต้องลำบากใจ และคงต้องเสื่อมเสียเกียรติยศ "  เขากล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าขรึมๆเป็นการเป็นงาน

    " ฉันต่างหากคะที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด  และฉันก็คงต้องทำเหมือนกับว่าฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวนัก คุณคงคิดว่าบ้านเมืองของฉัน  มีกฎหมายที่ล้าหลัง โบราณ ฉันอยากจะขอโทษคุณ  แต่ก็ยังไม่กล้าพอ เมื่อคืนนี้ฉันคอยคุณและคิดว่าถ้าคุณกลับมา ฉันจะขอโทษคุณ แต่ก็หลับไปเสียก่อน  " องค์หญิงรายารับสั่งเบาๆทอดพระเนตรมองหน้าเขา สายพระเนตรที่ทรงทอดมองมาที่เขานั้น  แสดงความเสียพระหทัยนัก

       " รายา......ผมไม่ได้คิดอย่างที่คุณพูดมาทั้งหมดเลยนะ  เพียงแต่ว่า...ผมรู้สึกลำบากใจมากกว่า  ที่ผมมีส่วนทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น  ผมทำให้คุณต้องเสื่อมเสียและดึงคุณให้ต่ำลงมา   แทนที่คุณจะได้อภิเษกกับเจ้าชายผู้สูงศักดิ์และคู่ควรกับคุณ  แต่คุณต้องมาแต่งงานกับคนสามัญธรรมดา มียศแค่นายพันทหารเท่านั้น  ซึ่งไม่มีอะไรที่คู่ควรกับคุณเลย  ถ้าคุณต้องลำบากใจที่จะต้องแต่งงานกับผม  และมีทางออกอื่นที่ทำให้คุณสบายใจกว่านี้ผมก็ยินดี  "  เขากล่าวพร้อมกับก้มหน้าลงนิดหนึ่ง

    " จะมีก็แต่ฉัน ต้องเนรเทศตัวเองออกไปจากเมืองนี้  แล้วอภิเษกสมรสกับเจ้าพี่อิงภู  แล้วกลับมาครองแคว้นร่วมกัน คือต้องรวมแคว้นทั้งสองเข้าเป็นแคว้นเดียวกัน  เพราะเราสองคนต่างก็มีภารกิจกับบ้านเมืองเหมือนกัน  แต่ถ้าฉันทำอย่างนั้น  ก็เหมือนฉันเป็นผู้รักษากฎแต่ก็เลี่ยงกฎนั้นเสียเอง  ข้าราชบริพารจะมองว่าฉันขาดจริยธรรม  แต่ถ้าคุณไม่ต้องการแต่งงานกับฉัน  ฉันก็จะไปอยู่ที่อังกฤษและคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีก  และก็คงต้องให้น้องหญิงเตขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนฉัน  ฉันคงไม่บังคับใจคุณหรอกค่ะ  " รับสั่งออกมาด้วยสีพระพักตร์ที่เศร้าซึม 

    " รายา......คงไม่มีผู้ชายคนไหนในโลก  ที่จะปฏิเสธการแต่งงานกับคุณหรอก  แต่ผมก็ไม่ต้องการเป็นผู้ชายที่ฉกฉวยโอกาสนั้น  ถ้าคุณไม่ต้องการที่จะแต่งงานกับผมและมีทางเลือกที่ดีกว่า  ก็ขอให้คุณตัดสินใจเลือกเพราะการที่คุณต้องลดตัวเองลงมาแต่งงานกับผม  ผมรู้ว่าคุณคงต้องลำบากใจที่จะยอมรับผมได้  และผมก็ไม่คิดว่า  การที่ต้องทนฝืนใจเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคุณ  "  เขาอธิบายถึงความรู้สึกของตนเอง        

    " ฉันตัดสินใจแล้วค่ะ ฉันจะแต่งงานกับคุณ  เรื่องฐานันดรของฉัน  ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ฉันคิดแบ่งแยกชนชั้น ฉันเกรงแต่ว่า  ฉันจะเป็นผู้ที่ทำให้คุณต้องมาลำบากใจเหมือนถูกบังคับ  คุณอาจจะมีใครที่คุณรักรอคุณอยู่  แต่คุณก็ต้องจำยอมเสียสละคนที่คุณรัก เพื่อคิดจะช่วยให้ฉันได้อยู่เมืองนี้ต่อไป โดยยอมแต่งงานกับฉัน ฉันรู้สึกไม่สบายใจและเสียใจมากค่ะ ที่คุณต้องยอม  เพราะคุณคิดจะรับผิดชอบและคิดจะช่วยฉันและสวาติติ "  เธอกล่าวแล้วมองหน้าผู้พันหนุ่ม  สายตาของเธออ่อนเศร้าแสดงความเสียใจ

    "  รายาครับ  ...ผมยังไม่มีใครที่ผมรักและคิดจะแต่งงานด้วย  อย่างที่เคยบอกคุณไปแล้ว  แต่คุณล่ะ....คุณมีองค์ชาย อิงภูเป็นคู่หมายอยู่แล้ว  ผมรู้ว่าคุณคงเสียใจ  และจำยอมเสียสละคนที่คุณรัก และต้องมาแต่งงานกับผมเพื่อรักษาบ้านเมืองและจริยธรรมของคุณ  ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดี  และขอยกย่องในความเสียสละของคุณ แต่มันอาจจะทำให้คุณต้องมาเป็นทุกข์ในภายหลังนะครับ  "   

    " ฉันกับเจ้าพี่อิงภู  เป็นเพียงความคิดของผู้ใหญ่  ที่ต้องการให้เราทั้งสองคนได้แต่งงานกัน  เพื่อคิดที่จะได้รวมบ้านพี่เมืองน้อง  คือไพลินยาและสวาติติ  มาเป็นทองแผ่นเดียวกันมากกว่าค่ะ  ฉันบอกตรงๆว่าฉันไม่ได้คิดที่จะแต่งงานกับใครเลย  คุณก็เห็นว่าฉันมีภาระกับบ้านเมืองมากมายแค่ไหน ฉันไม่เคยมีเวลาที่จะคิดเรื่องของตัวเองเลยสักนิด   "  ทรงรับสั่งความในพระทัยให้เขาฟัง

     เขาเห็นพระพักตร์ที่งดงามขององค์หญิงที่ก้มลงมองพระหัตถ์ของพระองค์เองนั้นน้อยๆ แม่ดอกฟ้ารายาแม่ช่างทรงศิริโฉมงดงามเกินกว่าจะหาหญิงใดมาเปรียบได้  เขาคิดและถอนใจออกมาน้อยๆเหมือนจะให้สิ่งที่หนักอึ้งในอกของเขาให้คลายลงบ้าง ก่อนที่จะเอื้อนเอ่ย

     "  แล้วคุณคิดมั้ยว่าการที่คุณก็ไม่ได้รักผม จะทำให้การแต่งงานของเราไม่มีความสุข  และคุณก็จะต้องทนอยู่กับผมอย่างเป็นทุกข์ตลอดไป  "  เขาทูลถามตรงๆ

    " แล้วคุณล่ะคุณก็ไม่ได้รักฉัน  แล้วคุณคิดมั้ยว่าคุณจะทนกับฉันได้หรือคะผู้พัน  ทนผู้หญิงที่มีภารกิจมากมาย จนแม้แต่ตนเองก็ยังไม่มีเวลาให้เลย ? "  ทรงย้อนถามเขาตรงๆเช่นกัน

    " แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่ได้รักคุณล่ะ  ถึงแม้ว่ามันอาจจะรวดเร็วเกินไปสำหรับคำว่ารัก  แต่ผมก็ไม่มีคำอธิบายความรู้สึกของตัวเองในขณะนี้  ให้เป็นอย่างอื่นได้หรอกนะรายา "  ผู้พันศรัณย์เปิดเผยความรู้สึกในใจของตนเองออกมา ซึ่งมีผลให้พระปรางทรงแดงจัดเข้มขึ้นจนเขาสังเกตเห็น ทรงแก้ขวยโดยแสร้งเมินพระพักตร์ออกไป ทอดพระเนตรมองต้นไม้ใบหญ้า

    " คุณยังมีแก่ใจที่จะพูดเอาใจฉัน  ในสถานการณ์อย่างนี้อีกหรือคะผู้พัน  ฉันไม่คิดมากหรอกค่ะ  ถึงคุณจะไม่บอกคำว่ารักกับฉัน ฉันเข้าใจดี " ทรงรับสั่งโดยยังไม่ทรงกล้าทอดพระเนตรมองหน้าเขา

    " คุณเข้าใจผิดแล้วละรายา คำว่ารักของผม ผมคิดว่าเป็นคำที่มีความหมายสำหรับผมมากนะครับ คุณอาจจะฟังแล้วคิดว่า  ผมพูดออกมาเพื่อเอาใจคุณ  แต่ไม่ใช่หรอกนะรายา ผมปฏิเสธความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ ความรักมันเกิดขึ้นคู่กับความทุกข์ทรมาน "  เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จ้องพระพักตร์องค์หญิงนิ่งๆ จนต้องทรงก้มพระพักตร์ลงหลบสายตาเขา

    " ฉันไม่เข้าใจค่ะว่าทำไมความรัก  จึงต้องเกิดคู่กับความทุกข์ทรมาน "  รับสั่งถามเขาด้วยสีพระพักตร์ที่ทรงฉงน

    " มันเกิดขึ้นกับผมตั้งแต่คืนนั้น พอรู้ตัวว่ารักแล้วก็เริ่มเป็นทุกข์เพราะรู้ว่าตัวเองคิดเลยเถิด และใฝ่สูงจนลืมศักดิ์ตัวเองไงล่ะครับเจ้าหญิง "

    พระปรางแดงเข้มขึ้นอีกครั้ง  เมื่อทรงได้ยินคำของเขา ทรงหลบสายตาคมกล้าหวานระยับของเขาน้อยๆ  " ผู้ชายไทยช่างสรรหาคำพูดหวานๆมาปลอบประโลมได้มากมายเหลือเกินนะคะ  แค่คุณบอกว่าจะแต่งงานกับฉัน ฉันก็รู้สึกว่าคุณเสียสละให้กับฉันมากมาย และฉันก็เป็นหนี้บุญคุณคุณ  อย่างไม่ทราบจะหาสิ่งใดมาตอบแทนแล้วละค่ะ "

    " อย่าพูดอย่างนี้สิครับรายา คุณทำให้ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้รักคุณ  แค่นี้ก็พอแล้ว "  เขากล่าวอย่างสารภาพมองพระพักตร์สวยคมซึ้งนั้นนิ่งๆ  เหมือนจะให้ดวงตาของเขาเปิดเผยความในใจให้ทรงได้รับรู้

    " ทำไมคะ  ? "  เสียงของเธอแผ่วเบา  เงยพระพักตร์ขึ้นสบตากับเขา 

    " มันไม่มีเหตุผลหรอกนะรายา หลังจากคืนนั้นมา ผมก็เฝ้าแต่ถามตัวเองว่า ทำไม...ต้องคิดถึงคุณมากมายขนาดนี้ หลับตาก็เห็นแต่หน้าคุณ  เป็นห่วงคุณอยากจะเจ็บแทนคุณเสียเอง หัวใจผมเปี่ยมสุขและทุกข์ทรมานไปพร้อมๆกัน  "  เขากล่าวเสียงอ่อน  สารภาพความในใจ ทอดสายตามองพระพักตร์ และเอื้อมมือจับพระหัตถ์มากุมไว้

    " ขอบคุณค่ะผู้พัน ฉันจะแต่งงานกับคุณ  และเวลาจะพิสูจน์คำพูดของคุณค่ะ "  รับสั่งแล้วพระปรางแดงระเรื่อขึ้นอีกครั้ง  แต่ก็เงยพระพักตร์ขึ้นทรงสบสายพระเนตรกับเขา  สายพระเนตรหวานคมซึ้งบอกอะไรบางอย่าง  ที่ทำให้หัวใจของผู้พันหนุ่มพองโตจนแทบจะคับอก   

    เขาทูลถามเบาๆ " รายา.....บอกผมได้มั้ย  ว่าในขณะนี้คุณคิดยังไงกับผม  ?  " 

    " ฉัน....ไม่กล้าคิดค่ะบอกไม่ถูก มันรวดเร็วเกินไปจนฉันกลัวที่จะคิด "  รับสั่งคล้ายกับจะทรงปรารภ แต่ก็ก้มพักตร์ลงหลบสายตาที่จับจ้องของเขา

     " รายา.....ผมเข้าใจ อยากให้คุณทำใจให้สบาย อย่าคิดอะไรมาก ในเมื่อเรื่องอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด  "  ผู้พันหนุ่มกล่าวด้วยเสียงมั่นคงหนักแน่นนัก จนองค์หญิงต้องเงยพระพักตร์ขึ้นมองเขา สายพระเนตรนั้นบอกความซาบซึ้ง

    " ขอบคุณมากค่ะที่คุณเข้าใจฉัน " 

    " รายา.....จำไว้นะครับว่าผมรักคุณ  และไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าหัวใจของคุณเท่านั้น "  เขากล่าวแล้วมองหน้าเธอตรงๆส่งสายตาวิบวับวาวระยับให้เธอ   

    ทรงสบพระเนตรด้วยพระหทัยที่หวานหวาม ทรงแก้ขวยด้วยทรงเอื้อนเอ่ย " ฉันเพิ่งรู้ว่าทหารไทยไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญในการรบเท่านั้น  แต่ก็เชี่ยวชาญที่จะปรนเปรอผู้หญิงด้วยคำพูดได้ไพเราะซาบซึ้งเหลือเกิน จะมีผู้หญิงไทยที่ต้องอกหักสักกี่คนคะ ที่คุณต้องมาแต่งงานกับฉัน  และผู้หญิงที่สวาติตินี่คงต้องตรอมใจ  ในคำหวานๆได้ในสักวันหนึ่งมั้ยคะผู้พัน ?  "

    " คำพูดทุกคำของผมได้กลั่นกรองมาจากหัวใจ  ทหารที่อยู่กับสงครามและความรุนแรงคงไม่มีความหวานเท่ากับความจริงจากหัวใจหรอกครับ  "  นายทหารหนุ่มกล่าวเบาๆสบตากับองค์หญิงรายา เขายกพระหัตถ์พระองค์ขึ้นจุมพิต

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×