ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรางรัก ลวงใจ (ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์สมาร์ทบุ๊ค)

    ลำดับตอนที่ #18 : ใกล้ก็เหมือนไกล(รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.94K
      5
      19 ก.พ. 52

    ตอนที่ 18  ใกล้ก็เหมือนไกล

          เขาลับกายไปแล้ว ผู้การรายานั่งลงอย่างรู้สึกเนือยๆ เอกสารตรงหน้าที่รอให้อ่าน หรือลงลายเซ็นยังมีอีกมากมายหลายเรื่อง  แต่เธอไม่มีสมาธิพอ ที่จะทำงานตรงหน้าได้  เธอเปิดๆแฟ้มดูเพียงผ่านๆแล้วปิดแฟ้มลง  เดินออกมาหน้าตึกกองบัญชาการ  พบนิตยา....หญิงสาวในชุดเสื้อยืด  กางเกงยีนส์ที่แนบลำตัวไปทุกสัดส่วน เน้นส่วนโค้งส่วนเว้าอย่างน่ามองของเธอ  ซึ่งกำลังก้าวลงมาจากรถ ของบริษัทอีตัน ทหารยามกำลังสอบถาม ตรวจบัตร และตรวจอาวุธเธอ  ผู้การสาวเห็นดังนั้น ก็ยกวิทยุบอกกับทหารยาม ให้ปล่อยเธอให้เข้ามาได้  นิตยาเดินตรงมาที่ผู้การสาว และมองเธอในชุดทหาร ที่ยืนใช้มือไขว้หลังถือวิทยุไว้ในมือ 
         " สวัสดีค่ะองค์หญิงรายา หม่อมฉันมาพบศรัณย์เพคะ "  เธอกล่าวแล้วเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ
         " ท่านไม่อยู่ ออกไปที่ชายแดน "  ผู้การสาวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
         " ทำไมองค์หญิงต้องปิดบัง ขัดขวางไม่ให้หม่อมฉันพบกับเขา หม่อมฉันรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่  " เสียงของหญิงสาวเข้มหน้าเชิดขึ้นอย่างถือดี
         " ฉันไม่มีความจำเป็นอะไรต้องปิดบังคุณ ทหารที่ป้อมก็คงบอกกับคุณแล้วว่า ท่านไม่อยู่ไม่ใช่หรือคะ "  ผู้การสาวตอบด้วยสีหน้าเรียบๆ ยิ้มเยือนน้อยๆอยู่ในสีหน้า
         " หม่อมฉันไม่เชื่อ องค์หญิงทรงหึงหวงเกรงว่าหม่อมฉัน จะได้พบกับเขาใช่มั้ยเพคะ ? "  เธอกล่าวแล้วยิ้มออกมาเหมือนจะเยาะ
         " หึงงั้นหรือ ทำไมต้องหึง ในเมื่อฉันกับท่าน เข้าใจกันดีในทุกเรื่อง และคุณก็เป็นแค่คู่ควงคนหนึ่งของท่านเท่านั้นเท่าที่ฉันทราบ และตอนที่ท่านอยู่เมืองไทย ก็ไม่ได้มีคุณเป็นคู่ควง เพียงคนเดียวไม่ใช่หรือ  "  ผู้การสาวโต้ตอบอย่างเฉียบคม
         " ไม่จริงหรอกเพคะ ที่หม่อมฉันจะเป็นแค่คู่ควงสำหรับเขา เราสองคนรักกันสนิทกันมาก ที่เมืองไทยเราเที่ยวไปไหนมาไหนด้วยกัน ใครๆในสังคมเมืองไทยก็รู้ว่าเรารักกัน  และมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันมากแค่ไหน  จนเราเกือบจะแต่งงานกันอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่มาที่นี่และถูก การเมืองที่นี่เล่นงานเสียก่อน  " หญิงสาวกล่าวอย่างรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่า 
         " หรือคะ...ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก  ของผู้ชายไทยไม่ใช่หรือคะ ที่จะมีผู้หญิงที่เป็นคู่ควงหรือมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง กับผู้หญิงคนไหนมาก่อนที่จะแต่งงาน  ฉันคิดว่าผู้ชายทุกชนชาติ ก็คงจะเหมือนกันหมด ซึ่งมันคงเป็นหลักของธรรมชาติ ที่ทุกคนก็รู้ๆกันอยู่  "  ผู้การสาวโต้ตอบอย่างใจเย็น ด้วยคารมที่เป็นต่อ
         รับสั่งขององค์หญิง  ทำให้นิตยาแทบจะกรีดเสียงร้องออกมา เธอมองพระพักตร์ขององค์หญิง อย่างเคียดแค้น และเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่ชิงชัง อย่างที่ไม่เก็บอาการอีกต่อไป " องค์หญิง.....สักวันที่ศรัณย์กลับเมืองไทย  หม่อมฉันรับรองว่า  องค์หญิงทรงต้องเป็นม่ายแน่เพคะ " 
         "  ก็คงแล้วแต่ความต้องการ ของท่านอีกนั่นแหละค่ะ  ใครก็คงไปบังคับท่านไม่ได้ ไม่ใช่หรือคะ และขอบคุณมากค่ะ ที่เป็นห่วงว่าฉันจะต้องเป็นม่าย  คุณนิตยาคะอย่าห่วงฉันเลยนะคะ ....แต่ฉันอยากเตือนคุณด้วยความหวังดีว่าขณะนี้  เมืองนี้ไม่ปลอดภัยนัก  คุณไม่ควรเดินทางไปไหน มาไหนคนเดียว ฉันก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคนงาน  ของบริษัทอีตัน เชิญคุณกลับไปได้แล้วค่ะ และฉันจะบอกท่านให้นะคะ  ว่าคุณมาหาท่านที่นี่  "  นายพลสาวตอบแล้วยิ้มเยือน กล่าวเตือนเธอในตอนท้าย  ปลายตามองนิตยาด้วยรอยยิ้มเยือนในสีหน้า
          นิตยามองหน้านายพลสาวอย่างแค้นเคือง  เธอกำมือแน่น ใบหน้าสวยๆของเธอ  ออกอาการบิดเบี้ยวด้วยอารมณ์แค้นและชิงชัง หญิงสาวผู้สูงศักดิ์นัก  เธอไม่กล่าวอะไรอีก สะบัดหน้าหันหลังเดินกลับไปขึ้นรถ  แล้วขับออกไปทันที

          ค่ำแล้ว ผู้การสาวเดินไปเดินมา รอฟังสถานการณ์ที่ชายแดน  เดินไปที่ห้องสื่อสารอีกครั้ง  " ไม่มีรายงานการปะทะที่ชายแดนเข้ามาเลยหรือ  พยายามติดต่อสิ  “? 
         " พยายามติดต่อแล้วครับท่าน  แต่ติดต่อไม่ได้ครับท่าน  " 
         " เรียกกลับไปอีกครั้งสิ  บอกว่าฉันให้รายงานสถานการณ์ด่วน "
          เสียงพลวิทยุเรียกหน่วยลาดตะเวน  และเรียกไปที่หน่วยของผู้พันศรัณย์  แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ  ทำให้นายพลสาวมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที  และถอนหายใจหลายครั้ง  หมวดราเมนเดินเข้ามาหาผู้การสาวชิดเท้าแล้วกล่าว
         " ผู้การครับ  อาหารเย็นที่ทางห้องเครื่องส่งขึ้นมา  ท่านยังไม่ได้รับประทานเลยครับผม "  หมวดราเมนกล่าวเป็นเชิงเตือน
         " ฉันทานไม่ลง  เรายังไม่ได้รับรายงานอะไรเลย  หรือว่าวิทยุใช้การไม่ได้ ฉันจะเอากำลังไปสบทบช่วยพวกเขาจะดีมั้ยหมวด สถานการณ์ที่นั่นอาจจะเลวร้ายก็ได้นะ "  ผู้การสาวกล่าวเชิงปรึกษา
         " ผู้พันสั่งผมไว้ว่า ให้ผู้การคอยอยู่ที่ กองบัญชาการนี่ครับผม  "  หมวดราเมนกล่าวแล้วค้อมศีรษะลงน้อยๆ
         " เดี๋ยวนี้หมวดเชื่อฟังผู้พัน มากกว่าฉันอีกใช่มั้ย ? "  เธอกล่าวด้วยเสียงสะบัดสูงอย่างรู้สึกขัดใจ
         " เอ่อ.....ไม่ใช่ครับผม  ผู้พันท่านเป็นห่วงผู้การมากครับผม  และก็รักผู้การมาก ก่อนไปท่านสั่งแล้วสั่งอีก สั่งให้ผมดูแลให้ผู้การ รับทานอาหารด้วยครับ  "  หมวดราเมนกล่าวรายงาน 
          นายพลสาวถอนหายใจอีกครั้ง สีหน้าเคร่งเครียด มองหน้าหมวดราเมนด้วยสายตาที่ขัดเคือง คิ้วขมวดมุ่น และไม่กล่าวอะไรอีก  หันหลังเดินกลับเข้าห้องทำงานไปเงียบๆ  นั่งลงที่โต๊ะทำงานด้วยสีหน้าที่ยุ่งยากใจ มองนาฬิกาที่ข้อมือหลายครั้ง อีกทั้งยังชั่งใจตัวเอง ที่ต้องการนำกำลังออกไปที่ชายแดน ดีหรือไม่ เธอถามตนเองอีกครั้ง เราเป็นห่วงเขาใช่มั้ยรายา ทำไม....เราถึงต้องกระวนกระวายขนาดนี้ด้วยนะ  เขาเก่งออก....คงไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกน่ะ  ศรัณย์คะ...คุณอยู่ไหนกันนะ  คุณจะรู้มั้ยว่าฉันห่วงคุณมากแค่ไหน  เธอหยิบสมุดไดอารี่  ออกมานั่งเขียนบันทึก เรื่องราวประจำวัน 
         " คุณรู้มั้ย....วันนี้ผู้หญิงของคุณ  มาตีฝีปากกับฉัน ในขณะที่คุณไม่อยู่  คุณคงไม่รู้ว่าฉันโกธรมากแค่ไหน  ในเมืองของฉัน  ไม่เคยมีใครกล้ามาเยาะเย้ยถากถาง  พูดจาไม่ดีกับฉันอย่างนี้เลย  แต่เป็นเพราะคุณคนเดียว  ที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้น  กล้ามาทำกับฉันอย่างนี้  ทำไมฉันต้องทน  มันคงเป็นสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องทนใช่มั้ยคะศรัณย์  แล้วฉันยังต้องทนอะไรอีก คุณยังมีใครอีกมั้ยคะ  แต่วันนี้คุณไปรบเพื่อบ้านเมืองของฉัน  ฉันเป็นห่วงคุณมากค่ะ  ทำไมฉันเฝ้าแต่ถามตนเอง ว่าทำไมถึงต้องเป็นห่วงคุณมากมายนัก  ฉันพยายามที่จะไม่ห่วงคุณ หรือคิดถึงคุณ  แต่ก็ทำไม่ได้  คุณไม่เชื่อฉันใช่มั้ย...ว่าฉันเป็นห่วงคุณ  หัวใจของฉันก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น   อยากจะบอกคุณเหลือเกิน  ว่าฉันรู้สึกยังไงกับคุณบ้าง เชื่อฉันเถอะค่ะ......ชีวิตฉันมีเพียงคุณเท่านั้น  " 
          เธอเขียนจบแค่นั้น แล้วปิดสมุดไดอารี่ใช้โบว์สีแดงคั่นหน้าไว้  กอดสมุดไว้กับอกแล้วมองนาฬิกาที่ฝาผนังอีกครั้ง เป็นเวลาเกือบจะห้าทุ่มแล้ว ผู้กานสาวลุกขึ้นเดินไป เดินมา ไม่ยอมแตะต้องอาหารเย็นที่วางอยู่  จนเวลาผ่านไป  เธอวางสมุดไว้ที่โต๊ะอาหาร แล้วเดินเข้าไปห้องสื่อสารอีกครั้ง พยายามให้พลวิทยุติดต่อไปอีก แต่ก็ไม่เป็นผล เธอยังคงนั่งรอการติดต่อกลับ  อยู่ที่ห้องวิทยุอย่างกระวนกระวายใจ 

          พันเอกศรัณย์เดินทางกลับมาถึงกองบัญชาการ  เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนกว่า ทหารหน้าห้องรายงานว่าท่านยังทำงานอยู่ในห้อง  เขาเดินเข้าไปในห้องทำงานของนายพลสาว  เพราะแน่ใจว่าเธอต้องคอยเขา  แต่ก็ไม่เห็นเธอ เขาเดินมาที่โต๊ะอาหาร มีอาหารวางเรียงรายอยู่  โดยที่ยังไม่มีการแตะต้องเลยสักนิด  เขาพบสมุดไดอารี่ที่วางลืมอยู่  เมื่อเขาเปิดที่คั่นหน้าด้วยโบสีแดง อ่านข้อความในสมุดนั้น  เขาขมวดคิ้วยิ้มกับตนเองน้อยๆ พลางปิดสมุดเมื่ออ่านจบ  แล้ววางไว้ที่เดิม หมวดราเมนเปิดประตูเข้ามา 
    ผู้พันกล่าวทักทันที   " หมวดทำไมไม่หลับไม่นอน  หรือว่าวันนี้เข้าเวร ?  " 
          " เปล่าครับท่าน  แต่ผู้การยังไม่กลับ ผมก็เลยยังคอยอยู่ครับผม "  หมวดราเมนกล่าวตอบยิ้มๆ
          " อ้าว........แล้วท่านผู้การของคุณอยู่ไหนล่ะ ? " 
          " คงอยู่ที่ห้องวิทยุครับผม  ท่านไม่ยอมทานอาหาร  พยายามติดต่อไปที่หน่วย 12  แล้วก็หน่วยของผู้พัน  ตั้งแต่หัวค่ำแล้วครับ และก็จะออกไปที่จุดปะทะ แต่ผมบอกว่าผู้พันสั่งไม่ให้ท่านไป  ท่านโกธรผมด้วยครับ  ไม่ยอมพูดกับผมเลย ท่าทางท่านจะเป็นห่วงผู้พันมากครับ  " หมวด ราเมนกล่าวรายงาน
          เสียงเปิดประตูห้องเข้ามา  เธอหยุดชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นเขายืนอยู่  แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเข้ม  "  ผู้พัน........ ทำไมวิทยุติดต่อไม่ได้สักหน่วยคะ  ไม่มีใครรายงานอะไรเข้ามาในกองบัญชาการเลย " 
         " คือว่าวิทยุของเราโดนยิงเสีย  อีกเครื่องของหน่วยลาดตะเวน ก็เสียเหมือนกันครับผม  ก็เลยติดต่อไม่ได้ครับผม แต่เราก็ไล่ล่าพวกนั้นถอยออกไป นอกชายแดนแล้วครับผม  การปะทะครั้งนี้เราเสียทหารไปสองนาย กับบาดเจ็บอีกสามครับผม  "  ผู้พันชิดเท้ากล่าวรายงาน และก้มศีรษะให้เธอน้อยๆ มีรอยยิ้มยั่วเย้าในดวงตา ที่ทำให้เธอมองอย่างนึกหมั่นไส้ 
         เธอเดินไปที่โต๊ะอาหาร แล้วรีบหยิบสมุดไดอารี่ ขึ้นมาถือไว้อย่างนึกได้  แล้วเอ่ยถาม  " คุณมาถึงนานหรือยัง  ?  " 
         " เพิ่งมาถึงครับผม  ส่งทหารที่บาดเจ็บที่โรงพยาบาล แล้วก็มาที่นี่ ก็พบกับหมวดราเมนนี่แหล่ะครับ "  ผู้พันหนุ่มรายงาน พร้อมกับก้มศีรษะลงน้อยๆอีกครั้ง ทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ด้วยเกรงว่าเธอจะรู้ว่าเขา แอบอ่านไดอารี่ของเธอ ที่เธอลืมไว้ที่โต๊ะอาหาร 
         " คุณทานอะไรหรือยังคะดึกมากแล้ว  "   ผู้การสาวถามเสียงอ่อน มองหน้าเขาอย่างห่วงใย
         " เลยเวลาแล้วค่อยทานเช้าดีกว่า ผมง่วงแล้วก็เหนื่อย  แต่คุณน่ะสิทำไมไม่ทานอะไรเลย  อาหารยังไม่มีรอยแตะเลยสักนิด "  เขากล่าวแล้วมองหน้าเธอด้วยสายตาตำหนิ
        " ก็ทานไม่ลง " 
        " ห่วงผมหรือผู้การ ? " เขากล่าวถามยิ้มๆสายตากรุ้มกริ่ม
          เธอไม่ตอบเพียงแต่ปรายตามองเขาแล้วค้อนให้น้อยๆ 

          ทั้งสองพระองค์เสด็จกลับมาที่ตำหนัก  พระสวามีเสด็จเข้าห้องสรงทันที เมื่อดำเนินกลับออกมาพบว่ามีนมกับขนมปังปิ้งมีแยมและเนยวางอยู่บนโต๊ะ  ส่วนองค์หญิงรายาทรงเข้าห้องสรงน้ำ  พระสวามีทรงแต่งพระองค์เรียบร้อย  ประทับนั่งเสวยพระสุธารสนมอยู่ที่โต๊ะเสวย  สักครู่ใหญ่องค์หญิงทรงดำเนินเข้ามาที่ห้องเสวย ฉลองพระองค์ในชุดบรรทม แต่ทรงฉลองพระองค์คลุมไว้มิดชิด  ทรงทอดพระเนตรเห็นว่าพระสวามีเสวยพระสุธารสแล้ว  และยังคงทรงเอนพระปฤษฎางค์กับเก้าอี้  
        " ทำไมยังไม่นอนคะ เห็นบอกว่าง่วง " 
        " ยังไม่ได้  คีส มี กูดไนท์ เลยจะนอนหลับได้ยังไงล่ะครับ  ? "  รับสั่งอ้อนพร้อมทั้งส่งสายพระเนตรหวานวิบวับ
        " ไม่ต้องมาทำหวานกับหญิงหรอก  เก็บไว้หวานที่อื่นเถอะค่ะ "  รับสั่งแล้วทรงค้อน
        " มีเมียแล้ว  ไม่หวานกับเมียจะให้ไปหวานกับใครไม่ทราบครับผม " 
        " ไม่ทราบสิคะ คนที่เขามาตามถึงที่นี่  เขาคงรอคุณให้ไปหวานอยู่นี่คะ  วันนี้เขาก็มาตามคุณที่กองบัญชาการ  ช่วยเตือนเขาด้วยนะคะ  ว่าถ้าเขาจะพูดจาไม่ดีกับหญิงอย่าให้คนที่นี่ได้ยิน  หญิงไม่ได้ถือสาอะไร  แต่คนที่นี่ได้ยินคงจะไม่ยอม  คุณคงเข้าใจนะคะ  ว่าหญิงอยู่ในฐานะอะไรของที่นี่  "  ทรงรับสั่งด้วยพระสุรเสียงเรียบๆ แต่ทรงรู้ว่าองค์หญิงทรงไม่พอพระทัย
        " ผมขอโทษด้วยนะรายา ที่นิตยาคงล่วงเกินคุณ " 
        " เขาก็เพียงแต่  เล่าถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง ของคุณกับเขาให้หญิงรับรู้ไว้  แค่นั้นค่ะ หญิงก็บอกเขาไปแล้ว  ว่าหญิงเข้าใจดีว่า ในอดีตของคุณก็คืออดีต  คุณจะมีอะไรกับใคร ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับหญิง "  ทรงรับสั่งเล่า 
        " คุณเข้าใจเรื่องนี้ดีนะ เวลาที่คุณคุยกับเขา  แต่เวลาอยู่กับผม คุณไม่ได้เข้าใจแบบที่คุณพูดเสียหน่อย คุณโกธรผม งอนผม  " 
        " ก็มันยังไม่จบสิ้นนี่คะ  อดีตรักของคุณมันยังคง ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน  แล้วเขาก็ยังคงมาทวงความหลังของคุณกับเขาในอดีตกับหญิง  ซึ่งความจริงแล้ว  หญิงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องรับรู้  แต่คนของคุณก็พยายามที่จะให้หญิงรับรู้ แล้วจะให้หญิงดีใจ  หรือว่าเสียใจฟูมฟายดีคะ ? "  องค์หญิงรายารับสั่งกับพระสวามีคล้ายกับจะทรงประชดกลายๆ  
        " รายา........ผมบอกกับคุณหลายครั้งแล้วว่า  ผมไม่เคยมีอะไรเกินเลยกับเขา  หรือว่ามีอะไรกันเกินขอบเขตของผู้หญิงกับผู้ชายที่รู้จักกันเลยนะ  " 
        " ขอบเขตอยู่ตรงไหนคะสำหรับคุณ  เพราะเธอบอกว่าเคยเที่ยวเคยค้างกับคุณ  และย้ำว่าคุณมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเธอ  " ทรงปรายพระเนตร มองพระพักตร์คล้ายจะทรงค้อน
        " รายา.......คือผมเป็นคนที่มีขอบเขตสำหรับผู้หญิง  ว่าควรจะถึงขั้นไหน  และผมก็ไม่เคยนอนค้างคืนกับเขาที่ไหนด้วย คุณหึงผมหรือรายา ?  "  เขากล่าวถามยิ้มๆ 
         คำถามของผู้พันหนุ่มในตอนท้าย  ทำให้องค์หญิงทรงหยุดชะงักทันที  ทรงหันพระปฤษฎางค์ให้อย่างงอนๆ “ ไม่ได้หึงแต่หญิงไม่จำเป็น ต้องได้ยิน เข้าใจมั้ยคะผู้พัน ? "
        " อย่างนี้แหละที่เขาเรียกว่าหึง  ถ้าหึงก็แสดงว่ารัก  " ยังคงทรงยั่วต่อ
         องค์หญิงทรงหันพระพักตร์มา  พอดีกับที่พระสวามีทรงลุกดำเนินไปหา แล้วทรงโอบกอดพระองค์ไว้
        " ไม่ต้องมากอดหญิง คนบ้า กระล่อน...."  รับสั่งแล้วทรงดิ้นรนออกจากวงแขนของเขาน้อยๆ
        " คนบ้าก็ไม่ต้องรักษาสัญญาสินะ " รับสั่งยั่วซึ่งมีผลให้ทรงหยุดดิ้นทันที 
        "  หญิงง่วงแล้ว หญิงจะไปนอน ปล่อยหญิง ปล่อยสิคะ  " สุรเสียงอ่อนลงทันที  แต่สีพระพักตร์ยังทรงบึ้ง
          พระสวามีไม่รับสั่งสิ่งใด  แต่ทรงใช้สองพระกร  ช้อนอุ้มองค์หญิงดำเนินเข้าห้องบรรทม  ทรงวางองค์หญิงลงบนพระบรรจถรณ์ แล้วล้มพระองค์ลงบรรทมใกล้ๆ ทั้งๆที่องค์หญิงยังทรงอยู่ในอ้อมพระกร  และทรงแกล้งหลับพระเนตร  พระองค์หญิงทรงบรรทมนิ่งๆ  ทอดพระเนตรมองพระพักตร์พระสวามี  และทรงไม่กล้าขยับองค์  จนกระทั่งพระสวามีทรงบรรทมหลับลงไปจริงๆ  พระองค์หญิงทรงทอดพระเนตรมองพระพักตร์ ที่เริ่มเขียวครึ้มด้วยหนวดเคราที่ข้างพระปราง พระพักตร์ที่คมสันนั้นแนบกับพระเขนย  พระเกศาหยักศกทรงเป็นคลื่นสลวยน้อยๆ  องค์หญิงทรงขยับพระองค์ ออกจากอ้อมพระกรของพระสวามีเบาๆ   แต่พระสวามีเหมือนกับจะทรงรู้สึกพระองค์ ทรงกอดกระชับองค์ไว้แน่น  ทำให้ทรงบรรทมนิ่งจนสักครู่ใหญ่   ทรงได้ยินเสียงพระสวามีรับสั่งเรียกพระนามของพระองค์เบาๆ  " รายา รายา "  ทั้งๆที่บรรทมหลับสนิทแล้ว ทำให้องค์หญิง ต้องทรงจุมพิตพระสวามีเบาๆ  ที่พระปรางและบรรทมหลับ อยู่ในอ้อมพระอุระของพระสวามี ตลอดทั้งคืน
           วันรุ่งขึ้นเมื่อพันเอก ศรัณย์  พระสวามีทรงตื่นบรรทมขึ้น ก็สายมากแล้ว ทอดพระเนตรมองไปรอบห้อง  แต่ไม่ทรงพบพระองค์หญิง ทรงรีบแต่งองค์ด้วยฉลององค์ ที่องค์หญิงทรงเตรียมถวายไว้ให้ เมื่อดำเนินลงมาข้างล่าง ทรงพบแต่พระพี่เลี้ยงปารองที่ชั้นล่างของพระตำหนัก 
         " คุณพี่เลี้ยง......องค์หญิงเสด็จไปทรงงานแล้วหรือครับ  ? " 
         " เสด็จเมื่อตอนสองโมงเช้าเพคะ  ทรงบ่นว่าบรรทมตื่นสาย เสวยเช้าแล้วรีบเสด็จ  รู้สึกว่าเมื่อคืนจะมีเรื่องที่กองบัญชาการเพคะ  แต่ไม่ทราบว่าเรื่องอะไร  ผู้หมวดราเมนมารอเข้าเฝ้าตั้งแต่เช้า  ฝ่าบาทรับสั่งให้หม่อมฉัน ตั้งเครื่องเช้าถวายเพคะ ให้ฝ่าบาทเสวยก่อนเสด็จนะเพคะ  "  ข้าหลวงปารองทูล
         รับสั่งกล่าวขอบใจพระพี่เลี้ยงชรา แล้วดำเนินเข้าไปประทับนั่งในห้องเสวย เสวยพระกระยาหารเช้าอย่างทรงรู้สึกหิว  เมื่อทอดพระเนตรมองนาฬิกา ที่ข้อพระกรก็ทรงรู้ว่า เกือบสิบโมงเช้าแล้วรีบดำเนินมาที่กองบัญชาการ  เมื่อเข้าไปในห้องทรงงาน  ก็พบว่าผู้การสาวกำลังเขียนหนังสืออยู่ 
         " ทานเช้าหรือเปล่าคะ ?  "  เธอถามยิ้มๆ
        " ทานแล้วครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง "
        " ประชดหญิงหรือคะ ? "  เธอเงยหน้าขึ้นถาม
        " เปล่าครับ  เพียงแต่ไม่อยากทานอาหาร คนเดียวบ่อยๆ  "  เขากล่าวยิ้มๆ
        " ก็ไม่อยากปลุกคุณน่ะค่ะ เห็นคุณเหนื่อย  แล้วหญิงก็อยากไปเยี่ยมทหารที่บาดเจ็บเมื่อคืนแต่เช้า จะได้พบญาติทหาร ที่เสียชีวิตด้วยน่ะค่ะ  "  เธอกล่าวเสียงเรียบๆ แต่ยิ้มอวดฟันสวยกับเขา แล้วกล่าวต่อ  “  เมื่อเช้าหมวดราเมน บอกหญิงว่า  ได้รับรายงานเรื่องที่เรากำลังอพยพชาวบ้าน  ตามแนวชายแดนเข้ามามีปัญหาค่ะ  ชาวบ้านเขาไม่เชื่อใจทหาร  ที่ไปบอกกับเขา เรื่องที่เราให้เขามาทำงาน ในเหมืองของบริษัทอีตันน่ะค่ะ  " 
        " นั่นสินะครับ  จะให้เขาทิ้งบ้านช่องเข้ามา  เขาคงกลัวมากกว่า  ว่าจะโดนหลอกน่ะ แล้วคุณคิดจะทำยังไงดีล่ะผู้การ " 
        " หญิงคงจะต้องไปบอกเขาเองค่ะ " เธอกล่าวอย่างตัดสินใจ
        " อันตรายนะรายา  หมู่บ้านตามแนวชายแดนน่ะ  ขณะนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดี  ไม่มีความปลอดภัยเลยนะครับ  " 
        " หญิงต้องไปค่ะ  ชาวบ้านเขาเชื่อหญิง แล้วเรื่องที่เราลอบนำกำลังพลไปล่ะคะ เป็นยังไงบ้างคะ “ ?  
        " ทุกอย่างเรียบร้อย หน่วยรบของผมอยู่ที่นั่นแล้ว  เราตั้งแค้มป์ไว้ที่ใกล้หน่วยลาดตะเวนที่สิบ ซึ่งเรากางเป็นเต็นท์ตั้งแค้มป์ใหญ่  จุทหารได้ห้าสิบคน  แล้วหน่วยที่ดักซุ่มรอการโจมตีของพวกมันก็เรียบร้อยแล้วครับผม  แล้วหน่วยของผมกับหน่วยข่าวกรอง  กำลังเข้าไปสืบเรื่องคลังแสงอยู่ครับ  ผมคิดว่าหน่วยนี้ทำงานไม่พลาด  เพราะเป็นหน่วยจารกรรมที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี และก็เคยปฏิบัติภารกิจสำเร็จมาแล้วในหลายๆประเทศ  " 
        " หญิงอยากให้ทุกอย่างสำเร็จเสียที   ประชาชนจะได้ทำมาหากินกันอย่างปรกติสุข  เหมือนบ้านอื่นเมืองอื่นเขาบ้าง  หญิงเกลียดยาเสพติด  ประชาชนของเราส่วนหนึ่ง  ที่ต้องตกเป็นทาสของมัน  ต้องไปทำงานรับใช้นายพลราเปรียง ก็เพราะติดยาที่พวกมันนำมาหลอกล่อให้เสพ  พ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเขาก็เป็นทุกข์อย่างแสนสาหัส  ที่ลูกหลานต้องตกเป็นทาสของยานรกนั่น  " 
        " รายา......ถ้าเราสำเร็จในการปราบปรามพวกมัน ก็เพียงสำเร็จไปเพียงขั้นตอนเดียวเท่านั้น  แต่อีกขั้นตอนหนึ่งก็คือเฝ้าระวัง  ว่ามันจะกลับมาอีก  ต้องมีการป้องกันอย่างเข้มงวดต่อไป การผลิตยาพวกนี้นำรายได้มาสู่พวกมัน  มากมายมันไม่ยอมเลิกราง่ายๆหรอก  เราต้องส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้  มีอาชีพ และมีรายได้ที่พอเพียง  ไม่ต้องหันไปพึ่งการปลูกฝิ่นอีก " 
        " ใช่ค่ะ......หญิงถึงได้พยายาม ที่จะสร้างโรงเรียนให้เด็กๆ ส่งเสริมพวกเกษตรกร ทำนาทำไร่ ทำสวน และพวกที่อยากทำงาน  ก็มาทำงานในเหมือง หญิงสร้างโรงเรียนได้หลายแห่งแล้วนะคะ  แต่ก็ยังขาดครูอยู่เลย เรายังขาดบุคคลากรในหลายๆด้านน่ะค่ะ  " 
        " ที่เมืองไทยก็ได้ทหารนะครับ  ที่สอนหนังสือให้นักเรียนตามพื้นที่สูง และตามแนวชายแดนน่ะครับ ทหารก็เป็นครูได้นะรายา " 
        " จริงสินะคะ  เวลาที่บ้านเมืองสงบร่มเย็น เราก็ให้ทหารไปสอนหนังสือก็ได้ และยังได้ทำหน้าที่ดูแลพื้นที่เขตชายแดนด้วย "  เธอทำหน้าชื่นขึ้นมองหน้าเขาอย่างรู้สึกขอบคุณ 
        " หญิงจะไปเยี่ยมราษฎรค่ะ  คุณจะไปกับหญิงมั้ยคะ ? "  เธอเงยหน้าขึ้นถามเขา
        " รายา........คุณอยู่ที่ไหนผมก็ต้องอยู่ด้วย  เส้นทางมันอันตรายนะที่รัก "  เขากล่าวยิ้มๆก้มลงจุมพิตพระเกศาเบาๆ
        " อย่ามาหวานกับหญิงที่นี่นะคะ ที่นี่ที่ทำงานค่ะ "  เธอกล่าวเสียงเรียบๆ แต่ยิ้มหวานกับเขาย่นจมูกให้น้อยๆ  

          ผู้การสาวและผู้พันหนุ่ม  เดินทางด้วยรถยนต์ แลนด์โรเวอร์  มีรถทหารคุ้มกันนำหน้า และมีรถของผู้หมวดราชัย ที่ต้องมาทำบัญชีจำนวนประชากร  ที่จะลงชื่ออพยพมา พร้อมกับกำลังทหารจำนวนหนึ่ง  เป็นหน่วยคุ้มกันอีกคันตามหลัง  ทั้งหมดต้องไปที่บริษัทอีตัน  เพื่อตรวจงานก่อสร้างถนน และสำรวจที่พักที่กำลังสร้าง  เพื่อจะนำแรงงานตามชายแดนอพยพมาอยู่  ก่อนที่จะออกเดินทางไป ที่พบราษฎรตามหมู่บ้านต่างๆ เมื่อไปถึงแค้มป์ของบริษัทอีตัน  ทหารที่มาอารักขาต่างยืนเรียงราย ไปตามจุดต่างๆ เหมือนจะคุ้มกัน  ผู้พันศรัณย์  ผู้การ รายา และร้อยเอกราชัยเท่านั้น  ที่เดินเข้าไปภายในแค้มป์  นิตยาเป็นผู้ที่ออกมาต้อนรับก่อน  เธอวิ่งโผเข้ามากอดเอว ผู้พันพระสวามีไว้ทันที  ทำให้ทุกคนที่อยู่ณ.ที่นั้นตกตะลึงมอง
         " ศรัณย์คะ....นิตกำลังคิดถึงคุณอยู่พอดี วันนั้นนิตไปหามีคนบอกว่าคุณไม่อยู่ค่ะ "  เธอกล่าวพร้อมกับปรายตา มองผู้การสาวนิดหนึ่ง เชิดหน้าขึ้นใส่เธอน้อยๆ
        " นิตยา.....อย่าทำกริยาอย่างนี้กับผมอีก  ผมแต่งงานแล้วผมขอร้อง "  ผู้พันหนุ่มเตือน  พร้อมกับปลดแขนเธอ  ออกจากการโอบกอด
        " ก็นิตคิดถึง  แล้วนิตก็ทำอย่างนี้ ทุกครั้งที่เราพบกันนี่คะ  "  เธอยังคงกล่าวยิ้มๆ 
        " คุณนิตยาคะ ...เก็บอาการนี้ไว้ทำ ในที่ลับตาคนสักหน่อยดีกว่านะคะ  ประเพณีของเราที่นี่ ผู้หญิงจะไม่แสดงความรัก ต่อหน้าสาธารณะชน  ถ้าสามีของฉันต้องการคุณ  ท่านก็จะมาหาคุณเองค่ะ  ฉันไม่ได้ห้ามท่าน " ผู้การสาวเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ และสีหน้าที่เย็นชา
        " หม่อมฉันและศรัณย์เราเป็นสามัญชนเพคะ  อยากทำอะไรก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะนินทา  และหม่อมฉันก็ไม่ได้เป็นคนที่นี่  คงไม่จำเป็นที่จะต้อ งยึดประเพณีของที่นี่  ไม่ใช่หรือเพคะ  "  นิตยากล่าวแล้วหัวเราะน้อยๆ  พร้อมทั้งยักไหล่นิดหนึ่ง แสดงออกว่าเธอไม่แคร์ใคร
        " นิตยา......ผมว่าคุณล่วงเกิน ภรรยาผมมากเกินไปแล้วนะ  แล้วต่อไปนี้ขอให้คุณอยู่ห่างๆผมด้วย และอย่าทำกริยาอย่างนี้กับผมอีก "   ผู้พันศรัณย์เสียงกร้าวอย่างมีอารมณ์  สีหน้าของเขาเข้มและมองเธออย่างเย็นชา ซึ่งทำให้นิตยาหน้าม่อยลงทันที
        " ตอนนี้ผู้พัน ศรัณย์  ไม่ได้เป็นสามัญชนแล้วค่ะ ท่านเป็นพระสวามีของฉัน  และเป็นคนของสวาติติเต็มพระองค์แล้ว  และอย่าลืมว่าคุณกำลังยืน อยู่บนแผ่นดินของฉัน เพราะฉะนั้นคุณคงต้องให้เกียรติฉันด้วย "  เธอกล่าวด้วยเสียงเข้ม ใบหน้าสวยเรียบเฉย
        " จะมีบทลงโทษหม่อมฉันหรือเพคะองค์หญิง ที่หม่อมฉันบังอาจ แตะต้องร่างกาย  ที่หม่อมฉันเคยแตะต้องมาก่อน "  เธอกล่าวแล้วยิ้มอย่างเย้ยๆ หมวดราชัยมองอย่างรู้สึกสะใจ  แต่ก็ส่วนลึกก็รู้สึกสงสารองค์หญิงรายานัก
        " ไม่หรอกค่ะคุณนิตยา  เพราะคุณเป็นเพียงแค่สามัญชน  ที่อาจจะไม่ทราบว่าอะไร ควรอะไรไม่ควร เราควรอภัยกับผู้ที่เขลา กว่าเราไม่ใช่หรือคะ " เธอตอบยิ้มๆมีผลทำให้นิตยา แสดงสีหน้าไม่พอใจ
        “ ฉันไม่สนหรอกว่าองค์หญิงจะสูงส่งแค่ไหน  ที่นี่ไม่ใช่บ้านเมืองของฉัน และองค์หญิงก็ไม่ได้มีอำนาจ ที่จะมาลงโทษฉัน ฉันเพียงแต่ทวงสิทธิ์ในคนรักของฉันเท่านั้น “
         หมวดราชัยรู้สึกทนไม่ได้กับกริยา และคำพูดของนิตยา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดังกร้าว “ นี่คุณ....คุณคงต้องขอประทานอภัย ในองค์รัชทายาทของเรา ที่คุณกล่าวล่วงเกินพระองค์ท่าน ผมเป็นทหารของสวาติติ  และมีหน้าที่ปกป้ององค์รัชทายาท และคุณก็กำลังยืนอยู่บนแผ่นดินของสวาติติ  เรามีกฎหมายที่จะลงโทษคุณได้ “
         นิตยามีสีหน้าที่ซีดสลดลงทันที พร้อมทั้งก้มหน้าลงอย่างรู้สึกตัว ว่าเธอพลาดและอ้อมแอ้มออกมา “ เอ่อ... ขอประทานอภัยเพคะ “
         องค์หญิงรายาหันมามองหน้าหมวดราชัย ด้วยสายตาที่แสดงความขอบใจ แต่ไม่เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา เช่นเดียวกับผู้พันศรัณย์ ที่ยืนอยู่เคียงข้างผู้การสาว  และรู้ว่าหมวดราชัยได้ทำหน้าที่ที่ถูกต้องแล้ว
         มิสเตอร์วินสันก็ขับรถเข้ามาจอดพอดี  เขารีบลงมาและทำความเคารพ ทั้งสองท่านด้วยท่าทางให้ความเคารพอย่างสูง
         " ถวายบังคมเจ้าหญิงนายพล และพระสวามีพระเจ้าค่ะ  วันนี้มาตรวจงานหรือกระหม่อม หม่อมฉันยินดีที่ได้พบจริงๆ  "  เขากล่าวพลางโค้งให้ทั้งสองอย่างสุภาพ 
         " เรามาดูพื้นที่แล้วก็อยากจะขอให้คุณ  ทำที่พักไว้รองรับคนงานให้แล้วเสร็จ  ก่อนที่เราจะอพยพผู้คนมาด้วยน่ะค่ะ  "  ผู้การสาวเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่เป็นปรกติ
         " เรากำลังสร้างเป็นแค้มป์ที่พักอาศัย  เพิ่มเติมขึ้นอีก  เพราะเห็นว่าจะมีคนงานเข้ามาเยอะมาก คิดว่าอาทิตย์หน้า  ก็คงจะเสร็จเรียบร้อยกระหม่อม  " 
         " ขอบคุณมากนะคะ คุณ วินสัน ที่ช่วยเหลือ เรื่องที่พักคนงาน คุณมีอะไรจะให้ฉันช่วยมั้ยคะ ? "  ผู้การสาวถาม
         " กระหม่อม...คือทางผู้ประสานงานที่ท่านจะส่งมา  หม่อมฉันยังไม่เห็นมีใครมาเลย  การทำงานที่นี่บางครั้ง ก็ไม่ค่อยสะดวกนัก ถ้าไม่มีผู้ประสานงาน  เพราะบางครั้งทางเรากับคนงาน ก็สื่อสารกันไม่เข้าใจ  และการตัดสินใจบางอย่าง ก็ต้องการให้คนที่เข้าใจ  มาช่วยในการประสานงาน ในเรื่องหลายเรื่องด้วยพระเจ้าค่ะ  ตอนนี้เรากำลังขาดคนงาน งานก็เลยล่าช้ากว่ากำหนด  เครื่องจักรขุดเจาะของเรากำลังจะมาถึงในเร็วๆนี้  แต่ถนนยังไม่เสร็จ การติดตั้งเครื่องจักรก็จะล่าช้าไปอีกพระเจ้าค่ะ "  มิสเตอร์ วินสันกล่าว 
        " ฉันคงต้องขอโทษ  ที่ยังไม่ได้ส่งคนประสานงานมา  กลับไปแล้วจะรีบส่งร้อยเอก ราชัย มาให้คุณโดยเร็วที่สุด  ซึ่งความจริง  ฉันคิดว่ามีคนจัดการเรื่องนี้แล้วเสียอีก  แล้วเรื่องคนงาน  เราก็จะรีบพามาให้เร็วที่สุดค่ะไม่ต้องกังวลนะคะ "  ผู้การสาวกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น  และหันมากล่าวกับหมวดราชัย  " หมวดราชัย .....ฉันขอแต่งตั้งให้คุณเป็นผู้ประสานงาน กับบริษัทอีตัน  และคุณคงต้องรู้จักกับมิสเตอร์ วินสัน  และนี่คือคุณนิตยา เป็นเจ้าหน้าที่ของที่นี่  ขอให้คุณเป็นผู้ประสานงาน  ระหว่างที่นี่กับฉัน  คุณมีอะไรขัดข้องหรือเปล่า  " องค์หญิงทรงหันพระพักตร์มาถามหมวดราชัย หลังจากแนะนำให้เขารู้จักกับมิสเตอร์ วินสัน  และนิตยา 
        " สวัสดีครับมิสเตอร์วินสัน สวัสดีครับคุณนิตยา "  หมวดราชัยจับมือกับมิสเตอร์วินสัน และก้มศีรษะให้นิตยา ทุกคนไม่มีปฏิกิริยา ที่ทำให้มิสเตอร์วินสัน รู้ว่ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ก่อนที่เขาจะมาถึง  หมวดราชัยหันมากล่าวกับผู้บัญชาการ  " ผมไม่ขัดข้องครับผม  แต่อยากทราบว่างานที่กองบัญชาการ ใครจะทำแทนผม  " หมวดราชัยมองหน้าผู้การสาว  แววตาของเขาฉายประกายของความน้อยใจ  ที่เหมือนจะโดนเสือกไสไล่ส่ง  ให้ออกมาทำงานข้างนอกอีกครั้ง
         " งานของที่นี่ก็มีไม่มากอะไรนักในตอนนี้  เพราะเครื่องจักรยังไม่ได้ติดตั้ง คุณก็ทำงานที่กองบัญชาการสักครึ่งวัน  แล้วก็ค่อยมาดูแลที่นี่   แล้วถ้างานมากนัก  ก็ค่อยพิจารณากันอีกครั้ง  ว่าใครจะมาทำหน้าเป็นผู้ช่วยคุณ เพราะทางกรมเมืองต้องคัดสรร  คนมาทำหน้าที่  ที่นี่อีกหลายคน "  ผู้การสาวกล่าวเรียบๆ
        " ได้ครับผม "  หมวดราชัยตอบแต่สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก    
        " ขอบพระทัยเจ้าหญิง ที่จะส่งคนประสานงานมาให้  วิศวกรของเรากำลังคำนวณพื้นที่  เพื่อที่จะหาจุดที่เราเห็นจากภาพดาวเทียม  แล้วก็ยังมีนักธรณีวิทยา  ที่กำลังจะเดินทางมาด้วยกระหม่อม  และถ้าเครื่องจักรมาถึง  ก็จะเริ่มลงมือติดตั้งเครื่องเลยพระเจ้าค่ะ "  มิสเตอร์ วินสันกล่าว
        " คุณยังมีเรื่องอะไรที่จะบอกฉันอีกมั้ย มิสเตอร์วินสัน? " 
        " ตอนนี้คงมีแค่นี้พระเจ้าค่ะ  ขอบพระทัยฝ่าบาท  " มิสเตอร์ วินสันตอบยิ้มๆ  พร้อมทั้งโค้งให้ผู้การและผู้พันอีกครั้ง  มิสเตอร์วินสันหันมากล่าวกับนิตยา  " ผมคิดว่าคุณต้องทำความเคารพ ท่านทั้งสองด้วยนะ "  ซึ่งคำพูดของเขาทำให้นิตยา  ต้องถอนสายบัวให้องค์หญิงและพระสวามีทันที
          ผู้การสาวหันหลังเดินมาที่รถอย่างรวดเร็ว  เธอขึ้นไปนั่งบนรถ แลนด์โรเวอร์  ผู้พันหนุ่มก้าวขึ้นไปนั่งคู่ด้วย 
        " ทหารไปหมู่บ้านป่าเห่ว  จองข่า  เพิงคา น้ำเสี้ยวด้วย  "  ผู้การสาวสั่งพลขับ 
         เธอนั่งนิ่งมาตลอดทาง ไม่กล่าวอะไรกับเขาทั้งสิ้น ผู้พันหนุ่มรู้สึกอึดอัดจนต้องกล่าวถาม 
        " รายา....คุณโกธรผมอีกแล้วหรือ ผมผิดอะไร ? " เขากล่าวแล้วจับมือเธอไว้  เธอพยายามดึงมือออกแต่ไม่เป็นผล เขายังคงจับไว้แน่น 
        " คุณไม่ได้ผิด  แต่ฉันไม่อยากพูดกับคุณ "  เธอกล่าวเบาๆ
        " ก็แสดงว่าโกธร  " ผู้พัน ศรัณย์ยังคงถามต่อ
        " ก็ไม่ได้โกธร  " 
        " อย่างนั้นก็หึง  "  เขากล่าวด้วยเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ เหมือนจะแกล้งยั่ว
        " หึงทำไม  ? "  เธอกลับย้อนถาม  พร้อมทั้งปรายตามองหน้าเขานิดหนึ่ง
        " ก็รักผมน่ะสิ  เมื่อคืนยังกอดผมอยู่เลย "  เขายังคงกระซิบยั่ว 
        " คุณนี่บ้าขึ้นทุกวัน "  เธอกล่าวเบาๆ แล้วปลายตาค้อนเขา  แก้มแดงขึ้นจนผู้พันสังเกตเห็น
        " ก็ใกล้จะบ้าอยู่แล้วละ  เมื่อคืนถ้าไม่เหนื่อยละก็  คุณคงได้พิสูจน์แล้วละว่า  ผมบ้าจริงหรือเปล่าจะพิสูจน์มั้ย ? "  พันเอกหนุ่มกล่าวกระซิบ พร้อมกับทำสีหน้าจริงจัง
        " คุณอย่าคอยมาหาโอกาสเลยค่ะ ฉันไม่ใช่สาวๆของคุณ " 
        " กับคนอื่นไม่ต้องคอยหาโอกาสหรอกรายา  แต่กับผู้หญิงคนนี้ต้องคอยหาโอกาสแน่  ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะผมเป็นคนบ้านะ "  เขากล่าวเรียบๆด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จนหญิงสาวรู้สึกกลัวเขาขึ้นมาทันที  เธอลอบชำเลืองมองสีหน้าเขา ก็เห็นแต่สีหน้าที่เรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ขันให้เห็น
        " คุณต้องรักษาสัญญา ที่คุณให้ไว้กับฉัน "  เธอกล่าวทวงสัญญา
        " คนบ้า.......ไม่มีคำสัญญาหรอกครับ "  เขายังคงกล่าวเสียงเรียบๆ 
         ผู้การสาวเริ่มหวั่นใจกับอากัปกิริยาของเขา  " งั้น....หญิงให้คุณเป็นผู้ประสานงานกับบริษัท   แทนหมวดราชัยดีมั้ยคะ คุณจะได้มาที่นี่ทุกวัน คนของคุณจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวาย  ให้หญิงอายคนอื่นอีก คุณจะได้มีโอกาสได้อยู่กับเธอบ้าง "  ผู้การสาวกล่าวเรียบๆ ไม่แสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า
        " วิชาที่คุณเรียนมานี่ ไม่เสียหลายเลยนะรายา  การทูต  การปกครอง ดูคุณจะใช้ยุทธวิธี กับผมหลายอย่างจังนะ คุณต้องการให้ผมมีข้อผิดพลาด เพื่อเป็นข้ออ้างในการหย่ากันงั้นหรือรายา  คุณไม่เชื่อในความรักที่ผมมีให้คุณ  อย่างจริงใจเลยใช่มั้ย  ? " เขากล่าวแล้วมองหน้าเธอตรงๆ 
        " หญิงไม่ได้ใช้ยุทธวิธีอะไรเลยค่ะ หญิงคิดอย่างที่พูดจริงๆ และก็ไม่ได้คิดว่า  จะเอาเรื่องอะไรมาเป็นข้ออ้างทั้งนั้น หญิงไม่ได้คิดจะเลิกกับคุณ "  เธอกล่าวเบาๆ สบตาเขาด้วยสายตา ที่แสดงความจริงจากใจ
        " ผมไม่เป็นผู้ประสานงานอะไรที่นี่หรอก  ถ้าผมต้องการนิตยา  ผมก็คงขอเขาแต่งงานไปตั้งนานแล้ว คุณเสียอีกนะรายา  คุณไม่เคยเปิดใจอะไรกับผมสักอย่าง  ผมก็ไม่เคยรู้ว่าคุณคิดยังไงกับผม  ไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกนะรายา  ที่แต่งงานแล้ว  ก็ยังต้องนอนที่โซฟาคนเดียวทุกคืน  ผมเหมือนผู้ชายโง่ๆคนหนึ่งในสายตาคุณใช่มั้ย ? "  เขากล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
        ผู้การสาวรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขานั้นน้อยใจ  เธอรู้ว่าทุกวันนี้เขาต้องเสียสละ  เพื่อเธอทุกอย่าง เธอมองหน้าเคร่งขรึมของเขา หัวใจอ่อนยวบลงทันที  และค่อยๆยกมือเขาขึ้นมา ใช้ริมฝีปากแตะที่มือของเขา พลางกล่าวเบาๆ
        "  หญิงรู้ค่ะ ว่าคุณดีกับหญิงมาก  หญิงไม่ได้คิดว่าคุณโง่เลยนะคะ  หญิงซาบซึ้งน้ำใจของคุณเสมอ  หญิงถึงบอกกับคุณว่า  หญิงอยากเป็นแค่หญิงสามัญชนธรรมดา หญิงกับคุณคงมีความสุข  " 
        " แล้วการที่เราแต่งงานกันนี่ล่ะ  มันทำให้เจ้าหญิงอย่างคุณ มีความทุกข์มากใช่มั้ย  หญิงรายาบอกผมสิ ผมจะได้รู้ว่า ความไม่เท่าเทียมกันทางฐานันดรใช่มั้ย ที่ทำให้เราสองคน แม้จะอยู่ร่วมห้องเดียวกัน  แต่กลับ เหมือนไกลกันคนละฟากฝ้าแบบนี้  แล้วทำไมคุณถึงไม่แต่งงาน กับเจ้าอิงภูเสียก่อน  ที่เราจะพบกันและเกิดเรื่องขึ้น ?  " เสียงของเขาดูเหมือนจะพรั่งพรู ความรู้สึกน้อยใจออกมา 
        " ไม่ใช่ค่ะ....ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด "  เธอกล่าวแล้วมองเขาด้วยสายตาเว้าวอน 
        " รายา......คุณจะคิดยังไงกับผม  ผมคงไม่อาจจะรู้ถึง ความรู้สึกที่แท้จริงของคุณได้หรอก ผมไม่เคยเข้าใจในความคิด  ของผู้สูงศักดิ์ว่าเขาคิดยังไงกัน  แต่ผมรักคุณ ผมก็ต้องยอมรับสภาพทุกอย่างที่เป็นอยู่ "  น้ำเสียงของชายหนุ่ม กล่าวออกมาด้วยเสียงที่สะเทือนใจ  สายตาของเขาทอดมองออกไปนอกรถ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×