Inferi Salvator | ผู้กอบกู้จากห้วงอเวจี - นิยาย Inferi Salvator | ผู้กอบกู้จากห้วงอเวจี : Dek-D.com - Writer
×

    Inferi Salvator | ผู้กอบกู้จากห้วงอเวจี

    ก็แค่เรื่องราวของอดีตอัศวินเคยมีนายคนหนึ่ง ที่ดีไซน์ชุดเกราะค่อนข้างคุ้นตา ในโลกแฟนตาซีที่มีพื้นฐานมาจากโลกจริง เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ต่าง ๆ จักมิได้อิงตามประวัติศาสตร์ 100%

    ผู้เข้าชมรวม

    178

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    45

    ผู้เข้าชมรวม


    178

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    7
    หมวด :  ผจญภัย
    จำนวนตอน :  8 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  29 ต.ค. 67 / 06:16 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

     ณ เทือกเขาเอลป์ช่วงปีปลายศตวรรษที่ 13 (1200s-1300s) ท่ามกลางบริเวณหุบเขาที่ไร้ชีวิต มันยากแค้นแร้งใจเกินกว่าที่จักมาตั้งถิ่นฐานได้ หิมะปกคลุมไปทั่วบริเวณ รวมถึงเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า มันอาจจะเป็นค่ำคืนที่เย็นยะเยือกแต่สงบหากเป็นราตรีปกติดั่งเช่นที่เป็นมาตลอด แต่ครานี้มันกลับต่างออกไป 


     ท่ามกลางกลิ่นของหิมะ น้ำค้างที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง กลับมีกลิ่นของคาวเลือด กลิ่นของไขมันจากแผลฉกรรณ์ และเหงื่อของนักรบ เสียงของเหล็กกระทบกันปะปนอยู่ ท่ามกลางความมืดมิดของหุบเขา นักรบนับ 100 นายกำลังสู้กับอะไรบางอย่าง พวกเขาเป็นทั้งอัศวินจากราชอาณาจักรฟรานซ์ทางตะวันตก หรือที่พวกเขาเรียกตนเองว่าฟรังค์เซีย ทหารรับจ้างจากทางเหนือของหุบเขาเอลป์ซึ่งก็อยู่ในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาเรียกตนเองว่าพวกสวิตซ์ 


    "มันเป็นตัวบ้าอะไรวะ! ไม่ยอมแม้แต่จะล้มลงไปด้วยซ้ำ!"


    "อย่าไปกลัวมันเว้ย! มันตัวคนเดียว! 'อัศวินทมิฬ' มันก็แค่ชื่อ! มันก็คนมีเนื้อหนังเว้ย! ไม่เห็นเลือดมันไหลซึมออกมาจากชุดเกราะมันหรอ! ไอ้พวกโง่!"


     เสียงปะทะคารมกันในหมู่นักรบดังแทรกขึ้นมาในการปะทะ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังสู้กับคนที่ได้รับนามว่า 'อัศวินทมิฬ' กองกำลังผสมของฟรังค์และสวิตซ์ได้ล้อมชายคนนั้นไว้อย่างไม่ปราณี แต่คนแล้วคนเล่าของพวกเขาที่บุกเข้าไปกลับล้มตายไปทีละคนทีละคน และไม่มีท่าทีว่าจะจบลงในเร็ว ๆ นี้


     เวลาผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมง กองกำลังผสมจำนวน 120 นายนั้นก็ถูกชายคนเดียวละลายจนเหลือเพียง 10 นายเท่านั้น รวมระดับสั่งการอย่างจ่าและผู้กองของทั้งสวิตซ์และฟรังค์เซียอีก 5 นายเป็น 15 นายเท่านั้น แต่ร่างกายอัศวินทมิฬก็เหนื่อยล้าและบาดเจ็บทั่วร่างกายจนเขาแทบขยับไปไหนไม่ได้ เกราะที่เริ่มรู้สึกหนักขึ้นและหิมะที่ละลายกลายเป็นโคลน ทำให้เขายืนพักหายใจอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งทหารรับจ้างสวิตซ์นายหนึ่งได้ยิงหน้าไม้ใส่เขาหวังฆ่าด้วยระยะ แต่ก็ไร้ผลจากชุดเกราะของเขาที่ยังปกป้องเขาไว้อยู่ ชุดเกราะแบบ Gothic สีดำดั่งสมยานามของเขาพร้อมกับหมวกเกราะแบบ Sallet ที่มีรูปทรงเป็นกระโหลกมนุษย์สีดำสนิททำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปปะดาบกับเขาต่อ


    "อะไร? เริ่มกลัวรึยังไง? ข้ายังยกดาบขึ้นนะเว้ย จะสู้อีก 100 คนก็ยังได้!"


     อัศวินทมิฬพูดยั่วยุอีกฝ่ายก่อนที่จะหยิบดาบยาวสองมือที่มีใบดาบเป็นคลื่นหรือที่เรียกว่า Flammenschwart ของเขาขึ้นมาตั้งการ์ทแบบ Schlüssel ชี้ปลายดาบไปหานักรบทั้ง 15 นาย เมื่อพวกเขาถูกดูถูกดังนั้น พลหอก pike ของฝั่งสวิตซ์ 3 คนสุดท้ายก็วิ่งเข้าไปหมายเอาหอกรุมแทงเขา แต่ภายในไม่กี่วินาทีก่อนจะถึงระยะ pike ทั้ง 3 คนก็ได้พุ่งตัวแยกออกจากกันเป็น 3 ทิศหน้า ซ้ายขวาและรุมแทงอัศวินทมิฬพร้อมกัน


    เป้ง!- หมับ ตึ้ม!


     เสียงกระทบกันดังขึ้นแต่กลับไม่มีเสียงของเลือดเนื้อที่ถูกแทงแม้แต่น้อย pike ทางข้างหน้านั้นถูกเขาใช้มือซ้ายจับด้ามเอาไว้และดึงเข้ามาล็อคไว้ที่แขนหนีบของเขาไม่ให้หนีได้ pike ทางด้านขวาถูกเขาหวดดาบฟันหัว pike จนหักสะบั้น และทางซ้ายเขาได้ยกไหล่เอียงตัวเฉียกขึ้นเพื่อให้เกราะเบี่ยงทิศของ pike ที่แทงเข้ามาโดนเกราะออก


     ไม่รอช้าเขาก็แทงดาบเข้าที่คอของพล pike ตรงหน้าที่เขากำลังจะหยิบมีดสั้นขึ้นมาหลังจากโดนล็อค pike ไว้จนถึงแก่ชีวิต พล pike ทางขวาหลังจาก pike ของเขาหักเขาก็ชักมีดออกมาหวังจะเข้ามาแทงเช่นกัน แต่ก็ไม่วายถูกเขาใช้มือขวาที่แทงดาบไปก่อนหน้านั้นดึงกลับมาใช้สันด้ามจับกระแทกคางของเขาจนเขากระเด็น ส่วนคนทางซ้ายได้ดึง pike กลับมาและทำการแทงอีกครั้ง แต่อัศวินทมิฬก็ได้ใช้ pike ของคนข้างหน้าที่เขาล็อคไว้ก่อนหน้านั้นจับเปลี่ยนท่าและแทงสวนกลับไปเข้าที่เอวของอีกฝ่ายในส่วนที่เกราะป้องกันปกปิดไม่มิด เขาแทงกด pike เข้าไปลึกจนอีกฝ่ายล้มลงและทนพิษบาดแผลไม่ไหวตายตามกัน


    "ไอ้แดนนรกนี่... ไม่ยอมตายจริง ๆ สินะ"


     จ่าคนหนึ่งของพวกฟรังค์เซียพูดขึ้น ก่อนที่เขาจะหันไปหาผู้กองของตนเพื่อคุยอะไรบางอย่าง อัศวินทมิฬเริ่มขยับตัวเดินไปหาพล pike คนสุดท้ายที่ถูกกระแทกคางจนน็อคและปิดงานเอาดาบแทงคออีกฝ่ายให้สิ้นชีพก่อนที่จะหันกลับมาตั้งการ์ทแบบ alber ตั้งรับพวกที่เหลือ 12 นาย


    "ใครอาจหาญอีก?"


     อัศวินทมิฬพูดด้วยน้ำเสียงฟังแล้วเหมือนแรงเขายังเหลือ แม้ว่าเสียงที่ตามมาจะเป็นเสียงหอบที่ดังทะลุหมวกเหล็กของเขาก็ตาม ร่างกายที่เหนื่อยล้าของเขายืนโงนเงนราวกับจะล้มได้ทุกเมื่อ ซึ่งก็คงไม่แปลกนักกับคนที่เพิ่งสู้กับทั้งกองร้อยไปด้วยตัวคนเดียว ไม่นานนักผู้กองของทางพวกฟรังค์เซียก็ก้าวเท้าออกมาพร้อมกับชักดาบแบบ Long sword ของตนออกมาโดยที่ยังไม่ตั้งการ์ท ชุดเกราะสีขาวเงาดูเป็นสง่าแม้จักเปื้อนหิมะก็ยิ่งดูงดงามขึ้นไปอีก เขาใส่หมวกเกราะขัดเงาแบบ Plow Bascinet ที่ดูปราณีตเป็นสง่า ก่อนที่เขาจะเปิด visor ออกมาเพื่อให้เห็นหน้าตาของเขา ชายฝรั่งเศสหน้าตาค่อนข้างดีแต่มีแผลเป็นถูกเฉือนที่แก้ม ดวงตาสีน้ำตาลสด อายุราว ๆ 30 ปีปลาย ๆ ซึ่งถือว่าอาวุโสในสมัยนั้น สูง 190 เซน และไม่ไว้หนวด


    "อัศวินทมิฬเอ๋ย ข้ามิอาจร่วงรู้ว่าเจ้ากระทำอันใดมาถึงได้ตกอยู่ในสภาพนี้ แต่เจ้าเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมา ข้าจักเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าคนสุดท้ายในค่ำคืนนี้ หากข้าพ่ายแพ้ ข้าจักยอมนำคนที่เหลือของข้าถอยกลับไปโดยดี แต่หากข้าชนะ ค่าหัวของเจ้าก็จักเป็นของข้า จงบอกนามของเจ้ามาเสีย"


    "หึ ท้าประลองงั้นรึ ย่อมได้"


     อัศวินทมิฬพูดพลางลดดาบลงและค่อย ๆ เปิด visor กระโหลกมนุษย์ของตนขึ้น เผยให้เห็นหน้าตาของชายชาวเยอรมันอายุราว ๆ 20 ต้น ๆ ถือว่าเป็นวัยที่ตายบ่อยที่สุดในยุคนั้นเนื่องจากหลาย ๆ ปัจจัย ดวงตาสีดำขลิบ สูง 179 เซน เขาไม่ไว้หนวดเช่นกัน 


    "ข้ามีนามว่า พันกราซจากแม่น้ำอูดาร์ (Pankraz aus Oder) เจ้าล่ะฟรังค์เซีย"


    "ข้าคือนายกองแบร์นาร์ด แห่งแร็งส์(Bernard de Reims) ยินดีที่ได้พบเจ้าอัศวินทมิฬ พันกราซแห่งอูดาร์"


    "อา พร้อมเมื่อไหร่ก็ลุยล่ะผู้กอง"


     เมื่อพูดจบทั้ง 2 ก็เลื่อน visor ของตนมาปิดหน้าตากันอีกครั้งและยกดาบขึ้นมาตั้งการ์ทแบบ Plug ด้วยกันทั้งคู่ ทหารที่เหลือทั้ง 11 นายเริ่มเดินล้อมวงกันเพื่อจำลองพื้นที่ประลองโดยมิขัดข้องใดใดกับการตัดสินใจของนายกอง บรรยากาศโดยรอบกลับมาเงียบสงบอีกครั้งในทางที่ไม่ดี ความตรึงเครียดแผ่กระจายทั่วพื้นที่ บัดนี้อัศวินทวิฬ และอัศวินปัณฑูรได้ประจัญหน้ากันแล้ว . . .

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น